บทบาทใหม่ของการบริหารทรัพยากรบุคคล กลุ่มงานวางแผนอัตรากำลัง กองการเจ้าหน้าที่ กรมการพัฒนาชุมขน
ประเด็นนำเสนอ การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ที่นักพัฒนาควรรู้ กรอบแนวคิดการบริหาร HR แบบเดิม และแบบใหม่ แนวทางการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ มุมมองสำคัญๆ ด้าน HR
การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ที่นักพัฒนาควรรู้
การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ภาวะวิกฤตโลก การพัฒนาเทคโนโลยี ลักษณะการบริหารจัดการแบบใหม่ๆ Lifestyle คนที่เปลี่ยนไป ขนาดและความมั่นคงขององค์กร
ภาวะวิกฤตโลก เศรษฐกิจโลกตกต่ำ การเมืองที่ไม่มั่นคง ภัยจากการก่อการร้าย ด้านสังคม ผู้สูงอายุ ความยากจน คนขาดทักษะ ขาดการ พัฒนาตนเอง ติดหรู ติดสบาย ติดSocial ความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่างกัน ก่อให้เกิดปัญหา ความ ขัดแย้ง การก่อการร้าย สิ่งแวดล้อม มลพิษ สมดุลทางชีวภาพ การทำลาย ธรรมชาติ ภัยพิบัติ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟป่า การแพร่ระบาดของโรคร้าย ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ โรคเมอร์ส โรคซาร์ ไวรัสอีโบล่า ไวรัสซิกา -การระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola Virus) อย่างรุนแรงในภูมิภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกา ได้แก่ประเทศ กินี, ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน รวมถึงไนจีเรีย -Zika คือโรคติดเชื้อไวรัสที่มาจากยุงลาย หรือเรียกอีชื่อว่าไข้ซิกา เป็นอีกโรคร้ายแฝงเงียบมากับยุง ส่งผลตรงต่อระบบสมอง โดยเฉพาะเด็กในครรภ์ โตช้า แคระแกร็น ไม่ปกติ ไม่ใช่โรคใหม่แต่ไม่คุ้นหูเพราะตรวจพบน้อย เคยตรวจพบระบาดมากในประเทศบลาซิล เมื่อปี 2557 -MERS ย่อมาจาก Middle East Respiratory Syndrome หรือ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง “ไวรัสเมอร์ส” เป็นไวรัส ทางเดินหายใจ แต่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ไวรัสเมอร์สนี้ เมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัสเมอร์ส จะมีอาการไอ มีไข้ และหายใจลำบาก ดูเผินๆ เหมือนเป็นโรคไข้หวัดปกติ แต่เมื่อเป็นหนักเข้าก็อาจจะมีผลต่อระบบทางเดินอาหารด้วย -หรือ SARS ย่อมาจาก Severe acute respiratory distress syndrome หรือบางคนเรียกว่า กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง คือโรคติดต่อร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อไว รัสชื่อ SARS coronavirus โดยผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการทางระบบหายใจ ซึ่งอาจรุนแรงจนมีโอ กาสเสียชีวิตได้สูง เป็นโรคที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ โดยเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศจีนในปี พ.ศ. 2545 ติดต่อกันได้ง่าย จึงทำให้เกิดการระบาดไปยังอีกหลายประเทศทั่วโลก
การพัฒนาเทคโนโลยี การสื่อสาร 4 G เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มีทั้ง + และ - การแพทย์ สเต็มเซลล์ กล้องแคปซูล หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด พลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์พลังน้ำ/ไฮโดรเจน รถไฟความเร็วสูง การผลิต นาโนเทคโนโลยี smart card
ลักษณะการบริหารจัดการแบบใหม่ เครื่องมือและกลยุทธ์การบริหารองค์กรต่างๆ KM & LO, Business strategic unit การ outsource CSR Human Right Forecasting พยากรณ์แนวโน้มอนาคตด้านต่างๆ อันดับ 1 คือ CRM (Customer Relationship Management) การสร้างความสัมพันธ์ของลูกค้า อันดับ 2 คือ Benchmarking การเทียบเคียง อันดับ 3 คือ Employee Engagement Surveys การสำรวจความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร อันดับ 4 คือ Strategic Planning การวางแผนกลยุทธ์ อันดับ 5 คือ Outsourcing การจ้างช่าง อันดับ 6 คือ Balanced Scorecard อันดับ 7 คือ Mission and Vision Statements การกำหนดวิสัยทัศน์และภารกิจ อันดับ 8 คือ Supply Chain Management การจัดการโซ่อุปทาน อันดับ 9 คือ Change Management การบริหารการเปลี่ยนแปลง อันดับ 10 คือ Customer Segmentation การแบ่งกลุ่มลูกค้า
