เทคนิคการจัดการพลังงานไฟฟ้าและกรณีตัวอย่าง
มีหัวข้อสำคัญดังนี้ 1. การจัดการพลังงานเบื้องต้น 2. บทบาทของผู้จัดการพลังงาน 3. ขั้นตอนของการจัดการพลังงาน 4. แนวทางการจัดการพลังงานไฟฟ้า 5. กรณีศึกษา
การจัดการพลังงานเบื้องต้น ความหมายของการจัดการพลังงาน การจัดการพลังงาน หมายถึง การทำให้ผู้เกี่ยวข้อง ด้านพลังงานมีความเข้าใจตลอดจนสามารถควบคุมและลด ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของการจัดการพลังงาน การจัดการพลังงานที่ดี จะช่วยทำให้หน่วยงานสามารถ ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อมดีขึ้น เพิ่มผลกำไร ปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์
มีภาพลักษณ์ของหน่วยงานดีขึ้น เสริมสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจ ช่วยประเทศชาติในการประหยัดเงินตราและ ทรัพยากรธรรมชาติ
บทบาทของผู้จัดการพลังงาน โครงการประหยัดพลังงานเป็นงานส่วนหนึ่งของการ บริหารการใช้พลังงานหรือการจัดการด้านพลังงาน ซึ่งเป็นเรื่อง เกี่ยวกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกระบวนการ ผลิตในระดับการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม
บทบาทและหน้าที่ของผู้จัดการพลังงาน กิจกรรมการจัดการด้านพลังงานเป็นหน้าที่ของผู้จัดการพลัง งานซึ่งจะต้องกระทำประกอบด้วยการแบ่งหน้าที่การพัฒนา การทำงบ ประมาณรายจ่าย การประสานงาน การแก้ปัญหาทางเทคนิค การจด บันทึก การติดตามผลและการวิเคราะห์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ บริษัท คือ การประหยัดพลังงาน การประหยัดเงิน
บทบาททางด้านเทคนิคของผู้จัดการพลังงาน หน้าที่หลักของผู้จัดการพลังงาน คือการแก้ไขปัญหาทางด้าน เทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงาน โดยทั่วไปแล้วผู้จัดการพลัง งานสามารถใช้ความรู้ความชำนาญของบุคลากรในบริษัทเองหรือ จากบุคลากรภายนอก การนำความรู้ทางด้านเทคนิคมาใช้งานนั้นมี มากมายหลายแบบและหลายระดับแตกต่างกัน
บทบาททางด้านการประสานงานของผู้จัดการพลังงาน หน้าที่หลักอีกอย่างหนึ่งของผู้จัดการพลังงาน ก็คือการ ประสานงานหรือการให้คำแนะนำด้านบริหารร่วมกับผู้อื่น ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากกับการใช้พลังงาน
บทบาทและหน้าที่ของผู้จัดการพลังงาน สรูป บทบาทและหน้าที่ของผู้จัดการพลังงาน ตั้งเป้าหมายการประหยัดพลังงานประจำปีขึ้น แนะนำเทคนิค การวินิจฉัยพลังงาน การประสาน งานและการทำรายงานเกี่ยวกับการวินิจฉัยพลังงาน พัฒนาเทคนิคต่างๆ ที่จะทำให้บุคคลต่างๆ ในทุกฝ่าย ตื่นตัวในเรื่องการประหยัดพลังงาน
บทบาทและหน้าที่ของผู้จัดการพลังงาน สรูป บทบาทและหน้าที่ของผู้จัดการพลังงาน แนะนำและนำโปรแกรมการรายงานความก้าวหน้าของการ ประหยัดพลังงาน แสดงเป้าหมายการประหยัดพลังงาน เสนอแนวทางและข้อแนะนำเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน ประจำปี ช่วยสื่อสารเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน
ขั้นตอนของการจัดการพลังงาน การตะหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์พลังงาน กำหนดนโยบาย เป้าหมาย และแผนงาน จัดทำเอกสารสรุปเสนอฝ่ายบริหาร ตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงาน จัดทำแผนงานปรับปรุง นำแผนงานปรับปรุงไปปฏิบัติ การตรวจติดตามผล
ขั้นตอนที่ 1 การตระหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์พลังงาน ขั้นตอนที่ 2 การกำหนดนโยบาย เป้าหมาย และแผนงาน เป้าหมายทางนามธรรม เป้าหมายเฉพาะ เป้าหมายสมบูรณ์ เป้าหมายสัมพันธ์ ขั้นตอนที่ 3 จัดทำเอกสารสรุปเสนอฝ่ายบริหาร ขั้นตอนที่ 4 การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงาน
วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบและวิเคราะห์ การใช้พลังงาน การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงาน มีจุดประสงค์เพื่อที่จะ ตรวจสอบว่าส่วนต่างๆ มีการใช้พลังงานเท่าใดบ้าง ค้นหาศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงานต่างๆ วิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งทางด้านเทคนิคและ ทางด้านเศรษฐศาสตร์ของมาตรการ
จัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการมาตรการอนุรักษ์พลังงาน เป็นเครื่องมือในการวางแผนและจัดเตรียมทรัพยากร ใช้ตรวจสอบประสิทธิภาพการใช้พลังงานขององค์กรเทียบกับค่า มาตรฐาน ใช้ตรวจสอบผลของการดำเนินการเทียบกับเป้าหมายของการ ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน
สำรวจและตรวจวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงาน จากใบเสร็จรับเงิน สำรวจและตรวจวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงาน จากใบเสร็จรับเงิน ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ตลอดจนข้อมูลปริมาณการผลิต การรวบรวมข้อมูล 1. ปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่ใช้ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา 2. ปริมาณผลผลิตของหน่วยงานในช่วงระยะเดียวกัน 3. รายละเอียดของระบบไฟฟ้า 4. รายละเอียดอุปกรณ์ไฟฟ้า 5. รายละเอียดของพื้นที่งาน 6. รายละเอียดโครงสร้างอาคาร/โรงงาน
ข. การตรวจสอบและวิเคราะห์ การใช้พลังงานเบื้องต้น
การเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้พลังงาน การเตรียมการ การเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้พลังงาน การดำเนินการสำรวจและตรวจวัดเบื้องต้นเพื่อหาศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน การวิเคราะห์ผลและประเมินศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงานเบื้องต้น ระบุมาตรการอนุรักษ์พลังงาน ที่ไม่ต้องลงทุนหรือลงทุนต่ำ ระบุส่วนที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ และศึกษาโดยละเอียด รายงานผล ข้อเสนอแนะและแนวทางสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดต่อไป
การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใข้พลังงานเบื้องต้นจะทำให้ทราบถึง ปริมาณและค่าใช้จ่ายการใช้พลังงานโดยรวมขององค์กร สัดส่วนการใช้พลังงานของระบบวิศวกรรมและอุปกรณ์หลักต่างๆ ดัชนีการใช้พลังงานและประสิทธิภาพการใช้พลังงานของระบบ ศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน แนวทางในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียด ต่อไป
ขั้นตอนที่ 5 การจัดทำแผนงานปรับปรุง ก. การรวบรวมแนวความคิด ข. การจัดทำแผนงานปรับปรุง ค. การประเมินผลแผนงาน ขั้นตอนที่ 6 การนำแผนงานปรับปรุงไปปฏิบัติ แผนที่ได้เสนอไว้จะต้องได้รับการนำไปปฏิบัติ ต้องมีการวัด และประเมินผลลัพธ์ที่ได้แล้วนำไปเปรียบเทียบกับผลที่ควรได้รับตามที่ได้กำหนดไว้ในแผนงาน
ขั้นตอนที่ 7 การตรวจติดตามผล ในการทำโครงการการประหยัดพลังงานหรือโครงการใดๆ ก็ ตาม เมื่อได้นำแผนงานไปปฏิบัติแล้วจะต้องมีการประเมินผลลัพธ์ ด้วย เพื่อบ่งบอกให้ทราบว่าโครงการที่ตั้งขึ้นมานั้นประสบความ สำเร็จมากน้อยเพียงใด
