การใช้ CAPM ประมาณการต้นทุนของเงินทุน การพิจารณาต้นทุนเงินทุนของเจ้าของตามแบบวิธี Discounted Cash Flow (DCF) จะมีข้อจำกัดในเรื่องของสมมติฐานที่ตั้งขึ้น กล่าวคือ จะกำหนดไว้ว่าเงินปันผลที่จ่ายมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นทุกปี และเพิ่มด้วยอัตราคงที่ ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง ดังนั้น จึงมีการนำวิธีที่เรียกว่า Capital Asset Pricing Model – CAPM มาใช้ในการคำนวณ ภายใต้แนวคิด CAPM – ค่าของทุนของเจ้าของจะเท่ากับอัตราผลตอบแทนแบบไม่มีความเสี่ยง + ค่าชดเชยความเสี่ยงที่คำนวณขึ้นมาจากค่าเบต้าของหุ้นสามัญและค่าชดเชยความเสี่ยงของตลาด ดังนั้น ต้นทุนของหุ้นสามัญจะเท่ากับ
การใช้ CAPM ประมาณการต้นทุนของเงินทุน โดยที่ Rf หมายถึง อัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยง Rm หมายถึง อัตราผลตอบแทนของตลาด β หมายถึง ดัชนีวัดความเสี่ยงของกิจการ การประมาณค่า Rf นั้น จะมีหลักเกณฑ์ 2 ข้อ คือ ไม่มีความเสี่ยงในด้านการผิดนัดชำระ (Default Risk) และไม่มีความเสี่ยงในอัตราผลตอบแทนที่นำไปลงทุนต่อ (Reinvestment Rate Risk) ในบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ จะใช้พันธบัตรรัฐบาล แต่ทั้งนี้พันธบัตรรัฐบาลต้องมีสภาพคล่องสูงด้วย กรณีที่ไม่มีพันธบัตรรัฐบาลหรือมีพันธบัตรแต่ไม่มีสภาพคล่อง สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่ปรับด้วยค่าความน่าเชื่อถือของกิจการ
การใช้ CAPM ประมาณการต้นทุนของเงินทุน การประมาณค่า Rm-Rf – หรือส่วนชดเชยความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาด ซึ่งเท่ากับผลตอบแทนส่วนเกินของตลาด กล่าวอีกนัยหนึ่ง ค่า Rm-Rf = ผลตอบแทนของตลาดหักด้วยผลตอบแทนแบบไม่มีความเสี่ยง = ค่าเสียโอกาสของนักลงทุนในการนำเงินมาลงทุนในตลาด การชดเชยความเสี่ยง = ค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทนตลาดในอดีต การประมาณค่า Beta ของหลักทรัพย์ I – ค่าเบต้าเป็นการวัดการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนหุ้นสามัญของบริษัทใดบริษัทหนึ่งเทียบกับการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์โดยรวม (ซึ่งมักจะใช้อัตราที่ใช้ในตลาดหลักทรัพย์)