สิทธิมนุษยชน ในกระบวนการยุติธรรม เกียรติศักดิ์ ศรีคำ วิทยากร/ผู้เรียบเรียง
ประวัติวิทยากร - รัฐศาสตรบัณฑิต มสธ. 2544 - นิติศาสตรบัณฑิต มสธ. 2548 ประวัติวิทยากร - รัฐศาสตรบัณฑิต มสธ.2544 - นิติศาสตรบัณฑิต มสธ.2548 - ประกาศนีบัตรวิชาว่าความ รุ่นที่ 37 - นิติศาสตรมหาบัณฑิต รามคำแหง 2555 -ปัจจุบัน กำลังศึกษา...เนติบัณฑิตไทย
ครั้งที่ 1
วิชานี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของบุคคลใน ป. วิ. อ วิชานี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของบุคคลใน ป.วิ.อ. ประกอบกับรัฐธรรมนูญ โดยการวิเคราะห์หลักกฎหมาย ทฤษฎี และ คำพิพากษาศาลฎีกา เพื่อให้สามารถปรับใช้บทบัญญัติ ของกฎหมายได้ในเชิงปฏิบัติ
สิทธิมนุษยชน (Human Rights)
สิทธิมนุษยชน (Human Rights) นิยามตามพระราชบัญญัติสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 2542 มาตรา 3 “สิทธิมนุษยชน หมายถึง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรองหรือคุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือตามกฎหมายไทย หรือตามสนธิสัญญาที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตาม”
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) ความเสมอภาคและการเลือกปฏิบัติ (Equality and Discrimination) ความเสมอภาคและการเลือกปฏิบัติ (Equality and Discrimination) ความเสมอภาค คือ การปฏิบัติต่อคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน หากมีการปฏิบัติต่อมนุษย์โดยไม่เท่าเทียมกัน เรียกว่า การเลือกปฏิบัติ
การรับรองสิทธิมนุษยชนไว้ในกฎหมาย 1. การรับรองในกฎหมายระหว่างประเทศ (ประเทศไทยเป็นภาคีสนธิสัญญา) - อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก - อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ - กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง - กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ ทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม - อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ
การรับรองสิทธิมนุษยชนไว้ในกฎหมาย (ต่อ) 2. การรับรองในกฎหมายภายในประเทศ - รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย - กฎหมาย / พระราชบัญญัติต่างๆ
การรับรองสิทธิมนุษยชนไว้ในกฎหมาย (ต่อ) กฎหมายภายในประเทศที่แก้ไขเพื่อรับรองตามหลักสิทธิมนุษยชน เช่น - ป.อ. มาตรา 18, 73 , 276 - ป.พ.พ. มาตรา 1445, 1446, 1447/1, 1516(1) , 1523 - ป.วิ.อ. มาตรา 89, 89/1, 89/2, 246, 247 วรรคสอง
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 รับรองสิทธิเสรีภาพ ดังนี้ 1. ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ (มาตรา 4, 26) 2. ความเสมอภาคของบุคคล (มาตรา 30) 3. สิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย (มาตรา 32, 39) 4. สิทธิของผู้ต้องหา หรือจำเลย (มาตรา 40) 5. สิทธิของพยานและผู้เสียหายในคดีอาญา (มาตรา 40 (4) (40 (5)) 6. สิทธิของเด็ก (มาตรา 49, 40 (6), 52, 84 (7)) 7. เสรีภาพในการนับถือศาสนา (มาตรา 37, 79)
8. เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (มาตรา 45, 46, 47, 48) 9. เสรีภาพทางการศึกษา (มาตรา 49, 50) สิทธิในทรัพย์สิน (มาตรา 41, 42) สิทธิในการบริหารสาธารณสุขและสวัสดิการ (มาตรา 51) 12. สิทธิของผู้สูงอายุ (มาตรา 53, 80 (1) ) 13. สิทธิของคนพิการหรือทุพพลภาพ (มาตรา 54, 80 (1) 14. สิทธิของผู้บริโภค (มาตรา 61, 61 วรรคสอง) 15. สิทธิของชุมชนท้องถิ่น (มาตรา 66, 67)
16. สิทธิในการรวมกลุ่มและการชุมนุม (มาตรา 64, 65, 63) 17. สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการมีส่วนร่วม (มาตรา 56, 57, 58) 18. สิทธิในการร้องทุกข์และฟ้องคดี (มาตรา 59,60,62,212, 213) 19. สิทธิและเสรีภาพอื่นๆ (มาตรา 33, 34, 35,38, 52, 54 วรรคสอง, 55,69)
รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 สิทธิในกระบวนการยุติธรรม รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 สิทธิในกระบวนการยุติธรรม มาตรา ๓๙ บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้ ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้
รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา ๔๐ บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้ (๑) สิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง (๒) สิทธิพื้นฐานในกระบวนพิจารณา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกัน ขั้นพื้นฐานเรื่องการได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผย การได้รับทราบข้อเท็จจริงและตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ การเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตน การคัดค้านผู้พิพากษาหรือตุลาการ การได้รับการพิจารณาโดยผู้พิพากษาหรือตุลาการที่นั่งพิจารณาคดีครบองค์คณะ และการได้รับทราบเหตุผลประกอบคำวินิจฉัย คำพิพากษา หรือคำสั่ง (๓) บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะให้คดีของตนได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม
(๔) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทก์ จำเลย คู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพยานในคดี มีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสิทธิในการได้รับการสอบสวนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม และการไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง (๕) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลย และพยานในคดีอาญา มีสิทธิได้รับ ความคุ้มครอง และความช่วยเหลือที่จำเป็นและเหมาะสมจากรัฐ ส่วนค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ (๖) เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการหรือทุพพลภาพ ย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม และย่อมมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในคดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ
(๗) ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือ การพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว (๘) ในคดีแพ่ง บุคคลมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายอย่างเหมาะสมจากรัฐ
สิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ในส่วนที่เกี่ยวกับ ป.วิ.อ. สิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ในส่วนที่เกี่ยวกับ ป.วิ.อ. สิทธิ (rights) คือประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้แก่บุคคล ในอันที่จะกระทำการเกี่ยวข้องกับทรัพย์หรือบุคคลอื่น เช่น สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในชีวิตร่างกาย เป็นต้น มีความหมายในทางคุ้มครองบุคคลไม่ให้ผู้อื่น ล่วงละเมิดเจ้าของสิทธิ เสรีภาพ (liberty) คือ ภาวะของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำ ของผู้อื่น มีอิสระที่จะกระทำการหรืองดเว้นกระทำการ เช่น เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร เสรีภาพในการเดินทาง เป็นต้น มีความหมายในทางอิสระ ของเจ้าของเสรีภาพ
ป.วิ.อ. เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่เป็นการใช้อำนาจรัฐเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและเอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษ อันอาจ มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลโดยตรง เดิมนักกฎหมายใช้ ป.วิ.อาญา โดยวิเคราะห์ตามตัวบท ไม่ได้คำนึงถึงหลักการพื้นฐานที่ว่า มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพเต็มบริบูรณ์ การจำกัดสิทธิเสรีภาพของมนุษย์เป็นเพียงข้อยกเว้น ซึ่งต้องมีกฎหมายบัญญัติชัดเจน นับแต่รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นต้นมา ได้ยืนยันหลักการพื้นฐานนี้ - ยกย่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ - ชี้นำแนวทางการใช้ ป.วิ.อาญา โดยนำไปบัญญัติในรัฐธรรมนูญ การตีความ ป.วิ.อ. จากหลักการพื้นฐานเรื่องสิทธิเสรีภาพมิได้ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของมาตรการทางอาญาย่อหย่อนลง แต่กลับทำให้กระบวนการถูกต้องยิ่งขึ้น และนำไปสู่ความยอมรับนับถือในกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
บุคคลมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ 2550 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ป.วิ.อ. ดังนี้ 1. สิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย โดยมีสิทธิที่จะไม่ถูกกระทำ ทรมาน ทารุณกรรม หรือถูกลงโทษด้วยวิธีการโหดร้าย หรือไร้มนุษยธรรม (ร.ธ.น. มาตรา 32 วรรคหนึ่งและวรรคสอง) 2. สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองจากการจับ คุมขัง และค้น (ร.ธ.น. มาตรา 32 วรรคหนึ่ง วรรคสาม วรรคสี่และวรรคห้า 33วรรคหนึ่งวรรคสองและวรรคสาม ป.วิ.อ. มาตรา 57, 59) “การจับ และคุมขังบุคคลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาล หรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ การค้นตัวบุคคล หรือการกระทำใดอันกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้ เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ
ในกรณีที่มีการกระทำซึ่งกระทบต่อสิทธิเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง ผู้เสียหาย พนักงานอัยการ หรือบุคคลอื่นใด เพื่อประโยชน์ของผู้เสียหายมีสิทธิร้องต่อศาลเพื่อให้สั่งระงับ หรือเพิกถอนการกระทำเช่นว่านั้น....” (ร.ธ.น. มาตรา 32 วรรคสาม วรรคสี่และวรรคห้า)
“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในเคหสถาน บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองในการที่จะอยู่อาศัย และครอบครองเคหสถานโดยปกติสุข การเข้าไปในเคหสถานโดยปราศจากความยินยอมของผู้ครอบครอง หรือการตรวจค้นเคหสถาน หรือในที่รโหฐานจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาล หรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ” (ร.ธ.น. มาตรา 33 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสาม) 3. สิทธิที่จะไม่ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อมีการอ้างว่าบุคคลใดต้องถูกคุมขังโดยมิชอบแล้ว บุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกคุมขังยื่นคำร้องต่อศาลขอปล่อยได้ (ร.ธ.น. มาตรา 32 วรรคห้า ป.วิ.อ. มาตรา 90) 4. สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับใช้กฎหมายอาญา ที่มีผลย้อนหลัง (ร.ธ.น. มาตรา 39 วรรคหนึ่ง ป.อ. มาตรา 2 วรรคแรก)
5. สิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จะปฏิบัติต่อบุคคลเสมือนเป็นผู้กระทำผิดก่อนมีคำพิพากษามิได้ (ร.ธ.น. มาตรา 39 วรรคสอง และ วรรคสาม) 6. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาพิพากษา โดยผู้พิพากษาครบองค์คณะ (ร.ธ.น. มาตรา 40 (2)) 7. สิทธิที่จะได้รับทราบข้อเท็จจริงและตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ (ร.ธ.น. มาตรา 40 (2) ป.วิ.อ. มาตรา 8) 8. สิทธิที่จะไม่ให้การหรือเบิกความในถ้อยคำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง (ร.ธ.น. มาตรา 40 (4) ป.วิ.อ. 134/4) 9. สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครอง การปฏิบัติที่เหมาะสม และค่าตอบแทนที่จะเป็นและสมควรจากรัฐ (ร.ธ.น. มาตรา 40 (5) )
10. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาประกันหรือปล่อยชั่วคราว(ร. ธ. น 10.สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาประกันหรือปล่อยชั่วคราว(ร.ธ.น.มาตรา 40(7)ป.วิ.อ.มาตรา 106 ) 11. สิทธิที่จะได้รับการสอบสวน หรือพิจารณาคดีที่ถูกต้องรวดเร็ว และเป็นธรรม (ร.ธ.น. มาตรา 40 (7) ป.วิ.อ. มาตรา 134 วรรคสาม และ ป.วิ.อ. มาตรา 8 (1) ) 12. สิทธิที่จะมีทนายความหรือผู้ที่ตนไว้ใจ เข้าฟังการสอบปากคำ (ร.ธ.น. มาตรา 40 (7) ป.วิ.อ. มาตรา 7/1 , 134/3) 13. สิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐในการจัดหาทนายความ (ร.ธ.น. มาตรา 40 (7) ป.วิ.อ. 134/1 , 173) 14. สิทธิที่จะพบและปรึกษาทนายความเป็นการเฉพาะตัว (ร.ธ.น. มาตรา 40 (7) ป.วิ.อ. มาตรา 7/1 ) 15. สิทธิที่จะให้ถ้อยคำด้วยความสมัครใจ ไม่ถูกขู่เข็ญหลอกลวง ทรมานหรือให้สัญญา (ร.ธ.น. มาตรา 40(4)(7) ป.วิ.อ.มาตรา 135,226)
