Hip Disease พว. ชิดชนก ไชยกุล กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยออร์โธปิดิกส์ พว. ชิดชนก ไชยกุล กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
โครงสร้าง สะโพกคือข้อต่อที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ลักษณะ Ball-and-socket เบ้าของสะโพกคือกระดูก Acetabulum หัวกระดูกที่เข้าในเบ้านี้คือ Femoral Head ซึ่งอยู่ปลายด้านบนสุดของกระดูก Femur (ต้นขา) ผิวของกระดูกทั้งสองส่วนปกคลุมด้วยกระดูกอ่อน เป็นเนื้อเยื่อบางๆห่อหุ้มรอบๆข้อสะโพก ที่เรียกว่า Synovial membrane เป็นเหมือนหมอนรับแรงกระแทกระหว่างข้อและช่วยให้ข้อหมุนได้ง่าย ในคนที่สะโพกแข็งแรงปกติ เนื้อเยื่อนี้จะมีน้ำหล่อเลี้ยงที่กระดูกอ่อน และช่วยลดการเสียดสีเวลาขยับสะโพก แถบของเนื้อเยื่อที่เรียกว่า Ligaments (The hip capsule) เชื่อมหัวสะโพกและเบ้าให้สอดรับกันอย่างมั่นคง
Photo
สาเหตุทั่วๆไปที่ทำให้ปวดกระดูกสะโพก Osteoarthritis เป็นข้อเสื่อมที่เกิดจาก การเสื่อมตามอายุ โดยปกติจะเกิดในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป และมักจะมีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคข้อเสื่อม กระดูกอ่อนที่เป็นเหมือนหมอนรองรับแรงกระแทกของกระดูกสะโพกเสื่อมลงทำให้กระดูกข้อต่อเสียดสีกันจึงทำให้เกิดสะโพกยึดและปวดสะโพก ข้อเสื่อมอาจมีสาเหตุมาจากการเจริญเติบโตของสะโพกที่ผิดปกติตั้งแต่วัยเด็กด้วย
Rheumatoid arthritis เป็นโรคทางระบบภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้ Synovial membrane เกิดการอักเสบและหนาตัว การอักเสบเรื้อรังจะทำลายกระดูกอ่อนและทำให้ปวดและข้อยึด โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นโรคหลักในกลุ่มที่เรียกว่า Inflammatory arthritis
Post-traumatic arthritis อาจตามมาด้วยสะโพกบาดเจ็บหรือสะโพกหัก กระดูกอ่อนอาจจะถูกทำลายและทำให้ปวดสะโพกและข้อยึดในเวลาต่อมา Avascular necrosis สะโพกบาดเจ็บจากการที่คอกระดูกต้นขาหักหรือสะโพกเคลื่อน หรือ อาจจะไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บก็ได้ ทำให้เลือดที่มาเลี้ยงบริเวณหัวกระดูกสะโพกลดลง จึงเรียกว่า Avascular necrosis
Childhood hip disease ทารกและเด็กบางคนมีปัญหาเรื่องสะโพก ถึงแม้ว่าจะได้รับการรักษาอย่างเรียบร้อยในวัยเด็ก แต่ก็อาจจะเกิดข้อเสื่อมได้ในอนาคต เพราะสะโพกอาจจะไม่เติบโตตามปกติ และผิวข้อก็ได้รับผลกระทบ
Avascular necrosis of the femoral head ส่วนใหญ่จะเกิดในวัยกลางคน อายุประมาณ 25-45 ปี พบทั้ง 2ข้างได้>ร้อยละ 50 การลดลงของเลือดที่ไปเลี้ยงหัวกระดูกต้นขา ทำให้เกิดการตาย มีการแตกของกระดูกชั้นใต้กระดูกอ่อนทำให้หัวกระดูกยุบตัว ทำให้เกิดอาการปวดและการเคลื่อนไหวติดขัด
Etiology direct causes - การบาดเจ็บต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวกระดูกต้นขา - การได้รับรังสีบำบัด หรือ เคมีบำบัด เกิดการตายของเซลล์กระดูก - การอุดตันของหลอดเลือด - ความผิดปกติใน metabolism ของไขมัน ไปเพิ่มแรงดันและขัดขวางการไหลเวียนของเลือด - สารที่เป็นพิษต่อเซลล์ เช่น การได้รับยาต้านไวรัส
