การรับกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตก และการจัดทำประมวลกฎหมาย การรับกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตก และการจัดทำประมวลกฎหมาย อ.หทัยกาญจน์ กำเหนิดเพชร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
การรับกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตก การรับกฎหมายอังกฤษ การรับกฎหมายภาคพื้นยุโรป การเลือกระบบกฎหมาย การจัดทำประมวลกฎหมายของไทย การจัดทำกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 การจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การจัดทำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความและกฎหมายอื่นๆ
การรับกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตก ประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปกฎหมายและการศาลเสียใหม่ เพื่อให้หลุดพ้นจาก การสูญเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ประกอบกับกฎหมายไทยที่มีอยู่เดิมมี ความไม่เหมาะสมกับกาลสมัย นอกจากนี้ กฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตกนั้น เป็นกฎหมายที่มีความทันสมัย เป็น เหตุเป็นผล มีการรับรองสิทธิของบุคคลมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเร่งทำกฎหมายให้ทันสมัยเช่นเดียวกัน โดยในระยะแรก เป็นการประกาศกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องไปก่อน ได้มีการนำหลัก กฎหมายของอังกฤษมาใช้ในหลายเรื่อง
หลังจากนั้น กฎหมายอังกฤษก็ค่อยคลายตัวลงเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระทัยใช้ระบบกฎหมายแบบประมวลธรรม (Civil law system) ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกในเอเชียที่สามารถเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายของ ตนเองให้ทันสมัยตามอย่างตะวันตกได้ โดยการส่งผู้แทนไปดูงานด้านการปรับปรุง กิจการด้านกฎหมายที่ทวีปยุโรป และได้จ้างนักกฎหมายชาวเยอรมันและฝรั่งเศสมา ช่วยในการร่างกฎหมาย รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นว่าไทยควรใช้วิธีการเดียวกับญี่ปุ่น จึงให้หาผู้เชี่ยวชาญจาก ต่างประเทศเข้ามารับราชการในไทยหลายคน เช่น นายโรลัง ยัคมินส์, นายริชาร์ด เกอร์กแปตริก ชาวเบลเยี่ยม และนายโตจิกิ มาเซา ชาวญี่ปุ่น เป็นต้น
การรับกฎหมายจากตะวันตกของไทย มีลักษณะดังนี้ การรับกฎหมายอังกฤษมาใช้ในระยะแรก เริ่มด้วยการนำหลักกฎหมายอังกฤษมาใช้ในกฎหมายวิธีสบัญญัติ คือ ในปี พ.ศ. 2437 ได้ประกาศยกเลิกการพิจารณาคดีแบบจารีตนครบาล โดยประกาศใช้ พระราชบัญญัติพิจารณาความมีโทษทางอาญาขึ้นใช้แทน และประกาศใช้ พระราชบัญญัติกระบวนพิจารณาความแพ่ง โดยมีพื้นฐานมาจากกฎหมาย อังกฤษ ศาลไทยยังถือเอาจารีตประเพณีด้านพาณิชย์ของอังกฤษมาใช้หลายเรื่อง เช่น เรื่องสินจ้าง หลักกฎหมายปิดปาก ทรัสตี (พาณิชย์) เป็นต้น และเรื่องเจตนาร้าย ในกฎหมายอาญา นอกจากนี้ หลักกฎหมายอังกฤษยังถูกนำไปสอนในโรงเรียนกฎหมายโดย พระองค์เจ้ารพีฯ
