ปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อในช่องท้อง ผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง โรงพยาบาลลำพูน หน่วยงานไตเทียม
ผู้รับผิดชอบ 1. นางวัชราพร สนิทผล 2. นางเพ็ญจันทร์ กูลทะคำ 1. นางวัชราพร สนิทผล 2. นางเพ็ญจันทร์ กูลทะคำ 3. น.ส. นิภาพร เมาคำลี 4. น.ส. อำนวยพร ใจตื้อ
หลักการและเหตุผล การล้างไตทางช่องท้องเป็นการรักษาที่ผู้ป่วยและญาติจะมีบทบาทในการดูแลตนเองที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการติดเชื้อในช่องท้องเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เป็นปัญหาหลักในผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องที่พบได้ประมาณ 15-35 % ในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดและการติดเชื้อในช่องท้องเป็นสาเหตุหลักของการที่ต้องเอาสายออก (Catheter Removal) การเปลี่ยนวิธีการรักษาเป็นการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม(Hemodialysis)
เนื่องจากการสูญเสียคุณสมบัติของเยื่อบุช่องท้อง นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของการรับไว้รักษาในโรงพยาบาลถึงร้อยละ 50 อีกทั้งเป็นตัวพยากรณ์อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย ทั้งจากการติดเชื้อโดยตรงหรือจากภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่ตามมาภายหลังการศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อในช่องท้องเพื่อทราบและติดตาม ประเมินภาวะแทรกซ้อนการเฝ้าระวังและการป้องกันจะสามารถทำให้ทราบและทำให้ผู้ให้บริการสามารถให้การดูแลได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งการศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อ เพื่อการพัฒนาและวางแผนในการศึกษาขั้นต่อไป
วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะของผู้ป่วยที่รักษาด้วยการล้างไตทางช่องท้องโดยเปรียบเทียบลักษณะที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะติดเชื้อเพื่อนำไปปรับวิธีการดูแล ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ นำไปพัฒนาแนวทางการสอนผู้ป่วย เมื่อเข้าสู่โปรแกรมการสอน เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน เพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดการติดเชื้อ เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ดี
รูปแบบการศึกษา การศึกษาเชิงพรรณนา (Retro) สถานที่ หน่วยไตเทียม โรงพยาบาลลำพูน กลุ่มตัวอย่าง ผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องที่มีการติดเชื้อทางช่องท้องจำนวน 24 ราย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ใช้การรวบรวมข้อมูลเป็นหลัก แฟ้มประวัติผู้ป่วยที่ทำการล้างไตทางช่องท้อง การซักประวัติ การตรวจร่างกาย ผลชันสูตรทางท้องปฏิบัติการ เช่น Fluid c/s , Fluid exam, H/C , Pus c/s จากแผล Exit site
วิธีการเก็บข้อมูล 1.ศึกษาข้อมูลของเชื้อที่พบ
Routes Organisms Contamination - At the time of an Exchange - Due to equipment malfunction S.Epidermidis; S.aureus ;Acinetobacter Catheter related - Tunnel infection - Catheter dialysate leak - Exit site infection S.Epidermidis; S.aureus ;Pseudomonas Proteus; yeast Enteric (through the gut wall) Multiple organism in association with anaerobes and fungi 4. Hematogenous Streptococus;Mycobacterium 5. Gynaecological (through the vagina) Pseudomonas;Yeast Procedue relate - Colonoscopy - Endoscopy - Dental procedure
2. แยกประเภทเชื้อของผู้ป่วยแต่ละราย 1. Contamination มีจำนวน 17ราย ร้อยละ70.83 2. Catheter related มีจำนวน 18 ราย ร้อยละ 75.00 3. Entoric มีจำนวน 0 ราย 4. Hematogenous มีจำนวน 1 ราย ร้อยละ 8.3 5. Gynaecological มีจำนวน 0 ราย 6. Procudure relate มีจำนวน 1 ราย ร้อยละ 4.16
2. แยกประเภทเชื้อของผู้ป่วยแต่ละราย
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล จำนวนร้อยละของผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในช่องท้องแต่ละประเภทต่อจำนวนผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อจำนวนทั้งหมด
ผลการศึกษา จากผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่มีการ Contamination กับ Catheter related มีผลเชื้อที่คล้ายกันและอัตราของ การเกิดการติดเชื้อใกล้เคียงกัน
ชื่อเรื่อง ผู้รับผิดชอบ วันที่เริ่ม วันที่จบ เครื่องมือที่ใช้ Re- training พยาบาล CAPD 5 กรกฎาคม 2553 5 สิงหาคม 2553 1. ประเมินความรู้เรื่องการปฏิบัติตัว เช่น อาหาร การทำความสะอาดแผล 1.ให้ความรู้เรื่องการปฏิบัติตัว เช่น อาหาร การทำความ สะอาดแผล 2.ตรวจสอบเรื่องการล้างมือและเช็ดมืออย่างถูกต้องตาม 2.สอนเทคนิคเรื่องการล้างมือและเช็ดมืออย่างถูกต้องตาม ขั้นตอน 3. การเปลี่ยนถ่ายน้ำยา 3. สอนเรื่องการปฏิบัติตามเทคนิคปลอดเชื้อ
ชื่อเรื่อง ผู้รับผิดชอบ วันที่เริ่ม วันที่จบ เครื่องมือที่ใช้ Re- training พยาบาล CAPD 5 กรกฎาคม 2553 5 สิงหาคม 2553 4.การติดตามเยี่ยมบ้านหลังจากผู้ป่วยกลับไป 4.การติดตามเยี่ยมบ้านหลังจากผู้ป่วยกลับไปทำต่อที่บ้าน ทำต่อที่บ้านประมาณ 1 เดือน ประมาณ 1เดือนเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมบริเวณที่เปลี่ยน น้ำยา รวมถึงร่างกายผู้ป่วยและความพร้อมของผู้ดูแล
สรุป หลังจากได้ทำการ Re-training ผู้ป่วยจำนวน 24 รายที่เคยติดเชื้อทางช่องท้องและมีการติดตามเยี่ยมบ้านหลังจากผู้ป่วยกลับไปทำต่อที่บ้านทำให้พบว่า 100% ผู้ป่วยไม่มีการติดเชื้อซ้ำและไม่มีการกลับมา Admit ที่โรงพยาบาลซ้ำทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น
ข้อเสนอแนะ 1.เนื่องจากจำนวนของเจ้าหน้าที่ไตเทียมมีจำนวนน้อยทำให้การดูแลผู้ป่วยไม่ทั่วถึงและไม่พอกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 2.เนื่องจากการทำ CAPD เป็นการเน้นผู้ป่วยทำที่บ้านทำให้เมื่อกลับไปอยู่ที่บ้านผู้ป่วยอาจละเลย หรือลดระดับการเอาใจใส่เท่าที่ควร
สวัสดี