indirect causes - การใช้สเตียรอยด์ เป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อได้รับยาในขนาดที่สูง - การดื่มสุราจัด เกิดภาวะละอองไขมันหลุดอุดหลอดเลือด ไปเพิ่มแรงดันใน หัวกระดูกต้นขา การไหลเวียนของเลือดลดลง - การสูบบุหรี่ - ภาวะไตวายเรื้อรัง - โรคอักเสบเรื้อรัง - ภาวะลิ่มเลือดผิดปกติ
ลักษณะทางคลินิก ระยะแรกไม่มีอาการ ปวดบริเวณขาหนีบ ปวดสะโพกหรือหน้าขาได้บางครั้ง ส่วนใหญ่ไม่ร้าวไปถึงเข่า ปวดมากขึ้นเมื่อมีกิจกรรม เดินกะเผลก พิสัยการเคลื่อนไหวของข้อสะโพกลดลง
การรักษา ไม่ผ่าตัด - การป้องกัน / หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง - การใช้ยา : ยาลดไขมัน ยาขยายหลอดเลือด สารกันเลือดเป็นลิ่ม - การรักษาตามอาการ
รักษาโดยการผ่าตัด - core decompression การลดความดันในแกนกระดูก ใช้ป้องกันการยุบของหัวกระดูก - osteotomy เป็นการตัดกระดูกต้นขาส่วนบนแล้วหมุนเปลี่ยนตำแหน่งส่วนกระดูกที่ตายไปอยู่นอกบริเวณที่จะรับน้ำหนัก ต้องใช้ประสบการณ์และความชำนาญสูง เกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูง - hip reconstruction ในรายที่มีการยุบตัวของหัวกระดูกต้นขาแล้ว (Hemiarthroplasty, Total hip replacement, Hemisurface/Surface replacement arthroplasty, aryhrodesis)
ถึงเวลาผ่าตัดสะโพกหรือยัง ? คนไข้ที่เหมาะสมในการผ่าตัด ไม่มีอายุหรือน้ำหนักตัวที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัดนี้ ดูจากความเจ็บปวดและความลำบากในการใช้งานสะโพกของคนไข้ โดยไม่คำนึงถึงอายุ คนไข้ส่วนใหญ่ที่รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมแพทย์จะประเมินเป็นรายๆไปโดยทุกอายุสามารถได้รับผลการผ่าตัดที่ดีเหมือนกันหมด ตั้งแต่วัยรุ่นที่เป็นข้อเสื่อมในช่วงอายุน้อยจนไปถึงสูงอายุที่ข้อเสื่อมตามวัย
เมื่อไหร่ที่สมควรผ่าตัด ปวดสะโพกจนทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันไม่ได้ เช่น เดิน หรือ งอเข่า ปวดสะโพกต่อเนื่องแม้จะพักอยู่เฉยๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ข้อสะโพกยึดทำให้ขยับ ยกขาได้น้อยลง ทานยาต้านการอักเสบ กายภาพ และใช้อุปกรณ์ค้ำยันแล้วไม่ได้ผล
Photo
Total Hip Replacement เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม วัสดุข้อเทียมที่ใส่เข้าไปจะไปแทนที่กระดูกที่เสื่อมและกระดูกอ่อนที่ผิวข้อ หัวกระดูกสะโพกที่เสียหายจะถูกเอาออกและแทนที่ด้วยก้านโลหะซึ่งนำไปวางตรงกลางเบ้าของข้อสะโพก ซึ่งมีทั้งแบบ Cemented หรือ press fit โลหะหรือ Ceramic ball ที่อยู่ตรงส่วนปลายด้านบนของ ก้านโลหะ จะถูกวางแทนในส่วนของหัวกระดูกสะโพกที่เอาออกไป ผิวกระดูกอ่อนของเบ้า (Acetabulum) จะถูกแทนที่ด้วย เบ้าโลหะ บางครั้งอาจต้องใช้ Screw หรือ Cement เพื่อยึดเบ้านี้ พลาสติก เซรามิค หรือ Metal spacer จะใส่อยู่ระหว่างหัวสะโพกอันใหม่กับเบ้าเพื่อให้ผิวข้อลื่น หมุนได้สะดวก
