งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

ทฤษฏีพฤติกรรมผู้บริโภค

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "ทฤษฏีพฤติกรรมผู้บริโภค"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 ทฤษฏีพฤติกรรมผู้บริโภค
บทที่ 4 ทฤษฏีพฤติกรรมผู้บริโภค อรรถประโยชน์ ทฤษฏีอรรถประโยชน์ ทฤษฏีเส้นความพอใจเท่ากัน ความพอใจส่วนเกินของผู้บริโภค

2 4.1 อรรถประโยชน์ (Utility)
ความหมายของอรรถประโยชน์ อรรถประโยชน์ หมายถึง อำนาจของสินค้าและบริการที่สามารถสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ หรือเป็นความพอใจที่ผู้บริโภคได้รับจากการบริโภคสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งในระยะเวลาหนึ่ง สินค้าและบริการจะให้อรรถประโยชน์แก่ผู้บริโภคได้เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการในสินค้าเกิดขึ้น สินค้าต่าง ๆ จะให้อรรถประโยชน์แก่ผู้บริโภคได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระดับความต้องการของผู้บริโภค กล่าวคือ ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้ามาก  อรรถประโยชน์จะสูง ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าน้อย  อรรถประโยชน์จะต่ำ

3 4.1.2 ข้อสังเกตเกี่ยวกับอรรถประโยชน์
ข้อสังเกตเกี่ยวกับอรรถประโยชน์ ประโยชน์กับอรรถประโยชน์มีความแตกต่างกัน อรรถประโยชน์ของสินค้าแต่ละชนิดที่ผู้บริโภคได้รับเหมือนกันอาจไม่เท่ากัน อรรถประโยชน์ที่ผู้บริโภคแต่ละรายได้รับจากการบริโภคสินค้าชนิดเดียวกันจะไม่เท่ากัน อรรถประโยชน์ของผู้บริโภคคนเดียวกันที่จะได้รับจากการบริโภคสินค้าชนิดเดียวกัน อาจจะไม่เท่ากันหากเป็นคนละระยะเวลา ชนิดของอรรถประโยชน์ อรรถประโยชน์ที่นับหน่วยได้ (Cardinal Utility) อรรถประโยชน์ที่นับเป็นหน่วยไม่ได้ (Ordinal Utility) ทฤษฎีที่อธิบายพฤติกรรมของผู้บริโภค ทฤษฎีอรรถประโยชน์ (Utility Theory) ทฤษฎีเส้นความพอใจเท่ากัน (Indifference Curve Theory)

4 4.2 ทฤษฎีอรรถประโยชน์ (Utility Theory)
ข้อสมมติฐานการวิเคราะห์ อรรถประโยชน์จากการบริโภคนับเป็นหน่วยได้ เป็น “UTIL” (Cardinal Utility) ผู้บริโภคจะเป็นผู้บริโภคที่มีเหตุผล (Rational Consumer) คือจะเลือกโดยแสวงหาความพอใจสูงสุดเท่าที่จะทำได้จากรายได้ที่มีอยู่ จำกัด ผู้บริโภคต้องมีความรู้ในเรื่องของราคาและคุณภาพของสินค้าที่เขาจะตัดสินใจเลือก สินค้าสามารถแยกเป็นหน่วยย่อย ๆ ได้ กำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่ เช่น รายได้ รสนิยม และราคาสินค้าอื่นๆ

5 ในกรณีที่บริโภคครั้งละหลายหน่วย
อรรถประโยชน์รวมและอรรถประโยชน์หน่วยท้ายสุด (Total Utility and Marginal Utility) อรรถประโยชน์รวม(Total Utility:TU) ผู้บริโภคดื่มน้ำแก้วแรก ได้อรรถประโยชน์ 10 ยูทิล ผู้บริโภคดื่มน้ำแก้วสอง ได้อรรถประโยชน์ 8 ยูทิล อรรถประโยชน์รวม(TU) เท่ากับ 18 ยูทิล อรรถประโยชน์หน่วยท้ายสุด (Marginal Utility:MU) ผู้บริโภคดื่มน้ำแก้วแรก ได้อรรถประโยชน์ รวม 10 ยูทิล ผู้บริโภคดื่มน้ำแก้วสอง ได้อรรถประโยชน์ รวม 18 ยูทิล อรรถประโยชน์หน่วยท้ายสุด (MU) เท่ากับ 8 ยูทิล การหาค่า MU MU1 = TU1 – TU0 MU = TU X ในกรณีที่บริโภคครั้งละหลายหน่วย

