บทที่ 8 เงินเฟ้อ เงินฝืด และการว่างงาน
ความหมายของเงินเฟ้อ เงินเฟ้อ (Inflation) ภาวะที่ระดับราคาโดยทั่วไปของสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยอย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นว่าราคาสินค้าทุกชนิดต้องสูงขึ้นในเวลาที่เกิดเงินเฟ้อ อาจมีสินค้าบางชนิดราคาลดลงได้และบางชนิดราคาสูงขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือเมื่อพิจารณาราคาทั้งหมดแล้วโดยเฉลี่ยมีราคาสูงขึ้น
โดยเฉลี่ย ระดับราคาสินค้า มีค่าเพิ่มขึ้น ราคาสินค้า ก. ลดลง โดยเฉลี่ย ระดับราคาสินค้า มีค่าเพิ่มขึ้น ภาวะ เงินเฟ้อ ราคาสินค้า ข. คงที่ ราคาสินค้า ค. เพิ่มขึ้น
ระดับราคาสินค้าสูงขึ้น (รายได้ที่เป็นตัวเงินคงที่) ภาวะเงินเฟ้อ อำนาจซื้อลดลง รายได้ที่แท้จริงลดลง อำนาจซื้อลดลง
ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index : CPI) การวัดอัตราเงินเฟ้อ ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index : CPI) อัตราการเปลี่ยนแปลงของ CPI
ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index : CPI) หมายถึง ตัวเลขทางสถิติที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ครอบครัว หรือผู้บริโภคซื้อหามาบริโภคเป็นประจำ ในปัจจุบันเปรียบเทียบกับราคาในปีที่กำหนดไว้เป็นปีฐาน ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Consumer price index) เป็นดัชนีที่ใช้วัดอัตราเงินเฟ้อของประเทศ หรือที่เรียกว่า Headline inflation ซึ่งคำนวณจากสินค้า 373 รายการ
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core Consumer Price Index) หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) คือดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปที่หักรายการสินค้ากลุ่มอาหารสด (ซึ่งมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงบ่อยและเป็นลักษณะตามฤดูกาล) และสินค้ากลุ่มพลังงานออก เหลือแต่รายการสินค้าที่ราคาเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด สินค้าที่ใช้คำนวณมีจำนวน 266 รายการ จากจำนวนรายการสินค้า 373 รายการของสินค้าในตะกร้าวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดเป้าหมาย วิเคราะห์และติดตามนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
การคำนวนหาอัตราเงินเฟ้อ (อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภค) ถ้า ปี 2551 มี CPI เท่ากับ 127.8 ปี 2552 มี CPI เท่ากับ 128.2 อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภค ปี 2552 เท่ากับเท่าใด เมื่อเทียบกับปี 2551 CPI ปี 51 = 127.8 CPI ปี 52 เพิ่มขึ้น = 128.2 - 127.8 128.2 - 127.8 = 127.8 x 100 CPI ปี 51 = 100 CPI ปี 52 เพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อ ปี 2552 = 0.31
สูตรคำนวนอัตราเงินเฟ้อ ปี 2552 128.2 - 127.8 = 127.8 x 100 อัตราเงินเฟ้อ ปี 2552 CPI52 - CPI51 = CPI51 x 100
สูตรคำนวนอัตราเงินเฟ้อ ปีที่ N CPIn - CPIn - 1 = CPIn - 1 x 100
สาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อ เงินเฟ้อที่เกิดจากด้านอุปสงค์ (Demand - Pull Inflation) เงินเฟ้อที่เกิดจากด้านต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น (Cost - Push Inflation)