เตรียมตัวก่อนการผ่าตัด ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ - คนไข้ต้องได้รับการเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และเอกซเรย์ปอด ดูแลผิวก่อนผ่าตัด - บริเวณผิวหนังไม่ควรมีแผลติดเชื้อใดๆ หรือมีการระคายเคืองก่อนผ่าตัด ถ้ามีให้แจ้งแพทย์เพื่อรักษาผิวหนังให้เรียบร้อยก่อนผ่าตัด บริจาคเลือด - คนไข้ หรือญาติ ต้องบริจาคเลือดก่อนการผ่าตัด เพื่อเก็บไว้ใช้หลังผ่าตัด
โรคประจำตัว และยาที่รับประทาน - แจ้งแพทย์ให้ทราบถึงโรคประจำตัวของคนไข้ และยาที่ทานอยู่ อาจจะปรึกษาอายุรแพทย์ร่วมด้วย เพื่อประเมินว่ายามีผลต่อการผ่าตัด หรือไม่ จะให้หยุดหรือทานต่อเมื่อใด (โดยเฉพาะยา Anti Coagulant) ลดน้ำหนัก - หากคนไข้น้ำหนักตัวมาก อาจจะต้องให้คนไข้ลดน้ำหนักก่อนการผ่าตัดเพื่อลดแรงกดจากน้ำหนักตัวมายังสะโพกและลดความเสี่ยงในการผ่าตัดด้วย
ตรวจฟัน - ถึงแม้ว่าการติดเชื้อจากการผ่าตัดสะโพกจะพบได้ไม่บ่อย การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้หากเชื้อแบคทีเรียเข้าไปสู่ระบบกระแสเลือด ดังนั้นการทำฟันใหญ่ๆ ควรจะทำก่อนที่จะผ่าตัดให้เรียบร้อย การผ่าตัดหลังทำฟันควรห่างไปอีกหลายสัปดาห์ ตรวจปัสสาวะ - คนไข้ที่มีประวัติติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือเพิ่งเป็นเร็วๆ นี้ควรจะพบแพทย์ทางเดินปัสสาวะเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าสามารถผ่าตัดได้ก่อนผ่าตัด ชายสูงอายุที่มีโรคทางต่อมลูกหมากควรรับการรักษาให้เรียบร้อยก่อนผ่าตัด
Pre – op day สอนการประเมิน pain score สอนการป้องกัน Thromboembolism วิสัญญีพยาบาลประเมินคนไข้ว่าวิธีใดที่เหมาะกับคนไข้ที่สุด
Operation day NPO IV Fluid Retain Foley’s cath Pre - medication ตรวจเช็คเลือดที่จอง Antibiotic ก่อนไป OR
การผ่าตัด การใช้ยาชา ยาสลบ - วิธีทั่วไปๆ ของการระงับความรู้สึก มี 2 วิธีคือ General Anesthesia หรือ Spinal block วัสดุผิวข้อสะโพกเทียม
ขั้นตอนผ่าตัด ระยะเวลาผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง แพทย์จะตัดกระดูกอ่อนและกระดูกส่วนที่เสียหาย และใส่วัสดุข้อสะโพกเทียม เข้าไปแทนตามแนวกระดูกและโครงสร้างของสะโพก
Post op V/S Pain management Keep leg abduction to prevent dislocation of the prosthesis - abduction pillow turning with pillow between legs Observe wound drain (200-500 ml in 1st 24 h, ≤30 ml in 48 h
Prevent Thromboembolism Prevent infection Prevent pneumonia Wound care Physical therapy, use of assistive devices
อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ infection การติดเชื้อจะเกิดบริเวณผิวรอบๆ แผลหรือลึกลงไปในวัสดุเทียม อาจเกิดขณะอยู่โรงพยาบาล หรือหลังกลับบ้านไปแล้วได้ และอาจเกิดหลังจากนั้นอีกหลายปีก็ได้ - การติดเชื้อเล็กน้อยจากแผลรักษาโดยยาฆ่าเชื้อ ถ้าติดเชื้อลึกลงไปอาจต้องผ่าตัดและเอาวัสดุข้อสะโพกเทียมออกมา การติดเชื้อจากส่วนใดๆ ก็ตามในร่างกายสามารถจะแพร่ไปบริเวณที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อได้ ดังนั้นควรดูแลเรื่องความสะอาดตามร่างกาย