6 ปริมาณสินค้า X (หน่วยที่) อรรถประโยชน์รวม (TU)
อรรถประโยชน์หน่วยท้ายสุด (MU) 1 4 2 10 6 3 17 7 22 5 24 21 -3

7 สรุปความสัมพันธ์ของ TU และ MU ได้ดังนี้
QX 24 –3 22 7 21 6 5 17 4 10 1 2 3 TU และ MU สำหรับการบริโภคสินค้าหน่วยแรกๆ มีค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ MU เป็นบวก  TU จะมีค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ MU เป็นศูนย์  TU จะมีค่าสูงสุด เมื่อ MU เป็นลบ  TU จะมีค่าลดลงเรื่อย

8 MU คือความชัน (Slop) ของเส้น TU
ความสัมพันธ์ของ TU และ MU เป็นไปตามกฎแห่งการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์หน่วยท้ายสุด (Law of Diminishing Marginal Utility) ในช่วงที่ MU มีค่าลดลง คือตั้งแต่หน่วยที่ 3 เป็นต้นไป กฎนี้มีว่า “เมื่อผู้บริโภคได้รับสินค้าหรือบริการมาบำบัดความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีละหน่วย อรรถประโยชน์หน่วยท้ายสุดของสินค้าหรือบริการนั้นจะลดลงตามลำดับ” MU คือความชัน (Slop) ของเส้น TU MU = TU = dTU X dx ตัวอย่างการหา MU จากสมการ TU TU = 10X - X2 MU = – 2X

9 4.2.2 ดุลยภาพของผู้บริโภควิเคราะห์โดยทฤษฎีอรรถประโยชน์
ดุลยภาพของผู้บริโภควิเคราะห์โดยทฤษฎีอรรถประโยชน์ ดุลยภาพของผู้บริโภค (Consumer’s Equilibrium) หมายถึง สภาวการณ์ที่ผู้บริโภคได้รับความพอใจสูงสุด จากการเลือกบริโภคสินค้าหรือบริการ จากรายได้ที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดที่ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงไปอีก ดุลยภาพของผู้บริโภค แยกเป็น 4 กรณี คือ กรณีซื้อสินค้าเพียงชนิดเดียว กรณีซื้อสินค้า 2 ชนิด สินค้า 2 ชนิด มีราคาเท่ากัน สินค้า 2 ชนิด มีราคาไม่เท่ากัน สินค้ามากกว่า 2 ชนิด

10 ปริมาณสินค้า X (หน่วยที่)
การแสวงหาความพอใจสูงสุดจากการเลือกบริโภคสินค้า 1 ชนิด ผู้บริโภคจะมีความพอใจสูงสุดโดยการเปรียบเทียบอรรถประโยชน์หน่วยท้ายสุดที่ได้จากการบริโภคสินค้านั้นกับ MU ของเงินที่ต้องเสียไปจากการซื้อสินค้านั้น เงื่อนไขดุลยภาพของผู้บริโภค MUx = MUm ตัวอย่าง ถ้าราคา X หน่วยละ 1 บาท และ MUm ของเงิน 1 บาท เท่ากับ 2 Utils และมีตารางข้อมูลการแสวงหาความพอใจสูงสุดในการเลือกบริโภค X ปริมาณสินค้า X (หน่วยที่) MUX MUm ของเงิน 1 บาท 1 4 2 3 5 MUm ของเงิน 0.5บาท 1 หาก X มีราคาลดลงเป็นหน่วยละ 0.50 บาท ผู้บริโภคจะเปลี่ยนแปลงการบริโภค X ใหม่ เพื่อให้ได้ดุลยภาพ จาก 3 หน่วย เป็น 4 หน่วย

11 ความสัมพันธ์เป็นไปตามกฎของอุปสงค์ เส้น D คือเส้นอุปสงค์ส่วนบุคคล
จากการเลือกบริโภคสินค้าชนิดเดียวที่ได้รับความพอใจสูงสุด นำราคา X กับปริมาณการบริโภค X มาแสดงความสัมพันธ์ในรูปตาราง และกราฟ Px Qx 1 3 0.50 4 P 1 0.50 D Q 3 4 ความสัมพันธ์เป็นไปตามกฎของอุปสงค์ เส้น D คือเส้นอุปสงค์ส่วนบุคคล

