การรู้สัจธรรมของชีวิต บทที่ ๒ การรู้สัจธรรมของชีวิต
การรู้สัจธรรมของชีวิต ๑. สัจธรรม (ความเป็นจริง) ชีวิต ประกอบด้วยขันธ์ ๕ คือ แบ่งชีวิตออกเป็นกองๆ ได้ ๕ กองดังนี้ ๑.๑ รูป ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ ได้แก่ ดิน, น้ำ, ลมและไฟ ๑.๒ เวทนา ความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ ๑.๓ สัญญา ความจำ การจดจำได้ ๑.๔ สังขาณ ความดี ความชั่ว บุญ บาป มาปรุงแต่งจิต ๑.๕ วิญญาณ การรับรู้ทางอารมณ์ ได้แก่ รูป, เสียง, รสและสัมผัส
การรู้สัจธรรมของชีวิต ชีวิตเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ซึ่งมีหลักธรรมที่สำคัญ ๒ หมวดคือ ๑. ไตรลักษณ์ คือ ลักษณะที่มีอยู่เป็นปกติ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสในติกนิบาตร อังคุตตรนิกาย แบ่งได้ ๓ ประการ ได้แก่ ๑.๑ อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ๑.๒ ทุกขัง คือ ความเป็นทุกข์ ๑.๓ อนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวตน ความไม่ใช่ตัวตน เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
การรู้สัจธรรมของชีวิต ๒. ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง การเกิดขึ้นของสิ่งที่อิงอาศัยกัน การอธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบไตรวัฏฏ์ ๒.๑ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็น “กิเลส” ๒.๒ สังขาร(กรรม) ภพ เป็น “กรรม” ๒.๓ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เป็น “วิบาก”
การรู้สัจธรรมของชีวิต ๒. จริยธรรม (ความประพฤติ) ชีวิตทุกชีวิตล้วนมีปัญหาต่างๆ จึงต้องดิ้นรนให้พ้นปัยหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ปัจจัย ๒ ประการที่ทำให้เราหลงว่ามี “ตัวฉัน” ๑. ถูกสอนมาว่าทุกสิ่งเป็นตัวเป็นตนทั้งนั้น ๒. การพูดที่มีการใช้สรรพนาม เมื่อยึดเป็นตัวของตน ก็จะเห็นแก่ตัว ประกอบการงานไปตามความเห็นแก่ตัวหรือพวกของตน
คุณค่าทางจริยธรรมของหลักอนัตตา คือ การรู้สัจธรรมของชีวิต คุณค่าทางจริยธรรมของหลักอนัตตา คือ ๑. ขั้นต้น ด้านตัณหา ลดการเห็นแก่ตัว ๒. ขั้นกลาง ด้านทิฐิ ทำให้จิตใจกว้างขวางขึ้น ๓. ขั้นสูง สลัดความยึดมั่นถือมั่นได้