การป้องกันการติดเชื้อ สาเหตุการติดเชื้อที่พบได้บ่อยของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกมาจากแบคทีเรียที่แพร่ในระบบเลือด จากการทำฟัน ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือติดเชื้อผิวหนัง สัญญาณเตือนการติดเชื้อ ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ รีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันที - เป็นไข้ (สูงกว่า 37.8 องศาเซลเซียส) - หนาวสั่น - ปวด บวม แดง ร้อน เพิ่มมากขึ้นรอบแผลสะโพก - แผลมีของเหลวซึมออกมา - ปวดสะโพกมากขึ้นทั้งขณะพักและทำกิจกรรม
อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ (ต่อ) ลิ่มเลือดแข็งตัว Thromboembolism การเกิดลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำหรือเชิงกรานเป็นอาการแทรกซ้อนที่เกิดได้บ่อยที่สุดของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ลิ่มเลือดเหล่านี้อันตรายถึงแก่ชีวิตหากหลุดไปในกระแสเลือดแล้วไปที่ปอด - ให้กระดกข้อเท้าในช่วงแรกๆ - ใส่เครื่องป้องกันบริเวณขา - ให้ยารับประทาน
สัญญาณเตือนของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน - ปวดน่องและขาซึ่งไม่เกี่ยวกับแผลผ่าตัด - ปวดหรือแดงร้อนที่น่อง - บวมบริเวณต้นขา น่อง ข้อเท้า เท้า สัญญาณเตือนของลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด - หายใจถี่แบบเฉียบพลัน - เริ่มปวดหน้าอกเฉียบพลัน - ปวดหน้าอกพร้อมๆ กับไอ
อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ (ต่อ) dislocation มีความเสี่ยงของหัวสะโพกหลุดออกจากเบ้าสูงในช่วงเดือนแรกๆ ของการผ่าตัดในขณะที่เนื้อเยื่อกำลังสมาน การเคลื่อนหลุดจะพบได้ไม่บ่อย ถ้าหัวสะโพกหลุดออกจากเบ้า การจัดให้เข้าที่จะทำให้มันกลับไปอยู่ที่เดิมได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าสะโพกยังคงเคลื่อนหลุดอีก อาจจะต้องมีการผ่าตัดซ้ำอีกรอบ
อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ (ต่อ) สะโพกหลวมและเสื่อม หลายปีผ่านไป สะโพกเทียมอาจจะสึกหรือหลวมได้จากการใช้งานทำกิจกรรมต่างๆ ทุกๆ วัน สามารถเกิดจากกระดูกบางลงตามธรรมชาติที่เรียกว่า Osteolysis ถ้าเจ็บจากสะโพกหลวมอาจต้องทำการผ่าตัดรอบสองที่เรียกว่า Revision
Discharge Plan การดูแลแผลผ่าตัด - คนไข้จะมีไหมเย็บแผล/max เย็บที่ผิวหนัง ซึ่งจะเอาออกประมาณ2อาทิตย์หลังผ่าตัด - พยายามเลี่ยงไม่ให้แผลเปียกจนกว่าแผลจะติดกันจนแห้งสนิท อาหารที่ควรรับประทาน - ช่วงสัปดาห์แรกๆ หลังผ่าตัดอาจอยากอาหารลดลง ควรทานอาหารให้ครบทุกหมู่และทานอาหารเสริมธาตุเหล็กซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เนื้อเยื่อที่แผลสมานติดกันได้ดีและกล้ามเนื้อแข็งแรง อย่าลืมเน้นอาหารเฉพาะโรคด้วย และดื่มน้ำมากๆ
