บทที่ 9 การกำหนดราคาและผลผลิตในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (Price and Output Determination Under Imperfect Competition) ตลาดผูกขาดที่แท้จริง ลักษณะของตลาดผูกขาดแท้จริง.

Slides:



Advertisements
งานนำเสนอที่คล้ายกัน
การวางแผนกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด
Advertisements

เศรษฐศาสตร์แรงงาน EC 471 การโยกย้ายแรงงาน
เศรษฐศาสตร์แรงงาน EC 471 บทบาทของรัฐบาลในตลาดแรงงาน
เศรษฐศาสตร์แรงงาน (ศ. 471) อุปสงค์แรงงาน
Supply-side Effects of Fiscal Policy.
รองศาสตราจารย์ ดร. ภาวดี ทองอุไทย สิงหาคม 2552
เศรษฐศาสตร์แรงงาน (ศ. 471) อุปสงค์แรงงาน (ต่อ)
เอกสารประกอบการสอนเสริม เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์
รหัส หลักการตลาด.
ตลาดน้ำมันโลก: การวิเคราะห์บทบาทของ OPEC (ต่อ)
เศรษฐศาสตร์แรงงาน ศ. 471 สหภาพแรงงาน
คณิตศาสตร์สำหรับการคิดภาระภาษี
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในรายได้ของผู้บริโภค
ส่วนเกินของผู้บริโภค (consumer surplus)
ตัวอย่าง: ตลาดปัจจัยการผลิตที่มีผู้ซื้อรายเดียว
ราคาและวิธีการกำหนดราคา
อุปทานของแรงงานในระดับบุคคล
ตลาดปัจจัยการผลิต (Markets for Factor Inputs)
ทฤษฎีและนโยบายการเงิน Monetary Theory and Policy
Revision Problems.
รศ.ดร. ชวินทร์ ลีนะบรรจง
บทที่ 7 การวิเคราะห์ราคา สินค้าเกษตรและอาหาร
บทที่ 9 การแข่งขันในตลาดสินค้าเกษตรและอาหาร
บทที่ 9 ราคาระดับฟาร์มและราคาสินค้าเกษตรและอาหาร
Chapter 3 การกำหนดราคามุ่งที่ต้นทุน
บทที่ 6 อุปสงค์ (Demand)
หน่วยที่ 3 การกำหนดขึ้นเป็นราคาดุลยภาพ
หน่วยที่ 3 การกำหนดขึ้นเป็นราคาดุลยภาพ
ระบบการตลาดและ หน้าที่ทางการตลาด
บรรยาย เศรษฐศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
บทที่ 5 ทฤษฎีการผลิต การศึกษาด้านอุปทาน ทฤษฏีการผลิต (บทที่ 5)
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ (Elasticity of Demand)
บทที่ 2 ความรู้เกี่ยวกับอุปสงค์และอุปทาน
บทที่ 4 ทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค (Theory of Consumer Behavior)
Topic 11 เงินเฟ้อ เงินฝืด การว่างงาน
บทที่ 7 การกำหนดราคาสินค้าในตลาด
สื่อการเรียนรู้ การตัดสินใจในการผลิต
ดุลยภาพของตลาด (Market Equilibrium)
สื่อประกอบการเรียนการสอน
บทที่ 8 การกำหนดราคาและผลผลิตในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Price and Output Determination Under Perfect Competition) ความหมายของตลาด ลักษณะของตลาดแข่งขันสมบูรณ์
บทที่ 5 ทฤษฎีการผลิต (Production Theory)
บทที่ 7 รายรับ รายรับจากการผลิต ลักษณะของเส้นรายรับต่างๆ
บทที่ 3 ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน
บทที่ 2 อุปสงค์ อุปทาน และการกำหนดราคาสินค้า
ต้นทุนการผลิต (Cost of Production).
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน Elasticity of Demand and Supply
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน Elasticity of Demand and Supply
ตลาดและการแข่งขัน.
การวางแผนกำไร (Profit Planning)
บทที่ 4 โครงสร้างตลาดและการกำหนดราคา
4.3 ความล้มเหลวของตลาด (Market Failure)
บทที่ 8 รายรับและกำไรจากการดำเนินธุรกิจ
ปรับค่าแรง300 บาทมีผลกระทบ เศรษฐกิจประเทศไทยจริง?
8 ราคา วัตถุประสงค์ในการกำหนดราคา ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดราคา
โครงสร้างของตลาดและการกำหนดราคา
โครงสร้างต้นทุน บทที่ 8 การตั้งราคาโดยพิจารณาจากต้นทุน
Lecture 14 ประสิทธิภาพของการบริโภคจาก Edgeworth’s Box Diagram
การวางแผนการผลิต และการบริการ
ผลตอบแทน ผลตอบแทน ผลตอบแทน ผลตอบแทน ผลตอบแทนปัจจัยการผลิต (ค่าเช่า, ดอกเบี้ย, ค้าจ้าง ,กำไร) ปัจจัยการผลิต (ที่ดิน, ทุน, แรงงาน, ผู้ประกอบการ)
แนวทางการวิเคราะห์สำหรับภาษีอากร
ต้นทุนการผลิต.
ผู้สอน อ.ศรีวรรณ ปานสง่า
ตลาด ( MARKET ).
ทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค
ทฤษฎีการผลิต.
บทที่ 5 การสร้างโอกาสทางธุรกิจ
ปฏิบัติงานบริการคอมพิวเตอร์
ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด
ตลาดผูกขาด ( MONOPOLY )
บทที่ 5 ภาวะการเงิน.
ใบสำเนางานนำเสนอ:

บทที่ 9 การกำหนดราคาและผลผลิตในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (Price and Output Determination Under Imperfect Competition) ตลาดผูกขาดที่แท้จริง ลักษณะของตลาดผูกขาดแท้จริง สาเหตุของการผูกขาด ลักษณะของเส้นอุปสงค์ของผู้ผลิต การหาผลผลิตที่ทำให้ได้กำไรสูงสุด ดุลยภาพในระยะสั้นของผู้ผูกขาด ดุลยภาพในระยะยาวของผู้ผูกขาด เปรียบเทียบตลาดผูกขาดแท้จริงกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์

ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ลักษณะของตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ลักษณะของเส้นอุปสงค์ที่ผู้ผลิตเผชิญ ดุลยภาพระยะสั้นของผู้ผลิต ดุลยภาพในระยะยาวของผู้ผลิต ตลาดผู้ขายร้อยราย ลักษณะของตลาดผู้ขายร้อยราย ลักษณะของเส้นอุปสงค์ของผู้ผลิต การวิเคราะห์ดุลยภาพของตลาดผู้ขายน้อยรายตามแบบจำลองอุปสงค์หักมุม

9.1 ตลาดผูกขาดที่แท้จริง (Pure Monopoly) 9.1.1 ลักษณะของตลาดผูกขาดแท้จริง หน่วยผลิตเป็นผู้ผูกขาดในการผลิต/ขายสินค้าเพียงรายเดียว หน่วยผลิตจึงเป็นอุตสาหกรรม สินค้าที่ผลิตขึ้นมีความแตกต่างจากผู้อื่น และไม่มีสินค้าอื่นที่ใช้ทดแทนได้ ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ไขว้ (Cross Elasticity) มีค่าเป็นศูนย์ ผู้ผลิตรายใหม่ไม่สามารถเข้ามาทำการผลิตสินค้าชนิดนี้ได้ เนื่องจากผู้ผลิตรายเดิมสามารถสร้างอุปสรรคกีดขวางได้ (Barrier to Entry) จากลักษณะตลาดดังกล่าว ทำให้ผู้ผลิตมีอิทธิพลในการกำหนดราคาหรือปริมาณสินค้าในตลาด

9.1.2 สาเหตุของการผูกขาด ผู้ผลิตดังกล่าวเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตแต่เพียงผู้เดียว ผู้ผลิตจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในผลผลิตของตนไว้ โดยอำนาจของกฎหมายทำให้ผู้ผลิตรายอื่นไม่สามารถเข้ามาผลิตแข่งขันได้ รัฐบาลให้สัมปทานในการผลิตกับผู้ผลิตรายเดียว เช่น กิจการสาธารณูปโภค เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจและสังคมส่วนรวม การผลิตที่จำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก จึงจะทำการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ เช่น กิจการสาธารณูปโภค ทำให้ผู้ผลิตรายใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าและทุนน้อยกว่า ไม่สามารถเข้ามาทำการแข่งขันได้เป็นกิจการผูกขาดโดยธรรมชาติ (Natural Monopoly) ผู้ผลิตมีการรวมกลุ่มกันผูกขาด ซึ่งหลายประเทศถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา

9.1.3 เส้นอุปสงค์ที่ผู้ผูกขาดเผชิญ 9.1.3 เส้นอุปสงค์ที่ผู้ผูกขาดเผชิญ การที่มีผู้ขายรายเดียวในตลาด ทำให้ผู้ผูกขาดมีอิทธิพลในการกำหนดราคา เรียกว่า Price Maker แต่ถ้ากำหนดราคาสูงปริมาณขายจะน้อย หากกำหนดราคาต่ำปริมาณขายจะมาก เส้นอุปสงค์ที่ผู้ผลิตเผชิญเป็นเส้นที่ทอดลงจากซ้ายไปขวา มี slope เป็นลบ ทำให้ MR <AR ในทุกปริมาณผลผลิต เส้น MR จึงอยู่ต่ำกว่าเส้นอุปสงค์ และมี slope เป็น 2 เท่าของเส้นอุปสงค์ ราคา เส้น MR แบ่งครึ่งเส้นอุปสงค์ทุกปริมาณผลผลิต ในตลาดผูกขาด D=AR=P  MR D=AR=P MR ปริมาณ

เส้นอุปสงค์ อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์เปลี่ยน และเมื่อเส้นอุปสงค์เปลี่ยนไป เส้น MR ก็จะเปลี่ยนไปด้วย P P D=AR MR D=AR D=AR D=AR MR MR MR Q Q

9.1.4 การหาผลผลิตที่ทำให้ได้กำไรสูงสุด 9.1.4 การหาผลผลิตที่ทำให้ได้กำไรสูงสุด TR, TC TC 1. การหาผลผลิตที่กำไรสูงสุดในระยะสั้น A TR วิธีรวม (Total Approach) ผู้ผลิตมีกำไรสูงสุด เมื่อผลิต Q ที่ TR ห่างจาก TC มากที่สุด และ TR อยู่เหนือ TC ซึ่งที่ Q นั้น slope TR=slope TC B Q Q1 Q Q2 กำไร ผู้ผลิตกำไรสูงสุดเมื่อผลิตสินค้า OQ หน่วย โดยมีกำไรเท่ากับ AB  Q Q1 Q Q2 

วิธีส่วนเพิ่ม (Marginal Approach) ผู้ผลิตมีกำไรสูงสุดเมื่อผลิต Q ที่ MC=MR ในช่วงที่ MC กำลัง E MR Q Q ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าที่ MC=MR โดยผลิต OQ หน่วย ดุลยภาพอยู่ที่จุด E แต่ราคาขายเป็นไปตามเส้นอุปสงค์หรือเส้น AR

2. การหาผลผลิตที่กำไรสูงสุดในระยะยาว 2. การหาผลผลิตที่กำไรสูงสุดในระยะยาว วิธีรวม (Total Approach) ผลิต ณ Q ที่ slope TR=slope LTC โดย TR ห่างจาก LTC มากที่สุด และ TR อยู่เหนือ LTC TR, TC LTC A B TR Q Q

วิธีส่วนเพิ่ม (Marginal Approach) จะผลิต ณ จุดที่ LMC = MR ในขณะที่ LMC กำลัง  ดังรูป MC, MR LMC E MR Q Q ในตลาดผูกขาดไม่มีผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาแข่งขัน หากผู้ผูกขาดมีกำไรเกินปกติ (Excess Profit) ซึ่งเป็นกำไรของผู้ผูกขาด (Monopoly Profit) โดยสามารถรักษากำไรนี้ไว้ได้ถ้ารัฐบาลไม่เข้ามาแทรกแซงการกำหนดราคา

1) การกำหนดผลผลิตเมื่อไม่มีการควบคุมราคา 9.1.5 ดุลยภาพในระยะสั้นของผู้ผูกขาด 1) การกำหนดผลผลิตเมื่อไม่มีการควบคุมราคา ปริมาณ Q ที่ได้กำไรสูงสุด อยู่ที่ MC=MR โดยปกติผู้ผูกขาดมีกำไรเกินปกติ (TR>TC) คือได้ Monopoly Profit P,C MC ในกรณีที่ผู้ผูกขาดมีกำไรเกินปกติ ดุลยภาพอยู่ที่ MC=MR ที่จุด E ผลิต OQ หน่วย ราคา = OP บาท TR = OPFQ TC = OP1IQ มีกำไรเกินปกติ = P1PFI P F AC P1 I E D=AR MR Q Q แต่ผู้ผูกขาดอาจขาดทุนหรือมีเพียงกำไรปกติก็ได้ ในระยะสั้น หากผู้ผลิตขาดทุน จะยังผลิตต่อไป ถ้า TR>TVC หรือAR>AVC และจะเลิกผลิตเมื่อ AR<AVC ในระยะยาวผู้ผูกขาดจะเลิกกิจการไปถ้าเกิดการขาดทุน