12 โดยใช้งบประมาณทั้งหมด
การแสวงหาความพอใจสูงสุดจากการเลือกบริโภคสินค้าหลายชนิด 1. สินค้า 2 ชนิด มีราคาเท่ากัน ผู้บริโภคจะมีความพอใจสูงสุดโดยการเปรียบเทียบอรรถประโยชน์หน่วยท้ายสุดที่ได้จากการบริโภคสินค้า 2 ชนิด เงื่อนไขดุลยภาพของผู้บริโภค MUX = MUY โดยใช้งบประมาณทั้งหมด ตัวอย่าง ผู้บริโภคคนหนึ่งมีรายได้ 10 บาท มีสินค้า 2 ชนิด คือ X และ Y ให้ตัดสินใจเลือก ภายใต้งบประมาณจำกัดที่มีอยู่ โดยราคาสินค้าทั้ง 2 ชนิดมีราคาเท่ากัน คือ หน่วยละ 1 บาท

13 สินค้า หน่วยที่ 1. X = 7, Y = 7 ใช้เงิน 14 บาท ได้ TU = 119 util
สินค้า X (PX = 1) สินค้า Y (PY = 1) หน่วยที่ MUX TUX MUY TUY 1 21 10 2 18 39 9 19 3 15 54 7 26 4 12 66 6 32 5 75 36 81 38 8 -6 -2 1. X = 7, Y = 7 ใช้เงิน 14 บาท ได้ TU = 119 util 2. X = 6, Y = 4 ใช้เงิน 10 บาท ได้ TU = 113 util 3. X = 5, Y = 2 ใช้เงิน 7 บาท ได้ TU = 94 util MUx = MUy สรุป ผู้บริโภคจะได้ความพึงพอใจ (อรรถประโยชน์รวม) สูงสุด และมีเงินพอ โดยซื้อ X = 6, Y=4

14 โดยใช้งบประมาณทั้งหมด
การแสวงหาความพอใจสูงสุดจากการเลือกบริโภคสินค้าหลายชนิด 2. สินค้า 2 ชนิด มีราคาไม่เท่ากัน ผู้บริโภคจะมีความพอใจสูงสุดโดยการเปรียบเทียบอรรถประโยชน์หน่วยท้ายสุดที่ได้รับต่อราคาสินค้าชนิดนั้น ของสินค้า 2 ชนิด เงื่อนไขดุลยภาพของผู้บริโภค MUX = MUY Px Py โดยใช้งบประมาณทั้งหมด ตัวอย่าง ผู้บริโภคคนหนึ่งมีรายได้ 10 บาท มีสินค้า 2 ชนิด คือ X และ Y ให้ตัดสินใจเลือก ภายใต้งบประมาณจำกัดที่มีอยู่ โดยราคา X หน่วยละ 3 บาท และราคา Y หน่วยละ 1 บาท

15 สินค้า สินค้า X (PX = 3) สินค้า Y (PY = 1) หน่วยที่ MUX TUX MUX/PX MUY
TUY MUY/PY 1 21 7 10 2 18 39 6 9 19 3 15 54 5 26 4 12 66 32 75 36 81 38 8 -6 -2 MUx = MUy Px Py 1. X = 1, Y = 3 ใช้เงิน 6 บาท ได้ TU = 47 util 2. X = 2, Y = 4 ใช้เงิน 10 บาท ได้ TU = 71 util 3. X = 4, Y = 5 ใช้เงิน 17 บาท ได้ TU = 102 util 4. X = 6, Y = 6 ใช้เงิน 24 บาท ได้ TU = 119 util 5. X = 7, Y = 7 ใช้เงิน 28 บาท ได้ TU = 119 util 6. X = 8, Y = 8 ใช้เงิน 32 บาท ได้ TU = 111 util สรุป ผู้บริโภคจะได้ความพึงพอใจ (อรรถประโยชน์รวม) สูงสุด และมีเงินพอ โดยซื้อ X = 2, Y=4

16 จากการเปลี่ยนแปลงราคา X แสดงความสัมพันธ์ของราคาและปริมาณซื้อ X
Px Qx 1 6 3 2 P 3 1 D Q 2 6

17 โดยใช้งบประมาณทั้งหมด
การแสวงหาความพอใจสูงสุดจากการเลือกบริโภคสินค้าหลายชนิด 3. สินค้ามากกว่า 2 ชนิด ผู้บริโภคจะมีความพอใจสูงสุดโดยการเปรียบเทียบอรรถประโยชน์หน่วยท้ายสุดที่ได้รับต่อราคาสินค้าชนิดนั้น ของสินค้าทุกชนิดที่เลือกบริโภค เงื่อนไขดุลยภาพของผู้บริโภค ในการบริโภคสินค้า n = ชนิด MUA = MUB = MUC = … = MUn PA PB PC Pn โดยใช้งบประมาณทั้งหมด และในกรณีที่กำหนด MU ของเงินมาให้ ดุลยภาพของผู้บริโภค คือ MUA = MUB = MUC = … = MUn = MUm PA PB PC Pn Pm โดยใช้งบประมาณทั้งหมด