10 เครื่องมือบริหารองค์กรที่นิยมที่สุดของโลกในปี 2014
Lifestyle คนเปลี่ยนไป สื่อ social มีผลและมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตมาก กระแส SOCIAL มาแรง Identity & Self-expression ต้องการให้คนยอมรับในตัวตน เกิด blogger ขึ้นมากมาย แสดงออกเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ผ่าน Social Media คอย up Face /ส่ง line ต้องการความเป็นส่วนตัว ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ความอดทนต่ำ นิยม delivery service /shopping online สังคมที่ขาดความไว้วางใจ Trust Slow life คือ การใช้ชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างมีสาระ ชะลอตัวเองให้ไม่ไหลอย่างไร้ทิศทางไปตามกระแสสังคม ทำทุกอย่างด้วยสปีดที่ช้าลง เพื่อให้มีสติและซึมซาบความหมายของชีวิตได้มากขึ้น/ Hipste ฮิปสเตอร์ นิยมของนอกกระแส จะว่าไป ฮิปสเตอร์ก็คือเด็กแนวในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นวัยรุ่นเสมอไป ส่วนมากวัยของฮิปสเตอร์จะอยู่ในช่วงมหาลัยไปจนถึงวัยทำงาน คือ 18-30+ ปี พวกเขาคือคนที่นิยมทุกสิ่งที่นอกกระแส ไม่ว่าจะแต่งกาย ดูหนัง ฟังเพลง กิจกรรม ไปจนถึงการกินอยู่เลยทีเดียว ฮิปสเตอร์จะยี้กับทุกสิ่งที่มีความเป็นแมสหรือป๊อบ และเพื่อจะให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เราจะยกตัวอย่างลักษณะของฮิปสเตอร์โดยทั่วไปมา 10 อย่าง ซึ่งถ้าใครมีลักษณะหรือพฤติกรรมเข้าข่ายลักษณะที่ยกมาเกินกว่าครึ่งแล้ว นั่นแหละ จัดว่าเป็น ฮิปสเตอร์อย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้วล่ะ 1. ชอบถ่ายภาพแนวอาร์ตๆ เท่ๆ อย่างพร่ำเพรื่อ กะโหลกกะลาบ้าบออะไรก็ถ่าย แล้วนำมาปรับสีด้วยแอพต่างๆ ตอนนี้ฮิปสเตอร์กว่า 80% นิยมปรับภาพให้มีโทนสีอุ่นๆ ซีดๆ โดยมีนิตยสารแนวไลฟ์สไตล์ชิคๆ คูลๆ อย่าง Kinfolk หรือ Cereal ของต่างประเทศเป็นพระคัมภีร์ต้นแบบ แม้ว่าโลเคชั่นจะเป็นเมืองไทยพวกเขาก็จะพยายามเซ็ตให้ดูคล้ายญี่ปุ่น อเมริกา หรือยุโรปที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฮิปสเตอร์มักจะมีทั้งกล้อง DSLR (ซึ่งบางคนก็พกไปงั้นแต่ไม่ได้ถ่ายอะไร แค่เอาไปวางไว้ให้ติดมาในเฟรมดูเท่ๆ เท่านั้นเอง) ยิ่งถ้าคนไหนที่ใช้กล้องฟิลม์ หรือมีกล้องฟิลม์แบบวินเทจอันเล็กๆ ด้วยแล้วล่ะก็ นั่นแหละฮิปสเตอร์ตัวพ่อตัวแม่แน่นอน 2. ถ่ายภาพลงโซเชียลฯ ถ่ายภาพแล้วมันยังไม่จัดว่าครบขั้นตอน ฮิปสเตอร์จะต้องโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ทั้ง IG, Twitter และ Facebook ส่วนคำบรรยายที่ใช้ประกอบภาพก็จะต้องเป็นวลีสั้นๆ ดูเพ้อๆ ลอยๆ เหงา และแอ๊บติสต์ไปด้วยในตัวภึงจะครบสูตร อ้อ! ที่ขาดไม่ได้เลยคือแฮชแท็ก ต้องใส่ให้เยอะๆ เข้าไว้ จะมีความหมายหรือไม่ไม่เป็นไร ใส่ไว้เยอะๆ ก่อน มันดูเก๋ดี ฮิปสเตอร์เขาชอบใช้กัน 3. คลั่งไคล้ในข้าวของเครื่องใช้ที่มีความของอะนาล็อก ของเหล่านี้ให้อารมณ์วินเทจย้อนยุค ไม่ว่าจะเป็นกล้องฟิลม์ กล้องโพลารอยด์ เครื่องเล่นแผ่นเสียง เชื่อหรือไม่ว่าฮิปสเตอร์หลายคนหันมาเล่นแม้กระทั่งเทปตาสเซ็ตหรือวิดิโอ จนทำให้สิ่งเหล่านี้มีราคาสูงขึ้นกลายเป็นของสะสมไปเลย 4. หนังนอกกระแส-วงดนตรีแนวๆ ไม่ว่าจะดูหนังหรือฟังเพลง หนังฮอลลีวู้ดนั้นจะไม่ค่อยถูกรสนิยมของพวกเขาเท่าไร ส่วนมากฮิปสเตอร์จะเลือกเสพเฉพาะหนังแนวๆ อาร์ตๆ เป็นหลัก ยิ่งหนังจากประเทศแปลกๆ เช่น อาร์เซอร์ไบจัน อุซเบกิสถาน หรือเอสโตเนีย ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักยิ่งรู้สึกเท่เป็นพิเศษ ดูเสร็จแล้วก็ต้องมารีวิวอย่างยืดยาวด้วยภาษาและแง่มุมลึกซึ้งลงในบล็อกหรือเฟซบุคซึ่งอ่านกันเอง อวยกันเองอยู่ในกลุ่มเล็กๆ ส่วนรสนิยมในการฟังเพลงของฮิปสเตอร์นั้นจะเน้นวงอินดี้ ไม่ว่าจะวงไทยหรือต่างประเทศ ยิ่งได้ฟังวงใหม่ๆ ก่อนใครยิ่งรู้สึกยืดเป็นพิเศษ เทศกาลดนตรีแนวๆ ที่เขาใหญ่ หรือพัทยา จึงเปรียบเสมือนงานเช็งเม้งที่พวกเขาจะต้องไปชุมนุมกันทุกปีเลยทีเดียว ส่วนถ้าฮิปสเตอร์จะฟังเพลงตลาดสุดๆ บ้างนั้น มักจะเป็นการแกล้ง ‘ฟังขำๆ’ มากกว่าชอบฟังด้วยความชื่นชมจริงๆ 5. ร้านกาแฟเก๋ๆ ชิคๆ ฮิปสเตอร์กับกาแฟเป็นสิ่งที่ขาดกันมิได้ แต่สำหรับฮิปสเตอร์แล้วจะซื้อกาแฟรถเข็นของอาแปะหรือร้านสะดวกซื้อนั้นมันไม่ใช่ ฮิปสเตอร์จะขวนขวายเสาะหาร้านกาแฟแต่งเก๋ๆ เล็กๆ ไม่ก็หรูหรามีระดับไปเลยเพื่อไปนั่งโพสต์ท่า เอ๊ย นั่งทำงาน แล้วถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียตามระเบียบ การถ่ายภาพแก้วกาแฟนั้นก็ต้องเลือกมุมเท่ๆ มีของประกอบฉากติดเข้ามาในเฟรม เช่นหนังสือที่ดูฉลาด แนวๆ สมุด ปากกา พวงกุญแจ หรือกระเป๋าที่บ่งบอกรสนิยมทันสมัยของพวกเขาด้วยเช่นกัน การดื่มกาแฟของพวกเขาจึงเปรียบเสมือนพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องประดิดประดอยสุดฤทธิ์ แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วชวนให้ตั้งคำถามว่า “จะเยอะไปไหน ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนั้น ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ” แต่หากวันไหนที่ฮิปสเตอร์ดื่มกาแฟร้านสะดวกซื้อพวกเขาจะไม่มีวันโพสต์ให้คุณเห็นหรอก ตลกดี 6. จักรยาน คนใช้จักรยานในเมืองไทยแบ่งได้เป็นสามกลุ่มคือ พวกปั่นเพื่อการเดินทาง พวกปั่นออกกำลังอย่างจริงจัง และพวกปั่นแบบชิคๆ คูลๆ เฉพาะวันหยุดหรือตอนกลางคืน ซึ่งเราจะพบฮิปสเตอร์ได้ในกลุ่มนักปั่นประเภทหลังเยอะมาก พวกนี้จะให้ความสำคัญกับรถ (บางคันราคาเป็นแสน ล้อแพงกว่าล้อแม็กรถยนต์ยังมีเลย) ออปชั่นแต่งรถ และชุดที่ใช้ใส่ปั่นมาก อย่าแปลกใจถ้าได้เห็นคนใส่เสื้อนอก หมวก กับกางเกงขาสั้น ปั่นจักรยาน เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว formต้องมาก่อน function เสมอ แม้จะดูกระแดะเพียงไรก้ไม่พรั่น การปั่นก็จะเน้นรวมตัวกันเป็นกลุ่มไปตามเส้นทางเก๋ๆ ที่นิยมมากเป็นพิเศษคือการปั่นไปทานอาหารตามร้านเท่ๆ หรือปั่นไปหาของกินตอนกลางคืนแถวเยาวราช สงสัยแถวบ้านคงไม่มีอะไรขายตอนดึกๆ แน่ ที่สำคัญ ต้องถ่ายภาพอัพลงเฟสด้วย ถ้าโลกนี้ไม่มีโซเขียมีเดีย เผลอๆ พวกนี้อาจไม่สนใจปั่นจักรยานซะด้วยซ้ำ 7. โซเชียลมีเดียคือชีวิตจิตใจของพวกเขา ฮิปสเตอร์จะไปไหนก็ต้องเช็คอิน และถ่ายภาพต่างๆ อวดตลอด บางคนที่มีความสามารถในการเล่าเรื่องด้วยภาพและตัวอักษรได้น่าสนใจ มีผู้ติดตามหลักพันคน ก็ยกระดับขึ้นมาเป็นเน็ตไอดอลไปเลยก็มี แค่จะให้ทะลุไปหลักหลายหมื่นแบบน้องมันแกว น้องมุกกี้ นั้นคงยากหน่อย เพราะฮิปสเตอร์ยังมีไม่มากพอขนาดทาสนมอย่างเราๆ ท่านๆ หรอก 8. ไอโฟน ไอแพด แม็คบุค แม้ฮิปสเตอร์จะชอบสโลว์ไลฟ์ แต่สำหรับเรื่องการสื่อสารแล้วกลับไม่ยักกะใช้นกพิราบหรือการเขียนจดหมาย พวกเขาหายใจเข้าออกเป็นการเสพข้อมูลในด้านเทรนด์และกระแสสังคมด้วยอุปกรณ์เหล่านี้ และยิ่งสินค้าตระกูลแอปเปิลมีหน้าตาสวยทันสมัยจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ฮิปสเตอร์จะเลือกใช้ยี่ห้อนี้เป็นหลัก 9. แว่น ผม หนวด เครา ฮิปสเตอร์นิยมใส่แว่นกรอบสี่เหลี่ยมทรงหนา ไม่ว่าสายตาจะปกติหรือไม่ก็ตาม แต่ใส่แล้วจะเพิ่มดีกรีความฮิปขึ้นอีกเลเวลหนึ่งทันที ส่วนทรงผมนั้น ตอนนี้ฮิปสเตอร์นิยมตัดผมกับช่างแนวบาร์เบอร์ย้อนยุค เป็นทรงไถด้านข้างสูงๆ แล้วเสยขึ้นไป อัดน้ำมันใส่ผมเหนียวๆ ที่มีชื่อเฉพาะว่าปอมเมด ไม่ใช่เจลหรือแว็กซ์ทั่วไป ราคาค่าตัดตั้งแต่ 400-1500 บาท ไม่รวมค่าปอมเมดกระปุกเล็กๆ ราคา 400-1000 บาทอีกต่างหาก ทรงผมนี้ก็ใช่ว่าทุกคนไว้แล้วจะดูดี บางคนตัดออกมาแล้วหน้ายังกะ แมนนี่ บาเกียว ก็มี ยังไงก็ขอฝากให้ช่วยใคร่ครวญตรงนี้ด้วย และที่สำคัญมากคือหนวด-เครา ฮิปสเตอร์เมืองนอกนั้นนิยมไว้เคราเฟิ้มๆ ที่มาต่อกับหนวดพอดี หรือหนวดที่จัดแต่งโง้งแบบพี่เล็ก คาราบาว แต่ฮิปสเตอร์ไทยซึ่งพันธุกรรมไม่ใช่พันธฺขนดกมีไม่กี่คนที่จะไว้ทั้งหนวดเคราแบบเขาได้ ส่วนใหญ่เลยต้องเอาดีทางการไว้หนวดแทน บางคนหนวดไม่ค่อยจะมี เดือดร้อนต้องไปหายาปลูกหนวดอีก ชีวิตช่างยุ่งยากจริงๆ 10. การกินอยู่ ฮิปสเตอร์จะเน้นการกินอาหารในสิ่งแวดล้อมที่ดูเก๋มาก่อนอาหารอร่อย ถ้าร้านดูไม่สวย ไม่เท่ พวกเขาก็ไม่ค่อยอยากจะย่างกรายเข้าไปนัก เพราะมันไม่ถูกจริต แต่ถ้าเป็นร้านที่แต่งแนวเท่ๆ เป็นไม้ๆ หรือปูนเปลือย ใช้โต๊ะนักเรียนหรือจักรเย็บผ้าให้ลูกค้านั่ง เสิร์ฟอาหารมาในจานไม้ ค็อกเทลหน้าตาแปลกๆ ในขวดแยมเก่าที่นำมารีไซเคิล นี่ใช่เลย เราเชื่อว่าฮิปสเตอร์คงมีการกินข้าวไข่เจียว ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว มั่งแหละย่า แต่พวกเขาไม่อัพรูปตอนกินอะไรแบบนี้ให้เราเห็นหรอก เสียสถาบันฮิปสเตอร์หมดสิ!
