พลังงานความร้อนใต้พิภพ
พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นพลังงานความร้อนตามธรรมชาติของโลก
ความร้อนจะไหลออกมาจากภายในโลก เปลือกโลกจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อน Inner core เป็นของแข็ง Outer core เป็นของเหลว Mantle มีสภาพกึ่งเหลวกึ่งแข็ง Crust เป็นของแข็ง
ยิ่งลึกลงไปจากเปลือกโลก อุณหภูมิก็จะยิ่งสูงขึ้น โดยปกติจะเพิ่ม 30 0 ซ /ความลึก 1 กม.
เปลือกโลกแตกออกเป็นเพลท (Plate) ซึ่งอาจเคลื่อนที่ออกจากกัน หรือผ่านซึ่ง กันและกัน หรือชนกัน ตามแนวแตกก็จะมีหินหนืด (Magma) ดันแทรกขึ้นมา
เปลือกโลกใหม่เกิดขึ้นตามแนวแตกของพื้นมหาสมุทร เมื่อเพลทสองเพลทมาเจอกัน เกิดการมุดตัว (Subduction) เปลือกโลกส่วนที่มุดลงไป ได้ความร้อนสูงมากก็จะหลอมละลาย และจะดันแทรกตัวขึ้นมาตามขอบของเพลทส่วนที่มุดลงไป
เปลือกโลกที่บางหรือแตกทำให้หินหนืดดันแทรกขึ้นมาที่ผิวดินเรียกว่าลาวา (Lava) ปกติหินหนืดจะไม่โผล่ที่ผิวดินแต่จะอยู่ข้างล่างลงไปและให้ความร้อนแก่หินข้าง เคียงเป็นบริเวณกว้าง
น้ำฝนสามารถไหลซึมลงไปตามรอยแตกได้ลึกหลายกิโลเมตร หลังจากถูกทำให้ร้อนจัด ก็จะไหลกลับขึ้นมาที่ผิวโลกในรูปของไอน้ำร้อนหรือน้ำร้อน
ลักษณะผืนดินที่ร้อนระอุด้วยไอน้ำร้อน แสดงว่าด้านล่างมีความร้อนมหาศาล ในประเทศฟิลิปปินส์
เมื่อน้ำร้อนและไอน้ำร้อนดันขึ้นมาที่ผิวดิน อาจอยู่ในรูปของน้ำพุร้อน (Hot Springs) โคลนเดือด (Mud Pots) ไอน้ำร้อน (Fumaroles) และอื่นๆ
น้ำร้อนที่ดันแทรกขึ้นมา จะถูกกักเก็บไว้ในชั้นหินเนื้อพรุน กลายเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Reservoir)
แหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นแหล่งพลังงานอันมหาศาล อุณหภูมิของแหล่งกักเก็บอาจสูงถึง 370 O ซ
การสำรวจ และการขุดเจาะ
แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพจะเป็นแนวที่ชัดเจน เปลือกโลกมีลักษณะพิเศษ แตกหักอ่อนแอ การไหลของความร้อนสูง มีภูเขาไฟ และแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อย
วิธีสำรวจประกอบด้วย การแปลภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ การศึกษาภูเขาไฟ การสำรวจทางธรณี ทางเคมี ทางธรณีฟิสิกส์ หลุมเจาะเพื่อวัดอุณหภูมิ
การสำรวจมักจะเริ่มต้นด้วยการแปลภาพถ่ายดาวเทียม และภาพถ่ายทางอากาศ
ภูเขาไฟเป็นตัวบ่งบอกว่ามีพลังงานความร้อนมหาศาลกักเก็บอยู่ด้านล่าง
นักธรณีวิทยาจะเข้าไปสำรวจในบริเวณภูเขาไฟเพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมที่จะสำรวจในรายละเอียดต่อไป ตัวอย่างเช่น พื้นที่ที่มีไอน้ำร้อนสูง ในนิคารากัว
นักธรณีวิทยาจะสำรวจทำแผนที่ธรณี แสดงลักษณะภูมิประเทศ โครงสร้างธรณี เช่น รอยเลื่อน รอยแตก ประเภทของหินที่พบ
นักธรณีจะศึกษาและตรวจสอบ ชนิด ลักษณะ และคุณสมบัติของหินอย่างละเอียด
ข้อมูลทางธรณีต่างๆจะถูกนำเสนอในรูปของแผนที่ธรณีวิทยา โครงสร้างธรณี ชนิดและคุณสมบัติของหินจะแสดงโดยเครื่องหมายและสีที่แตกต่างกัน
ข้อมูลทางเคมี คุณสมบัติทางไฟฟ้า ทางแม่เหล็ก ทางคลื่นไหวสะเทือน และอื่นๆ ได้มาจากการสำรวจภาคสนาม
ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจภาคสนามจะถูกนำเสนอด้วยรูปแบบต่างๆ และนำมาวิเคราะห์ต่อไป
