ความรู้เกี่ยวกับการบริหารค่าตอบแทน บทที่ 1. ดร.จันทร์เพ็ญ มีนคร
ความหมายของค่าตอบแทน ค่าตอบแทน หมายถึง รูปแบบของการจ่ายค่าตอบแทนหรือรางวัลทั้งหมดที่พนักงานได้รับจากการปฏิบัติงานในองค์การ ซึ่งจะประกอบด้วยค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินโดยตรง ในรูปของค่าจ้าง เงินเดือน ค่านายหน้า โบนัสและค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินทางอ้อม ในรูปของผลประโยชน์ ได้แก่ การประกันสุขภาพ การประกันชีวิต วันลาและวันหยุดพักผ่อน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสัมพันธ์ในการจ้างงาน เพื่อเป็นการตอบแทนในการปฏิบัติงาน ช่วยกระตุ้นให้บุคลากรได้ใช้ความรู้ ความสามารถในการเพิ่มผลผลิตให้กับองค์การ
องค์ประกอบของค่าตอบแทน ค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงิน (Financial Compensation) ค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินทางตรง ได้แก่ ค่าจ้าง เงินเดือน โบนัส ค่านายหน้า ค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินทางอ้อม การประกันสุขภาพชีวิตและอุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาล เงินประกันสังคม เงินช่วยเหลือการศึกษาบุตร ค่าจ้างที่จ่ายให้ในวันลา
องค์ประกอบของค่าตอบแทน ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นตัวเงิน (Nonfinancial Compensation) งาน (The job) หมายถึง ลักษณะของงานที่ทำให้ลูกจ้าง พึงพอใจ สภาพแวดล้อมของงาน (Job Environment) หมายถึง บรรยากาศในการทำงาน
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดค่าตอบแทน ปัจจัยภายในองค์การ คุณค่าของงานและพนักงานโดยเปรียบเทียบ นโยบายขององค์การ (Organization Policy) การกำหนดระดับค่าตอบแทน
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดค่าตอบแทน ความสามารถในการจ่ายขององค์การ (Ability to Pay) ประสิทธิภาพในการผลิต (Productivity) กระบวนการเจรจาต่อรองภายในองค์การ (Collective Bargaining)
ปัจจัยภายนอกองค์การ สภาพตลาดแรงงาน (Condition of Labor Market) การกำหนดค่าตอบแทน ระดับค่าจ้างและเงินเดือนโดยทั่วไป สภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ ข้อกำหนดของกฎหมาย
ความหมายของการบริหารค่าตอบแทน การบริหารค่าตอบแทน หมายถึง การพัฒนากลยุทธ์ในการกำหนดนโยบาย การวางแผน การจัดรูปแบบ โดยทำการออกแบบโครงสร้างการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงาน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายค่าตอบแทนทั้งที่เป็นรูปแบบทางตรงและทางอ้อมให้กับพนักงานอย่างเหมาะสมเป็นธรรม ทำให้เกิดความเสมอภาคและสอดคล้องกับความเป็นจริงทั้งภายในและภายนอกองค์การ
วัตถุประสงค์และความสำคัญของการบริหารค่าตอบแทน เพื่อดึงดูดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน หน่วยงานหรือองค์การ เพื่อเป็นเครื่องจูงใจบุคลากรให้มีผลการปฏิบัติงานดีขึ้น เพื่อรักษาพนักงานที่มีคุณภาพไว้ปฏิบัติงานในองค์การ เพื่อบริหารต้นทุนค่าใช้จ่าย การกำหนดรูปแบบและหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทน
วัตถุประสงค์และความสำคัญของการบริหารค่าตอบแทน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เพื่อให้องค์การมีแนวทางการปฏิบัติงานการจ่ายค่าตอบแทนเป็นไปตามกฏหมาย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่เป็นธรรมทั้งด้านงานที่ปฏิบัติ การประเมินผลงาน
ความสำคัญของการบริหารค่าตอบแทน ความสำคัญต่อพนักงาน (Employees) ค่าตอบแทนเป็นแรงจูงใจเบื้องต้นให้พนักงาน ความสำคัญต่อองค์การ (Organization) ค่าตอบแทนที่มีความสำคัญต่อองค์การ ความสำเร็จของผู้ถือหุ้น (Stockholders) ค่าตอบแทนถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นตัวเงิน
ความสำเร็จต่อผู้จัดการ (Managers) ค่าตอบแทน ถือเป็นค่าใช้จ่ายหลักขององค์การ ผู้จัดการต้องพิจารณาการจ่ายค่าตอบแทนที่จะมีอิทธิพลหรือจูงใจพฤติกรรมของพนักงาน
ความสำเร็จต่อสังคมโดยส่วนรวม (Society) ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางการเมือง
เป้าหมายของการบริหารค่าตอบแทน การดึงดูดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถให้เข้ามาทำงานกับองค์การ การจูงใจให้พนักงานปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ การเก็บรักษาพนักงานที่มีความรู้ความสามารถไว้กับองค์การ การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายขององค์การ