หลักกฎหมายปิดปาก หรือ estoppel หลักกฎหมายที่ไม่ยอมให้อ้างหรือพิสูจน์ ข้อเท็จจริงให้ผิดไปจากที่กฎหมายสันนิษฐานไว้ ไม่ว่าข้อสันนิษฐานนั้นจะเป็นจริง หรือไม่ เช่น ม.407 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “บุคคลใดกระทำการตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้ โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มี ความผูกพันที่จะต้องชำระ ท่านว่าผู้นั้นหามีสิทธิที่จะได้รับคืนทรัพย์ไม่” มาตรา 411 “บุคคลใดได้กระทำการเพื่อชำระหนี้เป็นการอันฝ่าฝืน ข้อห้ามตามกฎหมายหรือ ศีลธรรมอันดี ท่านว่าบุคคลนั้นหาอาจจะ เรียกร้องคืนทรัพย์ได้ไม่”
เจตนาร้าย หรือ เถยจิต หรือ Mens Rea องค์ประกอบความผิดของกฎหมายอาญาของประเทศคอมมอนลอว์ ประกอบด้วย ส่วนที่เป็นการกระทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย (Actus Reus) และ ส่วนที่เป็นเจตนาร้ายหรือจิตใจที่ชั่วร้าย (Mens Rea) – เจตนากระทำ ความผิด และประมาทเลินเล่อโดยรู้ตัว
การรับกฎหมายแบบภาคพื้นยุโรป ภายหลังจากที่รัชกาลที่ 5 ทรงเลือกใช้ระบบกฎหมายแบบภาคพื้นยุโรป อิทธิพล ของกฎหมายอังกฤษก็ค่อยๆ ลดความสำคัญลงไป โดยพระองค์ได้จ้างนักกฎหมายชาวญี่ปุ่นและฝรั่งเศสมาเป็นที่ปรึกษาช่วยงาน นายโรลัง ยัคมินส์ หลักกฎหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หลายเรื่อง ไทยได้ลอกเลียนมา จากกฎหมายของภาคพื้นยุโรป เช่น หนี้ ทรัพย์ เอกเทศสัญญา ครอบครัว(บาง เรื่อง) และได้มีการปรับปรุงการเรียนการสอนในโรงเรียนกฎหมายให้สอดคล้องกับระบบ กฎหมายแบบภาคพื้นยุโรปมากยิ่งขึ้น
การเลือกระบบกฎหมาย ในการนำเอาหลักกฎหมายตะวันตกมาใช้ในการปฏิรูปกฎหมาย ก็มีระบบกฎหมาย ที่อยู่ในข่ายให้พิจารณา 2 ระบบ คือ ระบบกฎหมายอังกฤษ (Common Law) และระบบกฎหมายแบบประมวลกฎหมาย (Civil Law) ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ประเทศตะวันที่ประเทศไทยทำสนธิสัญญายกสิทธิสภาพนอก อาณาเขตให้แก่คนชาติประเทศเหล่านั้น ส่วนใหญ่จะใช้กฎหมายแบบประมวล กฎหมาย แต่ในขณะเดียวกันประเทศอังกฤษก็เป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อประเทศไทยมาก และนักกฎหมายในสมัยนั้นก็สำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษหลายท่าน
กรมหมื่นราชบุรีฯ ได้เสนอให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใช้ระบบกฎหมาย อังกฤษ ที่พระองค์ทรงมีความชำนาญ เป็นหลักในการปฏิรูปกฎหมายไทย แต่กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสนับสนุนให้เลือกระบบกฎหมายแบบประมวล กฎหมาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นเลือกระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law)เป็นหลักในการปฏิรูประบบกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายไทยแต่เดิมมี ลักษณะเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่แล้วจึงง่ายที่จะเปลี่ยนกฎหมายไทยให้สอดคล้องกับ ระบบประมวลกฎหมาย ใน พ.ศ.2440 รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจชำระร่างประมวล กฎหมายอาญา โดยมีกรมหมื่นราชบุรีฯเป็นประธาน