Discharge Plan (ต่อ) ในช่วงอาทิตย์แรกหลังผ่าตัด คนไข้ควรที่จะสามารถกลับไปทำกิจกรรมเบาๆ ส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันได้ กิจกรรมที่คนไข้ทำได้ - ฝึกเดินเรื่อยๆ โดยใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน เริ่มจากในบ้านก่อนแล้วค่อยๆ ออกไปนอกบ้าน - ออกกำลังกายวันละหลายๆ ครั้งและฝึกให้สะโพกแข็งแรงขึ้นด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีคนช่วย ซึ่งในช่วงที่นอนโรงพยาบาล จะมีนักกายภาพช่วย - การมีเพศสัมพันธ์ อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 6 สัปดาห์
Discharge Plan (ต่อ) หลีกเลี่ยงการลื่นหกล้ม - หากล้มในช่วงอาทิตย์แรกหลังผ่าตัดอาจมีผลทำให้ต้องผ่าตัดใหม่ซ้ำอีก ไม่แนะนำให้ขึ้นบันไดจนกว่าสะโพกจะแข็งแรงและขยับได้ คนไข้ควรใช้ไม้เท้า ไม้ค้ำยัน ไม้เท้าสี่ขา หรือราวจับ หรือมีคนช่วยประคอง จนกว่าคนไข้จะทรงตัวดีขึ้น และแข็งแรงมากขึ้น
- มีราวจับที่มั่นคงในห้องน้ำ มีราวบันไดที่มั่นคงตลอดทาง Discharge Plan (ต่อ) การจัดระเบียบบ้าน - มีราวจับที่มั่นคงในห้องน้ำ มีราวบันไดที่มั่นคงตลอดทาง - เก้าอี้ที่นั่งสบาย มั่นคง มีที่วางเท้าให้สามารถยกขาให้สูงได้ มีพนักพิง มีที่วางแขน - มีเก้าอี้ไว้นั่งขณะอาบน้ำ - มีตัวช่วยใส่หรือถอด รองเท้า ถุงเท้า และตัวช่วยเอื้อมหยิบสิ่งของต่างๆเพื่อไม่ให้สะโพกต้องงอมากเกินไป - เอาพรมที่อาจทำให้ลื่นและสายไฟที่วางระเกะระกะออกจากพื้นที่ทางเดินในบ้าน
Discharge Plan (ต่อ) เพื่อป้องกันข้อสะโพกเทียมเคลื่อนหลุดและฟื้นตัวได้ดี ในช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัดต้องระวังดังนี้ - ห้ามไขว่ห้าง - ห้ามงอสะโพกมากกว่า 90 องศา - อย่าบิดเท้าเข้ามาหรือแบะออกมากเกินไป - ใช้หมอนข้างกั้นระหว่างขาตอนนอนจนกว่าแพทย์จะสั่งให้เอาออกได้
ป้องกันและดูแลข้อสะโพกเทียมให้มีอายุการใช้งานที่นานขึ้น Discharge Plan (ต่อ) ป้องกันและดูแลข้อสะโพกเทียมให้มีอายุการใช้งานที่นานขึ้น - ออกกำลังกายเบาๆ เพื่อจะรักษาความแข็งแรงและการเคลื่อนไหวสะโพก - ระมัดระวังเรื่องการหกล้มและบาดเจ็บเป็นพิเศษ ถ้ากระดูกขาหัก อาจจะต้องทำการผ่าตัดเพิ่มอีก - แจ้งให้ทันตแพทย์ทราบว่าคนไข้ผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมมา และอาจต้องทานยาฆ่าเชื้อก่อนทำฟัน - พบแพทย์เพื่อตรวจติดตามอาการหลังผ่าตัดเป็นประจำ เพื่อตรวจร่างกาย และX-rays เช็คดูความเรียบร้อยของข้อสะโพกเทียม
อย่าลืม! แจ้งให้ผู้อื่นทราบ ข้อสะโพกเทียมอาจจะกระตุ้นสัญญาณตรวจโลหะในเครื่องตรวจโลหะ เพื่อความปลอดภัยที่สนามบินและทางเข้าตึก - แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าคนไข้ได้ทำการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม หรือนำเอกสารไปยืนยัน เช่นใบรับรองแพทย์
Early Postoperative Exercises การออกกำลังในช่วงแรกหลังผ่าตัดสำคัญมากในการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่ขาและเท้าเพื่อป้องกันเลือดแข็งตัว และการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเพื่อให้สะโพกใช้งานได้ดี อาจจะเริ่มออกกำลังกายเลยหลังออกจากห้องผ่าตัด การออกกำลังกายนี้จะช่วยให้คนไข้ฟื้นตัวเร็วขึ้นและลดความเจ็บปวดหลังผ่าตัดได้