การจับ (1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใด น่าจะได้กระทำความผิดอาญา ซึ่งมีอัตรา เหตุออกหมายจับ โทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี หรือ (มาตรา 66) (2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใด น่าจะได้กระทำผิดอาญา และมีเหตุ อันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไป ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือจะไป ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุ อันตรายประการอื่น
เหตุยกเว้นไม่ต้องมีหมายจับ (มาตรา 78) (1) เมื่อบุคคลนั้นทำความผิดซึ่งหน้า ตามมาตรา 80 ฝ่ายปกครองหรือตำรวจ (2) เมื่อพบบุคคลมีพฤติการณ์อันควร จะจับโดยไม่มีหมายจับหรือ สงสัยว่าน่าจะก่อเหตุร้าย คำสั่งศาลไม่ได้เว้นแต่ (3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับตาม มาตรา 66(2) แต่มีความจำเป็น เร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออก หมายจับได้ (4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หนี หรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อย ชั่วคราวตามมาตรา 117
(1) ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบ ในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัย ความผิดซึ่งหน้า เลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ (มาตรา 80) (2) ความผิดอาญาดังที่ระบุไว้ในบัญชีท้าย ป.อ. ให้ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ในกรณีที่ เมื่อบุคคลหนึ่งถูกไล่จับดั่งผู้กระทำ (2) เมื่อพบบุคคลหนึ่งแทบจะทันที โดยมีเสียงร้องเอะอะ ทันใดหลังจากกระทำผิดใน ถิ่นใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุนั้น
“หลักฐานตามสมควร” ในการออกหมายจับ หมายขัง /มีมูลชั้นไต่สวนมูลฟ้อง / ลงโทษจำเลย ระดับแรก = มีเหตุสงสัย แต่ยังไม่มีข้อมูลหรือพยานหลักฐานใดสนับสนุนให้ น่าเชื่ออย่างเพียงพอว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิด ระดับที่สอง = มีข้อมูลหรือพยานหลักฐานสนับสนุนเหตุอันควรสงสัยมาก เพียงพอที่จะทำให้น่าเชื่อว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิด ระดับที่สาม = มีพยานหลักฐานมากถึงขนาดที่จะนำคดีเข้าสู่กระบวนการ วินิจฉัยชี้ขาดว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิด ระดับที่สี่ = มีพยานหลักฐานมากเพียงพอที่จะทำให้เชื่อโดยปราศจาก ข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง เกณฑ์มาตรฐานในชั้นออกหมายจับมีน้ำหนักน้อยกว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณา ซึ่งน่าจะระดับสอง แต่ต้องมีความน่าจะเป็นว่า มีการกระทำความผิดขึ้นและบุคคลนั้นน่าจะเป็นผู้กระทำความผิดมากกว่าร้อยละ 50 ขึ้นไป
การค้น (1) เพื่อพบและยึดสิ่งของซึ่งจะเป็นพยาน หลักฐานประกอบการสอบสวน ไต่สวน เหตุออกหมายค้น มูลฟ้องหรือพิจารณา (มาตรา 69) (2) เพื่อพบและยึดสิ่งของซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือ ได้มาโดยผิดกฎหมาย หรือมีเหตุอันควร สงสัยว่าได้ใช้หรือตั้งใจจะใช้ในการกระทำ ความผิด (3) เพื่อพบและช่วยบุคคลซึ่งได้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (4) เพื่อพบบุคคลซึ่งมีหมายให้จับ (5) เพื่อพบและยึดสิ่งของตามคำพิพากษาหรือ ตามคำสั่งศาล ในกรณีที่จะพบหรือจะยึดโดย วิธีอื่นไม่ได้แล้ว
การค้น 1 การค้นตัวบุคคล การค้น 2 การตรวจค้นสถานที่ (การค้นในที่รโหฐาน มาตรา 92)
(1) การค้นตัวบุคคลในที่สาธารณะสถาน (มาตรา 93) การค้นตัวบุคคล (2) การค้นตัวบุคคลซึ่งอยู่ในที่รโหฐาน (มาตรา 100 วรรคสอง) (3) การค้นตัวผู้ต้องหา (มาตรา 85 วรรคสอง)
การค้นบุคคลในที่สาธารณสถาน (มาตรา 93) ฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้นและ ห้ามมิให้ทำการค้นบุคคลใด ในที่สาธารณสถาน เว้นแต่ เมื่อมีเหตุสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของ ในความครอบครอง
เหตุยกเว้นไม่ต้องมีหมายค้นในที่รโหฐาน (มาตรา 92) ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งของศาลเว้นแต่ (1) เมื่อมีเสียงร้องให้ช่วย/มีเสียงหรือพฤติการณ์ แสดงว่ามีเหตุร้ายในที่รโหฐาน (2) เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้าในที่รโหฐาน ฝ่ายปกครองหรือ (3) บุคคลที่กระทำผิดซึ่งหน้าขณะที่ถูกไล่จับ ตำรวจเป็นผู้ค้น หนีเข้าไปในนั้น (4) มีหลักฐานว่าสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิด ฯลฯ ได้ซ่อนอยู่ในนั้น (5) เมื่อที่รโหฐานนั้น ผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับนั้นมีหมายจับหรือจับตาม มาตรา 78
หลักฐานตามสมควรในการออกหมายค้น - ข้อบังคับฯ ข้อ 18 การรับฟังพยานหลักฐาน ไม่จำเป็นต้องถือเคร่งครัด เช่นเดียวกับใช้พิสูจน์ความผิดของจำเลย - ต้องเสนอหลักฐานให้เพียงพอที่ทำให้น่าเชื่อว่าจะพบบุคคลหรือสิ่งของในสถานที่นั้น ไม่ใช่เพียงแต่สงสัยก็จะมาขอให้ออกหมายค้น องค์คณะในการพิจารณาและทำคำสั่ง - เป็นอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียว - แต่หากขอให้ศาลอาญาออกหมายค้นนอกเขตศาล/ค้นเพื่อจับ ผู้ดุร้ายหรือผู้ร้ายสำคัญในเวลากลางคืน ต้องมีผู้พิพากษา 2 คน เป็นองค์คณะ โดยเป็นผู้พิพากษาประจำศาลได้ไม่เกิน 1 คน (ข้อบังคับ ฯ ข้อ 27 ,37)
การควบคุมและขัง เหตุออกหมายขัง (มาตรา71) การควบคุมและขัง กำหนดเวลาควบคุม (มาตรา 87) การขอให้ปล่อยผู้ถูกคุมขัง (มาตรา 90)
การจับ การจับ คือการควบคุมความเคลื่อนไหวของบุคคลโดยเจ้าพนักงานเพื่อให้เขาให้การตอบข้อกล่าวหาทางอาญา ซึ่งจะต้องมีการยึดตัวบุคคลไว้ ไม่ใช่เพียงการจำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนไหวเท่านั้น การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลในส่วนที่เกี่ยวกับการจับตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา แก้ไขเพิ่มเติม ที่ 4 (The Forth Amendment) มีหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลว่า “สิทธิของบุคคลที่จะมีความปลอดภัยมั่นคงในร่างกาย เคหสถาน เอกสารและวัตถุสิ่งของต่อการค้น การยึด และการจับ ที่ไม่มีเหตุอันควรจะถูกล่วงละเมิดมิได้ และห้ามมิให้มีการออกหมาย เว้นแต่จะมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทำความผิด (probable cause)”