การจัดทำประมวลกฎหมายของไทย การร่างประมวลกฎหมาย เป็นการร่างกฎหมายที่จัดแบ่งหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ มี ข้อความท้าวถึงซึ่งกันและกัน ประมวลกฎหมาฉบับแรกที่ไทยจัดทำ ได้แก่ ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ที่ ประกาศใช้ใน ร.ศ. 127 เหตุผลที่เลือกทำประมวลกฎหมายอาญาก่อน เนื่องจากต้องการยกเลิกศาลกงสุล อันเป็นสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และในขณะนั้นคนไทยและเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายยังไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจใน การชำระกฎหมายแบบประมวลกฎหมาย และกฎหมายอาญาเป็นประมวลกฎหมาย ที่ร่างได้ง่ายที่สุด และศาลสามารถเข้าใจได้ง่าย
การร่างกฎหมายวิธีสบัญญัติใช้บังคับไปพลางก่อน ร.5 ทรงโปรดให้มีการปรับปรุงกฎหมายวิธีสบัญญัติโดยการยกร่างพระราชบัญญัติ ต่าง ๆ ขึ้นใช้บังคับไปพลางก่อน ระหว่างที่รอการจัดทำประมวลกฎหมายที่สมบูรณ์ พระราชบัญญัติลักษณะพยาน ร.ศ.113 (พ.ศ.2437) พระธรรมนูญศาลต่างๆทั้งในกรุงเทพและหัวเมือง พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความมีโทษสำหรับใช้ไปพลางก่อน ร.ศ.115 (พ.ศ. 2439) พระราชบัญญัติกระบวนพิจารณาความแพ่ง ร.ศ.115 (พ.ศ.2439) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง ในปี ร.ศ. 127 (แก้ไข) พระราชบัญญัติเพิ่มเติมวิธีพิจารณาความอาญา ร.ศ.120 และ ร.ศ.126
การจัดทำประมวลกฎหมายอาญา ขั้นตอนการร่างประมวลกฎหมายอาญา ร.ศ.116 ตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญกฎหมาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้ ตรวจพระราชกำหนดบทพระอัยการเก่าใหม่ โดยได้ออกกฎหมายที่จำเป็นต้องใช้ ก่อน เช่น พรบ.ว่าด้วยอั้งยี่ ร.ศ.116, พรบ.ลักษณะข่มขืนประเวณี ร.ศ.118, พรบ.ลักษณะหมิ่นประมาท ร.ศ.118, ประกาศลักษณะฉ้อ ร.ศ.119 เป็นต้น ร.ศ. 123 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายยอร์ช ปาดูซ์ เข้ามารับราชการเป็นที่ ปรึกษาในการร่างกฎหมาย โดยนายปาดูซ์ได้ให้ความเห็นว่าควรตั้ง คณะกรรมการชุดใหม่โดยให้ดูตัวอย่างจากประมวลกฎหมายอาญาของฝรั่งเศส และฮอลันดา เป็นหลัก เมื่อคณะกรรมการในข้อ 2 แก้ไขร่างเสร็จ ได้นำทูลเกล้าถวาย
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะกรรมการเสนาบดี 4 ท่าน เพื่อตรวจร่าง ของนายปาดูซ์ รัชกาลที่ 5 ทรงตรวจร่างด้วยพระองค์เองอีกครั้งหนึ่ง และทรงปรึกษาที่ประชุม เสนาบดี เมื่อเสนาบดีเห็นชอบ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติต่อไป ประมวลกฎหมายลักษณะอาญาฉบับนี้ จึงได้ประกาศใช้ใน ร.ศ.127 เราอาจกล่าวได้ว่าประมวลกฎหมายอาญาฉบับนี้มีความทันสมัยยิ่งในขณะนั้น เพราะได้นำเอาหลักกฎหมายอาญาที่เป็นที่นิยมอยู่ในประเทศต่างๆ มาดัดแปลง ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย
หลักกฎหมายอาญาที่ได้นำมาบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายลักษณะอาญา มี ดังนี้ การกำหนดหลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับความผิดทางอาญา เช่น กำหนดเรื่องเจตนา พยายาม ป้องกัน เหตุยกเว้นโทษ และได้กำหนดขอบเขต การบังคับใช้กฎหมายด้วย การแบ่งประเภทของความผิด ไม่ได้มีการแบ่งประเภทความผิดออกเป็นลหุโทษ มัธยโทษ และอุกฤษโทษ เหมือน ประเทศอื่นๆ แต่แบ่งเป็นภาคทั่วไป กับ ภาคความผิด ที่มีความผิดลหุโทษรวมอยู่ ด้วย การลงโทษ กำหนดโทษไว้ 6 สถาน ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก ปรับ ให้อยู่ในเขตที่อันมีกำหนด ให้ริบทรัพย์ และให้เรียกประกันทานบน
เกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิดในครั้งแรกและผู้กระทำความผิดซ้ำ มีการกำหนดเงื่อนไขในคำพิพากษา เพื่อป้องกันไม่ให้กระทำความผิดซ้ำและ หลีกเลี่ยงการจำคุกระยะสั้น / มีการเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดโดยไม่เข็ดหลาบ มีการกำหนดโทษขั้นต่ำและขั้นสูง อันเป็นการให้ดุลพินิจแก่ศาลในการกำหนดโทษ โดยขยายช่วงของโทษให้กว้างขึ้น กว่าของประเทศฝรั่งเศส การกระทำวามผิดหลายบทหรือหลายกรรม – ไทยนำหลักการนี้มาจากประเทศอังกฤษ คือ ถ้ากระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ ให้เรียงกระทงลงโทษ / ถ้ากระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนัก
การนับเวลาของโทษจำคุก การกระทำความผิดของเด็กและเยาวชน เป็นการบัญญัติให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในมาตรา 32, 33 การกระทำความผิดของเด็กและเยาวชน เป็นหลักยกเว้นโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดที่อายุไม่ถึง 7 ปี เป็นต้น กฎหมายอาญาฉบับนี้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2451 มี 340 มาตรา มี ความกะทัดรัด เข้าใจง่าย และมีข้อบกพร่องน้อยกว่าประมวลกฎหมายอาญาของ ประเทศญี่ปุ่น ประมวลกฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับมาเกือบ 50 ปี และได้ยกเลิกเมื่อ พ.ศ.2499
การจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เริ่มขึ้นในปี พ.ศ.2451 (ร.ศ. 127) ภายหลังจากการประกาศใช้ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริให้จัดทำประมวลกฎหมายนี้ขึ้นเพื่อรวบรวมกฎหมาย ที่กระจัดกระจายเข้ามาเป็นหมวดหมู่ ให้เหมาะสมกับกาลสมัย โดยให้ประกาศส่วน ที่สำคัญไปก่อน ส่วนอื่นๆ ให้ประกาศเพิ่มเติมในภายหลัง คณะกรรมการที่ทรงตั้งขึ้นประกอบด้วยนักกฎหมายชาวฝรั่งเศสล้วนๆ โดยได้เสนอ ให้รวมกฎหมายแพ่ง กับกฎหมายพาณิชย์เข้าเป็นฉบับเดียวกัน โดยเอาตามอย่าง ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
คณะกรรมการร่างกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้น โดยแบ่งหน้าที่การทำงานออกเป็น 6 กอง คณะกรรมการกองที่ 1 – เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสนาบดีกระทรวง ยุติธรรม เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ เสนาบดีกระทรวงวัง โดยมีหน้าที่ ตัดสินนโยบายในการร่างกฎหมาย เพื่อให้คณะกรรมการที่มีหน้าที่ร่างกฎหมาย ปฏิบัติตาม คณะกรรมการกองที่ 2 – เป็นนักกฎหมายชาวต่างประเทศ เช่น นายมาเซา นาย ติลเลกี นายเทอร์เนอร์ นายปาดูซ์ และนักกฎหมายชาวไทย มีหน้าที่ร่างกฎหมาย ตามนโยบายที่คณะกรรมการกองที่ 1 อนุมัติ