ในกรณีที่ผู้ผูกขาดขาดทุน ดุลยภาพอยู่ที่ MC=MR ที่จุด E ผลิต OQ หน่วย ราคา = OP บาท TR = OPFQ TC = OP1IQ TR<TC เกิดการขาดทุน = P1PFI แต่ P>AVC แม้จะขาดทุน ผู้ผลิตยังผลิตต่อ เพราะชดเชยการขาดทุน TFC ได้บางส่วน P,C MC ATC P1 I AVC P F E D=AR MR Q Q

เส้นอุปทานระยะสั้นของผู้ผูกขาด ไม่อาจหาเส้นอุปทานระยะสั้นของผู้ผูกขาดได้ เนื่องจากเส้นอุปทานแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Q และ P ที่แน่นอน แต่กรณีตลาดผูกขาด Q จำนวนหนึ่งอาจสัมพันธ์กับ P ได้หลาย P หรือ P หนึ่งอาจสัมพันธ์กับ Q ที่ขายได้หลายจำนวน ขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา และตำแหน่งของเส้นอุปสงค์ของผู้ผูกขาด P,C P,C MC MC P P P' E E' D=AR E D'=AR' D'=AR' MR' D=AR MR' MR Q Q Q Q' Q MR ปริมาณดุลยภาพเดียวกัน แต่ราคาขายแตกต่างกัน สินค้า OQ หน่วย มีราคาขาย 2 ราคา คือ OP และ OP ราคาเดียวกันแต่ปริมาณขายแตกต่างกัน ราคาขาย OP เดียวกัน มีปริมาณขาย 2 ปริมาณ คือ OQ และ OQ หน่วย ในระยะสั้น (และระยะยาว) ไม่อาจหาเส้นอุปทานของผู้ผูกขาดได้

1) การกำหนดผลผลิตเมื่อรัฐบาลควบคุมราคา 1) การกำหนดผลผลิตเมื่อรัฐบาลควบคุมราคา กิจการบางอย่างอาจจำเป็นต้องมีการผูกขาด จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม เช่น กิจการสาธารณูปโภค หากรัฐบาลปล่อยให้กำหนดราคาหรือปริมาณผลิตโดยเสรี คือได้กำไรสูงสุดที่ MC=MR อาจเกิดการแสวงหากำไรมากเกินไป หรือมีการผลิตน้อยเกินไปหรือไม่เต็มประสิทธิภาพ การผลิตที่ MC=MR นั้น P>MC แสดงว่าผลิตสินค้าน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค การควบคุมการกำหนดราคาของรัฐบาลของผู้ผูกขาด กำหนดราคาที่ P=MC เรียกว่า Ideal Price ซึ่งทำให้การจัดสรรทรัพยากรมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยปกติผู้ผลิตอาจยังมีกำไรอยู่ แต่หากผู้ผลิตขาดทุน รัฐบาลต้องให้เงินอุดหนุนในส่วนที่ขาดทุนนั้น กำหนดราคาที่ P=AC เรียกว่า Fair Price ซึ่งแม้จะไม่ใช่การจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดก็จริง แต่การจัดสรรทรัพยากรดีขึ้นกว่าการปล่อยให้ผู้ผูกขาดกำหนดราคาเอง โดยผู้ผลิตมีเพียงกำไรปกติ (Normal Profit) เท่านั้น

รัฐบาลแทรกแซงการกำหนดราคา P,C MC AC H F I M K E D=AR MR Q Q Q1 Q2 ผู้ผูกขาดผลิตที่ MC=MR ที่จุด E ผลิต OQ หน่วย กำหนดราคา HQ ผู้ผลิตมีกำไรเกินปกติ HM ต่อหน่วย เป็นการผลิตที่ P>MC ทำให้ผลผลิตน้อยกว่าความต้องการ รัฐบาลแทรกแซง กำหนด P=MC การผลิตอยู่ที่จุด F ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น OQ1 หน่วย และผู้ผลิตยังคงมีกำไรเกินปกติ FK ต่อหน่วย รัฐบาลแทรกแซงกำหนด P=AC การผลิตอยู่ที่จุด I ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น OQ2 หน่วย ขายในราคา IQ2 ผู้ผลิตมีเพียงกำไรปกติ

