สถาบันการศึกษา
ความหมาย ของคำว่า Education มาจากภาษาลาติน ว่า Educare educere
ความหมายของคำว่าการศึกษา “ศึกษา” มาจากภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาบาลี ว่า สิกขา ในทางพุทธศาสนา การศึกษา เป็นกระบวนการพัฒนาบุคคลให้ดียิ่งขึ้น ทั้ง ทางกาย วาจา ใจ และสติปัญญาคือ ทางกายและวาจา ศีล ทางใจ สมาธิ ทางปัญญา ปัญญา
สรุป ความหมายของการศึกษา สรุป ความหมายของการศึกษา คือ วิธีการทำให้คนเกิดความต้องการอยากพัฒนาตนเอง และเรียน รู้อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดความเจริญงอกงาม และพัฒนาให้ดีขึ้น มีชีวิตที่ถูกต้องดีงาม และมีสมรรถภาพ เป็นประโยชน์และมีความสุขทั้งตนเองและสังคม
ปณิธานในการจัดการศึกษา จุดมุ่งหมายพื้นฐานคือ ให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้ และนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ในลักษณะที่ก่อให้เกิด ผลดี ทั้งต่อตนเองและสังคมโดยส่วนรวม
ความรู้ คือ สิ่งที่เราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เมื่อเราได้ ฟัง ดู ดม ลิ้มรส สัมผัสทางกาย เราได้รู้จักประสบการณ์นั้น จะเกิดการรู้ และจำได้หมายรู้
ความรู้มี 3 สาขา คือ 1. วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ 2. สังคมศาสตร์ 3. มนุษยศาสตร์
จุดเริ่มต้นของการศึกษา จุดเริ่มต้นของการศึกษา เรียก ปัจจัยแห่ง สัมมาทิฏฐิ มี 2 อย่าง คือ 1. ปัจจัยภายนอก ( ปรโตโฆสะ ) อาจเรียกวิธีการ แห่งศรัทธา 2. ปัจจัยภายใน (โยนิโสมนสิการ ) อาจเรียกวิธีการแห่งปัญญา
กระบวนการของการศึกษา จะดำเนินไปภายในตัวบุคคล มีสัมมาทิฏฐิ เป็นแกนนำหรือเป็นฐานของการศึกษามี 3 ขั้นตอน เรียก ไตรสิกขา คือ 1. การฝึกอบรมทางปัญญา เรียกว่า ปัญญา 2. การฝึกอบรมทางความประพฤติ เรียกว่า ศีล 3. การฝึกอบรมทางจิตใจ เรียกว่า สมาธิ
หลักอริยมรรค 8 1.สัมมาทิฏฐิ ( เห็นชอบ ) 2. สัมมาสังกัปปะ ( ดำริชอบ ) 1.สัมมาทิฏฐิ ( เห็นชอบ ) 2. สัมมาสังกัปปะ ( ดำริชอบ ) 3. สัมมาวาจา ( วาจาชอบ ) 4. สัมมากัมมันตา ( กระทำชอบ ) 5. สัมมาอาชีวะ (อาชีพชอบ) 6. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ ) 7.สัมมาสติ ( ระลึกชอบ ) 8. สัมมาสมาธิ (จิตตั้งมั่นชอบ )
ภาพ : กระบวนการของการศึกษา ความสงสัย จุดเริ่มต้น ของการศึกษา แสวงหาคำตอบ ปรโตโฆสะ โยนิโสมนสิการ สัมมาทิฏฐิ ปัญญา กระบวนการของการศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญาขั้นสูง
ปัญญา คือ ความรู้ ความเข้าใจ รู้ซึ้ง เป็นความเข้าใจสิ่งต่างๆตามที่เป็นจริง รู้ถึงเหตุ รู้ถึงผล รู้ความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ สามารถคิดอย่างแยบคายถูกต้อง
แหล่งเกิดปัญญามี 3 ทางคือ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา
ประเภทของปัญญามี 2 ประเภท โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา
ผู้ที่จบการศึกษาแล้วจะพัฒนา 4 อย่างคือ พัฒนากาย พัฒนาศีล พัฒนาจิต พัฒนาปัญญา
รูปแบบของการศึกษามี 3 รูปแบบ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย
หน้าที่ของสถาบันทางการศึกษา มีหน้าที่สำคัญ 2 ประการ คือ ๑. การธำรงสังคม ( Conservative Functions ) ๒. การเปลี่ยนแปลงสังคม ( Innovative Functions ) แต่ละหน้าที่ยังแยกออกเป็น หน้าที่หลัก ( Manifast Functions ) หน้าที่แฝง ( Latent Functions )
๑.หน้าที่การธำรงสังคม( Conservative Functions ) 1. หน้าที่หลัก ( Manifest Functions ) (1) การดำรงรักษา และถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรม (2) การบูรณาการทางสังคม (Social Integration ) (3) การควบคุมทางสังคมและการสร้างสมาชิกที่ดีของสังคม (4) การฝึกอบรมและพัฒนาแรงงาน
(5)ปลูกฝังความคิดความเชื่อ (6) การคัดเลือกบุคคลเข้าสู่อาชีพต่างๆ (7) ธำรงวัฒนธรรมรอง (8) การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของชาติและสังคมส่วนรวม
2. หน้าที่แฝง ( Latent Functions ) (1) การดูแลเด็ก (2) การรับส่งทอดหน้าที่ด้านการขัดเกลาทางสังคมหรือการเรียนรู้ทางสังคม (3) ลดอัตราการว่างงาน และยืดความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้ยาวขึ้น (4) การจัดเตรียมประสบการณ์ในด้านเพศศึกษา และด้านการเลือกคู่ครอง (5) ความสัมพันธ์ของบุคคลที่มาจากสถาบันเดียวกัน มีผลต่อการเลื่อนตำแหน่ง และหน้าที่การงาน
๒.หน้าที่ การเปลี่ยนแปลงสังคม ( innovative Functions ) 1. หน้าที่หลัก ( Manifest Functions ) (1) สร้างวัฒนธรรมใหม่และเผยแพร่ (2) ส่งเสริมการพัฒนาส่วนบุคคล ( 3) การเตรียมคนให้มีชีวิตที่ดี (4) การสร้างโอกาสเพื่อการเลื่อนชั้นทางสังคม (Socail Mobility) (5) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Social Change)
2. หน้าที่แฝง ( Latent Functions ) (1) สร้างปัญญาชนที่นำหน้าให้กับสังคม (2) เป็นการเพาะผู้นำในการปฏิรูปสังคม (3) การทำให้คนสามารถปรับตัวได้ (4) การสร้างกลุ่มพลังทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม (5) การจำแนกประเภทของคน (6) สร้างความสำนึกให้ชนกลุ่มน้อย