คณะกรรมการกองที่ 3 – นักกฎหมายชาวฝรั่งเศส มีหน้าที่แปลกฎหมายเป็น ภาษาฝรั่งเศส คณะกรรมการกองที่ 4 – นักกฎหมายชาวอังกฤษ มีหน้าที่แปลกฎหมายเป็น ภาษาอังกฤษ คณะกรรมการกองที่ 5 – ผู้พิพากษาไทยและนักกฎหมายไทย หน้าที่ตรวจร่าง กฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการพิพากษาของศาลไทย คณะกรรมการกองที่ 6 – นักกฎหมายไทย ทำหน้าที่ตรวจความถูกต้องของ กฎหมายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าถวาย ต่อมามีการปรับปรุงคณะกรรมการนี้เพื่อความเหมาะสมในการทำงาน ท้ายที่สุด หน้าที่ในการร่างกฎหมายตกเป็นของนายปาดูซ์ กับ หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์
ภายหลังจากนายปาดูซ์ออกจากการร่างกฎหมายไป (2451-2457) นาย เดเลสเตร ได้เข้ามาดูแลต่อ (2457-2459) หากแต่การร่างกฎหมายภายใต้การ ดูแลของนายเดเลสเตร เป็นไปอย่างล้าช้าและไม่มีหลักเกณฑ์ โดยทำได้เพียง 2 บรรพ และใช้เงินไปจำนวน 770,000 บาท พ.ศ.2459 ได้มีการปรับปรุงคณะกรรมการร่างกฎหมายใหม่ โดยมีพระเจ้าบรม วงศ์เธอกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ เป็นประธาน และมีนายเรอเน่ กียอง เป็น กรรมการด้วย ในการร่างกฎหมายครั้งใหม่นี้ มีเรอเน่ กียอง เป็นผู้อำนวยการในการร่าง โดยเป็น การยกร่างให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ไม่ใช่คัดลอกบทบัญญัติ กฎหมายต่างประเทศมาแล้วดัดแปลงเพียงผิวเผิน
โดยผู้ร่างจะทำการศึกษาเรื่องนั้นๆ อย่างกว้างๆ โดยดูจากตัวบทกฎหมายเดิมที่มี อยู่ และดูจากประมวลกฎหมายที่สำคัญของต่างประเทศ ต่อมา พ.ศ. 2462 กรมหลวงสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ได้ลาออกจากประธานกรรมการร่าง และเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร (เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม) ได้เข้ามาทำ หน้าที่แทน พ.ศ. 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเหล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะ กรรมการชำระประมวลกฎหมาย เป็น กรมร่างกฎหมาย สังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีเจ้าพระยาอภัยราชาฯ เป็นนายกกรรมการ และนายเรอเน่ กียอง เป็นที่ปรึกษา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพที่ 1 และ 2 ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2466 โดยให้มีผลในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2467 แต่ก็ต้องเลื่อนออกไปอีก 1 ปี โดยประกาศใช้พร้อมกับบรรพ 3 แต่ประมวลกฎหมาย 2 บรรพที่ประกาศใช้นี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ว่ามีข้อบกพร่องหลายประการ อ่านไม่เข้าใจ อ่านไม่รู้เรื่อง โดยอาจเป็นเพราะผู้ ร่างฝีมือไม่ถึงขั้น ประกอบกับมีความเกรงใจฝรั่งเศสจึงไม่กล้าแก้ไข ในที่สุดต้องมีการตั้งกรรมการชุดใหม่ โดยในการร่างใช้โครงร่างประมวลกฎหมาย แพ่งแบบเยอรมัน โดยลอกจากประมวลกฎหมายแพ่งของญี่ปุ่น แต่ก็ได้นำ บทบัญญัติจากกฎหมายฝรั่งเศสในฉบับเก่าและบางตอนจากกฎหมายแพ่งของ สวิสเซอร์แลนด์มารวมไว้ด้วย
