งานวิจัยในชั้นเรียน ผู้จัดทำวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนรู้ในรายวิชากฎหมายคอมพิวเตอร์ โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 ห้องเรียนที่ 1 วิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษาเชียงราย ผู้จัดทำวิจัย นายจารุวิทย์ ปัญญาหาร ตำแหน่ง อาจารย์ผู้สอน
วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชา กฎหมาย คอมพิวเตอร์ โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 ห้องเรียนที่ 1 วิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษาเชียงราย โดย การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนวิชา กฎหมาย คอมพิวเตอร์ โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์
กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น -การจัดการเรียนการสอนวิชากฎหมายคอมพิวเตอร์ โดยใช้แบบจำลอง สถานการณ์ กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ตัวแปรตาม - ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาวิชากฎหมายคอมพิวเตอร์ เรื่องกฎหมายว่าด้วย การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อน เรียนและหลังเรียน - ความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนวิชากฎหมายคอมพิวเตอร์ โดยใช้ แบบจำลองสถานการณ์ เรื่องกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 ห้องเรียนที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวนนักเรียน ทั้งหมด 16 คน
ตารางผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คนที่ คะแนน ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนนรวม 𝐱 S.D. 𝐃 1 12 20 32 16.00 5.66 8 2 10 16 26 13.00 4.24 6 3 15 21 31 15.50 4 23 39 19.50 4.95 7 5 11 17 28 14.00 9 24 12.00 13 30 15.00 2.83 27 13.50 3.54 คนที่ คะแนน ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนนรวม 𝐱 S.D. 𝐃 10 17 25 42 21.00 5.66 8 11 16 26 13.00 4.24 6 12 18 29 14.50 4.95 7 13 24 40 20.00 14 15 23 11.50 19 31 15.50 12.50 3.54 5 11.94 18.31 29.94 14.97 4.51 6.38 2.72 3.34 ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชากฎหมายคอมพิวเตอร์ โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์
ผลวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชากฎหมายคอมพิวเตอร์ โดยใช้ แบบจำลองสถานการณ์ โดยผลการทำแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียนมี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 18.31 และการทำแบบทดสอบก่อนเรียนของนักเรียนมี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.94 แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยผลต่างอยู่ที่ 6.38 โดยการกระจายของซึ่งค่า เบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนมีค่าน้อยกว่าค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียน โดยเมื่อทำการเทียบค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจะพบว่าก่อนเรียนมีค่า เบี่ยงเบนส่วนมาตรฐานเท่ากับ 2.72 และหลังเรียนมีค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 3.34
ตารางแสดงผลความพึงพอใจ รายการประเมินความพึงพอใจ 𝝁 𝝈 ระดับความพึงพอใจ 1 แบบจำลองสถานการณ์มีความเข้าใจที่ง่าย 4.31 0.704 มาก 2 แบบจำลองสถานการณ์ช่วยให้เรียนวิชากฎหมายคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น 4.63 0.619 มากที่สุด 3 แบบจำลองสถานการณ์ได้จัดกิจกรรมที่สะดวกรวดเร็วและสนุกสนาน 4.32 0.602 4 แบบจำลองสถานการณ์ได้เสริมสร้างทักษะความรู้และความเข้าใจในกฎหมายคอมพิวเตอร์ 4.44 0.629 5 แบบจำลองสถานการณ์มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของนักเรียน 4.50 0.632 6 แบบจำลองสถานการณ์ทำให้นักเรียนทราบถึงความก้าวหน้าในการเรียน 7 แบบจำลองสถานการณ์ทำให้นักเรียนได้ทบทวนความรู้ 4.69 0.479 8 แบบจำลองสถานการณ์ทำให้นักเรียนเกิดความคิดและจินตนาการส่งผลให้จดจำกฎหมายคอมพิวเตอร์ได้ง่าย 0.730 9 นักเรียนมีความชื่นชอบและสนใจวิชากฎหมายคอมพิวเตอร์มากขึ้น 4.56 0.512 10 นักเรียนมีความชื่นชอบการเรียนการสอนโดยใช้แบบจำลองสถานการณ์ รวม 4.48 0.634 ตารางที่ 2 แสดงผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนในรายวิชา กฎหมายคอมพิวเตอร์ โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์
ผลวิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจที่มีต่อการ เรียนในรายวิชากฎหมายคอมพิวเตอร์ โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์ ใน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.48 และค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.634
สรุปผลการวิจัย ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนรู้ในรายวิชากฎหมายคอมพิวเตอร์ โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 ห้องเรียนที่ 1 จำนวน 16 คน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบ กับการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนส่งผลให้ภาพรวมอยู่ในระดับที่ดี เพราะมีการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการจำลองสถานการณ์เข้ามาช่วยให้ นักเรียนเกิดทักษะในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และจดจำ ทำให้เกิดการเรียน ที่มีความเข้าใจในรายละเอียดในเนื้อหาในหน่วยการเรียนรู้ อีกทั้งส่งผลให้ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้นโดยเมื่อเทียบกับก่อนเรียนที่มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 11.94 โดยที่ค่าเฉลี่ยหลังเรียนเพิ่มขึ้นซึ่งมีค่าเท่ากับ 18.31 ทำให้ คะแนนแบบทดสอบทั้งก่อนเรียนและหลังเรียนมีการกระจายของข้อมูล ซึ่งค่า เบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนมีค่าน้อยกว่าค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียนโดย เมื่อทำการเทียบค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจะพบว่าก่อนเรียนมีค่าเบี่ยงเบนส่วน มาตรฐานเท่ากับ 2.72 และหลังเรียนมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.34
สรุปผลการวิจัย การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนวิชากฎหมาย คอมพิวเตอร์โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์ ผลปรากฏว่าค่าเฉลี่ยของความ พึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับพอใจมาก ซึ่งเป็นสืบเนื่องมากจากการทำ แบบจำลองสถานการณ์ ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีความสนุกสนาน ด้วยการจำลองลักษณะท่าทางการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่า ด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ส่งผลให้เกิดความ เข้าใจเนื้อหาในรายวิชาฯ อีกทั้งพัฒนาทักษะในด้านกระบวนการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ รวมถึงการสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสาร ให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนและครูผู้สอนเข้าใจในเนื้อหาและรายละเอียดที่นักเรียน ได้รับมอบหมาย
ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลการวิจัยไปใช้ 1. ครูผู้สอนต้องอธิบายทำความเข้าใจให้กับนักเรียนถึงหลักการ แนวทาง และกระบวนการการเรียนการสอนโดยใช้แบบจำลองสถานการณ์ก่อนทำการเรียน การสอน เพื่อให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง 2. ครูผู้สอนควรให้อิสระกับนักเรียน ในการคิด วิเคราะห์ ถึงลักษณะการ กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และให้นักเรียนทำหน้าที่ตามบทบาทสมมติที่ได้รับมอบหมาย พร้อมทั้งอธิบายถึง ลักษณะการกระทำความผิดและโทษที่ได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการ เรียนการสอนจากการสอนตามปกติ ก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้นส่งผล ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะสำหรับการทำวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรพัฒนาแบบจำลองสถานการณ์ให้มีความหลากหลาย และใช้ สื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย เช่น การทำคลิปวีดีโอผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อให้ผู้เรียนสะดวกในการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน
ขอจบการบรรยายเพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