probable cause เป็นเรื่องทีเกี่ยวกับความน่าจะเป็นหรือความน่าจะเป็นเช่นนั้นมากกกว่าไม่เป็น (probability) และในการขอให้ศาลออกหมายจับ เจ้าพนักงานต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่ามี probable cause อันประกอบด้วย (1) ต้องมีข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่เจ้าพนักงานรู้และทำให้เจ้าพนักงานเชื่อโดยสุจริตเพียงพอว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น และบุคคลที่จะถูกออกหมายจับเป็นผู้กระทำ (2) ต้องมีข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่วิญญูชนทั่วๆ ไปพอที่จะเห็นได้ว่าเป็นไปได้ที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น และบุคคลที่จะถูกออกหมายจับเป็นผู้กระทำ
ร.ธ.น. 2540 เปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจออกหมายจับ และหมายค้นจากเดิมที่มีศาล พนักงานฝ่ายปกครอง และตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เป็นศาลเพียงองค์กรเดียว = มีวัตถุประสงค์ให้ได้รับพิจารณากลั่นกรองด้วยความรอบคอบเป็นหลักประกันการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ / สร้างดุลยภาพระหว่างการคุ้มครองสิทธิตาม ร.ธ.น. กับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม มาตรา 31 วรรคหนึ่ง = บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในชีวิตร่างกายคือสิทธิพื้นฐาน ส่วนมาตรการคุ้มครองสิทธิอยู่ในมาตรา 31 วรรคสามว่าการจับจะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย
รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 มาตรา ๒๓๗ ในคดีอาญา การจับและคุมขังบุคคลใด จะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาล หรือผู้นั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นให้จับได้โดยไม่มีหมายตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยผู้ถูกจับจะต้องได้รับการแจ้งข้อกล่าวหาและรายละเอียดแห่งการจับ โดยไม่ชักช้า กับจะต้องได้รับโอกาสแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับไว้วางใจทราบในโอกาส แรก และผู้ถูกจับ ซึ่งยังถูกควบคุมอยู่ ต้องถูกนำตัวไปศาลภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาที่ ผู้ถูกจับถูกนำตัวไป ถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวน เพื่อศาลพิจารณาว่ามีเหตุที่จะขังผู้ถูกจับไว้ตามกฎหมายหรือไม่ เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็น อย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
หมายจับหรือหมายขังบุคคลจะออกได้ต่อเมื่อ (๑) มีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทำความผิดอาญาร้ายแรงที่มีอัตราโทษตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือ (๒) มีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทำความผิดอาญา และมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้นั้นจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่นด้วย ( พิจารณาประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 66 , 78 )
ปัจจุบัน ร.ธ.น. 2550 มีหลักการเช่นเดิมเป็นไปตามมาตรา 32 วรรคหนึ่ง บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และวรรคสาม การจับและการคุมขังบุคคล จะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ มาตรา 57 ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติใน มาตรา 78 มาตรา 79 มาตรา 80 มาตรา 92 และมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายนี้ จะจับ ขัง จำคุก หรือค้นในที่รโหฐานหาตัวคนหรือสิ่งของ ต้องมีคำสั่งหรือหมายของศาลสำหรับการนั้น บุคคลที่ต้องขังหรือจำคุกตามหมายศาล จะปล่อยไปได้ก็เมื่อมีหมายปล่อยของศาล
มาตรา 58 ศาลมีอำนาจออกคำสั่งหรือหมายอาญาได้ภายในเขตอำนาจตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา มาตรา 59/1 ก่อนออกหมาย จะต้องปรากฏพยานหลักฐานตามสมควร ที่ทำให้ศาลเชื่อได้ว่ามีเหตุที่จะออกหมายตามมาตรา 66 มาตรา 69 หรือ มาตรา 71 คำสั่งศาลให้ออกหมายหรือยกคำร้อง จะต้องระบุเหตุผลของคำสั่ง นั้นด้วย หลักเกณฑ์ในการยื่นคำร้องขอ การพิจารณา รวมทั้งการออกคำสั่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
เหตุในการออกหมายจับ (มาตรา 66) เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้ (1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี หรือ (2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญา และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น ถ้าบุคคลนั้นไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควร ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี (แก้ไขเพิ่มเติมใหม่ในปี 2547 โดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547)
การจัดการตามหมายจับ (มาตรา 77) - จะจัดการตามเอกสารหรือหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น สำเนาก็ได้ ฎ. 3031/2547 สำเนาที่ทำขึ้นเองโดยการพิมพ์ และมีเจ้าหน้าที่ลงลายมือชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง ใช้ได้ แม้จะไม่ได้ถ่ายจากต้นฉบับ และผู้ลงลายมือชื่อออกหมายไม่ได้เป็นผู้รับรองนั้น
การจับโดยไม่ต้องมีหมายจับของศาล (มาตรา 78) พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่ (1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80 (2) เมื่อพบบุคคลโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น โดยมีเครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นที่อาจใช้ในการกระทำความผิด (3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามมาตรา 66 (2) แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้ (4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราวตามมาตรา 117 (แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นใหม่ในปี 2547 โดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547)