11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ได้มีพระราชกฤษฎีกายกเลิกประมวลกฎหมายแพ่งฯ ฉบับเดิม เฉพาะบรรพ 1 และ 2 และประกาศใช้ฉบับที่ได้ตรวจชำระใหม่แทน พ.ศ. 2472 ได้มีการประกาศให้ใช้บรรพ 3 ที่ชำระใหม่ แทนที่ฉบับเดิม พ.ศ. 2473 ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 โดยให้ใช้ บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2473 พ.ศ. 2478 ประกาศให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และ 6
อย่างไรก็ดี การที่ชาวฝรั่งเศสมีส่วนร่วมในการร่างประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ชองไทยมาโดยตลอด ทำให้กฎหมายฝรั่งเศสมีอิทธิพลพอสมควร เช่น เรื่อง สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ส่วนกฎหมายอังกฤษก็มีอิทธิพลเช่นเดียวกัน เช่น เรื่องล้มละลาย ซื้อขาย ตั๋วเงิน
การร่างประมวลกฎหมายวิธีสบัญญัติ ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการออกกฎหมายวิธีสบัญญัติใช้บังคับไปพลางก่อน เมื่อ ร.ศ. 115 และกฎหมายลักษณะพยาน ร.ศ. 113 มีการประกาศใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความ แพ่ง ในปี ร.ศ. 127 การจัดทำร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความได้เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2453 แต่ได้มา ทำอย่างจริงจังเมื่อ พ.ศ. 2475 จนกระทั้งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2477 ได้มีการประกาศใช้พระธรรมนูญศาล ยุติธรรม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เรอเน่ กียอง มีบทบาทสำคัญในการจัดทำร่างกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอย่างมาก โดยได้เสนอให้ 1) อาศัยระบบกฎหมายไทยที่มีอยู่เป็นหลัก 2) สำหรับกฎหมายต่างประเทศ ให้ดูกฎหมายของแอฟริกาใต้ และลังกา ที่ดูตัวอย่างจาก ประเทศฮอนแลนด์ 3) ระบบการสอบสวนเป็นแบบ ให้ศาลเป็นผู้ทำการสอบสวน (ตามที่ใช้อยู่) ทำอย่างจริงจังหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 (เริ่มตั้งคณะกรรมการตั้งแต่ พ.ศ.2457) กรมร่างกฎหมายมอบหมายให้นายเรมี เดอปลังเตโรส ยกร่างประมวลกฎหมายฯ จนแล้ว เสร็จในปี พ.ศ.2476 และประกาศใช้เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2478 และมีผลใช้บังคับ ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2478
มีข้อพิจารณาบางประการเกี่ยวกับการร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เรื่องการจำกัดอำนาจฟ้องคดีอาญา – ควรให้ทั้งพนักงานอัยการและผู้เสียหายฟ้อง คดีอาญาได้ด้วย การสอบสวน – ควรทำโดยพนักงานฝ่ายปกครอง และพนักงานอัยการ ซึ่งช่วงแรก ไทยให้ศาลเป็นผู้ทำการสอบสวน โดยยึดหลักกฎหมายอังกฤษ การฎีกา – ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ไม่สามารถฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้ แต่ฎีกาได้ในความผิดทุกประเภท ต่อมากงสุลใหญ่อังกฤษ คัดค้าน โดยเฉพาะเรื่องระบบการสอบสวน ไทยจึงได้ยกกฎหมายของแอฟริกาใต้ซึ่งผสมผสานกฎหมายของอังกฤษและภาคพื้น ยุโรปเพื่อต่อสู้กับอังกฤษ