กระดกข้อเท้า (Ankle Pumps) ค่อยๆกระดกปลายเท้าขึ้นลง วันละหลายๆครั้งให้บ่อยที่สุดทุก5-10นาที สามารถเริ่มทำได้ทันทีหลังผ่าตัดเสร็จและทำไปเรื่อยๆจนกว่าคนไข้จะฟื้นตัวอย่างเต็มที่
หมุนข้อเท้า (Ankle Rotations) ขยับหมุนข้อเท้าเข้ามาด้านในและไปด้านนอก วนเข้าและออก อย่างละ5รอบ ทำซ้ำ 3-4 ครั้งต่อวัน
งอเข่าบนเตียง (Bed-Supported Knee Bends) ค่อยๆเลื่อนสนเท้าเข้าหาสะโพก งอเข่า และยังวางเท้าไว้บนเตียง อย่าให้เข่าหุบเข้า ทำครั้งละ 10 รอบ วันละ3-4 ครั้ง
เกร็งสะโพก (Buttok Contractions) เกร็งกล้ามเนื้อสะโพกและเกร็งค้างไว้ นับ1-5 ทำครั้งละ 10 รอบ วันละ 3-4ครั้ง
กางสะโพก (Abduction Exercise) นอนกางขาโดยค่อยๆเลื่อนขาออกไปข้างลำตัวให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้และเลื่อนกลับ ทำครั้งละ 10 รอบ วันละ 3-4ครั้ง
ฝึกกล้ามเนื้อต้นขา (Quadriceps Set) กระชับกล้ามเนื้อต้นขาโดยพยายามเหยียดขาตรง เกร็งเข่าค้างไว้ 5-10วินาที ทำซ้ำ 10 รอบ ทุกๆ 10 นาที ทำไปเรื่อยๆจนกว่าต้นขาจะล้า
ยกขาเหยียดตึง (Straight Leg Raises) กระชับกล้ามเนื้อต้นขาโดยเหยียดขาตรงและยกขาสูงประมาณ1ไม้บรรทัดจากที่นอน ยกค้างไว้5-10วินาที ค่อยๆวางลง ทำซ้ำ จนกว่าต้นขาจะล้า
ยืนยกเข่า (Standing Knee Raises) ยืนและยกขาข้างที่ผ่าขึ้นมาสูงไม่เกินเอว ค้างไว้แล้วนับถึง2หรือ3 และวางขาลง ทำซ้ำ10รอบ 3-4ครั้งต่อวัน
ยืนกางสะโพก (Standing Hip Abduction) ยืนตรงให้ สะโพก เข่า ปลายเท้า ชี้ตรงไปข้างหน้า เหยียดขาตรงและกางขาออกไปด้านข้าง ค่อยๆหุบขาลงจนเท้าเหยียบพื้น ทำซ้ำ10รอบ วันละ 3-4ครั้ง
ยืนเหยียดสะโพก (Standing Hip Extensions) ยกขาที่ผ่าไปด้านหลัง พยายามทำให้หลังตรง ค้างไว้โดยนับถึง2หรือ3วางเท้าแตะพื้น ทำซ้ำ10รอบ วันละ 3-4ครั้ง
เดินด้วย Walker ยืนตรงให้สบายและบาลานซ์น้ำหนักลงบนWalkerให้เท่าๆกัน ขยับWalkerไปด้านหน้าช่วงสั้นๆ และก็ขยับตัวตามไปโดยยกขาข้างที่ผ่าตัดเพื่อให้ส้นเท้าลงพื้นก่อน และค่อยเลื่อนตัวไป โดยเข่าและข้อเท้าจะงอและวางเท้าทั้งสองลงบนพื้น เมื่อก้าวครบแล้วก็ขยับWalkerไปข้างหน้าอีกครั้ง เข่าและสะโพกก็จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามstep แต่ต้องจำไว้ว่า ส้นเท้าข้างแรกต้องแตะพื้นก่อนจนวางเท้าอย่างมั่นคงแล้วค่อยก้าวเท้าอีกข้างตามมา
เดินด้วยไม้ค้ำยัน ใช้ไม้ค้ำยันในข้างที่ไม่ได้ผ่าตัด คนไข้จะสามารถใช้ไม้เท้าหรือไม้ค้ำยันได้ก็ต่อเมื่อสามารถยืนและทรงตัวได้และสามารถทิ้งน้ำหนักลงบนเท้าสองข้างแบบเต็มที่แล้ว
การขึ้นบันไดและลงบันได ความสามารถในการขึ้นและลงบันไดต้องใช้ทั้งความยืดหยุ่นและความแข็งแรง ในช่วงแรกคนไข้จะต้องใช้ราวจับเพื่อช่วยพยุงและขึ้นบันไดเพียงครั้งละ1ขั้นเท่านั้น ให้ขึ้นบันไดด้วยขาข้างดีที่ไม่ได้ผ่าตัดและลงด้วยขาข้างที่เพิ่งผ่าตัดมา จำไว้ว่า “ดีขึ้น-เลวลง”
Thank You