18 การหาอุปสงค์ไขว้จากดุลยภาพการบริโภค
นำความสัมพันธ์ของราคา X กับปริมาณการบริโภค Y โดยกำหนดให้สิ่งอื่นๆ คงที่ มาแสดงเป็นอุปสงค์ไขว้ของ Y Px Qy 1 4 3 Px Dc 3 1 Qy 4 เส้น Dc เป็นเส้นตั้งฉาก แสดงว่าสินค้า X และ Y ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน

19 การหาอุปสงค์ต่อรายได้จากดุลยภาพการบริโภค
นำความสัมพันธ์ของรายได้หรือเงินงบประมาณที่มี กับปริมาณการบริโภค X โดยกำหนดให้สิ่งอื่นๆ คงที่ จะเป็นอุปสงค์ต่อรายได้ของ X ตัวอย่างเดิม เมื่อผู้บริโภคมีรายได้ 10 บาท ดุลยภาพเกิดขึ้นโดยซื้อ X = 2 หน่วย และ Y = 4 หน่วย หากรายได้ของผู้บริโภคเพิ่มเป็น 17 บาท ในขณะที่ราคา X และ Y ยังคงเดิม ดุลยภาพของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป โดย บริโภค X = 4 หน่วย, Y = 5 หน่วย ใช้รายได้หมด 17 บาทพอดี นำตัวเลขในตารางมาสร้างเส้นอุปสงค์ต่อรายได้ของสินค้า X และ Y Y(รายได้) Y(รายได้) DX DY รายได้ Qx Qy 10 2 4 17 5 17 17 10 10 Px =3 ,Py = 1 Qx Qy 2 4 4 5 สินค้า X และ Y เป็นสินค้าปกติ (Normal goods)

20 4.1 ทฤษฎีเส้นความพอใจเท่ากัน (Indifference Curve Theory)
Hicks เสนอแนวคิดว่า อรรถประโยชน์ที่ได้รับจากการบริโภคสินค้าไม่สามารถนับออกมาเป็นหน่วยได้ แต่สามารถลำดับความพอใจที่ได้รับจากการบริโภคสินค้าได้ว่ามีมากน้อยกว่ากัน จึงเรียกอรรถประโยชน์แบบนี้ว่า Ordinal Utility โดยมีเส้นความพอใจเท่ากัน (Indifference Curve) เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ การวิเคราะห์ตามทฤษฎีเส้นความพอใจเท่ากัน อยู่ภายใต้สมมติฐาน 3 ประการ คือ 1. ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบความพอใจและเรียงลำดับความพอใจโดยบอกได้ว่ามีความพอใจในส่วนผสมของสินค้าชุดหนึ่ง มากกว่าหรือน้อยกว่าหรือเท่ากับส่วนผสมอื่นๆ เช่น ชอบส่วนผสม A มากกว่า ส่วนผสมของ B หรือชอบส่วนผสมของ มากกว่าส่วนผสมของA หรือชอบส่วนผสมของ A เท่ากับส่วนผสมของ B 2. แบบแผนความพอใจของผู้บริโภคมีความสอดคล้องและต่อเนื่องกัน เช่น ชอบส่วนผสม A > B แต่ชอบส่วนผสม B > C แสดงว่าต้องชอบส่วนผสม A > C ด้วย 3. ส่วนผสมของสินค้าที่มีปริมาณสินค้ามากขึ้นกว่าส่วนผสมเดิม ต้องให้ความพอใจแก่ผู้บริโภคในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิมเสมอ

21 4.3.1 เส้นความพอใจเท่ากัน (Indifference Curve: IC)
ตารางแสดงความพอใจเท่ากัน (Indifference Schedule) เป็นตารางที่แสดงส่วนผสมต่างๆ ของสินค้า 2 ชนิดที่ให้ความพอใจแก่ผู้บริโภคเท่ากัน โดยสมมติให้ผู้บริโภคบริโภคสินค้า 2 ชนิด คือ X และ Y ซึ่งมีส่วนผสมของ X และ Y ในสัดส่วนต่างๆ ส่วนผสม X (หน่วย) Y (หน่วย) A 5 30 B 10 18 C 15 13 D 20 E 25 8 F 7