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ใช้เค้าโครงเดิมของพระราชบัญญัติ วิธีพิจารณาความแพ่ง ร.ศ. 127 ที่กรมหลวงราชบุรีฯ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการร่าง โดยอาศัยกฎหมายของอังกฤษและอินเดียเป็นหลัก ระหว่าง พ.ศ.2454 – 2457 นายริวิแอร์ ชาวฝรั่งเศส ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ยกร่าง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยได้อาศัยบทบัญญัติเดิม และเพิ่มเติม กฎหมายฝรั่งเศส และกฎข้อบังคับว่าด้วยวิธีพิจารณาในศาลกงสุลของอังกฤษใน ประเทศไทย พ.ศ. 2441 ไว้ด้วย ต่อมา พ.ศ. 2457 นายชาร์ลส์ เลเวส์ก ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ยกร่างต่อจากนายริวิ แอร์ และทำจนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2478 และได้มีการประกาศใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2478
อิทธิพลขอกฎหมายอังกฤษ การนำกฎหมายอังกฎหมายมาใช้ในระยะแรก โดยเฉพาะหลักเรื่องการพาณิชย์ โดยเป็นการหยิบมาใช้เป็นส่วนๆ สินจ้าง กฎหมายปิดปาก ทรัสตี ล้มละลาย พยาน ซื้อขาย หุ้นส่วน ตั๋วเงิน คำสอนในโรงเรียนกฎหมาย หลักกฎหมายอังกฤษถูกนำมาสอนในโรงเรียนกฎหมายด้วย รวมทั้ง แนวคิดทางนิติปรัชญาของจอห์น ออสติน (สำนักกฎหมายบ้านเมือง)
อิทธิพลของกฎหมายภาคพื้นยุโรป กฎหมายอาญา ใช้แนวคิดของประเทศที่ใช้ประมวลกฎหมายเป็นหลัก ประกอบ กับหลักกฎหมายเก่าของไทย (อั้งยี่ ซ่องโจร ปล้นทรัพย์) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีโครงร่างและแนวคิดจากกฎหมายภาคพื้นยุโรป โดย 4 บรรพแรก อาศัยโครงของเยอรมันเป็นหลัก (แต่ไทยแยกเอกเทศสัญญา ไว้ต่างหาก) กล่าวคือ บรรพ 1 บรรพ 2 เลียนแบบจากญี่ปุ่น บรรพ 3 มีกฎหมายอังกฤษปนอยู่ เรื่อง ตั๋วเงิน หุ้นส่วนบริษัท บรรพ 4 ใช้ตามแบบซีวิลลอว์ เช่น กรณีกรรมสิทธิ์เหนือ อสังหาริมทรัพย์ ผู้มีชื่อในทะเบียนย่อมมีสิทธิดีกว่า ส่วนสังหาริมทรัพย์ ผู้ใดครอบครองทรัพย์โดยสุจริตย่อมมีสิทธิดีกว่า
การผสมผสานความคิดสมัยใหม่เข้ากับสังคมไทย ในการรับกฎหมายจากต่างประเทศนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสให้ ดูกฎหมายของต่างชาติได้แต่อย่าตามไปเสียหมดทีเดียว ควร เลือกเอามาในสิ่งที่ดี และยกเลิกสิ่งที่ไม่ดี โดยควรให้สอดคล้องกับธรรมเนียมของ เราแต่เดิมด้วย ดังนั้น ในการจัดทำประมวลกฎหมายต่างๆ จึงต้องคำนึงถึงอยู่เสมอว่าบทบัญญัติ นั้นๆ เหมาะสมกับสังคมไทยหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่อง ครอบครัว
แนวคิดเรื่องผัวเดียวเมียเดียว อาจต่างจากแนวคิดดั้งเดิมของสังคมไทย แต่ไทยก็ ยอมรับแนวคิดนี้โดยใช้ระบบจดทะเบียนเป็นตัวกำหนด แต่หากฝ่าฝืนก็ไม่ถึงกับ เป็นความผิดอาญาฐานสมรสซ้อนเหมือนอย่างบางประเทศ (เช่น อิสราเอล เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เป็นต้น) กฎหมายอาญา เช่น เรื่อง การกำหนดโทษฐานฆ่าผู้บุพการีให้มีโทษหนักกว่าฆ่าคน ธรรมดา เรื่องการห้ามผู้สืบสันดานฟ้องผู้บุพการี หรือคดีอุทลุม เป็นต้น
กม.สมัยสุโขทัย ก.ม.อยุธยา (คัมภีร์พระธรรมศาสตร์) ก.ม.รัตนโกสินทร์ตอนต้น (กฎหมายตราสามดวง) มูลเหตุในการปฏิรูปกฎหมาย รัชกาลที่ 4 การปฏิรูปการศาลและกฎหมายในสมัย รัชกาลที่ 5