ขนาดและความมั่นคงขององค์กร องค์กรเดี่ยว เป็น องค์กรร่วมทุน ( joint venture) เพื่อขยาย กิจการ และความมั่นคงขององค์กร ใช้ CSR มากขึ้น Corporate Social Responsibility ให้ความสำคัญกับผู้นำองค์กร ใช้ที่ปรึกษาทางธุรกิจมากขึ้น โครงสร้างองค์กรเป็นแนวระนาบ เน้นเทคโนโลยี เน้นการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า มอบงานให้บริษัทที่เป็นมืออาชีพทำ เช่นให้ดูแลด้าน IT ดูแลหน้า เพจ หรือ จ้าง head hunter CSR ย่อจากภาษาอังกฤษว่า Corporate Social Responsibility แปลเป็นไทยคือ ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร ทำไมต้องทำ CSR? การดำเนินธุรกิจอย่างขาดศิลธรรมและไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ถูกต่อต้านจากผู้บริโภคและสังคมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งในสังคมข่าวสารที่มีประสิทธิภาพและทุกคนเข้าถึงในปัจจุบัน ทำให้ทุกคน “เสียงดังขึ้น” นั่นคือ ถ้ามีข่าวสารด้านลบว่า องค์กรดำเนินงานแบบไม่รับผิดชอบต่อสังคม ข่าวสารนั้นจะถูกแชร์และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ ฉะนั้นแล้วถ้าองค์กรไม่อยากถูกต่อต้านจากผู้บริโภคและสังคม ต้องระมัดระวังและดำเนินธุรกิจ อย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ประโยชน์จากการทำ CSR? CSR ไม่ใช่การเพิ่มรายจ่ายให้แก่องค์กร ตรงกันข้าม CSR ทำประโยชน์ให้องค์กรอย่างมากมาย กล่าวคือ… ชนะในเกมส์ธุรกิจใหม่ การเพิ่มจำนวนลูกค้า ยกระดับความสัมพันธ์กับลูกค้า ซัพพลายเออร์ และกลุ่มเครือข่าย พนักงานมีความสุขที่ได้ทำงานกับองค์กรที่มี CSR ขณะที่แรงงานทั่วไป อยากสมัครงานกับองค์กร ลดต้นทุนในการดำเนินงาน ลดการใช้พลังงาน ลดความเสี่ยงในการบริหารจัดการ องค์กรมีความโดดเด่นกว่าคู่แข่ง สร้างกระบวนการเรียนรู้ สร้างนวัตกรรม สร้างชื่อเสียงให้องค์กร เข้าถึงแหล่งเงินทุน และเพิ่มโอกาสการขยายธุรกิจง่ายขึ้น เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อสื่อมวลชน และสาธารณชน
10 ปีข้างหน้า กับ 10 กระแสโลกที่ต้องจับตา เตรียมพร้อมกับความร่อยหรอของทรัพยากรและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม การชะงักของ Globalization และการกลับมาของ Protectionism “Trust” in business and Public ลดลง บทบาทที่เพิ่มมากขึ้นของภาครัฐ “ศาสตร์” ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ ถูกท้าทายมากขึ้น จากการล่มสลายของบรรษัทยักษ์ใหญ่ หลายบริษัท กลยุทธ์เหล่านั้นก็คือ การเสริมนโยบายปกป้องทางการค้า หรือการกีดกันทางการค้า (Protectionism) เพื่อสร้างรายได้และโอกาสให้กับประเทศตนเอง นโยบายปกป้องทางการค้าเป็นเรื่องละเมิดข้อตกลงทางการค้าโลกมิใช่หรือ? แม้ว่าประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ได้ให้คำมั่นที่จะเปิดการค้าเสรี ทว่าประเทศสมาชิกก็พยายามหาทางใช้ช่องโหว่ตั้งปราการปกป้องการค้า หนุนสินค้า และกิจการของประเทศตน อันเป็นกฎข้อห้ามของทางดับเบิลยูทีโอ ซึ่งสนับสนุนการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม
10 ปีข้างหน้า กับ 10 กระแสโลกที่ต้องจับตา 6. รูปแบบการบริโภคจะเปลี่ยนไป :US บริโภคลดลง จีน อินเดียเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคสูงอายุมากขึ้น ผู้บริโภครุ่นใหม่ต้องการของหรูหรา ในราคา ประหยัด 7. ยุคทองแห่งเอเชีย “CHINDIA” คืออำนาจใหม่ 8. โมเดลอุตสาหกรรมใหม่ กำลังก่อรูป 9. Innovation marching on! งานวิจัยพบว่า ยิ่งลงทุนด้าน R&D มาก ยิ่งเหนือกว่าคู่แข่งขันมาก 10.ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน จงยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัว กลยุทธ์เหล่านั้นก็คือ การเสริมนโยบายปกป้องทางการค้า หรือการกีดกันทางการค้า (Protectionism) เพื่อสร้างรายได้และโอกาสให้กับประเทศตนเอง นโยบายปกป้องทางการค้าเป็นเรื่องละเมิดข้อตกลงทางการค้าโลกมิใช่หรือ? แม้ว่าประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ได้ให้คำมั่นที่จะเปิดการค้าเสรี ทว่าประเทศสมาชิกก็พยายามหาทางใช้ช่องโหว่ตั้งปราการปกป้องการค้า หนุนสินค้า และกิจการของประเทศตน อันเป็นกฎข้อห้ามของทางดับเบิลยูทีโอ ซึ่งสนับสนุนการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม
กรอบแนวคิดการบริหาร HR แบบเดิม และแบบใหม่
กรอบแนวคิดการบริหาร HR แบบเดิม และแบบใหม่ as Administration as a Business Partner Driver Present Future PAST
HR เพื่อปัจจุบันและอนาคต ใช้หัววิเคราะห์ ใช้กึ๋นขับเคลื่อน ใช้ ใจ สร้างฐาน 7.พัฒนาตัวแบบการบริหาร ทรัพยากรมนุษย์และการ พัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง 2. ปรับตัวแบบการบริหารจัดการคนให้พร้อมรับกับสถานการณ์ 4. มองและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่คาดไม่ถึง 3. เชื่อมโยงการทำงานของทีม ผู้บริหารกับบุคลากรทุกระดับ 6. สร้างวัฒนธรรมและขีดความสามารถให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง 1. เผชิญกับความเป็นจริงของ สถานการณ์ปัจจุบัน 5. วางระบบและสร้างเครื่องมือในการ ติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ
การบริหารจัดการ HR ในอนาคต อดีต-ปัจจุบัน ปัจจุบัน-อนาคต นัยสำคัญของงาน HR การผลิตที่เน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และแรงงาน การผลิตบนฐานความรู้ ขีดความสามารถทางวิทยาการ -Creating Core-Competency -Learning Organization -Knowledge Management เทคโนโลยี อนาล็อค ใหญ่ ช้า แยกส่วน พลังงานสูง มลพิษสูง เทคโนโลยีดิจิตอล เล็ก เร็ว ยืดหยุ่น พลังงานต่ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม -Fast & Adaptive Learning -Performance Management ประชาธิปไตยแบบตัวแทน รวมศูนย์การบริหารงาน ประชาธิปไตยทางตรง กระจายอำนาจการบริหารจัดการ การเมืองภาคประชาชน -Decentralization& Empowerrment -Boundaryless,Network,COP -Democratic Enterprise วัฒนธรรมมวลชน ความหลากหลายทางสังคม วัฒนธรรม สังคมคนชรา บริโภคนิยม การเรียกร้อง ความต้องการสูง -Niche Market -Talent Management -Cultural Management -CRM สมรรถนะ ขรก. กพ. มุ่งผลสัมฤทธิ์ บริการที่ดี สั่งสมความเชี่ยวชาญในงานอาชีพ ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม การทำงานเป็นทีม ด้วยความที่วิถีการใช้ชีวิตของคนเราเปลี่ยนไป ทุกคนเริ่มมีบุคลิกเฉพาะตัวมากขึ้น Niche Market คือการขายสินค้าให้กับคนเฉพาะกลุ่ม ถ้าสินค้าของเราขายให้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับชั้น อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็น Niche Market ถ้าตลาดเป้าหมายตามปกติเปรียบเหมือนเค้กชิ้นหนึ่ง Niche Market ก็เปรียบเหมือนกับเศษเสี้ยวหนึ่งของเค้กชิ้นนั้น อย่างเช่น สินค้าประเภทเสื้อผ้าเครื่องประดับอาจมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ Niche Market จะจับกลุ่มที่เฉพาะเจาะจงลงไปอีก เช่น กลุ่มผู้หญิงที่รูปร่างอ้วนและน้ำหนักเกินมาตรฐาน คู่แข่งในตลาด Niche Market มีน้อย เผลอๆ อาจไม่มีเลยก็ได้เพราะขนาดตลาดเล็กเกินไป จึงไม่ดึงดูดผู้เล่นรายใหญ่ๆ ข้อดีอย่างหนึ่งของความเป็น Niche Market คือทำให้มีคู่แข่งในตลาดน้อย เผลอๆ อาจไม่มีเลยก็ได้ เพราะขนาดตลาดเล็กเกินไปจึงไม่ดึงดูดผู้เล่นรายใหญ่ๆ ดังนั้นหากเราค้นพบตลาดนี้และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ได้ ก็จะกลายเป็นผู้นำตลาดได้อย่างง่ายดาย และที่สำคัญเราไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะ หากมีทรัพยากรและทุนที่จำกัด เพราะการทำ Niche Market จะช่วยประหยัดแรงงาน แรงเงินได้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกลับการลงทุนในกลุ่มการตลาดใหญ่ๆ เนื่องจากการจับกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างต้องเพิ่มเวลาและเพิ่มทรัพยากร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนตีค่าเป็นเงินทั้งนั้น ส่วนผลกำไรที่ได้กลับมายังขึ้นอยู่บนความไม่แน่นอนและอาจได้กลับมาไม่เต็มที่เท่าที่ลงทุนไป แต่ถ้านำทุนที่มีจำกัดนั้นมาใช้กับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มก็จะมีเวลาในการศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย คิดวางแผนในการทำตลาด และสามารถจัดสรรงบประมาณในการทำตลาดได้อย่างเต็มที่ ยกตัวอย่าง Niche Market