22 Y A 30 B 18 C 13 D 10 E 8 F IC 7 X 5 10 15 20 25 30 การทดแทนกันของสินค้า 2 ชนิด ที่ให้ระดับความพอใจเท่าเดิม เป็นไปตาม Law of Diminishing Marginal Utility คือ เมื่อบริโภคสินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ MU ที่ได้รับจากการบริโภคสินค้าจะลดลงเรื่อย ๆ เพราะเมื่อเริ่มบริโภค ความพอใจที่ได้รับจะสูงมาก ในหน่วยแรกๆ จึงยินดีสละสินค้าอีกชนิดหนึ่งจำนวนมากเพื่อแลกกับการบริโภคสินค้านี้ 1 หน่วย แต่เมื่อบริโภคสินค้านี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความพอใจที่ได้รับจะค่อยๆ ลดลง ผู้บริโภคจึงยินดีสละสินค้าอีกชนิดหนึ่งน้อยลง เพื่อแลกสินค้านี้ 1 หน่วย เส้นความพอใจเท่ากันโค้งเว้าเข้าหาจุด origin

23 แผนภาพความพอใจเท่ากัน (Indifference Map)
เส้น IC ของผู้บริโภคคนหนึ่งจะมีได้หลายเส้นตามระดับความพอใจของผู้บริโภคที่มีหลายระดับ ชุดของเส้น IC ของผู้บริโภค เรียกว่า แผนภาพความพอใจเท่ากัน (Indifference Map) Y IC3 IC2 IC1 X

24 คุณสมบัติของเส้นความพอใจเท่ากัน
เส้น IC เป็นเส้นตรงหรือโค้ง ที่ทอดลงจากซ้ายไปขวา (มีความชันเป็นลบ) แสดงถึงการที่ได้สินค้าชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้น ต้องเสียสละสินค้าอีกชนิดหนึ่งลดลง ความพอใจจึงจะเท่าเดิม slope ของเส้น IC เรียกว่าอัตราหน่วยท้ายสุดของการทดแทนของสินค้า 2 ชนิด (Marginal Rate of Substitution: MRS) เส้น IC ที่อยู่ทางขวามือ แสดงความพอใจของผู้บริโภคที่สูงกว่าเส้นที่อยู่ทางซ้าย เส้น IC ในแต่ละเส้นต้องต่อเนื่องกันตลอดไม่ขาดช่วง โดยกำหนดให้สินค้าสามารถแยกเป็นหน่วยย่อยในการบริโภคได้ เส้น IC มักเป็นเส้นโค้งเว้าเข้าหาจุดกำเนิด เพราะสินค้า 2 ชนิดทดแทนกันได้แต่ไม่สมบูรณ์ ค่าความชันจะลดลงเรื่อยๆ ตามกฎการลดน้อยถอยลงของ MU คือเมื่อบริโภคสินค้าชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต้องสละสินค้าอีกชนิดหนึ่งในจำนวนที่ลดลง เส้น IC ในแผนภาพเดียวกันจะตัดกันหรือสัมผัสกันไม่ได้ Y .A .C IC2 B. IC1 X

25 X X อัตราหน่วยท้ายสุดของการทดแทนกันระหว่างสินค้า 2 ชนิด
(Marginal Rate of Substitution: MRS) MRS หมายถึง อัตราการลดลงของสินค้าชนิดหนึ่งเมื่อได้รับสินค้าอีกชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้น 1 หน่วย ทั้งนี้เพื่อรักษาระดับความพอใจให้คงเดิม MRS แสดงถึงการทดแทนกันของสินค้า 2 ชนิด ในทิศทางตรงกันข้ามโดยให้ความพอใจแก่ผู้บริโภคเท่าเดิม MRS นี้เป็นค่า slope ของเส้น IC หากผู้บริโภคมีสินค้าให้เลือกบริโภคคือ สินค้า X และ Y สามารถเขียนค่าของ MRS ได้ 2 รูปแบบ คือ MRSYX = Y X เรียกว่า Marginal Rate of Substitution of Y for X หมายถึงบริโภคสินค้า Y ทดแทนสินค้า X คือ Y X MRSXY = Y X เรียกว่า Marginal Rate of Substitution of X for Y หมายถึงบริโภคสินค้า X ทดแทนสินค้า Y คือ X Y ค่า MRS เป็นตัวกำหนดลักษณะของเส้น IC ว่าเป็นอย่างไร

26 สินค้า 2 ชนิดมักทดแทนกันได้แต่ไม่สมบูรณ์ จึงมีค่า MRS ลดลงเรื่อยๆ
เส้น IC เป็นเส้นโค้งเว้าเข้าหาจุดกำเนิด (convex to the origin) Y A 8 B 5 IC X 2 3 จากรูป slope ของเส้น IC เขียนได้ 2 แบบ คือ MRSXY = - Y = (A→B) X MRSYX = - Y = (B→A) X

