PAST SIMPLE TENSE
ความหมายของ Present Simple Tense 1. Present Tense (เพร็ซซึนซ เท็นซ) = เหตุการณ์ปัจจุบัน 2. Past Tense (พาสท เท็นซ) = เหตุการณ์ในอดีต 3. Future Tense (ฟิลเชอร์ เท็นซ) = เหตุการณ์ในอนาคต ซึ่ง Tense ที่เราจะศึกษากันในวันนี้เป็น Present Tense (เหตุการณ์ปัจจุบัน) ในรูปของ Present Simple Tense ซึ่งเป็น Tense พื้นฐานที่นักเรียนจำเป็นต้องศึกษาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษา Tense อื่นๆในระดับสูงต่อไป
โครงสร้างของ Present Simple Tense Subject + Verb1 ประธาน + กริยาช่องที่ 1 กรณีแรก หาก Subject (ประธาน) เป็น Singular Subject (เอกพจน์ มีหนึ่งเดียว) *V1จะต้องเติม S Subject V1+s V. to be V. to have He, She, It เขา, เธอ,มัน ประธานมีหนึ่งเดียว จะต้องเติม S ใน V1 ประธาน เดิน ไปโรงเรียน V1 ใช้คำว่า (walk) + s He walks to school. She walks to school. It walks to school. ประธาน เป็น นักเรียน V. to beใช้คำว่า is He is a student. She is a student. ประธาน เป็น สุนัข It is a dog. ประธาน มี ปากกา 1 ด้าม V.to haveใช้คำว่า has He has a pen. She has a pen. ประธานมีหาง 1 หาง It has a tail.
Past Simple Tense ใช้แสดงถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยมีโครงสร้างประโยคดังนี้ หลักการใช้ Past Simple Tense 1. ใช้แสดงถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและสิ้นสุดลงแล้ว โดยจะระบุเวลาไว้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น - Mark arrived at 7 o'clock yesterday. - Joe bought a new car last week. - The train stopped five minutes ago. - They studied French last term.
2. ใช้แสดงถึงการกระทำที่เป็นนิสัยหรือเกิดขึ้นเป็นประจำในอดีต แต่ไม่ได้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน มักมี adverbs of frequency ที่แสดงความบ่อยรวมอยู่ในประโยคเช่น always, usually, often, every........เป็นต้น และต้องมีคำบอกเวลาในอดีตแสดงไว้ด้วย ตัวอย่างเช่น - It often rained last week. - He always played tennis last year. - They swam every evening last year. 3. ใน Past Simple Tense สามารถใช้ used to +คำกริยาช่องที่ 1 (เคย) แสดงถึงการกระทำที่กระทำอยู่ หรือที่เป็นอยู่เป็นประจำในอดีต ตัวอย่างเช่น - Sam used to travel to Japan on business. - She used to work here. - They used to live in Chiang Mai.
หลักการลียนคำกริยาให้เป็น Past Tense การเปลี่ยนรูปคำกริยาเป็น past tense มี 2 วิธี คือ 1, การเติม ed ที่ท้ายคำกริยาช่องที่ 1 (Regular Verb) 2. คำกริยาที่เปลี่ยนรูปใหม่ ( Irregular Verb) หลักการเติมเติม ed ที่ท้ายคำกริยามีดังนี้ 1.คำกริยาโดยทั่วไปเมื่อเปลี่ยนเป็นคำกริยาช่องที่ 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น clean - cleaned 2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย e อยู่แล้ว ให้เติม d ได้ทันทีเช่น like - liked 3. คำกริยาที่เป็นพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดตัวท้ายอีกหนึ่งตัวก่อน แล้วจึงเติม ed เช่น stop - stopped 4. คำกริยาที่มี 2 พยางค์ ออกเสียงเน้นหนักพยางค์หลังให้เพิ่มตัวสะกดตัวท้ายอีกหนึ่งตัวก่อน แล้วจึงเติม ed prefer - preferred 5. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย yและหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วจึงเติม ed
การทำเป็นประโยคคำถาม 1 การทำเป็นประโยคคำถาม 1. ให้สังเกตว่าในประโยคมีกริยาช่วยหรือไม่ ถ้ามีให้นำกริยาช่วยมาวางไว้หน้าประโยคและใส่ เครื่องหมาย ?(question mark)ดังนี้ - He was in the bathroom five minutes ago. Was he in the bathroom five minutes ago? Yes, he was./No,he wasn't. 2. ถ้าในประโยคนั้นไม่มีกริยาช่วย ให้ใช้ did มาช่วย ( ประธานทุกตัวใช้ did) โดยนำ did มาวางไว้หน้าประโยค ตามด้วยประธานและกริยาต้องอยู่ในรูปเดิม( ช่องที่ 1) ท้ายประโยคใส่เครื่องหมาย?(question mark) Cathy lived with her parents. Did Cathy live with her parents? Yes, she did. / No, she didn't.
การทำให้เป็นประโยคปฏิเสธ 1 การทำให้เป็นประโยคปฏิเสธ 1. ถ้าในประโยคมีกริยาช่วยให้ใส่ not หลังกริยาช่วยนั้น เช่น I was tired. I was not tired หรือ I wasn't tired. 2. ถ้าไม่มีกริยาช่วยให้ใช้ did มาช่วย (ประธานทุกตัวใช้ did) แล้วใส่ not หลัง did และกริยาช่องที 2 ต้องเปลี่ยนเป็นกริยาช่องที่ 1 Ben danced yesterday. Ben did not(didn't) dance yesterday. Angela saw the denteist last week. Angela did not (didn't) see the dentist last week.
BYE...BYE