รัฐบาลแทรกแซง โดยกำหนดให้ผลิตที่ P=MC ในกรณีที่ผู้ผลิตขาดทุน P,C MC ผู้ผูกขาดผลิตที่ MC=MR ที่จุด E ผลิต OQ หน่วย กำหนดราคา LQ ผู้ผลิตมีกำไรเกินปกติ LM ต่อหน่วย เป็นการผลิตที่ P>MC ทำให้ผลผลิตน้อยกว่าความต้องการ AC L K I M F E D=AR MR Q Q Q1 Q2 รัฐบาลแทรกแซง กำหนด P=MC การผลิตอยู่ที่จุด F ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น OQ2 หน่วย แต่ผู้ผลิตขาดทุน IF ต่อหน่วย รัฐบาลต้องให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ผลิต รัฐบาลแทรกแซงกำหนด P=AC การผลิตอยู่ที่จุด K ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น OQ1 หน่วย แต่ P>MC (Q น้อยไป) แต่ผู้ผลิตได้กำไรปกติ การกำหนดที่ P=AC การจัดสรรทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่เหมือนการผลิตที่ P=MC

9.1.6 ดุลยภาพในระยะยาวของผู้ผูกขาด 9.1.6 ดุลยภาพในระยะยาวของผู้ผูกขาด ในระยะยาว ผู้ผูกขาดสามารถเลือกขนาดโรงงาน หรืออาจเลิกกิจการได้ ดุลยภาพในระยะยาวคือ ผู้ผูกขาดผลิตที่ LMC=MR ได้กำไรสูงสุด กว่าการใช้โรงงานขนาดอื่นๆ ผู้ผูกขาดอาจมีกำไรปกติ ถ้า LMC=MR โดย AR=LAC ผู้ผูกขาดอาจขาดทุน ถ้า LMC=MR โดย AR<AVC และจะเลิกกิจการ ในระยะยาว ผู้ผูกขาดไม่จำเป็นต้องผลิตโดยใช้ขนาดโรงงานที่เหมาะสมที่สุด (Optimum Size) แต่จะใช้โรงงานขนาดใด ขึ้นกับอุปสงค์ตลาด P LMC SMC SAC LAC ดุลยภาพระยะยาวของผู้ผูกขาดอยู่ที่ LMC=MR ซึ่งใช้ขนาดของโรงงานที่เล็กกว่า Optimum Size ผลิต OQ หน่วย ในราคา OP และเกิดดุลยภาพในระยะสั้นด้วย คือ SMC=MR ผู้ผูกขาดมีกำไรเกินปกติเท่ากับ P1PFI F P P1 I E D=AR MR Q Q

9.1.7 เปรียบเทียบตลาดผูกขาดแท้จริงกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์ 9.1.7 เปรียบเทียบตลาดผูกขาดแท้จริงกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ประเด็น ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ตลาดผูกขาดแท้จริง เส้นอุปสงค์ที่เผชิญ เป็นเส้นตรงขนานกับแกนนอน เป็นเส้นทอดจากซ้ายไปขวา D=AR=MR=P D=AR=P  MR การกำหนดราคา ไม่มีอำนาจ เป็น Price Taker มีอำนาจกำหนด เป็น Price Maker ระดับผลผลิต ผลิตที่ P=MC=MR ผลิตที่ P > MC=MR กำไรหรือขาดทุน – ระยะสั้น กำไร ; ขาดทุน – ระยะยาว กำไรปกติ มีกำไรเกินปกติ ขนาดโรงงานผลิตในระยะยาว ที่ Optimum Size เท่านั้น ขนาดโรงงานไม่จำเป็น ต้องเป็น Optimum Size

9.2 ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition) 9.2.1 ลักษณะของตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด มีผู้ขายจำนวนมากราย จนการดำเนินการของผู้ผลิตแต่ละรายไม่กระทบถึงกัน ไม่มีสิ่งกีดขวางสำหรับผู้ผลิตหน้าใหม่จะเข้ามาแข่งขันในตลาด ไม่มีการรวมหัวกันของผู้ผลิตในตลาด สินค้าของผู้ผลิตหรือผู้ขายแต่ละรายแตกต่างกัน แต่ใช้ทดแทนกันได้ (Differentiated Product) ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะที่สำคัญของตลาด ทำให้ผู้ผลิตแต่ละรายมีอำนาจผูกขาดในสินค้าของตนอยู่บ้าง หากผู้ผลิตทำให้สินค้าตนเองแตกต่างจากของผู้ผลผลิตรายอื่นได้มากเท่าใด อำนาจการผูกขาดก็มากขึ้นเท่านั้น การมีสินค้าอื่นทดแทนได้ จึงทำให้มีการแข่งขันกัน การตั้งราคาจึงต้องคำนึงถึงการทดแทนกันของสินค้าอื่น มีการใช้นโยบายส่งเสริมการขาย เพื่อเป็นการเพิ่มอุปสงค์ ซึ่งหากทำได้อุปสงค์ จะเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องลดราคาสินค้า ดังนั้นกำไรจึงมากขึ้นหรือขาดทุนน้อยลง