ความเป็นมาของการบริหารค่าตอบแทน ยุคแรกเริ่มก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงครั้งแรกในฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ใช้แรงงานเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงระบบทาส (Slavery ) มาเป็นระบบเจ้าแผ่นดิน (Serfdom) ซึ่งทำให้ผู้ใช้แรงงานมีสิทธิมากขึ้นกว่าเดิม กล่าวคือ ผู้ใช้แรงงานที่เป็นข้าแผ่นดิน ตลอดจนครอบครัวของเขาจะสามารถจัดหาอาหารที่อยู่อาศัยและเครื่องนุ่งห่มได้อย่างน้อยก็เพียงพอกับการยังชีพ
ยุคหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมจนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจมีการนำเครื่องจักรต่างๆมาใช้ในการผลิตทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากระบบอุตสาหกรรมในครัวเรือน มาเป็นระบบอุตสาหกรรมที่มีการทำงานในโรงงาน
ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงปัจจุบัน หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการบริหารค่าตอบแทนมากที่สุดเพราะในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีเหตุการณ์ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาวิธีปฏิบัติในการบริหารอย่างเป็นระบบมากขึ้นและในช่วงนี้เองเป็นช่วงที่รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงและกำหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือนของธุรกิจเอกชน ซึ่งในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง มีการนัดหยุดงานของลูกจ้างบ่อยครั้ง เนื่องมาจากเหตุผลเดียวกับความไม่พึงพอใจในค่าจ้างและเงินเดือน
กิจกรรมในการบริหารค่าตอบแทน การกำหนดนโยบายและแผนค่าตอบแทน วิเคราะห์งานทั้งหมดขององค์การ วิเคราะห์งานขององค์การจะทำให้ได้ข้อเท็จจริง การประเมินค่าของงาน เป็นวิธีการค้นหาลำดับความสำคัญของงาน กำหนดค่าตอบแทนให้กับงาน การเริ่มต้นในการตัดสินใจค่าตอบแทน
กิจกรรมในการบริหารค่าตอบแทน จัดทำโครงสร้างค่าตอบแทน กำหนดมาตรฐานผลงานและวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ประเมินผลงานของบุคลากร การประเมินผลงานจะช่วยให้เกิดความยุติธรรม การให้ค่าตอบแทนแบบจูงใจ บริหารและพัฒนาแผนค่าตอบแทน
แนวโน้มที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายค่าตอบแทน การจ่ายค่าตอบแทนตามระดับทักษะความชำนาญ การทดสอบความสามารถ การจ่ายค่าตอบแทนตามงาน ผลของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งงาน ความอาวุโสในงานและปัจจัยอื่น โอกาสก้าวหน้าในงาน
การกำหนดกลุ่มเงินเดือนหรือค่าตอบแทนที่กว้าง การจ่ายค่าตอบแทนตามสมรรถนะ (Competency-Based Pay) เช่น งานธุรการ งานบัญชี งานขาย การกำหนดกลุ่มเงินเดือนหรือค่าตอบแทนที่กว้าง การประเมินค่างานโดยใช้คอมพิวเตอร์ การสร้างความผูกพันของพนักงานโดยใช้การบริหารค่าตอบแทนเป็นเครื่องมือ
ผลประโยชน์เกื้อกูล ผลประโยชน์เกื้อกูล (Employee Benefits) หมายถึง ผลตอบแทนทางอ้อมที่องค์การให้เป็นรางวัลแก่พนักงานนอกเหนือไปจากการจ่ายค่าตอบแทนพื้นฐานและค่าตอบแทนแบบจูงใจ เพื่อให้พนักงานมีความมั่นคงและพึงพอใจในการทำงาน ผลตอบแทนประเภทนี้มีทั้งรูปแบบที่เป็นเงิน เช่น ค่าล่วงเวลา เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เงินทดแทน บำเหน็จบำนาญและรูปแบบที่ไม่เป็นเงิน เช่น รถรับส่งพนักงาน สหกรณ์ร้านค้า วันหยุดวันลา
ทำให้องค์การสามารถเก็บรักษาทรัพยากรบุคคลไว้ให้ทำงานกับองค์การ ช่วยเสริมหรือยกระดับขวัญและกำลังใจของพนักงานให้สูงขึ้น ช่วยให้องค์การสามารถดึงดูดหรือจูงใจคนดีมีความสามารถเข้ามาทำงานกับองค์การ สามารถลดปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ลงได้ ช่วยลดการแทรกแซงของรัฐบาลต่อการบริหารงานขององค์การลงได้
หลักการเกี่ยวกับการจัดผลประโยชน์เกื้อกูล ผลประโยชน์เกื้อกูลที่องค์การจัดให้กับพนักงาน ฝ่ายบริหารหรือนายจ้างควรให้พนักงานได้มีส่วนร่วม ผลประโยชน์เกื้อกูลที่จัดให้กับพนักงานควรจะมีขอบเขตครอบคลุม ฝ่ายบริหารควรสื่อสารเกี่ยวกับการจัดผลประโยชน์เกื้อกูลให้พนักงาน การจัดผลประโยชน์เกื้อกูลควรพิจารณาต้นทุนค่าใช้จ่ายขององค์การอย่างละเอียด
ประเภทของผลประโยชน์เกื้อกูล การจ่ายค่าตอบแทนเมื่อพนักงานไม่ได้ทำงาน (Payment for Time Off) พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เวลาพักระหว่างการทำงาน นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าให้มีเวลาพักครั้งหนึ่งน้อยกว่า 1 ชั่วโมงได้ แต่เมื่อรวมกันแล้ววันหนึ่งต้องไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ในกรณีที่มีการทำงานล่วงเวลาต่อจากเวลาทำงานปกติไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักไม่น้อยกว่า 20 นาทีก่อนที่ลูกจ้างจะเริ่มทำงานล่วงเวลา