มาตรา ๘๐ ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำ หรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ อย่างไรก็ดี ความผิดอาญาดั่งระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายนี้ ให้ถือว่าความผิดนั้นเป็นความผิดซึ่งหน้าในกรณีดังนี้ (๑) เมื่อบุคคลหนึ่งถูกไล่จับดั่งผู้กระทำโดยมีเสียงร้องเอะอะ (๒) เมื่อพบบุคคลหนึ่งแทบจะทันทีทันใดหลังจากการกระทำผิดในถิ่นแถวใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุนั้นและมีสิ่งของที่ได้มาจากการกระทำผิด หรือมีเครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอันสันนิษฐานได้ว่าได้ใช้ในการกระทำผิด หรือมีร่องรอยพิรุธเห็นประจักษ์ที่เสื้อผ้าหรือเนื้อตัวของผู้นั้น มาตรา ๘๑ ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน
หลักตาม ป.วิ.อ. มาตรา 57 วรรคหนึ่ง ค้นในที่รโหฐานหาตัวคนหรือสิ่งของต้องมีคำสั่งหรือหมายค้นของศาล เหตุที่จะออกหมายค้น มาตรา 69 (1) เพื่อพบหรือยึดสิ่งของซึ่งจะเป็นพยานหลักฐานประกอบการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณา (2) เพื่อพบหรือยึดสิ่งของ ซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยผิดกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้ใช้หรือตั้งใจจะใช้ในการกระทำความผิด (3) เพื่อพบและช่วยบุคคล ซึ่งได้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง โดยมิชอบด้วยกฎหมาย (4) เพื่อพบบุคคลซึ่งมีหมายให้จับ (5) เพื่อพบและยึดสิ่งของตามคำพิพากษา หรือตามคำสั่งของศาล ในกรณีที่พบและยึดโดยวิธีอื่นไม่ได้แล้ว
มาตรา ๙๒ ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งของศาล เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้น และในกรณีดังต่อไปนี้ (๑) เมื่อมีเสียงร้องให้ช่วยมาจากข้างในที่รโหฐาน หรือมีเสียงหรือพฤติการณ์อื่น ใดอันแสดงได้ว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นในที่รโหฐานนั้น (๒) เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้ากำลังกระทำลงในที่รโหฐาน (๓) เมื่อบุคคลที่ได้กระทำความผิดซึ่งหน้า ขณะที่ถูกไล่จับหนีเข้าไปหรือมีเหตุอันแน่นแฟ้นควรสงสัยว่าได้เข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในที่รโหฐานนั้น (๔) เมื่อมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดย การกระทำ ความผิดหรือได้ใช้หรือมีไว้เพื่อจะใช้ในการกระทำ ความผิด หรืออาจเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์การกระทำความผิดได้ซ่อนหรืออยู่ในนั้น ประกอบทั้งต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้สิ่งของนั้นจะถูกโยกย้ายหรือทำลายเสียก่อน
(๕) เมื่อที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับนั้นมีหมายจับหรือจับตามมาตรา ๗๘ การใช้อำนาจตาม (๔) ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจผู้ค้นส่งมอบสำเนาบันทึกการตรวจค้นและบัญชีทรัพย์ที่ได้จากการตรวจค้น รวมทั้งจัดทำบันทึกแสดงเหตุผลที่ทำให้สามารถเข้าค้นได้เป็นหนังสือให้ไว้แก่ผู้ครอบครองสถานที่ที่ถูกตรวจค้น แต่ถ้าไม่มีผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่นั้น ให้ส่งมอบหนังสือดังกล่าวแก่บุคคลเช่นว่านั้นในทันทีที่กระทำได้ และรีบรายงานเหตุผลและผลการตรวจค้นเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป มาตรา ๙๖ การค้นในที่รโหฐานต้องกระทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก มีข้อยกเว้นดังนี้ (๑) เมื่อลงมือค้นแต่ในเวลากลางวัน ถ้ายังไม่เสร็จจะค้นต่อไปในเวลากลางคืนก็ได้ (๒) ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง หรือซึ่งมีกฎหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ จะทำการค้นในเวลากลางคืนก็ได้ (๓) การค้นเพื่อจับผู้ดุร้ายหรือผู้ร้ายสำคัญจะทำในเวลากลางคืนก็ได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตพิเศษจากศาลตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
- ที่รโหฐาน หมายความถึง ที่ต่างๆ ที่มิใช่สาธารณสถานดังที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 2 (13) - สาธารณสถาน หมายความว่า สถานที่ใดๆ ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ ป.อ. มาตรา 1 (3) - เคหสถาน หมายความว่า ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยเช่นเรือน โรง เรือ แพ ซึ่งคนอยู่อาศัย รวมถึงทางรถไฟและทางรถรางที่มีรถเดินสำหรับปชช.(ป.อ.1(4)) ตัวอย่าง - โรงหญิงนครโสเภณี วัดวาอาราม ศาลยุติธรรม โรงละคร โรงแรม ตามปกติเป็นสาธารณสถาน แต่บางส่วนของสถานที่เหล่านี้ ซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิจะเข้าไปไม่ใช่ที่สาธารณสถาน (ฎ. 631/ร.ศ.129) - สถานีรถไฟ และสถานที่บนขบวนรถไฟ มิใช่ที่รโหฐาน (ฎ. 2024/2497) - ห้องโถงในสถานค้าประเวณีผิดกฎหมายเวลารับแขกมาเที่ยว เป็นสาธารณสถาน (ฎ. 883/2520 ประชุมใหญ่)
- ห้องโถงในสถานการค้าประเวณีผิดกฎหมาย เวลาแขกมาเที่ยว เป็นสาธารณสถานซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ พลตำรวจมีอำนาจค้นโดยไม่ต้องมีหมายค้น ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 93 จำเลยขัดขวางเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 140 พลตำรวจจับได้ (ฎ.883/2520 ประชุมใหญ่) ข้อสังเกต ตามฎีกาข้างต้นนี้ ถือว่าเป็นสาธารณสถานเฉพาะเวลาที่เปิด ให้แขกเข้าไปใช้บริการ ในช่วงเวลานี้จึงไม่เป็นที่รโหฐาน เจ้าพนักงานตำรวจจึงค้นตัวจำเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น โจทก์ใช้ห้องพักในบ้านเกิดเหตุเป็นที่สำหรับให้หญิงค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไป คืนเกิดเหตุ นางสาว น. ลูกจ้างของโจทก์ได้ทำการค้าประเวณีในห้องพักนั้นด้วย ห้องพักดังกล่าวถือได้ว่าเป็นสาธารณสถาน (ค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6557/2547 