ให้นักเรียนออกแบบงานนำเสนอ เรื่อง กล้องดิจิตอล D-SLR เลือกยี่ห้อตามแต่นักเรียนสนใจ นำสร้างงานนำเสนอ 5 หน้า (5คะแนน) หน้า 1 : ชื่อของกล้องถ่ายรูป-ยี่ห้อ-ชื่อผู้จัดทำสไลด์ หน้า2-3 : รายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวกล้อง พร้อมราคา($,฿) หน้า 4-5 : รูปภาพของกล้องถ่ายรูป ตกแต่งให้สวยงาม ตามต้องการ (โปรแกรม PPT หรือ ตามความชำนาญ) บันทึกชื่อ งาน03_เลขที่_ชื่อ_ชั้น เช่น งาน03_09_sathit_5-6 ส่งมาที่ sathitkang09@gmail.com
วิวัฒนาการของกล้องและการถ่ายภาพ
หลักการในการถ่ายภาพ อริสโตเติล นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกเป็นผู้บันทึกหลักการแรกไว้ตั้งแต่ 400 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ท่านบันทึกไว้ว่า "ถ้าเราปล่อยให้ลำแสงผ่านเข้าไปทางรูเล็กๆ ในห้องมืด ถือกระดาษขาวให้ห่างจากรูรับแสงประมาณ 15 ซม. จะปรากฏภาพหัวกลับที่ไม่ค่อยชัดเจนนักบนกระดาษ" ซึ่งหลักการนี้ได้เป็นหลักการ ในการประดิษฐ์ "กล้องออบคิวรา" ซึ่งภาษาละตินหมายถึง"ห้องมืด" และก็จะพัฒนาต่อมาเป็น "กล้องรูเข็ม" นั่นเอง
ที่วัดพระธาตุจอมปิง จังหวัดลำปาง วิหารเก่าของวัด ที่มีฝาผนังด้านหนึ่งมีรูขนาดเล็ก เมื่อปิดประตูหน้าต่างและปิดไฟจนมืดมิด ภายในวิหาร ก็จะปรากฏภาพ จากพระธาตุเจดีย์ให้เห็น เป็นภาพจริงหัวกลับที่ฝาผนังอีกด้านหนึ่ง แต่คนที่เห็นก็ไม่ได้เอามาคิดหรือเขียนให้เป็นหลักการ เหมือน อริสโตเติล เพียงเห็นว่าแปลกเท่านั้น
ภาพถ่ายแรกของโลก เมื่อ 200 กว่าปี จึงได้ปรากฏภาพถ่ายแรกของโลก ในปี ค.ศ.1825 ด้วยกล้องแบบ Daguerrotype ที่สามารถบันทึกภาพลงบนกระจก ที่เคลือบด้วยสารเคมีไวแสง ยังไม่ได้เป็นฟิล์ม
โกดัก เปิดตัวกล้องถ่ายภาพรุ่น Brownie ที่สามารถโหลดฟิล์มได้ โกดัก เปิดตัวกล้องถ่ายภาพรุ่น Brownie ที่สามารถโหลดฟิล์มได้ มีช่องมองภาพเป็นอุปกรณ์เสริมใส่ไว้ทางด้านบน ราคากล้องรุ่นนี้ก็เพียง 1ดอลล่าร์ ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมาก
วิวัฒนาการของกล้องในยุคเริ่มต้น
1. กล้องรูเข็ม (pinhole camera)
1. กล้องรูเข็ม (pinhole camera) เป็นกล้องที่เป็นกล่อง จำลองห้องมืด เพื่อเก็บภาพ โดยที่ยังไม่มีเลนส์ มีแต่รูให้แสงผ่าน และมีกระจกเคลือบสารไวแสง เพื่อรับแสง กล้องรุ่นนี้ทำด้วยไม้ มีขนาดใหญ่ ตามขนาดของกระจก เปรียบได้กับฟิล์ม นั่นเอง และการถ่ายภาพ ก็ต้องอาศัยแฟลชแบบโบราณ รุ่นแรก ที่ใช้พวกดินประสิวจุดไฟให้สว่างพอที่สารไวแสงจะได้รับแสงเพียงพอ ความคมชัดของภาพที่ได้จากกล้องนี้นั้น มีข้อเสีย เพราะว่า รูรับแสงมีขนาดเล็กเท่าใดภาพที่ได้ก็จะคมชัดมากเท่านั้น ดังนั้นเมื่อรูมีขนาดเล็ก ปริมาณแสงที่ฉายเข้าสู่กล่องทึบแสงก็จะน้อย ทำให้ต้องเปิดรูรับแสงนานเพื่อแผ่นรับสารไวแสงจะมีเวลาทำการบันทึกภาพได้โดยสมบูรณ์ ข้อเสียนี้นี่เอง ทำให้มีการคิดค้นเลนส์ขึ้นมา เพื่อให้สามารถเปิดรูรับแสงได้กว้างขึ้น หรือเปิดให้ใหญ่เล็กได้ตามความต้องการ
2. กล้องบ๊อกซ์ (Box Camera)
2. กล้องบ๊อกซ์ (Box Camera) จากกล้องรูเข็ม ก็เริ่มพัฒนาเป็นกล้องที่ยังไม่มีกลไกสลับซับซ้อน แต่เริ่มมีเลนส์แล้ว ขนาดรูรับแสงคงที่ อาจเป็น 8 หรือ 11 มีความเร็วชัตเตอร์เดียว ที่ประมาณ 1/60 กล้องชนิดนี้ให้ระยะชัดตั้งแต่ 6 ฟุตขึ้นไปจนถึงอินฟินิตี้ และมีการประดิษฐ์ฟิล์มขึ้นใช้แล้ว โดยมีหลายขนาด ตั้งแต่ 120, 127 และ 620 ตามแต่ขนาดของกล้อง แต่ฟิล์มยุคแรกนี้ ยังมีข้อจำกัด ที่ถ่ายรูปได้ดีในสภาพที่มีแสงเพียงพอเท่านั้น
กล้อง BOX ที่ยังใช้กันอยู่ในกรุงคาบูล อัฟกานิสถาน เมื่อปี 2005
กล้องขนาดใหญ่ ที่สามารถยืดหดได้ เพื่อปรับระยะ กล้องขนาดใหญ่ ที่สามารถยืดหดได้ เพื่อปรับระยะ
กล้อง BOX ยุคหลังๆ มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ใช้ฟิล์ม 620
2.กล้องพับ (Folding Camera) เป็นกล้องที่มีห้องมืดชนิดพับระหว่างตัวกล้องกับเลนส์ สามารถพับ เก็บ หรือยืดออกมาได้ กล้องชนิดนี้ยังเพิ่มขนาดของรูรับแสง และสามารถปรับเปลี่ยนความเร็วของชัตเตอร์ได้หลายระดับมากยิ่งขึ้น ฟิล์มที่ใช้อาจมีขนาดต่างๆ เช่น 120, 127 และ 620 เป็นต้น
3. กล้องรีเฟล็กซ์ (Reflex Camera) 3.1 แบบเลนส์คู่ (Twin Lens Reflex) บางครั้งอาจเรียกว่ากล้อง TLR ซึ่งเคยได้รับความนิยมมาก ในสมัยก่อน กล้องชนิดนี้มีเลนส์ 2 ตัว เลนส์ตัวบนทำหน้าที่สะท้อนภาพเข้าสู่ช่องมองภาพซึ่งมีกระจกเป็นตัวสะท้อน ทำให้ผู้ถ่ายรูมองเห็นวัตถุที่จะถ่ายได้ เลนส์ตัวล่างทำหน้าที่รับแสง เพื่อส่องผ่านไปยังฟิล์ม
3. กล้องรีเฟล็กซ์ (Reflex Camera) 3.2 แบบเลนส์เดี่ยว (Single Len Reflex) หรือเรียกว่า SLR ซึ่งเป็นที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะสะดวกและง่ายต่อการประกอบภาพ นอกจากนั้น ยังมีอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ร่วมกันได้มากมาย กล้องชนิดนี้สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ และไม่มีอาการผิดเพี้ยนจากการตัดส่วนภาพ (Parallax) เมื่อกดชัตเตอร์จะมีเสียงดังมาก