ในยุคที่ความสวยงามมีบทบาทสำคัญ หนูแหวน หรือแหวนแหวน ปวริศา เพ็ญชาติ ได้เริ่มต้นทำธุรกิจทัวร์ศัลยกรรมที่เกาหลี ธุรกิจนี้เริ่มต้นจากตัวเธอเองก่อน และการที่เธอได้มีโอกาสรู้จักกับคุณคังที่ทำเรนคัมมิ่งทัวร์ ทำให้ใครๆ ต่างก็พากันมาปรึกษาเพื่อทำศัลยกรรมที่เกาหลี เธอจึงเริ่มคิดว่าไหนๆ ก็ทำเป็นธุรกิจเลยดีกว่า และตอนนี้ธุรกิจก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก และคาดว่าจะขยายสาขาไปที่ประเทศจีนอีก เพิ่มจากสาขาที่ประเทศไทยและประเทศเกาหลี เธอก็ยอมรับว่าไม่มีใครกล้าบ้าบิ่นมาลงทุนกับเธอ จึงทำให้ไม่มีคู่แข่งเลยแม้แต่รายเดียว CRM คืออะไร CRM ย่อมาจาก Customer Relationship Management คือ การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งหมายถึงวิธีการที่เราจะบริหารให้ลูกค้ามีความรู้สึกผูกพันธ์กับสินค้า ,บริการ หรือองค์กรของเรา เมื่อลูกค้าเค้ามีความผูกพันธ์ในทางที่ดีกับเรา แล้วก็ลูกค้านั้นไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจไปจากสินค้าหรือบริการของเรา ทำให้เรามีฐานลูกค้าที่มั่้นคง และนำมาซึ่งความมั่นคงของบริษัท ดังนั้น การที่จะรู้ซึ้งถึงสถานะความผูกพันธ์กับลูกค้าได้นั้น เราก็ต้องอาศัยการสังเกตุพฤติกรรมของลูกค้า แล้วนำมาวิเคราะห์หาความเกี่ยวข้องระหว่าง พฤติกรรมของลูกค้ากับกลยุทธ์ทางการตลาดของเรา กระบวนการทำงานของระบบ CRM มี 4 ขั้นตอนดังนี้ 1.Identify เก็บข้อมูลว่าลูกค้าของบริษัทเป็นใคร เช่น ชื่อลูกค้า ข้อมูลสำหรับติดต่อกับลูกค้า 2.Differentiate วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน และจัดแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มตามคุณค่าที่ลูกค้ามีต่อบริษัท 3.Interact มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อเรียนรู้ความต้องการของลูกค้า และเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะยาว 4.Customize นำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีความเหมาะสมเฉพาะตัวกับลูกค้าแต่ละคน
HR ที่สอดรับกับบริบทในอนาคต Context Trends (scenario) คุณลักษณะของคนและองค์การ Knowledge & Skills Values & Attitude สังคม -Ageing & Diversity -Educated people เศรษฐกิจ -Free Trade -Hyper capitalism การเมือง -กระจายอำนาจ -ค.ขัดแย้ง ค.ไม่แน่นอน เทคโนโลยี -Hi-tech , Hi-touch -Hi-tech Criminal สิ่งแวดล้อม -Global warming -natural disaster
บทบาทการบริหารทรัพยากรบุคคล เพื่อบริการกันเอง หรือ เพื่อบริการประชาชน เน้นการสร้างคุณค่า หรือควบคุมกระบวนการ ความพร้อมรับผิดด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล 1.เพื่อบริการกันเอง หรือเพื่อบริการประชาชน กระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคล ที่พูดกันติดปาก คือ สรรหา พัฒนา รักษาไว้ ใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นกระบวนงานที่ถูกยึดติดว่าเป็นงานของ HR แท้จริงแล้วงานเหล่านี้ คืองานประจำ เชิงธุรการ เป็นงานด้านการบริการบุคลากร หรืองานที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ หนังสือเวียนต่างๆ ในการสรรหา บรรจุ แต่งตั้ง วินัย อุทรณ์ และการลงโทษ ถามว่าสำคัญมั้ย ต้องตอบว่า สำคัญ ถามต่อไปว่า จะช่วยสนับสนุนให้ภารกิจของกรมบรรบุเป้าหมายได้มากน้อยเพียงใด คำตอบที่ได้อาจไม่ชัดเจนเท่าไหร่ เพราะการบริหารลักษณะดังกล่าว เป็นการบริหารที่เน้นการให้บริการกันเอง ภายในหน่วยงาน มากกว่าที่จะมีเป้าหมายเพื่อ ใช้การบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นเครื่องมือในการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการประชาชน ทั้งนี้ หากจะให้การบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นปัจจัยขับเคลื่อน ต้องตระหนักถึงผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการด้านบุคลากรต่อผลสัมฤทธิ์ขององค์กร และต้องไม่ตอบคำถามแค่เพียงว่า มีแล้ว ทำแล้ว เท่านั้น แต่ต้องตอบให้ได้ว่า ทำไมถึงต้องทำ และ ทำแล้วได้อะไร 2.