วันหยุดประจำสัปดาห์ (Holidays) กฎหมายกำหนดให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจำสัปดาห์ สัปดาห์หนึ่งไม่น้อยกว่า 1 วัน โดยวันหยุดประจำสัปดาห์ต้องมีระยะห่างกันไม่เกิน 6 วัน วันหยุดตามประเพณี กฎหมายกำหนดว่าให้นายจ้างพิจารณากำหนดวันหยุดตามประเพณีจากวันหยุดราชการประจำปี วันหยุดทางศาสนาหรือขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งท้องถิ่น ปีหนึ่งร่วมกันไม่น้อยกว่า 13 วัน โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติ ในกรณีที่วันหยุดตามประเพณีวันใดตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ของลูกจ้าง ให้ลูกจ้างได้หยุดชดเชยวันหยุดตามประเพณีในวันทำงานถัดไป
วันหยุดพักผ่อนประจำปี (Vacations)กฎหมายกำหนดว่า นายจ้างจะต้องให้ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาแล้วครบ 1 ปี มีสิทธิ์หยุดพักผ่อนประจำปีครั้งหนึ่งไม่น้อยกว่า 6 วันทำงาน วันลา (Leaves) ตามที่กฎหมายกำหนด
การจ่ายค่าตอบแทนตามกฎหมาย ค่าล่วงเวลา ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน ให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่า 1 เท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนที่ทำ หรือไม่น้อยกว่า 1 เท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้ ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันหยุด ให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่า 3 เท่า ของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำ หรือไม่น้อยกว่า 3 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงาน
ค่าทำงานในวันหยุด ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุด ให้นายจ้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุดไม่น้อยกว่า 2 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำ หรือไม่น้อยกว่า 2 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้ สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าตอบแทนตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย ค่าชดเชย หมายถึง เงินที่นายจ้างจ่ายครั้งเดียวให้แก่พนักงาน เมื่อมีการเลิกจ้างหรือปลดออกจากงาน (Layoff) กฎหมายกำหนดให้พนักงานซึ่งถูกเลิกจ้างได้รับค่าชดเชยจากนายจ้างตามระยะเวลาการทำงานของพนักงาน
การให้บริการด้านเศรษฐกิจ บำเหน็จบำนาญ (Pension) เงินตอบแทนความชอบที่พนักงานได้ทำงานให้กับองค์การมาก่อนซึ่งจะได้รับเมื่อครบวาระเกษียณอายุไปจากองค์การ การประกันชีวิต สุขภาพ และอุบัติเหตุ โดยปกติองค์การมักจะจัดทำแผนประกันชีวิตแบบกลุ่ม (Group Life Insurance) ให้กับพนักงานทุกคน การให้บริหารทางการเงิน การให้บริการทางการเงินแก่พนักงานนิยมจัดทำในรูปของ “สหกรณ์ออมทรัพย์”
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) คือ กองทุนที่นายจ้างและพนักงานร่วมกันจัดตั้งขึ้นโดยความสมัครใจ ประกอบด้วยเงินที่พนักงานจ่ายสะสมและเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันแก่พนักงานเมื่อยามเกษียณอายุหรือออกจากงาน การประกันสังคม (Social Security) คือ ระบบการบริการของรัฐที่มุ่งให้หลักประกันแก่พนักงานในการดำรงชีวิต เพื่อมิให้ได้รับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในกรณีที่เจ็บป่วยหรือประสบอันตราย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน รวมทั้งในกรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน (รวมทั้งสิ้น 7 กรณี) โดยมี “กองทุนประกันสังคม” ที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
บทสรุป ค่าตอบแทนถือว่าเป็นรูปแบบของการจ่ายค่าตอบแทนหรือรางวัลที่พนักงานได้รับจากการปฏิบัติงานในองค์การตามตำแหน่งงานแต่ละคน ซึ่งองค์ประกอบของค่าตอบแทนประกอบด้วย ค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินโดยตรงในรูปของค่าจ้าง เงินเดือน ค่านายหน้า โบนัสและค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินทางอ้อม ในรูปของผลประโยชน์ ได้แก่ การประกันสุขภาพ การประกันชีวิต วันลาและวันหยุดพักผ่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสัมพันธ์ในการจ้างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดค่าตอบแทน ขององค์การนั้นจะเกิดจากอิทธิพลของปัจจัยใน 2 ด้าน ดังนี้คือ อิทธิพลของปัจจัยจากภายในองค์การและปัจจัยจากภายนอกองค์การ
Thank you