27 สินค้า 2 ชนิดสามารถทดแทนกันได้อย่างสมบูรณ์ ค่า MRS คงที่
เส้น IC เป็นเส้นตรงทอดลงจากซ้ายไปขวา ผู้บริโภคลดการบริโภคสินค้าชนิดหนึ่งลงในลักษณะคงที่ เพื่อให้ได้สินค้าอีกชนิดเพิ่มขึ้นทีละ 1 หน่วย Y IC X Y สินค้า 2 ชนิดไม่สามารถนำมาทดแทนกันได้เลย (ต้องใช้ประกอบกัน) ค่า MRS มี 2 ค่า คือศูนย์และอนันต์ () เส้น IC เป็นเส้นหักงอเป็นมุมฉาก 2 IC X 1

28 4.3.2 เส้นงบประมาณหรือเส้นราคา (Budget line or Price line)
หมายถึงเส้นที่แสดงให้เห็นถึงจำนวนต่าง ๆ ของสินค้า 2 ชนิด ซึ่งสามารถซื้อได้ด้วยเงินจำนวนหนึ่งตามที่กำหนดไว้ ณ ราคาตลาดในขณะนั้น ทุกๆ จุดบนเส้นงบประมาณ แสดงถึงงบประมาณที่เท่ากันของผู้บริโภคที่ใช้ซื้อสินค้า ในสัดส่วนของสินค้าแตกต่างกันไปในแต่ละจุด การสร้างเส้นงบประมาณจะต้องทราบถึงรายได้ (I) ของผู้บริโภคที่มีอยู่อย่างจำกัด และราคาสินค้า 2 ชนิด เช่น สินค้า X และสินค้า Y สมการงบประมาณ: I = (Px .X)+(Py .Y) Y I Py (Py .Y) = I – (Px . X) ● Q Slope = - Px Py Y = I – Px (X) Py Py Y ● B Slope เส้นงบประมาณ – I/Py = –Px I/Px Py ● A X ● R การเลือกบริโภคสินค้าเพื่อ Maximize Utility ต้องใช้งบประมาณหมดพอดี จุดเลือกบริโภคสินค้า 2 ชนิด จึงต้องอยู่บนเส้นงบประมาณเท่านั้น X I Px

29 การเปลี่ยนแปลงเส้นงบประมาณ
ราคาสินค้าเปลี่ยนแปลง รายได้ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง 1. ราคาของสินค้าเปลี่ยนแปลงโดยรายได้ที่เป็นตัวเงินคงที่ Y Y B1 A B B2 X X B2 B B1 A Px  I และ Py คงที่ Py  I และ Px คงที่

30 2. รายได้ที่แท้จริง (real income) เปลี่ยนแปลง
รายได้ที่เป็นตัวเงินเปลี่ยนแปลงโดยราคาสินค้าทั้ง 2 ชนิดไม่เปลี่ยนแปลง ราคาสินค้า 2 ชนิดเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนเดียวกันโดยรายได้ที่เป็นตัวเงินไม่เปลี่ยนแปลง เส้นงบประมาณจะ shift ขนานกับเส้นเดิม Y A1 A A2 X B2 B B1

31 4.3.3 ดุลยภาพของผู้บริโภควิเคราะห์โดยทฤษฎีเส้นความพอใจเท่ากัน
ดุลยภาพของผู้บริโภควิเคราะห์โดยทฤษฎีเส้นความพอใจเท่ากัน ดุลยภาพของผู้บริโภค เป็นจุดซึ่งผู้บริโภคเลือกบริโภคสินค้าแล้วมีความพอใจสูงสุด (Maximize Utility) ดุลยภาพจะเกิดขึ้น ณ จุดสัมผัสของเส้นความพอใจเท่ากันกับเส้นงบประมาณ ซึ่งผู้บริโภคมีความพอใจสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้งบประมาณที่จำกัด Y ดุลยภาพการบริโภคอยู่ที่จุด E slope IC = slope budget line A E1 MRSxy = Px Py E2 ดุลยภาพการบริโภคอยู่ที่อัตราการทดแทนหน่วยท้ายสุดของสินค้า มีค่าเท่ากับอัตราส่วนของราคาสินค้า E Y IC3 IC2 IC1 X X B