เงินเฟ้อที่เกิดจากด้านอุปสงค์ (Demand - Pull Inflation) เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจากอุปสงค์มวลรวมของประเทศเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่อุปทานมวลรวมของสินค้าและบริการไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ อุปสงค์มวลรวม (Aggregate Demand) เพิ่มขึ้น
Supply ต่อสินค้า ก. P Q S
AS = Aggregate Supply AD = Aggregate Demand P Q AD5 AS P5 AD4 P4 AD3 AD2 P3 AD1 P2 Qf P1
สาเหตุที่อุปสงค์รวมเพิ่มสูงขึ้น 1. การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน 2. การเพิ่มขึ้นของส่วนประกอบของอุปสงค์มวลรวมของประเทศ
การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น ใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น Aggregate Demand เพิ่มขึ้น เกิดภาวะเงินเฟ้อ
การเพิ่มขึ้นของส่วนประกอบของอุปสงค์มวลรวมของประเทศ GDP = C + I + G + (X – M) Aggregate Expenditure = C + I + G + (X – M) Aggregate Demand = C + I + G + (X – M)
Aggregate Demand = C + I + G + (X – M) เกิดภาวะเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อที่เกิดจากด้านต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น (Cost - Push Inflation) เงินเฟ้อที่เกิดจากต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นในขณะที่อุปสงค์มวลรวมของประเทศยังคงเดิม อุปทานมวลรวม (Aggregate Supply) ลด
P Q AS AS1 AS2 AS3 AD P3 P2 P1
ผลกระทบของเงินเฟ้อ 1. ผลต่อการกระจายรายได้ 2. ผลต่อการออมและการลงทุน กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อ กลุ่มที่เสียประโยชน์จากเงินเฟ้อ 2. ผลต่อการออมและการลงทุน 3. ผลต่อการคลังของรัฐบาล 4. ผลต่อการค้าระหว่างประเทศ 5. ผลต่อการเมืองของประเทศ
ผลต่อการกระจายรายได้ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อ กลุ่มที่มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ผู้ที่ทำสัญญาจ่ายเงินไว้แล้วเป็นระยะเวลานาน ผู้ที่ถือทรัพย์สินที่ราคาของทรัพย์สินนั้นสามารถ เปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะเงินเฟ้อ ฯลฯ
กลุ่มที่เสียประโยชน์จากเงินเฟ้อ ผู้ที่มีรายได้ประจำ เจ้าหนี้ที่ไม่สามารถปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นได้ ผู้ถือทรัพย์สินในรูปของเงินฝากธนาคาร ผู้ให้เช่าที่สัญญาเช่าระยะยาว และไม่สามารถปรับค่าเช่าได้ ฯลฯ
ผลต่อการออมและการลงทุน ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ถือสินทรัพย์อื่นแทนการฝากเงิน ประเทศขาดแคลนเงินออมเพื่อการลงทุนระยะยาว การลงทุนของประเทศลดลง
ผลต่อการคลังของรัฐบาล ผลกระทบด้านรายได้ ภาษีอัตราก้าวหน้า รายได้ที่เป็นตัวเงิน ของประชาชนสูงขึ้น เก็บภาษีได้ เพิ่มขึ้น ภาษีทางอ้อม มีการซื้อ - ขายสินค้าเพิ่มขึ้น
กรณีที่รัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ผลกระทบด้านรายจ่าย กรณีที่รัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น กรณีที่รัฐมีกู้เงิน เงินที่รัฐจ่ายคืน มีอำนาจซื้อลดลง + รายได้รัฐเพิ่มขึ้น รายจ่ายที่แท้จริงลดลง ชำระดอกเบี้ยได้ไม่ยาก
ผลต่อการค้าระหว่างประเทศ ราคาสินค้า ในประเทศสูงขึ้น ราคาสินค้าจาก ต่างประเทศถูกกว่า ราคาสินค้า ในประเทศสูงขึ้น สินค้าส่งออก มีราคาสูงขึ้น สินค้านำเข้า มีราคาถูก สินค้าส่งออกลดลง ซื้อสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น ดุลการค้าขาดดุล
