การคำนวณภาษีสรรพสามิต สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ชลบุรี 2 ฝ่ายบริหารการจัดเก็บภาษี
การคำนวณภาษีสรรพสามิต กฎหมายได้กำหนดอัตราภาษีไว้ 2 อัตรา คือ 1. อัตราภาษีตามปริมาณ เป็นอัตราภาษีที่จัดเก็บตามปริมาณของสินค้าโดยคิดจากหน่วยสินค้าเป็นน้ำหนัก เป็นปริมาตร 2. อัตราภาษีตามมูลค่า เป็นอัตราภาษีที่จัดเก็บคิดเป็นร้อยละ ของราคาสินค้าที่เป็นมูลค่า เมื่อมีกำหนดอัตราภาษีไว้ทั้ง 2 อย่าง การจัดเก็บภาษีต้องคำนวณค่าภาษีจากอัตราภาษีตามมูลค่า และอัตราภาษีตามปริมาณเปรียบเทียบกัน หากอัตราใดที่คิดเป็นเงินสูงกว่าก็ให้ใช้อัตรานั้นเป็นอัตราที่ใช้จัดเก็บภาษี
คิดภาษีสรรพสามิตจากฐานใด ตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบกิจการสถานบริการ ผู้นำเข้าสินค้า หรือผู้ที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี เสียภาษีตามมูลค่า หรือตามปริมาณของสินค้าหรือบริการนั้น ตามอัตราที่ระบุไว้ในกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตที่ใช้อยู่ในเวลาที่ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้น กรณีอัตราภาษีตามปริมาณ ภาษีสรรพสามิต = ปริมาณสินค้า × อัตราภาษีสรรพสามิต กรณีอัตราภาษีตามมูลค่า ภาษีสรรพสามิต = มูลค่า × อัตราภาษีสรรพสามิต
การคำนวณภาษีสรรพสามิตอัตราภาษีตามปริมาณ สินค้าที่เสียภาษีอัตราภาษีตามปริมาณนั้นให้ใช้จำนวนหน่วยซึ่งได้แก่ จำนวนบรรจุภาชนะมีปริมาตรเป็น ลบ.ซม. จำนวนลิตร จำนวนกิโลกรัม ของสินค้าแล้วนำมาคูณด้วยอัตราภาษีตามปริมาณ(ต่อหน่วย) ผลลัพธ์ที่ได้คือจำนวนภาษีสรรพสามิตที่ผู้ประกอบการต้องเสียเสียภาษีสำหรับสินค้าที่คิดตามอัตราภาษีตามปริมาณ ตัวอย่าง การคำนวณภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน อัตราภาษีตามปริมาณ = 5.600 บาท/ลิตร จำนวน 10,000 ลิตร เป็นเงินภาษีสรรพสามิตเท่าใด ภาษีสรรพสามิต = ปริมาณสินค้า × อัตราภาษีสรรพสามิต ภาษีสรรพสามิต = 10,000 × 5.600 = 56,000 บาท
การคำนวณภาษีสรรพสามิตอัตราภาษีตามมูลค่า ราคาสินค้าที่เป็นมูลค่าที่นำมาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีตามอัตรามูลค่านั้นมีอยู่ 2 แบบคือ 1. มูลค่าสินค้าแบบรวมใน คือในราคาสินค้าหรือบริการที่ได้ทำการซื้อขายที่เป็นฐานในการคำนวณภาษีที่เป็นมูลค่าได้รวมภาษีสรรพสามิตอยู่ในราคานั้นแล้ว 2. มูลค่าสินค้าแบบแยกนอก คือในราคาสินค้าหรือบริการที่ทำการซื้อขายที่เป็นฐานในการคำนวณภาษีที่เป็นมูลค่ายังไม่ได้มีการรวมค่าภาษีอยู่ในราคาสินค้าหรือบริการที่ทำการซื้อขายแต่อย่างใด ฉะนั้นมูลค่าสินค้าที่ใช้เป็นฐานในการจัดเก็บภาษีเป็นมูลค่าสินค้าหรือบริการที่รวมค่าภาษีแบบรวมในคือได้นำเอาภาษีสรรพสามิต และภาษีเก็บเพื่อมหาดไทย ที่จะต้องเสียไปรวมไว้ในราคาสินค้าหรือบริการที่ทำการซื้อขายก่อนแล้วจึงจะนำมาคำนวณหาภาษีสรรพสามิต
ภาษีสรรพสามิตที่พึงต้องชำระ ∴ ภาษีสรรพสามิตและภาษีเก็บเพิ่มเพื่อมหาดไทยจะเป็นส่วนหนึ่งของราคาสินค้า เมื่อคำนวณภาษีสรรพสามิตแล้ว กฎหมายยังได้กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีเก็บเพิ่มเพื่อกระทรวงมหาดไทยด้วย ปกติร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิต นำมาคูณกับจำนวนภาษีสรรพสามิตที่คำนวณได้ ก็จะเป็นภาษีเก็บเพิ่มเพื่อกระทรวงมหาดไทย แล้วนำมารวมกับภาษีสรรพสามิตที่คำนวณได้ ก็จะเป็นภาษีสรรพสามิตที่พึงต้องชำระทั้งสิ้นที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายให้แก่กรมสรรพสามิต ภาษีสรรพสามิตที่พึงต้องชำระ ได้แก่ ภาษีสรรพสามิตและภาษีเก็บเพิ่มเพื่อมหาดไทย ไม่ว่าสินค้านั้นจะผลิตภายในประเทศหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร
ฐานภาษีกรณีอัตราภาษีตามมูลค่า ภาษีสรรพสามิต = มูลค่า × อัตราภาษีสรรพสามิต 1. กรณีสินค้าผลิตในราชอาณาจักร ตามมาตรา 8 (1) มูลค่า = ราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรม + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีเพื่อมหาดไทย ดังนั้น ภาษีสรรพสามิต = (ราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรม+ ภาษีสรรพสามิต + ภาษีเพื่อมหาดไทย) × อัตราภาษีสรรพสามิต หรือสูตร ภาษีสรรพสามิต = ราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรม × อัตราภาษีสรรพสามิต 1−(1.1 × อัตราภาษีสรรพสามิต)
ฐานภาษีกรณีอัตราภาษีตามมูลค่า(ต่อ) 2. กรณีบริการ ตามมาตรา 8 (2) มูลค่า = รายรับของสถานบริการ + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีเพื่อมหาดไทย หรือสูตร ภาษีสรรพสามิต = รายรับของสถานบริการ ×อัตราภาษีสรรพสามิต 𝟏−(𝟏.𝟏×อัตราภาษีสรรพสามิต)
ฐานภาษีกรณีอัตราภาษีตามมูลค่า(ต่อ) 3. กรณีสินค้านำเข้า ตามมาตรา 8 (3) มูลค่า = ราคา C.I.F ของสินค้า + ค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน + ภาษีและค่าธรรมเนียมอื่นตามที่จะได้กำหนดใน พ.ร.ฎ. แต่ไม่รวมถึง VAT + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีเพื่อมหาดไทย ภาษีสรรพสามิต = (มูลค่าดังกล่าว) ×อัตราภาษีสรรพสามิต หรือสูตร ภาษีสรรพสามิต = (C.I.F. +อากรขาเข้า+ค่าธรรมเนียมอื่นไม่รวมVAT)×อัตราภาษีสรรพสมิต 1−(1.1 ×อัตราภาษีสรรพสามิต)
เมื่อใดใช้สูตรหรือไม่ใช้สูตรในการคำนวณภาษี เมื่อ มูลค่า คือราคาขายที่รวมภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อมหาดไทยที่พึงต้องชำระ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มูลค่า ก็คือราคาที่รวมภาระภาษีสรรพสามิต และภาษีเพื่อมหาดไทยแล้ว ซึ่งจะเป็นราคาขายก่อนรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ฉะนั้น จึงคำนวณภาษีโดยไม่ต้องใช้สูตร คำนวณภาษีสรรพสามิตได้ดังนี้ ภาษีสรรพสามิต = มูลค่า × อัตราภาษีสรรพสามิต ตัวอย่าง สินค้าแบตเตอรี่ราคาลูกละ 1,200 บาท (รวมภาษีสรรพสามิตที่พึงต้องชำระและ VAT แล้ว) การหามูลค่าของสินค้าที่จะนำไปคำนวณภาษีสรรพสามิตต้องหักภาษีมูลค่าเพิ่มที่รวมในสินค้านั้นออกเสียก่อน ภาษีมูลค่าเพิ่ม = 𝟏,𝟐𝟎𝟎×𝟕 𝟏𝟎𝟕 = 78.50 บาท
การคำนวณภาษีโดยไม่ใช้สูตร ฐานราคาไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม = 1,200 - 78.50 บาท มูลค่า ที่ใช้ในการคำนวณภาษีสรรพสามิต = 1,121.50 บาท ภาษีสรรพสามิต = มูลค่า × อัตราภาษีสรรพสามิต = 1,121.50×𝟏𝟎% = 112.15 ภาษีเก็บเพิ่มเพื่อกระทรวงมหาดไทยอีกร้อยละ 10 = 112.15×𝟏𝟎% = 11.22 ภาษีสรรพสามิตและภาษีเก็บเพิ่มเพื่อมหาดไทยร้อยละ 10 = 112.15+11.22 = 123.37 บาท
การคำนวณภาษีโดยใช้สูตร ราคาขายนั้นยังไม่รวมภาษีสรรพสามิตที่พึงต้องชำระ คำนวณภาษีโดยวิธีใช้สูตร ตัวอย่าง สินค้าแบตเตอรี่ราคาลูกละ 1,250 บาท (ยังไม่รวมภาษีสรรพสามิตที่พึงต้องชำระและ VAT ) ภาษีสรรพสามิตที่พึงต้องชำระ = ภาษีสรรพสามิต + ภาษีเก็บเพิ่มเพื่อมหาดไทย10% สูตรการคำนวณ
การคำนวณภาษีโดยใช้สูตร ภาษีสรรพสามิต = 𝟏,𝟐𝟓𝟎×𝟏𝟎% 𝟏−(𝟏.𝟏×𝟏𝟎%) = 𝟏𝟐𝟓 𝟎.𝟖𝟗 = 140.44 บาท ภาษีเก็บเพิ่มเพื่อมหาดไทยอีกร้อยละ 10 = 140.44 ×𝟏𝟎% = 14.04 บาท ภาษีสรรพสามิตที่พึงต้องชำระ = 140.44 + 14.04 = 154.48 บาท ฉะนั้น ราคาสินค้าแบตเตอรี่ ซึ่งรวมภาษีสรรพสามิต เเละภาษีเก็บเพิ่มเพื่อมหาดไทยร้อยละ 10 แล้ว (มูลค่า) = 1,250+154.48 = 1,404.48
จบการนำเสนอ