เน้นการสร้างคุณค่า หรือควบคุมกระบวนการ มาตรา 43 แห่ง พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2551 บัญญัติว่า “การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ ต้องเป็นไปเพื่อผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ” ซึ่งนัยของคำกล่าวนี้หมายถึง การบริหารงานบุคคลต้องเป็นการบริหารเชิงกลยุทธ์ การตัดสินใจใดๆที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรบุคคล ต้องยึดหลักผลงาน และสมรรถนะ ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญต่อ “ค่าของคน และผลของงาน” ทั้งนี้ ถ้าแบ่งงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลออกเป็น 3 ระดับ ประกอบด้วย 1.งานธุรการบุคคลและงานตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการบริหารงานบุคคล 2.งานให้บริการด้านทรัพยากรบุคคล ออกหนังสือรับรองเงินเดือน เบิกค่าเช่าบ้าน สวัสดิการต่างๆ 3. และงานบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงกลยุทธ์ ต้องดูว่า งานทั้ง 3 ส่วนนี้ เราให้ความสำคัญหรือเราให้เวลากับงานส่วนไหนมากกว่ากัน ถ้าให้ความสำคัญกับเนื้องานใน 2ส่วนแรกมาก จะเป็นเรื่องของการควบคุมกระบวนการ ถ้าให้น้ำหนักกับงานส่วนที่ 3 มาก จะเป็นเรื่องของการสร้างคุณค่า ที่สำคัญการบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงกลยุทธ์ เป็นการบริหารที่สร้างให้เกิดคุณค่ามากกว่าการบริหารคนแบบงานประจำ 3.ผู้นำกับความพร้อมรับผิดด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ความพร้อมรับผิดด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล หมายถึง การที่ส่วนราชการ 4.1) มีความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจและผลของการตัดสินใจด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ตลอดจนการดำเนินการด้านวินัย โดยคำนึงถึงหลักความ สามารถและผลงาน หลักคุณธรรม หลักนิติธรรม และหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ 4.2) มีความโปร่งใสในทุกกระบวนการของการบริหารทรัพยากรบุคคล พูดง่ายๆ คือ ผู้บริหารองค์กรต้องตระหนักว่าการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็น ความรับผิดชอบของตนอย่างเต็มตัว
มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2557-2561) มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2557-2561)
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การวางแผนบริหารกำลังคนให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป้าประสงค์ 1.ส่วนราชการสามารถจัดอัตรากำลังให้สอดคล้องกับความจำเป็น ของภารกิจ 2.สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงบริบทของการบริหารราชการ 3.มีกลไกการติดตามตรวจสอบ ให้ส่วนราชการใช้กำลังคนให้เกิด ประโยชน์สูงสุด
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การวางแผนบริหารกำลังคนให้เกิดประโยชน์สูงสุด กลยุทธ์ 1.วางแผนกำลังคนให้สอดคล้องกับภารกิจ 2.บริหารกำลังคนกลุ่มที่มีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์การบริหาร ราชการ 3.เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารกำลังคนภาครัฐ 4.พัฒนาระบบตรวจสอบการใช้กำลังคน 5.พัฒนาฐานข้อมูลกำลังคนภาครัฐทุกประเภท 6.วางแนวทางการถ่ายโอนบุคลากรไปสู่องค์กรปกครองท้องถิ่น
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนากำลังคนและสร้างความพร้อมเชิงกลยุทธ์ เป้าประสงค์ กำลังคนภาครัฐได้รับการพัฒนาให้มีความพร้อมด้านความรู้ ทักษะ สมรรถนะ ทัศนคติที่เหมาะสม มีกำลังคนคุณภาพเพียงพอสำหรับการเป็นผู้นำขับเคลื่อนการ เปลี่ยนแปลงภาครัฐ ช่วยให้การบริหารราชการมีความต่อเนื่อง
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนากำลังคนและสร้างความพร้อมเชิงกลยุทธ์ 1.พัฒนาขีดความสามารถของคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง 2.เตรียมกำลังคนเพื่อรองรับการสูญเสียจาการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างอายุข้าราชการ และบริหารความหลากหลาย 3.พัฒนากำลังคนคุณภาพ (Talent Management) 4.พัฒนาความก้าวหน้าในสายอาชีพ ที่ยึดหลักผลงาน/สมรรถนะ 5.พัฒนาผู้บริหารให้เป็นมืออาชีพในการบริหารงาน HR
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การดึงดูดและรักษากำลังคนที่มีคุณภาพในภาครัฐ เป้าประสงค์ รักษาคนดี คนเก่ง ไว้ในระบบราชการ กำลังคนภาครัฐ มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีแรงจูงใจในการสร้างและ พัฒนาผลงาน