จำเลยเห็นเหตุการณ์ที่คนร้ายผู้ลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายนำรถ จักรยานยนต์ของผู้เสียหายเข้ามาในบ้านของจำเลยและถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ ของผู้เสียหายในยามวิกาล ซึ่งเป็นเรื่องที่คนร้ายเคยกระทำมาแล้วและจำเลยก็รับรู้โดยถือเป็นเรื่อง ปกติ ทั้งที่ความจริงการซ่อมรถ การถอดชิ้นส่วนรถควรจะกระทำในเวลากลางวันอันเป็นเวลาทำการงานของคนทั่วไป การดำเนินการถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ในเวลากลางคืนย่อมส่อแสดงถึงความผิด ปกติ เมื่อถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม จำเลยก็นำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้จุดที่นำชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ไปทิ้งได้ถูก ต้อง แสดงว่าจำเลยน่าจะมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการนำชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของผู้ เสียหายไปทิ้ง สำหรับชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากบ้าน ของจำเลยวางอยู่ด้านหน้าของบ้านลักษณะเป็นห้องรับแขก บางส่วนอยู่ในกล่องไม่มีอะไรปิดบัง แม้จะเป็นการวางไว้อย่างเปิดเผยและบ้านของจำเลยยังไม่มีประตูรั้วกับประตู บ้านทั้งยังสร้างไม่เสร็จ แต่โดยสภาพของบ้านที่พักอาศัยย่อมถือเป็นที่รโหฐาน บุคคลภายนอกไม่มีสิทธิเข้าไปโดยมิได้รับอนุญาต การเก็บชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ไว้ในบ้านของจำเลยในลักษณะดังกล่าว ไม่พอให้รับฟังได้ว่าเป็นการกระทำโดยเปิดเผยและโดยสุจริตของจำเลยซึ่งเป็น ผู้ครอบครองบ้าน น่าเชื่อว่าจำเลยรู้ว่ารถจักรยานยนต์ที่นำไปถอดชิ้นส่วนที่บ้านของจำเลยเป็น รถจักรยานยนต์ที่คนร้ายได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยซ่อนเร้น หรือรับไว้ด้วยประการใด ๆ ซึ่งชิ้นส่วนของรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักมา โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยย่อมมีความผิดฐานรับของโจร
ตัวอย่างกรณีถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า -โรงค้าไม้มีรั้วรอบขอบชิด นอกจากเป็นสถานที่ประกอบการค้าแล้ว ยังเป็นที่อาศัยด้วยในยามที่โรงค้าหยุดดำเนินกิจการ ภายในบริเวณโรงค้าไม้ ด้านหน้าและหลังย่อมไม่ใช่สาธารณสถาน แต่เป็นที่รโหฐาน (ฎ.2914 /2520) การจับกรณีความผิดซึ่งหน้า(มาตรา78(1)) ตัวอย่างกรณีถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า - เห็นกำลังจำหน่ายยาเสพติด ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ฎีกาที่ 7454/2544 เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยได้แอบซุ่มดูอยู่ที่หน้าบ้านจำเลยห่างประมาณ 30 เมตร ชุดหนึ่ง และ 20 เมตรอีกชุดหนึ่ง เห็นสายลับมอบธนบัตรให้จำเลย แล้วจำเลยไปนำสิ่งของที่ซุกซ่อนมามอบให้สายลับซึ่งเป็นเมทแอมเฟตามีน 4 เม็ด การที่เจ้าพนักงานตำรวจเห็นการกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการเห็นจำเลยกำลังกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดซึ่งหน้า
ตัวอย่างกรณีถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า - เห็นกำลังจำหน่ายยาเสพติด ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ถ้าความผิดซึ่งหน้านั้นกระทำในที่รโหฐาน ตำรวจเข้าไปค้นในที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น (มาตรา 92 (2)) และถ้าเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งอาจทำการค้นในเวลากลางคืนได้ (มาตรา 96 (2)) ฎีกาที่ 4461/2540 จ่าสิบตำรวจ ส. และร้อยตำรวจเอก ป. จับจำเลยได้ขณะที่จำเลยกำลังขายวัตถุออกฤทธิ์ให้แก่จ่าสิบตำรวจ ส. ผู้ล่อซื้อ ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ขณะนั้นธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออยู่ที่จำเลยและจำเลยดิ้นรนต่อสู้ ถ้าปล่อยให้เนิ่นช้ากว่าจะนำหมายจับและหมายค้นมาได้จำเลยอาจหลบหนีและพยานหลักฐานอาจสูญหาย จึงเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง จ่าสิบตำรวจ ส. และร้อยตำรวจเอก ป. จึงได้มีอำนาจเข้าไปในบริเวณบ้านที่เกิดเหตุอันเป็นที่รโหฐานในเวลากลางคืนโดยไม่ต้องมีหมายค้นและมีอำนาจจับจำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดได้โดยไม่ต้องมีหมายจับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 80, 81 ประกอบมาตรา 92 (2) และ 96 (2)
ตำรวจจับคนหนึ่งได้ขณะล่อซื้อยาเสพติด ถือเป็นความผิดซึ่งหน้า แล้วพาตำรวจไปจับกุมผู้ร่วมกระทำผิดในเวลาต่อเนื่องทันที ถือว่าเป็นการจับกุมผู้กระทำผิดซึ่งหน้าเช่นกัน ตำรวจจึงจับกุมผู้กระทำผิดคนหลังในห้องพัก อันเป็นที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ (มาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 81 (1) และไม่ต้องมีหมายค้น (มาตรา 92 (2)) ฎีกาที่ 1259/2542 จำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ในการกระทำความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีน การที่จำเลยที่ 2 ขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่จ่าสิบตำรวจ ส. เป็นความผิดซึ่งหน้า เมื่อจำเลยที่ 2 ถูกจับกุมแล้วได้นำจ่าสิบตำรวจ ส. ไปจับกุมจำเลยที่ 1 เป็นการต่อเนื่องกันทันที ถือได้ว่าจ่าสิบตำรวจ ส. จับกุมจำเลยที่ 1 ในการกระทำผิดซึ่งหน้าด้วยเช่นกัน เพราะหากล่าช้าจำเลยที่ 1 ก็อาจหลบหนีไปได้ และการตรวจค้นจำเลยที่ 1 ยังพบเมทแอมเฟตามีนของกลางอีก 95 เม็ด ดังนั้น แม้จ่าสิบตำรวจ ส. เข้าไปจับจำเลยที่ 1 ในห้องพักของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นที่รโหฐานก็ตาม จ่าสิบตำรวจ ส. ก็ย่อมมีอำนาจที่จะจับกุมจำเลยที่ 1 ได้โดยชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 81 (1), 92 (2) (มาตรา 81 (1) เป็นการอ้างบทบัญญัติเดิม ซึ่งตรงกับมาตรา 81 ที่แก้ไขใหม่ปี 2547)