แนวทางการจัดพลังงานไฟฟ้า ในการจัดการพลังงานไฟฟ้าเพื่อให้เกิดการประหยัด พลังงานจะแบ่งวิธีการจัดการออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การจัดการพลังงานไฟฟ้าในระบบรวม ประกอบด้วย - การควบคุมพลังไฟฟ้าสูงสุด - การแก้ไขค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า
ประเภทของผู้ใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฯ แบ่งประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าออกเป็น 7 ประเภท ประเภทที่ 1 บ้านที่อยู่อาศัย ประเภทที่ 2 กิจการขนาดเล็ก ประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ ประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง ประเภทที่ 6 ส่วนราชการและ องค์กรที่ไม่แสวงหา กำไร ประเภทที่ 7 การสูบน้ำเพื่อการเกษตร
ประเภทของอัตราค่าไฟฟ้า
ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า ก. อัตราปกติ ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ไม่สามารถเลือกใช้อัตรานี้คือ ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทยกเว้น ประเภทที่ 4 ประเภทผู้ใช้ไฟฟ้า ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (บาท/กิโลวัตต์) ค่าพลังงานไฟฟ้า (บาท/หน่วย) กิจการขนาดเล็ก - 2.4649 กิจการขนาดกลาง 196.26 1.7034 กิจการเฉพาะอย่าง 256.07 ส่วนราชการและองค์กรที่ ไม่แสวงหากำไร 2.1412
ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า ข. อัตราตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of use: TOU) ผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถเลือกใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบนี้ คือผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท ประเภทผู้ใช้ไฟฟ้า ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (บาท/กิโลวัตต์) ค่าพลังงานไฟฟ้า (บาท/หน่วย) ค่าบริการ 1* 2* บ้านที่อยู่อาสัย - 3.6246 1.1914 228.17 กิจการขนาดเล็ก กิจการขนาดกลาง 132.93 2.6950 กิจการขนาดใหญ่ กิจการเฉพาะอย่าง 2.650 ส่วนราชการและองค์กรที่ ไม่แสวงหากำไร
ค. อัตราตามช่วงเวลาของวัน (Time of Day: TOD) ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถเลือกใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบนี้ คือ ประเภทที่ 4 ประเภทผู้ใช้ไฟฟ้า ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (บาท/กิโลวัตต์) ค่าพลังงานไฟฟ้า (บาท/หน่วย) 1* 2* 3* กิจการขนาดใหญ่ 285.05 58.88 1.7034
ง. อัตราค่าไฟฟ้าประเภทที่สามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้ ผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถเลือกใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบนี้ คือ ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ โดยต้องมีความต้องการพลัง ไฟฟ้าตั้งแต่ 5000 kW ขึ้นไป
องค์ประกอบที่มีผลต่อค่าไฟฟ้า มีอยู่ 4 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 ค่าไฟฟ้าฐาน - ค่าพลังงานไฟฟ้า - ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า - ค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า ส่วนที่ 2 ค่าบริการ ส่วนที่ 3 ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft : Fuel Tarriff) ส่วนที่ 4 ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
แนวทางในการพิจารณาเพื่อลดค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับคำว่าตัวประกอบโหลด (Load Factor) ตัวประกอบโหลด (Load Factor) = จำนวนกิโลวัตต์ – ชั่วโมงที่ใช้ทั้งหมดต่อเดือน 100% กิโลวัตต์สูงสุด จำนวนชั่วโมงในเดือนนั้น