ผลต่อการเมืองของประเทศ ประชาชนยิ่งเดือดร้อน เพราะรายได้แท้จริงลดลง การกระจายรายได้ มีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น เงินเฟ้อ ประชาชนเดือดร้อน (ค่าครองชีพสูงขึ้น) รัฐบาลแก้ไขไม่ได้ พยายามเรียกร้อง เพื่อให้ได้รายได้เพิ่มขึ้น เกิดความไม่พอใจ เงินเฟ้อยิ่งเพิ่มขึ้น เปลี่ยนแปลงรัฐบาล
การแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ลดอุปสงค์มวลรวมหรือลดการใช้จ่ายรวมของประเทศ เพิ่มอุปทานมวลรวม มาตรการอื่น ๆ
ลดอุปสงค์มวลรวมหรือลดการใช้จ่ายรวมของประเทศ ใช้นโยบายการเงินหรือนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน นโยบายการเงินแบบเข้มงวด บทที่ 6 (ไปทบทวนเอาเอง) นโยบายการคลัง นโยบายการคลังแบบหดตัว บทที่ 7 (ไปทบทวนเอาเอง)
เพิ่มอุปทานมวลรวม เน้นมาตรการในระยะยาว ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อเพิ่มอุปทานมวลรวมให้ทันกับการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์มวลรวม คิดค้นวิทยาการใหม่ ฝึกอบรมเพิ่มทักษะแก่แรงงาน
มาตรการอื่น ๆ ควบคุมราคาสินค้า โดยกำหนดราคาขายในท้องตลาดของสินค้าที่สำคัญบางชนิดที่จำเป็นต่อการครองชีพ มีการลงโทษผู้กักตุนสินค้า ควบคุมสหภาพแรงงานไม่ให้เรียกร้องค่าแรงสูงกว่าผลิตภาพของแรงงาน ฯลฯ
เงินฝืด (Deflation) ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการทั่วไปลดต่ำลงเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง อุปสงค์มวลรวมของระบบเศรษฐกิจมีน้อยกว่าปริมาณสินค้าที่ นำออกขาย อำนาจซื้อเพิ่มขึ้น (รายได้ที่แท้จริงเพิ่มสูงขึ้น)
อุปสงค์มวลรวมของระบบเศรษฐกิจมีน้อยกว่า ปริมาณสินค้าที่นำออกขาย ผู้ผลิตต้องลดราคาลงเรื่อยๆ ลดปริมาณการผลิตและการจ้างงาน เกิดการว่างงาน
การแก้ปัญหาเงินฝืด ทางด้านนโยบายการเงิน บทที่ 6 (ไปทบทวนเอาเอง) ธนาคารกลางควรใช้มาตรการต่าง ๆ ทางการเงินเพื่อเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศซึ่งจะมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง การใช้จ่ายรวมและการลงทุนของประเทศ ทางด้านนโยบายการคลัง บทที่ 7 (ไปทบทวนเอาเอง) รัฐบาลเพิ่มอุปสงค์รวมของประเทศได้โดยการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลให้มากขึ้น มีการลงทุนสร้างสิ่งสาธารณูปโภคต่าง ๆ
การว่างงาน (Unemployment) ภาวะการณ์ที่ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานซึ่งมีความสมัครใจและมีความสามารถ ที่จะทำงาน ณ ระดับค่าแรงที่ปรากฏ แต่ไม่สามารถหางานทำได้ กลุ่มวัยทำงานเป็นกลุ่มประชากรที่อยู่ในช่วงวัย 15-60 ปี สำหรับประเทศไทยคือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป โดยไม่รวมนักเรียน นักศึกษา ภิกษุ นักบวช ผู้เจ็บป่วย คนพิการ และผู้เกษียณอายุ
ลักษณะของการว่างงาน การว่างงานมี 2 ลักษณะ คือ 1. การว่างงานโดยสมัครใจ 2. การว่างงานโดยไม่สมัครใจ
ว่างงานโดยไม่สมัครใจ ประเทศ A ประเทศ B ประชากร 10 คน 9 คน มีงานทำ นาย ก. ไม่มีงานทำ นาย ข.ไม่มีงานทำ นาย ก. หางานทำไม่ได้ นาย ข.ไม่ต้องการทำงาน ว่างงานโดยไม่สมัครใจ ว่างงานโดยสมัครใจ มีการว่างงาน ไม่มีการว่างงาน
การแก้ปัญหาการว่างงาน 1. นโยบายการเงินหรือนโยบายการคลัง เพิ่มอุปสงค์รวมหรือการใช้จ่ายมวลรวม นโยบายการเงิน นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย นโยบายการคลัง นโยบายการคลังแบบขยายตัว 2. นโยบายประชากร ควบคุมอัตราการเพิ่มของประชากร