- ตำรวจเห็นจำเลยซื้อขายยาเสพติดให้โทษให้แก่สายลับ จึงเข้าตรวจจับกุมจำเลย พบยาเสพติดให้โทษอีกจำนวนหนึ่ง การตรวจค้นจับกุมได้กระทำต่อเนื่องกัน เป็นความผิดซึ่งหน้าทั้งสองข้อหา ตำรวจจึงมีอำนาจค้นและจับจำเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายจับและหมายค้นตามมาตรา 78 (1), 92 (2) ดูฎีกาที่ 2848/2547, 1328/2544 (มาตรา 78 (1), 92 (2) ทั้งบทบัญญัติเดิมและที่แก้ไขใหม่ปี 2547 มีเนื้อความตรงกัน จึงคงเป็นบรรทัดฐานได้) - เห็นจำเลยโยนยาเสพติดออกไปนอกหน้าต่าง เป็นความผิดซึ่งหน้าและได้กระทำลงในที่รโหฐาน เจ้าพนักงานย่อมมีอำนาจจับจำเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายจับหรือหมายค้นตาม ป.วิ.อ. มาตรา 78 (1), 92 (2) (ฎีกา 1164/2546)
ตำรวจแอบดูเห็นคนเล่นการพนันอยู่ในบ้าน ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ดูฎีกาที่ 698/2516 (ประชุมใหญ่) ออกหมายค้นเพื่อยึดยาเสพติดให้โทษ เมื่อพบยาเสพติดให้โทษอยู่ในครอบครองของจำเลย เป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าพนักงานจับได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ (ฎีกาที่ 360/2542) การค้นตัวบุคคลในที่สาธารณสถานสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น เมื่อพบความผิดซึ่งหน้าเจ้าพนักงานก็จับได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ เช่น พบแผ่นซีดีละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น (ฎีกาที่ 6894/2549)
ฎีกาที่ 3751/2551 ร้านก๋วยเตี๋ยวของจำเลยขณะเปิดบริการมิใช่ที่รโหฐาน แต่เป็น ที่สาธารณสถาน เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองอันเป็นความผิดต่อกฎหมายย่อมมีอำนาจค้นจำเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๙๓ และเมื่อตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนอยู่ในครอบครองจำเลย การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจจับจำเลยได้โดยต้องมีหมายจับตามมาตรา 78 (1)
ตัวอย่างกรณีไม่เป็นความผิดซึ่งหน้า การทะเลาะวิวาทซึ่งได้ยุติลงไปก่อนแล้ว ไม่ใช่การกระทำผิดซึ่งหน้า เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งมาภายหลังเกิดเหตุ ไม่มีอำนาจจับโดยไม่มีหมายจับ (ฎีกาที่ 4243/2542) - พบไม้หวงห้าม, สุราเถื่อน ไม่ถือเป็นความผิดซึ่งหน้า โดยศาลฎีกาให้เหตุผลว่า ไม่ใช่ความผิดซึ่งเจ้าพนักงานเห็นกำลังกระทำ หรือพบในอาการซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยว่ากระทำความผิดมาแล้วสดๆ (ฎีกาที่ 2535/2550 , 3743/2529 , 3227/2531) - กฎหมายเดิม ไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้แล้ว ไปพบเห็นผู้กระทำผิดอยู่ที่ไหน ก็ขอให้ตำรวจจับกุมอ้างว่าได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้ได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ (ฎ. 741/2522) แต่ตามมาตรา 78 ใหม่ ได้ตัดหลักเกณฑ์ดังกล่าวออกไป จึงต้องออกหมายจับ
คำพิพากษาที่ 2535/2550 บ. พบกองไม้กระยาเลยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายอันเป็นไม้ผิดกฎหมายวางกองอยู่ข้างบ้าน ว. และ ว. รับว่ามีไม้หวงห้ามยังไม่ได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจริง การกระทำของ ว. ไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าเพราะไม่ใช่ความผิดที่เห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใด ซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าได้กระทำผิดมาแล้วสด ๆ ไม่เข้าข้อยกเว้นความผิดที่ระบุไว้ในบัญชีท้าย ป.วิ.อ. หรือเข้าหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 80 วรรคสอง (1) (2) ดังนั้น บ. ไม่มีอำนาจที่จะจับ ว. โดยไม่มีหมายจับได้ การที่ ว. ตาม บ. มาที่หน่วยคุ้มครองป่าจึงไม่ใช่เป็นการถูกจับตัวมา แม้ในเวลาต่อมาจำเลยจะขับรถยนต์มาที่หน่วยคุ้มครองป่าและรับ ว. ขึ้นรถยนต์ของจำเลยขับออกจากหน่วยคุ้มครองป่าไป บ. ติดตามจำเลยไปจนทันและเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันขึ้นระหว่างจำเลยและ บ. ยังไม่เป็นการที่จำเลยต่อสู้หรือขัดขวาง บ. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน
ตัวอย่างคำถาม ข้อ 1 ร.ต.อ.เก่งกล้าได้นำหมายค้นไปตรวจค้นที่บ้านของนายโกงกาง เนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีการลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 50 เม็ดในกระเป๋าเสื้อของนายโกงกาง ซึ่งนายโกงกางให้การรับว่าได้ซื้อเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาจากนายเกตุพงษ์ ร.ต.อ.เก่งกล้า จึงให้นายโกงกางพาไปที่บ้านของนายเกตุพงษ์ซึ่งเปิดเป็นร้านขายข้าวแกง แล้ว ร.ต.อ.เก่งกล้าจึงเข้าตรวจค้นตัว นายเกตุพงษ์ขณะที่นายเกตุพงษ์กำลังขายข้าวแกงอยู่ภายในร้าน ซึ่งขณะนั้นมีลูกค้านั่งรับประทานข้าวแกงอยู่โดยมิได้ไปขอหมายค้นและหมายจับจากศาลก่อน เนื่องจากเห็นว่าเป็นกรณีเร่งด่วน ผลการตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 200 เม็ด ในกระเป๋ากางเกงของนายเกตุพงษ์ จึงได้จับกุมนายเกตุพงษ์ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าการจับของ ร.ต.อ.เก่งกล้าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
2. อำนาจในการค้นในที่รโหฐาน กรณีตามปัญหาวินิจฉัยได้ว่า “ที่รโหฐาน” หมายถึง สถานที่ที่บุคคลภายนอกไม่มีอำนาจเข้าไปได้ ตามอำเภอใจ โดยต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของสถานที่เสียก่อน เช่น ที่อยู่อาศัย ซึ่งในกรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจจะทำการจับผู้ใดในที่รโหฐาน ตำรวจจะต้องมีอำนาจถึง 2 ประการ คือ 1. อำนาจในการจับ กล่าวคือ มีหมายจับ หรือมีอำนาจจับได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ 2. อำนาจในการค้นในที่รโหฐาน เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมีทั้ง 2 อำนาจนี้แล้วจึงสามารถจับบุคคลใน ที่รโหฐานได้