นักธรณีวิทยาจะศึกษาและตัดสินใจว่าควรเจาะหลุมสำรวจหรือไม่ แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจจะถูกตรวจพบโดยการเจาะเท่านั้น
หลุมสำรวจอุณหภูมิที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กและไม่ลึกมากนักจะถูกเจาะโดย เครื่องเจาะขนาดเล็กเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิและชนิดของหิน
ช่างเจาะเตรียมการสำหรับการเจาะหลุมตรวจวัดอุณหภูมิ
มีการเก็บตัวอย่างหินที่เจาะผ่าน นำขึ้นมาเพื่อทำการศึกษาคุณสมบัติต่างๆ รวมทั้งวัดอุณหภูมิที่ระดับความลึกต่างๆ
นักธรณีวิทยาจะศึกษา ตรวจสอบตัวอย่างหินที่นำขึ้นมาอย่างละเอียดทีแต่ละ ระดับความลึก
ข้อมูลอุณหภูมิที่เพิ่มค่อนข้างมากเมื่อลึกลงไปเช่นนี้ เป็นข้อมูลสนับสนุนให้มีการเจาะหลุมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและลึกมากยิ่งขึ้น เพื่อมองหาแหล่งกักเก็บขนาดใหญ่
การเจาะหลุมผลิตต้องใช้หลุมขนาดใหญ่และเครื่องเจาะที่มีขนาดใหญ่มาก ค่าเจาะอาจสูงเป็นสิบล้านบาท และสามารถเจาะได้ลึกกว่าสามกิโลเมตร
แท่นเจาะขนาดใหญ่จะใช้ช่างเจาะหลายคน และจะทำการเจาะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
ถ้าเจาะพบแหล่งกักเก็บ จะทำการทดสอบคุณลักษณะของหลุมเจาะและของแหล่ง กักเก็บโดยการปล่อยให้น้ำร้อนและไอน้ำร้อนไหลออกมาจากบ่อตามธรรมชาติ
ถ้าพบว่าหลุมเจาะนั้นมีคุณสมบัติที่ดี ก็จะทำการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆที่ปากหลุม ซึ่งจะสามารถควบคุมการไหลของน้ำร้อน/ไอน้ำร้อน และความดันของหลุมได้
กรณีการทดสอบการไหลของหลุมเจาะพลังงานความร้อนใต้พิภพที่รัฐเนวาดา
การผลิตกระแสไฟฟ้า
Turbine Cooling tower Cold Hot ไอน้ำร้อนจากหลุมผลิตจะไปหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า ไอน้ำที่เหลือจะควบแน่นในหอควบแน่นเป็นน้ำเย็น และถูกปั๊มคืนลงไปในแหล่งกักเก็บเพื่อหมุนเวียนใช้
แรงดันจากไอน้ำร้อนจะหมุนกังหันไอน้ำ ซึ่งจะไปหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยไม่ต้องมีการใช้เชื้อเพลิงมาต้มน้ำให้กลายเป็นไอน้ำร้อนก่อน
ลักษณะของกังหันไอน้ำของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ
โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ Imperial Valley, California
กังหันไอน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ Cerro Prieto, Mexico
พนักงานห้องควบคุมโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ที่ฟิลิปปินส์
เครื่องแปลงไฟฟ้า ฉนวน และอุปกรณ์ต่างๆในสถานีย่อยของโรงไฟฟ้า
สายส่งเพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายไฟฟ้าที่ Mojave Desert, California
ควันขาวที่เห็นเป็นไอน้ำ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงจึงไม่มีควันไฟ
โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพไม่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยได้มีการสร้างในสภาพแวดล้อมต่างๆข้างต้นโดยไม่ก่อปัญหา
ไร่ข้าวโพด ฟิลิปปินส์ Mammoth Lakes, California Mojave Desert, California Tropical Forest, Mt. Apo, Philippines สภาพแวดล้อมต่างๆที่มีการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ
โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพมี 3 แบบขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ ของน้ำร้อน/ไอน้ำร้อนของแหล่งกักเก็บพลังงานเป็นสำคัญ (1) โรงไฟฟ้าใช้ไอน้ำร้อนแห้ง (Dry Steam) (2) โรงไฟฟ้าใช้ไอน้ำร้อนที่แยกมาจากน้ำร้อน (Flash Steam) (3) โรงไฟฟ้าระบบสองวงจร (Binary Cycle)
โรงไฟฟ้าที่ใช้ไอน้ำร้อนแห้ง กรณีแหล่งกักเก็บมีอุณหภูมิสูงมาก มีแต่ไอร้อนแห้ง (Dry steam) ไอร้อนนี้จะถูกนำไปหมุนกังหันไอน้ำ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าโดยตรง ผลิตไฟฟ้า ไอที่เหลือจะถูกควบแน่นเป็นน้ำแล้วอัดคืนลงแหล่ง
Prince Piero Ginori Conti สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพขึ้นเป็นแห่งแรกในปี ค.ศ. 1904 ที่ Larderello, Italy ซึ่งเป็นแหล่งแบบไอน้ำร้อนแห้ง
โรงไฟฟ้าที่ Lardello, Italy ถูกทำลายในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ได้ก่อสร้างขึ้นใหม่ ปัจจุบันยังผลิตไฟฟ้า หลังจากผลิตไฟฟ้ามาได้กว่า 90 ปี
ในอเมริกาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพแห่งแรกสร้างขึ้นในปี ค. ศ ในอเมริกาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพแห่งแรกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1962 ที่ The Geysers, California ปัจจุบันเป็นแหล่งที่มีการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดของโลก
ปัจจุบัน The Geysers มีโรงไฟฟ้า 20 โรง น้ำเสียจากเมืองข้างเคียงจะถูกอัดลงไปในแหล่งกักเก็บซึ่งมีความร้อนมหาศาล เป็นการทิ้งน้ำเสียที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและยังเพิ่มปริมาณไอน้ำร้อนเพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าอีกด้วย
โรงไฟฟ้าแบบ Flash Steam โรงไฟฟ้าแบบ Flash Steam ใช้น้ำร้อนจากแหล่งกักเก็บที่เป็นน้ำร้อนส่วนใหญ่ ส่งเข้า Flash Tank น้ำร้อนนี้จะแปรสภาพเป็นไอน้ำร้อนหมุนกังหันไอน้ำและผลิตไฟฟ้าต่อไป
Flash Technology ค้นพบในนิวซีแลนด์ เนื่องจากมีแหล่งกักเก็บส่วนใหญ่เป็นน้ำร้อน โรงไฟฟ้า Flash Steam นี้อยู่ที่ East Mesa, California
โรงไฟฟ้า Flash Steam ในญี่ปุ่น ในโรงไฟฟ้าประเภทนี้ น้ำร้อน และไอน้ำร้อนที่ เหลือใช้และควบแน่นแล้วจะอัดกลับลงไปเพื่อหมุนเวียนใช้
โรงไฟฟ้า Flash Steam ที่ Imperial Valley, California
โรงไฟฟ้า Flash Steam ที่ Dixie Valley, Nevada
โรงไฟฟ้าระบบสองวงจร โรงไฟฟ้าระบบสองวงจรใช้ความร้อนจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมาทำให้ของเหลวพิเศษ (Working Fluid) กลายเป็นไอ และส่งไอนี้ไปหมุนกังหันไอน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าต่อไป
ในตัวแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger) ของโรงไฟฟ้าระบบสองวงจร ความร้อนจากน้ำร้อน (Geothermal Water) จะถูกถ่ายให้ของเหลวพิเศษที่ใช้ โดยน้ำร้อนจะไม่มีโอกาสสัมผัสอากาศเลย และจะถูกอัดกลับลงไปในดิน
โรงไฟฟ้าระบบสองวงจรสามารถใช้น้ำร้อนที่มีอุณหภูมิต่ำ จึงสามารถใช้ประโยชน์จากหลายๆแหล่ง โรงไฟฟ้าระบบสองวงจรนี้อยู่ที่ Soda Lake, Nevada
โรงไฟฟ้าที่ Big Island, Hawaii เป็นโรงไฟฟ้าสองระบบ คือ ระบบสองวงจร และ Flash Steam