32 เมื่อเส้น IC เป็นเส้นหักงอเป็นมุมฉาก
ในกรณีที่เส้น IC ไม่ใช่เส้นที่โค้งเว้าเข้าหา origin ดุลยภาพของการบริโภคก็ยังคงเกิดที่จุดสัมผัสของ IC และ budget line เช่นกัน เมื่อเส้น IC เป็นเส้นหักงอเป็นมุมฉาก Y A Y IC2 E IC1 X X B สินค้า 2 ชนิดนี้ทดแทนกันไม่ได้เลย

33 เมื่อเส้น IC เป็นเส้นตรง
Y Y A E A IC3 IC2 IC3 IC2 IC1 IC1 E X X B B สินค้า 2 ชนิดนี้ทดแทนกันสมบูรณ์ ดุลยภาพ: Corner solution

34 หาระดับการบริโภคจากเงื่อนไขดุลยภาพ
หากมีค่า MRS และราคาของสินค้า 2 ชนิด สามารถหาดุลยภาพการบริโภคได้ เงื่อนไขดุลยภาพ => MRSXY = - Px PY หรือ Y = - Px X Py ตัวอย่าง ผู้บริโภคมีรายได้ 100 บาท Px = 10 บาท และ Py = 5 บาท และมีข้อมูลการบริโภคดังตาราง - Px/Py = 10/5 = -2 ส่วน สินค้า X สินค้า Y MRSXY ผสม QX QX QY QY (-Y/X) a 1 - 24 b 2 19 5 -5 c 3 15 4 -4 d 12 -3 e 10 -2 f 6 9 -1 ผู้บริโภคจะบริโภค X=5 หน่วย บริโภค Y=10 หน่วย ใช้เงิน = = 100 บาท

35 4.3.4 การเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของผู้บริโภค
การเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของผู้บริโภค ดุลยภาพของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงได้จาก ราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงโดยรายได้ที่เป็นตัวเงินคงที่ รายได้ที่แท้จริงเปลี่ยนแปลง 1. ราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงโดยรายได้ที่เป็นตัวเงินคงที่ เมื่อราคาสินค้า X เปลี่ยนแปลงโดยราคาสินค้า Y และ I คงที่ (Px , Py และ I คงที่) Y เมื่อ Px ลดลง ในกรณีนี้ ซื้อ X เพิ่มขึ้น ตามกฎอุปสงค์ ซื้อ Y ลดลง แสดงว่า Y เป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนกันกับ X A Y E E1 Y1 IC1 IC0 X X X1 B B1

36 การเปลี่ยนแปลงการบริโภค Y จะเป็นอย่างไร เมื่อราคาสินค้า X เปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของ X และ Y ดังนี้ สินค้าทดแทนกัน : PX และ QY สัมพันธ์ทิศทางเดียวกัน Px  (Q)  Qy Px  (Q)  Qy สินค้าประกอบกัน : PX และ QY สัมพันธ์ในทิศทางตรงข้าม Px  (Q)  Qy Px  (Q)  Qy สินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกัน : PX และ QY ไม่สัมพันธ์กัน Px  (Q)  Qy Px  (Q)  Qy

37 ในกรณีนี้ ซื้อ Y เพิ่มขึ้น ตามกฎอุปสงค์
2) เมื่อราคาสินค้า Y เปลี่ยนแปลงโดยราคาสินค้า X และ I คงที่ (Py , Py และ I คงที่) เมื่อ Py ลดลง ในกรณีนี้ ซื้อ Y เพิ่มขึ้น ตามกฎอุปสงค์ ซื้อ X ลดลง แสดงว่า Y เป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนกันกัน Y Y B1 Y1 E1 B IC1 E Y IC0 X X1 X A

38 2. รายได้ที่แท้จริงเปลี่ยนแปลง โดยราคา X และราคา Y คงเดิม
(I , Px และ Py คงที่) เมื่อ I เพิ่มขึ้น ในกรณีนี้ ซื้อ X และ Y เพิ่มขึ้น แสดงว่า X และ Y เป็นสินค้าปกติ Y A1 การเปลี่ยนแปลงการบริโภคสินค้า 2 ชนิด จะเป็นอย่างไร เมื่อรายได้ที่แท้จริงเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับว่าสินค้า 2 ชนิด เป็นสินค้าประเภทใด A E1 Y1 E Y IC1 IC0 X X X1 B B1 สินค้าปกติ : รายได้แท้จริงกับ Q เปลี่ยนทิศทางเดียวกัน สินค้าด้อยคุณภาพ : รายได้ที่แท้จริงกับ Q มีทิศทางตรงข้าม Ir Qx Qy Ir Qx Qy