9.2.2 ลักษณะของเส้นอุปสงค์ที่ผู้ผลิตเผชิญ 9.2.2 ลักษณะของเส้นอุปสงค์ที่ผู้ผลิตเผชิญ การที่สินค้ามีความแตกต่างกัน และมีสินค้าที่สามารถทดแทนกันได้ ทำให้เส้นอุปสงค์ที่ผู้ผลิตเผชิญเป็นเส้นทอดลงจากซ้ายไปขวา มี slope เป็นลบ แต่มีความชันน้อยกว่าเส้นอุปสงค์ในตลาดผูกขาดแท้จริง การขายสินค้าเพิ่มขึ้น MR จะ < AR ทุกๆ ระดับ เส้น MR เป็นเส้นแบ่งครึ่งเส้นอุปสงค์ และ D=AR=P  MR P D=AR=P MR Q

9.2.3 ดุลยภาพระยะสั้นของผู้ผลิต 9.2.3 ดุลยภาพระยะสั้นของผู้ผลิต ดุลยภาพการผลิตระยะสั้นของผู้ผลิตในตลาดกึ่งแข่งขันผูกขาดอยู่ที่ MC=MR (โดย Slope MC > Slope MR) และตั้งราคาบนเส้น AR (หรือเส้นอุปสงค์) เหมือนกันกับกรณีของผู้ผลิตในตลาดผูกขาด ผู้ผลิตมีโอกาสที่จะได้รับกำไรส่วนเกิน กำไรปกติ หรือขาดทุนตราบเท่าที่ราคา AR > AVC การขาดทุนที่เกิดยังน้อยกว่าต้นทุนคงที่ ผู้ผลิตจะยังคงทำการผลิตต่อไป Price, Cost, Revenue MC AC F P P1 I . E รูปนี้ได้กำไร MR AR Q Q

9.2.3 ดุลยภาพระยะยาวของผู้ผลิต 9.2.3 ดุลยภาพระยะยาวของผู้ผลิต ในระยะยาว ผู้ผลิตมีแนวโน้มได้รับเพียงกำไรปกติเท่านั้น คือ P=AC เนื่องจากในระยะยาวผู้ผลิตรายใหม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้โดยเสรี ตราบที่ผู้ผลิตมีกำไรเกินปกติ ผู้ผลิตรายใหม่จะเข้ามาแข่งขันเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดผู้ผลิตมีเพียงกำไรปกติ ดุลยภาพระยะยาวอยู่ที่ LMC=MR=SMC และ AR=LAC=SAC P ดุลยภาพอยู่ที่จุด E ผลิต OQ หน่วย ในราคา OP TR=TC=OPFQ ผู้ผลิตมีเพียงกำไรปกติ LMC LAC F P E D=AR MR Q Q ในระยะยาวผู้ผลิตอาจมีกำไรเกินปกติได้หากสร้างอำนาจผูกขาดของตนเองได้มาก ในระยะยาวผู้ผลิตไม่ได้ใช้ขนาดของโรงงานที่จุดต่ำสุดของ LAC แสดงว่ามีการผลิตสินค้าต่ำกว่าที่ควรผลิตในระดับต้นทุนต่ำสุด การใช้ทรัพยากรยังไม่ได้ประโยชน์เต็มที่

9.3 ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) 9.3.1 ลักษณะของตลาดผู้ขายน้อยราย มีผู้ผลิตหรือผู้ขายจำนวนน้อยราย คือตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป ในกรณีของผู้ขายน้อยราย เรียกตลาดว่า Duopoly การดำเนินนโยบายของผู้ผลิตหรือผู้ขายในตลาดมีผลกระทบต่อกัน สินค้าในตลาดอาจจะมีลักษณะเหมือนกัน (Homogeneous Product) หรือ แตกต่างกันแต่สามารถใช้ทดแทนกันได้ (Differentiated Product) ถ้าเป็นตลาดผู้ขายน้อยรายที่ผลิตสินค้าที่เหมือนกันเรียกว่า “Pure Oligopoly” แต่ถ้าเป็นตลาดผู้ขายน้อยรายที่ผลิตสินค้าแตกต่างกันแต่ใช้ทดแทนกันได้ เรียกว่า “Differentiated Oligopoly” การเข้ามาผลิตแข่งขันของผู้ผลิตรายใหม่จะทำได้ยาก มีการแข่งขันทั้งทางด้านที่ใช้ราคา (Price Competition) แต่ไม่นิยม โดยมักใช้การแข่งขันที่ไม่ใช้ราคา (Non–price Competition) เช่น การปรับปรุงคุณภาพสินค้า การส่งเสริมการขาย การโฆษณา เพื่อเป็นการเพิ่มอุปสงค์