โรงไฟฟ้าระบบสองวงจรที่ Wendell-Amadee, California
โรงไฟฟ้าระบบสองวงจรที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ขนาด 300 กิโลวัตต์
โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพมีประโยชน์ในหลายๆรูปแบบ
ในสหรัฐอเมริการะหว่างปี 1980-1990 มีอัตราการเพิ่มของการผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานความร้อนใต้พิภพมากที่สุดเมื่อรัฐกำหนดให้มีการผลิตไฟฟ้าอิสระได้
ในสหรัฐอเมริกา การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพมีมากกว่า 2,800 เมกะวัตต์ จ่ายไฟฟ้าให้ประชากรมากกว่า 4 ล้านคน
ทั่วโลกมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพผลิตไฟฟ้ามากกว่า 8,200 เมกะวัตต์ ใน 21 ประเทศ จ่ายไฟฟ้าให้ประชากรมากกว่า 60 ล้านคน ส่วนใหญ่ในประเทศกำลังพัฒนา
แสดงตำแหน่งของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพทั่วโลก
ประเทศที่มีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จาก www.geotherm.org/PotentialReport.htm
การใช้ประโยชน์โดยตรง การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่ ในขณะที่มนุษย์รู้จักใช้ประโยชน์จากน้ำพุร้อนโดยตรงมาเป็นเวลานานแล้ว ตั้งแต่ยุคต้นๆของมนุษย์
การใช้ประโยชน์โดยตรงจากพลังงานความร้อนใต้พิภพในรูปแบบต่างๆ
รูปวาดแสดงการใช้ประโยชน์จากน้ำพุร้อนของชนพื้นเมืองในสหรัฐอเมริกา บางเผ่าจะถือว่าน้ำพุร้อนเป็นเขตอิสระและจะไม่ยอมให้มีการสู้รบกันในเขตดังกล่าว
ชาวเมารี ของประเทศนิวซีแลนด์ใช้น้ำพุร้อนสำหรับการหุงหาอาหาร และ ประโยชน์อื่นๆ ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน
ชาวญี่ปุ่นในเมือง Beppu ใช้น้ำพุร้อนเพื่อให้ความอบอุ่นในอาคารและโรงงาน ในบริเวณนี้มีน้ำพุร้อนมากกว่า 4,000 แห่ง มีสถานอาบน้ำแร่มากมายและดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวปีละมากกว่า 12 ล้านคน
ตัวอย่างลักษณะสระอาบน้ำแร่ที่ Hot Creek, Mammoth Lakes, California
ตัวอย่าง การใช้ประโยชน์จากน้ำพุร้อนมาเพื่อทำสระน้ำอุ่นทั้งในร่มและกลางแจ้งในประเทศญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป การใช้ประโยชน์เช่นนี้มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน
ในประเทศหนาว การใช้ประโยชน์จากน้ำพุร้อนมาให้ความอบอุ่นกับเรือนกระจก (Greenhouse) ทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี
ตัวอย่างเรือนกระจกที่ใช้ความร้อนจากน้ำพุร้อนที่ New Mexico
เรือนกระจกที่ได้รับความร้อนจากพลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถปลูกพืชผลต่างๆได้เป็นอย่างดี
การใช้น้ำพุร้อนมาช่วยให้ความอบอุ่นแก่สระเลี้ยงปลาในประเทศหนาว ช่วยทำให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี ที่ Mammoth Lake, California
อีกตัวอย่างของสระเลี้ยงปลาที่ได้ความอบอุ่นจากน้ำพุร้อน ที่ Imperial Valley, California
ภาพขยายของปลาจากบ่อดังกล่าว
ภาพขยายของกุ้งที่เลี้ยงในบ่อที่ได้รับความอบอุ่นจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ ที่ GeoHeat Center, Oregon Institute of Technology
ฟาร์มจระเข้ที่ใช้น้ำพุร้อนช่วยในการให้ความอบอุ่น ที่ Idaho
การใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพในอุตสาหกรรม เช่นโรงงานอบแห้งหอมหัวใหญ่ที่ Brady, Nevada
การต่อท่อน้ำร้อนพลังงานความร้อนใต้พิภพใต้ทางเดินเท้า เพื่อไม่ให้น้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง และเป็นสาเหตุทำให้ทางเท้าลื่น ที่ Klamath Falls, Oregon
ความร้อนใต้พิภพสามารถนำมาให้ความอบอุ่นในบ้านเรือน อาคารสถานที่ต่างๆ เช่น ที่ Klamath Falls, Oregon (ภาพเครื่องเจาะบ่อน้ำร้อนติดตั้งบนรถบรรทุก)
ในประเทศหนาว น้ำร้อนจะถูกนำมาใช้ให้ความอบอุ่นในครัวเรือนและอาคารต่างๆ
ในระบบแลกเปลี่ยนความร้อน น้ำร้อนจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพจะถ่ายเทความร้อนให้กับน้ำเย็นโดยไม่มีการผสมกัน น้ำที่ร้อนขึ้นก็จะส่งไปให้ความอบอุ่นตามอาคารบ้านเรือน
ระบบการถ่ายเทความร้อนในลักษณะเป็นแผ่น (Plate Type) น้ำร้อนจะถ่าย ความร้อนให้กับน้ำเย็นที่ไหลผ่านแผ่นดังกล่าว
ปั๊มน้ำเหล่านี้จะทำการปั๊มน้ำที่ร้อนขึ้นหลังจากได้รับการถ่ายเทความร้อนจากน้ำร้อนพลังงานความร้อนใต้พิภพแล้ว และส่งไปให้ความอบอุ่นตามอาคารบ้านเรือน
สภาพอากาศของ Reykjavik, Iceland เมื่อปี ค. ศ สภาพอากาศของ Reykjavik, Iceland เมื่อปี ค.ศ. 1932 ซึ่งขณะนั้นทั้งเมืองใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ (Fossil fuels) ต้มน้ำเพื่อให้ความอบอุ่นในอาคาร
ปัจจุบัน 95 % ของ Reykjavik ใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นตัวให้ความอบอุ่นในอาคาร ทำให้ Reykjavik เป็นเมืองที่มีอากาศสะอาดบริสุทธิ์มาก
ระบบทำความอบอุ่นในอาคารโดยพลังงานความร้อนใต้พิภพแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา คือ เมือง Boise
Oregon Institute of Technology ใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพให้ความอบอุ่น
ข้อมูลการใช้ประโยชน์และศักยภาพที่จะใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพในการทำความอบอุ่นในอาคาร บริเวณภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
ศักยภาพของพลังงานความร้อนใต้พิภพ และการใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้า และการใช้ประโยชน์จากความร้อนโดยตรง ของสหรัฐอเมริกา
มีหลักฐานว่ามีการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพทำความอบอุ่นในอาคารในฝรั่งเศสมากว่า 600 ปีแล้ว ปัจจุบันมีการใช้ในประเทศ โปแลนด์ ฝรั่งเศส ฮังการี ไอซ์แลนด์ ตุรกี และสหรัฐอเมริกา
ปั๊มพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Heat Pump) สามารถใช้ประโยชน์ได้เกือบทุกแห่งบนโลก โดยไม่ต้องมีแหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพอยู่ คุณสมบัติที่เป็นฉนวนของเปลือกโลกช่วยทำให้มนุษย์อบอุ่นหรือเย็นสบายได้
ในหน้าหนาว เราสามารถปั๊มเอาความร้อนที่มีกักเก็บอยู่ใต้ดินลงไป ส่งผ่านเข้ามาทำความอบอุ่นภายในอาคารได้
ในหน้าร้อน เราสามารถปั๊มเอาความเย็นที่ถูกกักเก็บไว้ใต้ดินเข้ามาในอาคาร เกิดการแลกเปลี่ยนถ่ายเทเอาความร้อนที่มีอยู่ในอาคารออกไป ทำให้อาคารเย็นลงได้