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นตัวนายเกตุพงษ์นั้น นายเกตุพงษ์กำลังขายข้าวแกงอยู่ที่ร้านขายข้าวแกงของนายเกตุพงษ์ ซึ่งมีลูกค้ากำลังนั่งรับประทานข้าวแกงอยู่ ดังนี้ ร้านข้าวแกงของนายเกตุพงษ์จึงไม่ใช่ที่รโหฐาน แต่เป็นที่สาธารณสถานซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ และเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจ มีเหตุอันควรสงสัยว่านายเกตุพงษ์มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจค้นตัวนายเกตุพงษ์ได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น ตามมาตรา 93 และเมื่อตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนอยู่ในครอบครองของนายเกตุพงษ์ การกระทำของนายเกตุพงษ์ จึงเป็นความผิดซึ่งหน้า เพราะเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานได้ “เห็น” หรือ “พบ” ในขณะกำลังกระทำความผิดด้วยตนเองอย่างแท้จริง เจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจจับนายเกตุพงษ์ได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ ตามมาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 80 วรรคแรก ดังนั้น การตรวจค้นและจับกุมดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎ.3751/2551
*สังเกตว่า* ความผิดซึ่งหน้า ตามมาตรา 80 วรรคแรกนี้ หมายความถึงความผิดตามกฎหมายใดก็ได้ที่มีโทษทางอาญา เช่น พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ , พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ , พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ฯ ล้วนเป็นความผิดซึ่งหน้าตามมาตรา 80 วรรคแรกได้ทั้งสิ้น สรุป การจับกุมของ ร.ต.อ.เก่งกล้าชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของซึ่งมีไว้เป็นความผิดไว้ในครอบครอง ประกอบกับเป็นความผิดซึ่งหน้า ร.ต.อ.เก่งกล้าจึงมีอำนาจตรวจค้นและจับนายเกตุพงษ์ได้ ตามมาตรา 93 ประกอบมาตรา 78 (1) และมาตรา 80 วรรคแรก
ข้อ2 ร.ต.อ.มาโนช พบนางสมศรีกำลังวิ่งไล่จับนายมานพมา ตามทางสาธารณะและได้ยินนางสมศรีร้องตะโกนว่า “จับที จับที มันขโมย” ร.ต.อ.มาโนชจะเข้าทำการจับนายมานพ แต่นายมานพวิ่งหนีเข้าไปในบ้านมารดาของนายมานพซึ่งนายมานพก็พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย ร.ต.อ.มาโนชจึง ตามเข้าไปจับนายมานพในบ้านมารดาของนายมานพทันที ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ.มาโนชชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด กรณีตามปัญหาวินิจฉัยได้ว่า การจับของ ร.ต.อ.มาโนช เป็นการจับในที่รโหฐานซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้ต้องมีอำนาจในการจับ โดยมีหมายจับหรืออำนาจ ที่กฎหมายให้ทำการจับได้โดยไม่ต้องมีหมาย และได้ทำตามบทบัญญัติใน ป.วิ.อ.อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีหมายค้น หรือมีอำนาจที่กฎหมายให้ทำการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย
การที่ ร.ต.อ. มาโนช พบนางสมศรีกำลังวิ่งไล่จับนายมานพมาตามทางสาธารณะและได้ยินนางสมศรีร้องตะโกนว่า “จับที จับที มันขโมย” เป็นความผิดซึ่งหน้าตาม ป.วิ.อ. มาตรา 78 (1) ประกอบ มาตรา 80 วรรคสอง (1) เนื่องจากการที่นางสมศรีร้องตะโกนว่า “จับที จับที มันขโมย” ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดที่ระบุอยู่ในบัญชีท้าย ป.วิ.อ. ประกอบกับนายมานพถูกนางสมศรีวิ่งไล่จับ ดังว่า นายมานพเป็นผู้กระทำความผิดมา ร.ต.อ.มาโนช จึงมีอำนาจในการจับนายมานพ แม้ไม่มีหมายจับ และตามปัญหา ร.ต.อ.มาโนช ได้ทำตามบทบัญญัติ ป.วิ.อ. อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน ตามมาตรา 92 (3) แล้ว เนื่องจากเป็นกรณีที่นายมานพซึ่งได้กระทำความผิดซึ่งหน้า ขณะที่ถูก ร.ต.อ. มาโนชไล่จับได้หนีเข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในบ้านมารดาของนายมานพซึ่งเป็นที่รโหฐาน ดังนี้ ร.ต.อ.มาโนช จึงมีอำนาจตามเข้าไปจับนายมานพในบ้านมารดาของนายมานพทันที สรุป การจับของ ร.ต.อ.มาโนช ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 (1) , มาตรา 80 วรรสอง , มาตรา 81 และมาตรา 92 (3)
ข้อ 3 พ.ต.ต.ธนกฤต ขับรถออกตรวจท้องที่เวลาห้าทุ่ม เห็นนายดำยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายเอกซึ่งทั้งนายดำและนายเอกอยู่ภายในบ้านของนางส้ม พ.ต.ต.ธนกฤต จึงเข้าไปทำการจับนายดำในบ้านของนางส้มทันทีโดยที่ไม่มีหมายจับและหมายค้น ดังนี้การที่ พ.ต.ต.ธนกฤต เข้าไปจับนายดำในบ้านของนางส้มชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด กรณีตามปัญหาวินิจฉัยได้ว่า การจับของ พ.ต.ต.ธนกฤต เป็นการจับใน ที่รโหฐานในเวลากลางคืน (เนื่องจากตามปัญหาการกระทำความผิดเกิดเวลาห้าทุ่ม) ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้ต้องมีอำนาจในการจับ โดยมีหมายจับหรืออำนาจที่กฎหมายให้ทำการจับได้โดยไม่ต้องมีหมายและต้องทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีอำนาจในการค้น โดยมีหมายค้นหรือมีอำนาจที่กฎหมายให้ทำการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายรวมถึงจะต้องมีอำนาจที่จะเข้าไปทำการค้นในที่รโหฐานในเวลากลางคืน
การที่ พ.ต.ต.ธนกฤต เห็นนายดำยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายเอก การกระทำของนายดำเป็นความผิดฐานพยายามฆ่านายเอก (ป.อ.มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80) เมื่อ พ.ต.ต.ธนกฤต เห็นการกระทำดังกล่าว จึงมีอำนาจในการจับ เนื่องจากเป็นความผิดซึ่งหน้า (ประเภทความผิดซึ่งหน้าอย่างแท้จริงกรณีเห็นบุคคลกำลังกระทำความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 78 ประกอบมาตรา 80) และตามปัญหาเป็นกรณีนายดำกระทำความผิดซึ่งหน้า (พ.ต.ต.ธนกฤต) ในบ้านของนางส้มซึ่งเป็นที่รโหฐาน จึงถือว่า พ.ต.ต.ธนกฤต ได้ทำตามบทบัญญัติใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีอำนาจในการค้นแล้ว (ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 92 (2)) และตามปัญหาถือเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง ซึ่งจะทำการค้นในที่รโหฐานเวลากลางคืนก็ได้ เนื่องจากหาก พ.ต.ต.ธนกฤตไม่เข้าไปขณะนั้น (เวลาห้าทุ่ม) นายเอกอาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้ พ.ต.ต.ธนกฤต จึงสามารถเข้าไปทำการจับนายดำในบ้านของนางส้มได้ ดังนั้น การที่ พ.ต.ต.ธนกฤต เข้าไปจับนายดำในบ้านของนางส้มชอบด้วยกฎหมาย ฎ.4461/2540