9.3.2 ลักษณะของเส้นอุปสงค์ที่ผู้ผลิตเผชิญ 9.3.2 ลักษณะของเส้นอุปสงค์ที่ผู้ผลิตเผชิญ เส้นอุปสงค์ในตลาดผู้ขายน้อยราย มี slope เป็นลบเหมือน ๆ กับตลาดไม่แข่งขันสมบูรณ์แบบอื่น ๆ นั่นคือการที่ผู้ขายจะขายสินค้า ต้องลดราคาลงมา การผลิตเพื่อได้กำไรสูงสุดจะอยู่ ณ จุดที่ MC = MR การวิเคราะห์ราคาและปริมาณผลผลิตที่กำไรสูงสุดในตลาดผู้ขายน้อยราย จะมีความยุ่งยากกว่าตลาดแบบอื่นๆ เพราะเส้นอุปสงค์ของผู้ผลิตในตลาดนี้ไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนเหมือนตลาดแบบอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับการโต้ตอบของผู้ผลิตรายอื่นด้วย ลักษณะของตลาดผู้ขายน้อยราย ทำให้การดำเนินนโยบายของผู้ผลิตในตลาดมีแนวโน้มแตกต่างกัน ตามระดับของความสัมพันธ์ ใน 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ กรณีที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายมีการรวมตัวกัน และกรณีที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายมีการดำเนินนโยบายอย่างอิสระ

กรณีที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายมีการรวมตัวกัน (Collusion) กรณีที่ผู้ผลิตผลิตสินค้าที่มีลักษณะเหมือนกัน อาจมีการรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์ (Perfect Collusion) หรือไม่สมบูรณ์ (Imperfect Collusion) การรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์ (Perfect Collusion หรือ Cartel) เป็นการรวมตัวกันของผู้ผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมหรือตลาดหนึ่งๆ มีจุดมุ่งหมายที่จะโยกย้ายอำนาจการตัดสินใจในการดำเนินการของผู้ผลิตแต่ละรายมาไว้ที่ส่วนกลาง โดยคาดหมายว่าจะทำให้กำไรของผู้ผลิตแต่ละรายเพิ่มสูงขึ้น Cartel ที่มีการรวมอำนาจในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ เรียกว่า Centralized Cartel Cartel ที่มีอำนาจเพียงแบ่งส่วนแบ่งตลาดเท่ากันในกลุ่ม เรียกว่า Market-Sharing Cartel การรวมตัวกันอย่างไม่สมบูรณ์ (Imperfect Collusion) เป็นรูปแบบการรวมตัวที่ไม่เคร่งครัด โดยมักผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งในตลาดเป็นผู้นำด้านการกำหนดราคา หรือเรียกว่า Price Leadership ผู้นำราคาเป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำสุด หรือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่มากในอุตสาหกรรมหรือตลาด หรือเกิดจากผู้ผลิตที่มีประสบการณ์มากที่สุด

การที่ผู้ผลิตในตลาดผู้ขายน้อยรายไม่ใช้การแข่งขันด้านราคา มีเหตุผล 3 ประการ คือ การลดราคาสินค้าไม่ช่วยให้สามารถขายสินค้าเพิ่มขึ้นได้มากนัก เพราะคู่แข่งขันจะโต้ตอบด้วยการลดราคาทันที ผู้ขายเชื่อว่าสามารถเอาชนะคู่แข่งขันได้โดยการปรับปรุงคุณภาพสินค้า ซึ่งทำได้ดีกว่าและถาวรกว่าการใช้ราคา การลอกเลียนแบบหรือคุณภาพ ต้องใช้เวลานานกว่าและทำได้ยากกว่า เนื่องจากผู้ขายน้อยรายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่มีจำนวนผลผลิตและฐานะการเงินสูงมาก สามารถลงทุนโฆษณาสินค้าและพัฒนาคุณภาพของสินค้า