เราสามารถที่จะเพิ่มค่าประกอบโหลดให้สูงขึ้นได้ 2 วิธีคือ @ ลดจำนวนกิโลวัตต์สูงสุด (Peak demand) ลง @ ลดการใช้จำนวนกิโลวัตต์ – ชั่วโมง (Unit) ลง โดยปกติทั่วไปสถานประกอบการที่ทำงาน 24 ชม./วัน ตัวประกอบควรจะประกอบ 80 เปอร์เซ็นต์ หรือการทำงานที่ 16 และ 8 ชั่วโมง ตัวประกอบโหลดควรจะประมาณ 53 และ 26 เปอร์เซ็นต์
ผลประโยชน์ที่ได้รับโดยตรงจากการลดค่าความต้องการไฟฟ้าสูงสุด มีอยู่ด้วยกัน 4 ประการคือ 1. ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงขึ้น 2. อาคารธุรกิจจะเสียค่าไฟฟ้าในส่วนที่เป็นค่าความต้องการพลังไฟฟ้า 3. ทำให้พลังงานไฟฟ้าสูญเสียในหม้อแปลงและสายไฟฟ้าลดลง การที่ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดลดลงทำให้หม้อแปลงสายเมน และสายป้อนกระแสไฟฟ้าลดลง
ขั้นตอนการควบคุมค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด มีอยู่ด้วย 4 ขั้นตอน คือ มีอยู่ด้วย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การรวบรวมข้อมูล - จัดทำรายการแสดงเครื่องจักรและอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ภายในโรงงาน - จัดทำวงจรทางไฟฟ้า - สำรวจปริมาณการใช้ไฟฟ้า - คำนวณหาค่าตัวประกอบโหลดและจัดทำกราฟโหลด
การวางแผนดำเนินการ ขั้นตอนที่ 2 1. พิจารณาว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องใดสามารถเปลี่ยนเวลาการใช้งาน ไปเป็นเวลาอื่นได้บ้าง 2. ช่วงเวลาที่คาดว่าจะมีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุด ควรตัดหรือหยุด การใช้งานชั่วคราวสำหรับเครื่องไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น 3. การลดขนาดของเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เล็กลง 4. จารณาสิ่งที่ไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า
5. ใช้เครื่องไฟฟ้าให้เต็มกำลัง 6. ใช้ระบบควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เหมาะสม 7. พิจารณาเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงระบบการผลิต 8. หลีกเลี่ยงการสตาร์ทมอเตอร์ขนดใหญ่และอุปกรณ์ให้ความร้อน ต่างๆ ในเวลาเดียวกัน
9. ควรหลีกเลี่ยงการนำพลังไฟฟ้ามาใช้ทำน้ำร้อนและน้ำเย็น ในช่วงที่มีความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด 10. สนับสนุนให้มีการประหยัดในช่วงที่มีความต้องการ พลังไฟฟ้าสูงสุด
การจัดทำเอกสารสรุปผลเสนอฝ่ายบริหาร ขั้นตอนที่ 3 การจัดทำเอกสารสรุปผลเสนอฝ่ายบริหาร การทำเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายบริหารในการ พิจารณาตัดสินใจว่าจะให้ดำเนินการได้หรือไม่
การดำเนินการควบคุมและติดตามผล ขั้นตอนที่ 4 การดำเนินการควบคุมและติดตามผล เมื่อได้มีการวางแผนอย่างรอบคอบแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการ ปฏิบัติ การควบคุมการปฏิบัติงาน มี 2 วิธี คือ 1. ใช้พนักงานควบคุมการเปิดและปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า 2. การใช้เครื่องควบคุมอัตโนมัติทำการตัดต่อโหลด
การแก้ไขเพาเวอร์แฟคเตอร์ อัตราส่วนของกำลังงานจริงต่อกำลังงานปรากฏ เราเรียกว่า เพาเวอร์แฟคเตอร์ (Power Factor)
การปรับปรุงค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ของระบบไฟฟ้าให้มีค่าสูงขึ้น จะมีผลดีต่อระบบไฟฟ้าหลายประการ เช่น ลดกระแสไฟฟ้าที่ไหลอยู่ในวงจร 2. ลดกำลังงานสูญเสียในระบบไฟฟ้าลง 3. ลดแรงดันไฟฟ้าตกในระบบไฟฟ้าลง 4. เพิ่มขีดความสามารถในการรับหรือจ่ายกำลังไฟฟ้าของ ระบบไฟฟ้าให้สูงขึ้น 5. ลดค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายให้กับการไฟฟ้าฯ