39 4.3.5 การสร้างเส้นอุปสงค์ของผู้บริโภคจากดุลยภาพ
4.3.5 การสร้างเส้นอุปสงค์ของผู้บริโภคจากดุลยภาพ โดยทฤษฎีเส้นความพอใจเท่ากัน เส้นอุปสงค์ของผู้บริโภคที่สร้างจากดุลยภาพมี 3 กรณี คือ Price Demand : พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของดุลยภาพเมื่อราคาสินค้าที่พิจารณาเปลี่ยนแปลงโดยกำหนดให้สิ่งอื่นๆ คงที่ Income Demand : พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของดุลยภาพเมื่อรายได้ที่แท้จริงเปลี่ยนแปลง โดยกำหนดให้สิ่งอื่นๆ คงที่ Cross Demand : พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงดุลยภาพ เมื่อราคาสินค้าอื่นเปลี่ยนแปลง โดยกำหนดให้สิ่งอื่นๆ คงที่

40 อุปสงค์ต่อราคา (Price Demand)
Y อุปสงค์ต่อราคา (Price Demand) IC2 IC3 IC1 A PX P1 P2 P3 QX X1 X2 X3 E1 E3 E2 PCC X X1 X2 B1 X3 B2 B3 P PCC = Price Consumption Curve เส้นการบริโภคตามราคา P1 P2 P3 D X X1 X2 X3

41 2. อุปสงค์ต่อรายได้ (Income Demand)
Y 2. อุปสงค์ต่อรายได้ (Income Demand) A3 A2 ICC A1 Y QX I1 X I2 X1 I3 X2 E2 E1 E IC3 IC2 IC1 X X X1 X2 B1 B2 B3- Y DI I3 ICC = Income Consumption Curve เส้นการบริโภคตามรายได้ I2 I1 X X X1 X2

42 เส้นอุปสงค์ต่อรายได้อาจมี slope เป็นบวกหรือลบก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าประเภทใด
Ir   Q  (ในที่นี้ Ir = Real Income) Ir   Q  slope เป็นลบ : => สินค้าด้อยคุณภาพ Ir   Q  Ir   Q 

43 สินค้า X และ Y เป็นสินค้าปกติ
รายได้ รายได้ A1 Dx ICC Dy A E1 Y2 I2 I2 E IC2 I1 Y1 I1 IC1 X Y X Y1 Y2 X1 X2 B B1 X1 X2

44 สินค้า X เป็นสินค้าปกติ สินค้า Y เป็นสินค้าด้อยคุณภาพ
รายได้ รายได้ A1 Dx IC0 A IC1 I2 I2 I1 I1 Y1 E E1 Y2 ICC Dy X X Y X1 X2 B B1 X1 X2 Y2 Y1

45 3. อุปสงค์ไขว้ (Cross Demand)
หาอุปสงค์ไขว้ของสินค้า Y เมื่อ Px เปลี่ยนไป โดย Py และ I คงเดิม สินค้า X และ Y ไม่เกี่ยวข้องกัน PX DC PX QY 10 6 20 20 10 QY 6

46 สินค้า X และ Y เป็นสินค้าประกอบกัน
PX QY 5 7 8 Y PX A PCC 7 E 8 IC0 5 E1 5 DC IC1 X QY 8 10 B1 B 5 7

47 สินค้า X และ Y เป็นสินค้าที่ทดแทนกัน
PX QY 5 6 8 7 Y PX A DC 8 E1 7 E 6 PCC 5 IC0 IC1 X QY 5 B1 9 B 6 7

48 ความพอใจส่วนเกินของผู้บริโภค : (Consumer’s Surplus)
PX QX 10 1 8 2 6 3 4 5 หากระดับราคาสินค้า X อยู่ที่ PX = 4 ผู้บริโภคซื้อ X = 4 หน่วย จ่ายค่าสินค้า X ไป = 4  4 = 16 บาท ส่วนเกินของผู้บริโภค = 28–16 = 12 บาท

49 ส่วนเกินของผู้บริโภค เป็นพื้นที่ใต้เส้นอุปสงค์ที่อยู่เหนือราคาที่ซื้อ
ส่วนเกินของผู้บริโภค = OAEQ – OPEQ = APE ความสัมพันธ์ของ P และส่วนเกินของผู้บริโภค จะมีทิศทางตรงข้าม P A consumer’s surplus E P D Q Q B ส่วนเกินของผู้บริโภค เป็นพื้นที่ใต้เส้นอุปสงค์ที่อยู่เหนือราคาที่ซื้อ


ดาวน์โหลด ppt ทฤษฏีพฤติกรรมผู้บริโภค

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google