กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง พยางค์และคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ผู้สอน คุณครูธันยะวีร์ ค้าขาย
สารบัญการเรียนรู้ พยางค์และคำ ชนิดของคำ แหล่งอ้างอิง
พยางค์และคำ พยางค์ หมายถึง หน่วยเสียงที่ประกอบด้วยสระตัวเดียว (ทั้งลดรูปและคงรูป) จะมีความหมายหรือไม่มีก็ได้ นับหน่วยเสียงเป็นพยางค์หนึ่ง เพราะฉะนั้นคำเดียวอาจจะมีพยางเพียงหรือหลายพยางค์ก็ได้
ชนิดของคำ คำในภาษาไทย แบ่งออกเป็น ๗ ชนิด ๑. คำนาม ๒. คำสรรพนาม ๓. คำกริยา ๔. คำวิเศษณ์ ๕. คำบุพบท ๖. คำสันธาน ๗. คำอุทาน
๑. คำนาม ๑.๑ คำนาม คือ ที่เป็นชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ และกริยาอาการต่าง ๆ มีชื่อว่า สามานยนาม เช่น เด็กมาโรงเรียน , พี่ไปรับน้อง , ผัดกระเพราอร่อยมาก ๑.๒ คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ ของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ มีชื่อว่า วิสามานยนาม เช่น สมศักดิ์เรียนหนังสือเก่ง , พระอภัยมณี เป็นหนังสือวรรณคดีที่สนุก
๑.๓ ลักษณะนาม เป็นคำนามที่ประกอบนามอื่นเพื่อแสดงรูปลักษณะ ขนาดหรือประมาณของนามนั้นให้ชัดเจน เช่น รถ 1 คัน , เรือ 3 ลำ , แห 1 ปาก , เกวียน 3 เล่ม ๑.๔ สมุหนาม ได้แก่ คำที่แสดงหมวดหมู่ของสามานยนามหรือวิสามานยนาม เช่น ฝูง , โขลง , กอง หรือคำนามที่เป็นชื่อของสถานที่ เช่น ประเทศไทย , กรมพลศึกษา , บริษัท
๑.๖ อาการนาม เป็นคำนามที่เกิดจากคำกริยา หรือคำวิเศษณ์ มีคำ การ หรือ ความ นำหน้า เช่น การเดิน ความดี การพูด ความยาว ความสูง เป็นต้น จะสังเกตว่าคำ การ จะนำหน้าคำกริยา คำ ความ จะนำหน้าคำวิเศษณ์
ร้องรำทำเพลง เพลงคำนาม http://www.youtube.com/watch?v=C1IGqdALiCs
๒. คำสรรพนาม คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนนามหรือข้อความที่กล่าวมาแล้ว หรือที่รู้กันอยู่ก่อนแล้วว่าเป็นใครหรืออะไร เพื่อไม่ต้องกล่าวซ้ำบ่อยๆ แบ่งออกเป็น ๑. บุรุษสรรพนาม บุรุษ หมายถึงคำที่ใช้แทนชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ และชื่อของสิ่งอื่นทั้งสิ้น ได้แก่ ฉัน เธอ ๒. คำนามชี้เฉพาะ เช่น นี่ นั่น โน่น โน้น
๓. คำนามไม่ชี้เฉพาะ เช่น ใคร อะไร ไหน ๔. สรรพนามที่เป็นคำถาม เช่น ใคร อะไร ไหน ๕. สรรพนามแบ่งแยก เช่น บ้าง ต่าง กัน ๖. สรรพนามทำหน้าที่แทนนามที่อยู่ข้างหน้า เช่น ที่ ซึ่ง อัน ยกตัวอย่าง คน ที่ เดินมาโน่นเรียนเก่ง บ้านซึ่ง อยู่ ในซอยเป็นของใคร ไม้บรรทัด อัน ที่เธอให้หายไปแล้ว
๓. คำกริยา คำกริยา คือ คำที่แสดงอาการเคลื่อนไหว หรืออาการเป็นไปของนามและสรรพนาม คำกริยาแบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ
ชนิดของคำกริยา คำกริยาแบ่งเป็น ๕ ชนิด ๑. อกรรมกริยา คือ คำกริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับก็ได้ความสมบูรณ์ เข้าใจได้ เช่น เขายืน, น้องนอน ๒. สกรรมกริยา คือ คำกริยาที่ต้องมีกรรมมารับ เพราะคำกริยานี้ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง เช่น ฉันกินข้าว, เขาเห็นนก
๓. วิกตรรถกริยา คือ คำกริยาที่ไม่มีความหมายในตัวเอง ใช้ตามลำพังแล้วไม่ได้ความ ต้องมีคำอื่นมาประกอบจึงจะได้ความ คำกริยาพวกนี้คือ เป็น เหมือน คล้าย เท่า คือ เช่น เขาเป็นนักเรียน, เขาคือครูของฉันเอง ๔. กริยานุเคราะห์ คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่ช่วยคำกริยาสำคัญในประโยคให้มีความหมายชัดเจนขึ้น ได้แก่คำว่า จง กำลัง จะ ย่อม คง ยัง ถูก นะ เถอะ เทอญ ฯลฯ เช่น นายดำจะไปโรงเรียน, เขาถูกตี
๕. กริยาสภาวมาลา คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่เป็นคำนามจะเป็นประธาน กรรม หรือบทขยายของประโยคก็ได้ เช่น - "นอน"หลับเป็นการพักผ่อนที่ดี - ฉันชอบไป"เที่ยว"กับเธอ
๔. คำวิเศษณ์ คำวิเศษณ์ หมายถึง คำที่ใช้ประกอบหรือขยายคำนาม สรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อให้ได้ใจความชัดเจนและละเอียดมากขึ้น เช่น
๕. คำบุพบท คำบุพบท หมายถึง คำที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหรือประโยค เพื่อให้ทราบว่าคำหรือกลุ่มคำที่ตามหลังคำบุพบทนั้นเกี่ยวข้องกับกลุ่มคำข้างหน้าในประโยคในลักษณะใด เช่น กับ แก่ แต่ ต่อ ด้วย โดย ตาม ข้าง ถึง จาก ใน บน ใต้ สิ้น สำหรับ นอก เพื่อ ของ เกือบ ตั้งแต่ แห่ง ที่ เป็นต้น
๖.คำสันธาน คำสันธาน หมายถึง คำที่ใช้เชื่อมประโยค หรือข้อความกับข้อความ เพื่อทำให้ประโยคนั้นรัดกุม กระชับและสละสลวย เช่นคำว่า และ แล้ว จึง แต่ หรือ เพราะ เหตุเพราะ เป็นต้น เช่น
๗. คำอุทาน คำอุทาน หมายถึง คำที่แสดงอารมณ์ของผู้พูดในขณะที่ตกใจ ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ หรืออาจจะเป็นคำที่ใช้เสริมคำพูด เช่นคำว่า อุ๊ย เอ๊ะ ว้าย โธ่ อนิจจา อ๋อ เป็นต้น เช่น - เฮ้อ! ค่อยยังชั่วที่เขาปลอดภัย - เมื่อไรเธอจะตัดผมตัดเผ้าเสียทีจะได้ดูเรียบร้อย
แหล่งอ้างอิง เริงชัย ทองหล่อและคณะ. คู่มือเตรียมสอบ O-NET ป.6. กรุงเทพฯ : ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง. 2537
สวัสดี