การจัดการพลังงานไฟฟ้าในอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ - ระบบปรับอากาศ - ระบบแสงสว่าง - มอเตอร์ - หม้อแปลงไฟฟ้า - ระบบอัดอากาศ - อื่นๆ
กรณีศึกษา ตัวอย่างที่ 1 การหาดัชนีการใช้พลังงาน ตัวอย่างที่ 1 การหาดัชนีการใช้พลังงาน จากบิลค่าพลังงานของโรงงานแห่งหนึ่ง ในเดือนมีนาคม 2544 มีดังนี้ แหล่งพลังงาน ปริมาณการใช้ มูลค่า (บาท) ไฟฟ้า 480,000 kWh 1,152,000 น้ำมันเตา 3,000 litre 21,000 ขี้เลื่อย 2,500 kg. 1,500 ถ้าในเดือนนี้มีผลผลิต 40 ตัน จงหาดัชนีการใช้พลังงาน
เนื่องจากพลังงานข้างต้นมีหน่วยแตกต่างกัน ดังนั้นต้องแปลงค่าพลังงานแต่ละชนิดให้อยู่ในหน่วยเดียวกันก่อน (ดูตารางที่ 2 ประกอบ) คือ GJ ไฟฟ้า = 480,000 x 3.6 = 1,728 GJ 1,000 น้ำมันเตา = 3,000 x 39.77 = 119.31 GJ 1,000 ขี้เลื่อย = 2,500 x 10.88 = 16.32 GJ 1,000 รวม = 1,863.64 GJ ดัชนีการใช้พลังงาน = 1,863.64/40 = 46.6 GJ/ตัน
LF = จำนวนพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ (kWh) x 100 พลังไฟฟ้าสูงสุด (kW) x จำนวนชั่วโมงในเดือนนั้น = 248,000 x 100 590 x 31 x 24 = 56.5 % เนื่องจากมีการทำงานวันละ 24 ชั่วโมง ค่าตัวประกอบโหลด ควรมีค่ามากกว่า 80 % แต่จากการคำนวณมีค่าเพียง 56.5% จึงสรุปได้ว่าการจัดการพลังงานไฟฟ้ายังไม่ดีพอ ต้องปรับปรุง
ตัวอย่างที่ 2 การเปรียบเทียบอัตราค่าไฟฟ้า TOU กับ อัตราปกติ แรงดันไฟฟ้า 24 kV ความต้องการไฟฟ้า - ช่วง On Peak 480 kW - ช่วง Off Peak 590 kW
จำนวนพลังงานไฟฟ้า 248,000 kW - ช่วง On Peak 138,000 kW - ช่วง Off Peak 110,000 kW ความต้องการไฟฟ้ารีแอคทีฟ 340 kVAR ค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (Ft) 24.44 สต./kWh จงหาค่าไฟฟ้าที่ต้องเสีย และเปรียบเทียบเมื่อใช้อัตราปกติ
อัตรา TOU ส่วนที่ 1 ค่าไฟฟ้าฐาน ส่วนที่ 1 ค่าไฟฟ้าฐาน 1. ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า = 480 x 132.93 = 63,806.4 บาท 2. ค่าพลังงานไฟฟ้า = (138,000 x 2.6950) + (110,000 x 1.1914) = 502,964 บาท 3. ค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ = จำนวน kVAR ที่เกินกว่าร้อยละ 61.97 ของ kW x 14.02 = 340 – (590 x 0.6197) x 14.02 = 0 x 14.02 = 0 บาท (กรณีตัวเลขในวงเล็บมีค่าเป็นลบให้มีค่าเป็นศูนย์) รวมค่าไฟฟ้าฐาน = 566,770.4 บาท
ส่วนที่ 2 ค่าบริการ = 228.17 บาท ส่วนที่ 3 ค่า Ft = 248,000 x 0.2442 = 60,611.2 บาท ส่วนที่ 4 ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% = (ค่าไฟฟ้าฐาน + ค่าบริการ + ค่า Ft) x 7% = (566,770.4 + 228.17 +60,611.2) x 7 100 = 43,932.68 บาท รวมค่าไฟฟ้าที่ต้องเสีย = 671,542.45 บาท
อัตราปกติ ส่วนที่ 1 ค่าไฟฟ้าฐาน อัตราปกติ ส่วนที่ 1 ค่าไฟฟ้าฐาน 1. ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า = 590 x 196.26 = 115,793.4 บาท 2. ค่าพลังงานไฟฟ้า = 248,000 x 1.7034 = 422,443.2 บาท 3. ค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ = 0 บาท (คำนวณเหมือนกับข้างต้น) รวมค่าไฟฟ้าฐาน = 538,236.6 บาท
ส่วนที่ 2 ค่าบริการ = ไม่ต้องเสีย ส่วนที่ 3 ค่า Ft = 248,000 x 0.2444 = 60,611.2 บาท ส่วนที่ 4 ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% = (538,236.6 + 60,611.2) x 7 100 = 41,919.35 บาท รวมค่าไฟฟ้าที่ต้องเสีย = 640,767.15 บาท
ค่าไฟฟ้าอัตราปกติจะประหยัดกว่าอัตรา TOU = 671,542.45 – 640,767.15 = 30,775.3 บาท
จบการบรรยาย