วิหารลักซอร์ สร้างโดยฟาโรห์ อเมโนฟิส ที่ 3 พระองค์ทรงสร้างวิหารแห่งนี้พร้อมกับการ บูรณะต่อเติมวิหารคาร์นักไปด้วย หากนับวิหาร ถึงปัจจุบันจะมีอายุรวม 3,400 ปี วิหารได้รับการ ปฏิสังขรณ์สานต่อจากฟาโรห์องค์ต่อมาหลาย พระองค์ แต่ที่เด่นที่สุดจนวิหารแห่งนี้ดูสมบูรณ์ แบบสวยงามนั้นเป็นฝีมือของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่นี่เปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองเพื่อการพักผ่อน ของเทพอะมอนราและครอบครัวคือเทวีมัตและ เทพคอนส์หรือคอนชู
วิหารแห่งนี้ยังถูกจัดให้เป็นสถานที่เพื่อทำพิธีบูชาเทพเจ้าในช่วง เทศกาลโอเป็ต (Opet Festival ) โดยเฉพาะด้านหน้าวิหารถูก ประดับด้วยสฟิงซ์ ( Sphinx ) หน้าคนสองข้างทาง เรียกว่า Court of Nectanebo I ซึ่งก็คือทางเดินที่อยู่ระหว่างเสาโอเบลิสก์ ( Obelisk ) กับ ทางเดินสฟิงซ์นั่นเอง โดยสฟิงซ์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ลำดับที่ 30 โดย ฟาโรห์ Nectanebo I แต่สร้างถนนตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรใหม่ (New Kingdom) วิหารลักซอร์ตั้งอยู่ทางใต้ของวิหารคาร์นัค โดย แต่เดิมในอดีตนั้นเส้นทางนี้สามารถเชื่อมต่อถึงวิหารคาร์นัคด้วย ถนนแคบ ๆ ระยะทางห่างจากคาร์นัคราว กิโลเมตรเส้นสี น้ำเงินเป็นทางเดินสฟิงซ์ที่ผ่านวิหารของเทพคอนซูซึ่งจะไป สิ้นสุดที่สระน้ำด้านหน้าวิหาร แต่ว่าทางเดินสฟิงซ์ที่ใช้ในพิธีโอ เป็ตนั้นจะเดินตามเส้นสีแดงที่จากวิหารลักซอร์โดยจะไปหักมุมที่ Temple of Mut และตรงเข้าสู่วิหาร Karnak ตามแกนเหนือ - ใต้
เสาโอเบสิสก์ ( Obelisk ) ที่ตั้งโดดเด่น 1 ต้นอยู่ ทางด้านหน้าของตัววิหาร ดูเหมือนจะเป็น สัญลักษณ์ควบคู่กับวิหารแห่งนี้ ความหมาย ของเสานี้คือ ชีวิต ความสว่าง และความรุ่งโรจน์ ปกติแล้วจะนิยมวางเสานี้ไว้เป็นคู่ เสาโอเบลิกส์คาดว่าเดิมมาจากความเชื่อเรื่อง การกำเนิดของโลกแบบหนึ่งของอียิปต์ที่ว่าเดิม โลกเต็มไปด้วยความวุ่นวายต่อมาก็มีเนินดิน กำเนิดขึ้นจากความวุ่นวายนั้น ชาวอียิปต์เรียก มันว่า " เบนเบน " เสาโอเบลิกส์ปรากฏครั้งแรก ในรูปของวิหารสุริยะ
ประตูทางเข้าสู่วิหารมีรูปสลักลอยตัว ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ประทับนั่งทั้ง สองข้าง ส่วนด้านชิดกำแพงวิหาร ด้านหน้าเป็นรูปสลักประทับท่ายืน ตั้งอยู่หักล้มไปแล้ว 3 รูป เหลือยืนอยู่ เพียงรูปเดียว หน้ากำแพงถูกแกะสลัก ร่องลึก ด้านซ้ายมือ คือส่วนหัวของรูป ฟาโรห์รามเสสที่ 2 วางอยู่กับพื้น กำแพงด้านหน้าสูง 24 เมตรขนาดเล็ก กว่าวิหารคาร์นัค ด้านหลังกำแพงเป็น ห้อง Great Court ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 มีห้องบูชาเทพอะมอนราและ ครอบครัวทางด้านขวา บริเวณนี้ถูก ประดับด้วยเสาคู่เรียงรายรอบ ทรงมัด ดอกบัวหัวเสาเป็นทรงบัวตูม ประตู ทางเข้า วิหาร เสาคู่ทรงดอก บัวตูม
เดิมทีบริเวณนี้ถูกทิ้งร้างและมีดินทรายทับถมมา นานหลายศตวรรษ ผู้คนไม่ได้ให้ความสำคัญ จึงมี ชาวมุสลิมเข้ามาอยู่อาศัยหุงหาอาหารก่อไฟใน ห้องหับของวิหาร ก่อให้เกิดเขม่าดำบนเพดานของ วิหาร ต่อมาได้มีการสร้างมัสยิดทับอยู่ด้านบนด้วย ความไม่รู้ว่าข้างล่างคือเขตวิหาร จนกระทั้งในปี ค. ศ จึงได้มีการเคลื่อนย้ายคนออกไป แต่ มัสยิดนั้นย้ายไม่ได้จนถึงถึงปัจจุบันนี้