รูปแบบต่างๆของการวางท่อนอกอาคาร ในท่อจะมีของเหลวอยู่ ในหน้าหนาวของเหลวนี้จะนำความร้อนจากใต้ดินเข้ามาทำความอบอุ่นในบ้าน ในหน้าร้อนของเหลวนี้ก็จะนำความเย็นเข้ามาถ่ายเทในบ้าน ทั้งหมดนี้โดยการทำงานของปั๊ม (Heat Pump)
ประโยชน์จากรูปแบบต่างๆของการใช้ Geothermal Heat Pump 95 % ของผู้ที่ติดตั้งระบบปั๊มดังกล่าวตอบว่ามีความพอใจและจะแนะนำให้คนอื่นๆติดตั้งด้วย
หน่วยงานทางด้านป้องกันสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาจัดลำดับให้ระบบปั๊มพลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นเทคโนโลยีที่ทำความอบอุ่นและทำความเย็นที่มีประสิทธิผลดีที่สุดระบบหนึ่งในบรรดาเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน
การใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพรูปแบบต่างๆในสหรัฐอเมริกา
ศักยภาพพลังงานความร้อนใต้พิภพของสหรัฐอเมริกา แหล่งกักเก็บพลังงานความร้อนใต้พิภพจะมีอยู่เฉพาะทางตะวันตกเพื่อการใช้ผลิตไฟฟ้าและใช้ความร้อนโดยตรง ในขณะที่ปั๊มพลังงานความร้อนใต้พิภพจะใช้ได้ทั่วทั้งประเทศ
พลังงานและสิ่งแวดล้อม ต้องถือเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่แหล่งพลังงานจะต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โลกปัจจุบันอาศัยไฟฟ้าในการดำรงชีวิตเป็นอย่างมากและในเกือบทุกอย่าง
ปัจจุบันเราพึ่งพาแหล่งพลังงานที่มีอยู่มากและราคาไม่แพง อย่างไรก็ตามเราจะต้องอนุรักษ์ ต้องใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเลือกใช้พลังงานอย่างหลากหลาย
สหรัฐอเมริกาใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากถ่านหินประมาณ 55 % และนำเข้าน้ำมันมากกว่าครึ่งของปริมาณที่ใช้
ผลกระทบของการใช้พลังงาน การผลิตและการใช้พลังงานสร้างความเสียหายให้กับสิ่งแวดล้อมมากกว่ากิจกรรมอื่นใดบนโลกในช่วงที่ไม่มีสงคราม
มลภาวะทางอากาศมีสาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ (Fossil Fuels) ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพโดยเฉพาะในเด็กและในเขตเมืองใหญ่
แหล่งพลังงานที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา คือ เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ ได้แก่ น้ำมันดิบ (38%) ก๊าซธรรมชาติ (24%) และถ่านหิน (22%)
จะเกิดผลกระทบอะไรตามมาบ้าง ถ้าหากต้องใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ตามความต้องการพลังงานของโลกซึ่งเติบโตอย่างมหาศาล
การเติบโตของการบริโภคเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ของโลก
การเพิ่มของคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ
เปรียบเทียบปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากการใช้พลังงานชนิดต่างๆ
ในแต่ละปี เนื่องจากการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพผลิตไฟฟ้า แทนที่การใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ ทำให้ลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศได้ถึง 22 ตัน ลดไนโตรเจนออกไซด์ 200,000 ตัน และลดละอองฝุ่น 110,000 ตัน
Wind Energy Solar Energy Hydro Power Geothermal Energy เราสามารถเลือกใช้พลังงานที่สะอาดจาก พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานความร้อนใต้พิภพ
ที่มาของข้อมูล