9.3.3 การวิเคราะห์ดุลยภาพของตลาดผู้ขายน้อยราย 9.3.3 การวิเคราะห์ดุลยภาพของตลาดผู้ขายน้อยราย ตามแบบจำลองอุปสงค์หักมุม (Kinked Demand Curve) ตลาดผู้ขายน้อยรายที่ผลิตสินค้าที่มีลักษณะแตกต่างกันแต่สามารถใช้ทดแทนกันได้ ผู้ผลิตจะมีการดำเนินนโยบายอย่างอิสระ มีแบบจำลองจำนวนมากที่ใช้อธิบายถึงการดำเนินนโยบายลักษณะนี้ ในตลาดผู้ขายน้อยราย มีการตั้งข้อสังเกตว่า ราคาในตลาดค่อนข้างตายตัว (Price Rigidity) คือไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทาน แบบจำลองที่อธิบายแนวความคิดนี้คือ แบบจำลองอุปสงค์หักมุม (Kinked Demand Curve) ของ Paul Sweezy อธิบายว่าทำไมราคาสินค้าในตลาดผู้ขายน้อยรายจึงมีแนวโน้มคงที่ โดยใช้เส้นอุปสงค์ที่มีลักษณะหักมุม ณ ระดับราคาตลาด จากการที่ผู้ขายน้อยรายดำเนินนโยบายอิสระ หากมีการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าจะมีผลกระทบต่อผู้ขายรายอื่นในตลาด ทำให้ผู้ขายมักไม่เปลี่ยนแปลงราคา แม้ว่าต้นทุนการผลิตอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ราคาจะยังอยู่ตรงเส้นอุปสงค์หักมุมพอดี พฤติกรรมสำคัญของผู้ผลิตในตลาดผู้ขายน้อยรายตามแบบจำลองนี้คือถ้าผู้ผลิตอื่นขึ้นราคาจะไม่ขึ้นราคาตาม แต่ถ้าผู้ผลิตอื่นลดราคาจะลดราคาตาม

P A E P D Q การที่เส้นอุปสงค์เป็น Kinked Demand Curve เพราะ ถ้าผู้ผลิตรายใดลดราคาสินค้า คนอื่นในตลาดจะลดราคาตาม หรืออาจจะลดราคาต่ำกว่าด้วยซ้ำ ผลทำให้ปริมาณสินค้าจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เส้นอุปสงค์ช่วง ED จึงมี Ed เป็น inelastic ถ้าผู้ผลิตรายใดขึ้นราคาสินค้า คนอื่นในตลาดจะไม่เปลี่ยนแปลงราคาตาม ผลคือปริมาณขายของผู้ผลิตรายดังกล่าวจะลดลงมากกว่าที่คาดไว้ หรืออาจขายไม่ได้ ทำให้เส้นอุปสงค์ช่วง AE จึงมี Ed เป็น Elastic

P' P D Q เมื่อเส้นอุปสงค์ในตลาดผู้ขายน้อยรายเป็นเส้นอุปสงค์หักงอ ทำให้เส้น MR มีการขาดช่วงตรงราคาตลาด โดยเส้น MR มี 2 ช่วง P A P' B Kinked demand D AR1 C AR2 MR1 Q Q MR2 เส้น APD เป็นเส้นอุปสงค์หักงอ ทำให้เส้น MR เป็น 2 ช่วง คือ AB จะเป็นเส้น MR ของอุปสงค์ช่วง AP' และ CMR2 เป็นเส้น MR ของอุปสงค์ช่วง P'D

ดุลยภาพการผลิต MC=MR เกิดในช่วงที่เส้น MR ขาดตอนคือช่วง BC ผลิต OQ หน่วย ราคา=OP เป็นราคาที่มุมของเส้นอุปสงค์พอดี โดยปกติ เส้น MR และ MC จะตัดกันในช่วงเส้น MR ขาดตอน และผู้ผลิตได้กำไรสูงสุดโดยผลิตสินค้าและกำหนดราคาที่ค่อนข้างตายตัวที่มุมหักงอของเส้นอุปสงค์ การที่ MR และ MC ตัดกันในช่วง MR ที่ไม่ขาดตอน เป็นไปได้ยากเพราะต้นทุนการผลิตต้องสูงหรือต่ำมาก จึงจะตัดในช่วง AE หรือ CMR P แม้ว่าต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตจะเปลี่ยนแปลง โดยลดหรือเพิ่มเป็น MC1 หรือ MC2 ก็มักไม่เกินจากช่วง MR ขาดตอน A MC2 MC0 MC1 E P การแสวงหากำไรสูงสุดในการผลิตจึงยังอยู่ที่มุมหักงอของเส้นอุปสงค์ B Kinked Demand Curve จึงอธิบายว่าทำไมราคาจึงมักไม่เปลี่ยนแปลงในตลาดผู้ขายน้อยราย แม้ว่าต้นทุนและอุปสงค์จะเปลี่ยนแปลงไป D=AR C Q Q MR