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การดึงดูดและรักษากำลังคนที่มีคุณภาพในภาครัฐ กลยุทธ์ 1.ปรับปรุงระบบและกระบวนการสรรหาคัดเลือกบุคลากร ให้สามารถดึงดูดกำลังคนที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบราชการ มากขึ้น 2.ปรับปรุงค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ให้จูงใจและเป็น ธรรมมากยิ่งขึ้น 3.พัฒนาคุณภาพชีวิตและการเจ้าหน้าที่สัมพันธ์ 4.สร้างแรงจูงใจและพัฒนาระบบบริหารผลการปฏิบัติงาน
การหาสาเหตุที่แท้จริง ปัญหาคนลาออก โอน ย้าย อดีต ต่อมา ปัจจุบัน คนจะมา คนจะไป เป็นเรื่องปกติ War of Talent, Head Hunter รักษา คนดี คนเก่ง (Retain Mindset) การหาสาเหตุที่แท้จริง HR ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือ ไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ
เหตุผลที่คนหมดใจ งาน/สถานที่ทำงานไม่ตรงกับความคาดหวัง งานและพนักงานไม่เหมาะสมกัน ขาดการสอนแนะงาน การติชมผลงาน ขาดโอกาสเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงาน รู้สึกด้อยคุณค่าและไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร เครียดจากภาระงานที่มากเกินไป และความไม่ สมดุลระหว่างชีวิตกับงาน ขาดความเชื่อมั่นไว้วางใจในผู้นำ ที่มา Branham (2012) : The 7 Hidden Reasons Employee Leave
มุมมองอาชีพข้าราชการ คนใน Generation Y, Z ผลตอบแทน ต่ำ พร้อมที่จะ เปลี่ยนแปลง อาชีพ การงาน ไม่ชอบค่านิยม วัฒนธรรม แบบ ขรก. มุมมองที่เปลี่ยนแปลง ต่ออาชีพข้าราชการ ความก้าวหน้า ของเทคโนโลยี สร้างทางเลือก ใหม่ในอาชีพ กฎระเบียบ ขั้นตอนมาก ขาดอิสระ
การบริหารทรัพยากรบุคคล ที่เปลี่ยนแปลงไป มุมมองต่อ การบริหารทรัพยากรบุคคล ที่เปลี่ยนแปลงไป เดิม เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของข้าราชการ เน้นกระบวนการทำงาน ประสิทธิภาพเฉพาะส่วนจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในภาพรวม ใหม่ รู้รอบ รู้ลึก เป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อความสำเร็จ ขององค์กร เน้นประชาชน คุณค่า ผลสัมฤทธิ์ของงาน
มุมมองต่อการบริหารข้าราชการยุคใหม่ ความพยายามในการแข่งขันเพื่อให้ได้ ของบุคลากรในองค์กร ให้ความสำคัญกับการรักษาคนในองค์กรมากขึ้น hearts, minds & commitment 89% งานที่ท้าทาย โอกาสในการฝึกอบรมและพัฒนา โอกาสในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 83% 78% ข้อมูลจากสำนักงาน ก.พ. ปี 2552
สิ่งที่ผู้บริหารยุคใหม่ในองค์กรต้องเผชิญ 95% ทีมงาน/ข้าราชการที่มีความหลากหลาย ความรับผิดชอบต่อการสร้างความผูกพันระหว่างข้าราชการกับองค์กร และ การรักษาบุคลากร การบริหารงานแบบทางไกล ต้องมีประสบการณ์ระดับ Global มากขึ้น 93% 92% 74% ข้อมูลจากสำนักงาน ก.พ. ปี 2552
การบริหารทรัพยากรบุคคลบนความหลากหลาย Gen Y Baby Boomer Gen X 50 – 60 ปี 31 – 49 ปี 30 - 11 ปี ได้ดูโทรทัศน์ขาวดำ ติดต่อกันทางโทรเลข เพลงประจำยุค“ศึกบางระจัน” ถูกปลูกฝังเรื่องรักชาติ มุ่งเน้นความมั่นคงให้กับชีวิต จิตสาธารณะสูง ทำอะไรเป็นอย่างๆ งานไม่เสร็จจะอยู่ทำจนเสร็จ เน้น tactic ใช้ความรู้จากประสบการณ์ ได้ดูโทรทัศน์สี ไปดวงจันทร์ครั้งแรก มือถือเคลื่อนที่อันใหญ่/เริ่มมีคอมพิวเตอร์ แฟนนูโว รณรงค์เรื่องสิทธิสตรี อดทน บากบั่น มีวินัย ถูกปลูกฝังต้อง entrance ให้ได้ มีความเป็นวิชาการ/เน้นระบบ /คิดเป็น Logical / get เร็ว เกิดในยุคล่อแหลมทางจริยธรรม คลิปโป๊ / อื้อฉาว โลกาภิวัฒน์ Ipad/Hi5/Facebook/7-11 เทคโนโลยีสูง เน้นผลงาน เน้นภาพลักษณ์ ไม่ค่อยเน้นศีลธรรม โลกส่วนตัวสูง อดทน อดกลั้นน้อย ไม่มีทักษะการเขียน แต่ ตัด แปะเก่งใช้ประโยคสัญญลักษณ์เก่ง
แนวทางสร้างแรงจูงใจในแต่ละ Generation
แนวทางสร้างแรงจูงใจในแต่ละ Generation
Performance & Potential Matrix ในองค์กรหนึ่งๆ มีคนที่มีความหลากหลายทั้งเรื่องผลงาน และศักยภาพ ในการพัฒนาอาจแบ่งได้เป็น 4 ประเภท
ศาสตร์แห่งการบริหาร จึงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงคน แต่คือการสร้าง Balance เป็นศาสตร์แห่งการสร้าง ความสมดุล ระหว่าง คน กับ คน และ คน กับ งาน