วิธิคิดแบบโยนิโสมนสิการ การคิดการถึง........... *เป็นกิจกรรมทางปัญญาของมนุษย์ (การจำ การรับรู้ และเชาว์ปัญญา) *เป็นธรรมชาติของจิต(ถ้าไม่คิดไม่ใช่จิต) -ต้องคิด -กวัดแกว่ง -ดิ่นรน *การปรารภกับตนเอง * การมองไปข้าหน้าเพื่อต้องการพัฒนาปัญญา =สรรสิ่งทั้งหลายเกิดมาจากความคิด (ปรัชญา)
ฮัมฟรี (Humphrey 1963) สรุป ความคิด 1.การคิดเกิดขึ้นมนุษย์มีประสบ จำได้ และต้องการ แก้ไขปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง 2.ปัญหาเป็นสภาพการณ์ที่มนุษย์ถูกสกัดกัน ไม่ให้ ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ 3.การคิดเป็นกระบวการผสมผสานลักษณะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเข้าด้วยกัน
ต่อ ฮัมฟรี (Humphrey 1963) สรุป ความคิด 4.การคิดเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในอดีต 5.กิจกรรมการคิดทุกอย่างเกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน “”การลองผิดลองถูก” 6.แรงจูงใจเป็นสิ่งสำคัญในการคิด(ภายใน-ภายนอก) 7.ภาษาไม่เกียข้องกับการคิด แต่ภาษามีส่วนสำคัญอย่างมากในการคิด
ลักษณะพฤติกรรมของนักคิด 1. อยากรู้อยากเห็น มีความกระหายใคร่รู้อยู่เป็นนิจ 2. ชอบเสาะแสวงหา สำรวจ ศึกษา ค้นคว้า และ ทดลอง 3. ชอบซักถาม และถามคำถามแปลก ๆ 4. ช่างสงสัย เป็นเด็กที่มีความรู้สึกแปลก ประหลาดใจในสิ่งที่พบเห็นเสมอ
5. ช่างสังเกต มองเห็นลักษณะที่แปลก ผิดปกติ หรือช่องว่างที่ขาดหายไปได้ง่ายและเร็ว 6. ชอบแสดงออกมากกว่าจะเก็บกด ถ้าสงสัยสิ่งใด ก็จะถาม หรือพยายามหาคำตอบไม่รั้งรอ 7. มีอารมณ์ขัน มองสิ่งต่าง ๆ ในแง่มุมที่แปลก และ สร้างอารมณ์ขันอยู่เสมอ
วิธีการคิดแบบโยนิโสมนสิการ มาจาก...คำว่า โยนิโส + มนสิการ * โยนิโส มาจาก โยนิ แปลว่า เหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญา อุบาย วิธี ทาง * มนสิการ แปลว่า การทำในใจ การคิด คำนึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา
ความหมายของโยนิโสมนสิการ มี 4 ประการ คือ ความหมายของโยนิโสมนสิการ มี 4 ประการ คือ 1. อุบายมนสิการ หมายถึง คิด หรือพิจารณา คิดอย่างมีวิธี หรือ คิดถูกวิธี 2.ปถมนสิการ หมายถึง คิดเป็นทาง หรือ คิดถูก ทาง คิดได้ต่อเนื่องเป็นลำดับ 3.กรณมนสิการ หมายถึง คิดตามเหตุ คิดต้นเหตุ คิดตามเหตุผล คิดอย่างมีเหตุผล 4.อุปปาทกมนสิการ หมายถึง คิดให้เกิดผล
ทัศนะความคิดในพุทธศาสนาแบบโยนิโสมนสิการ การทำโยนิโสมนสิการให้ถึงพร้อม หมายถึง * ความรู้จักคิด *รู้จักสำเหนียก * คิดวิเคราะห์ หาข้อเท็จจริง *กำหหนดของสิ่งทั้งหลายให้ได้คุณค่าคิดเป็น แก้ปัญหาได้ รู้จัก
การคิดแบบโยนิโสมนสิการ มี 10 อย่าง 1. คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย (คิดแบบสัมพันธภาพ : อิทัปปัจจยตา) 2. คิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ (คิดแบบวิเคราะห์ : ขันธ์ 5) 1.รูป 2. เวทนา 3. สัญญา 4.สังขาร 5.วิญญาณ
ต่อการคิดแบบโยนิโสมนสิการ 3. คิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา (คิดแบบสามัญลักษณ์ /สามกระแส :ไตรลักษณ์) 1) อนิจจัง ความเปลี่ยนแปลง ความไม่คงที่ 2) ทุกข์ ความไม่อาจคงสภาพอยาอย่างเดิมได้ 3) อนัตตา ความไม่เป็นตัวตน ไม่ใช่ตัวตน
ต่อการคิดแบบโยนิโสมนสิการ 4. คิดแบบกระบวนการแก้ปัญหา (คิดแบบแก้ทุกข์ : อริยสัจ 4) 1) ดูว่า ปัญหา นั้นคืออะไร 2) หา สาเหตุ ว่ามาจากไหน 3) วาง เป้าหมาย ว่าจะแก้ปัญหาแค่ไหน 4) วาง วิธีดำเนินงาน ว่าใช้มรรควิธีอย่างไร
ต่อการคิดแบบโยนิโสมนสิการ 5. คิดแบบสืบสัมพันธ์เชิงหลักการและความมุ่งหมาย (คิดแบบเสาสภา : สัตบุรุษ)
มีหลักธรรม 7 ประการ คือ 1. รู้จัก เหตุ (ธัมมัญญุตา) 2. รู้จัก ผล (อัตถัญญุตา) 3. รู้จัก ตน (อัตตัญญุตา) 4. รู้จัก บุคคล (ปุคคลัญญุตา)(มัตตัญญุตา) 5. รู้จัก กาล (กาลัญญุตา) 6 รู้จัก ประมาณ (มัตตัญญุตา) 7. รู้จัก ชุมชน (ปริสัญญุตา) .
6. คิดแบบเห็นคุณ-โทษ (ข้อดี ข้อเสีย ข้อเด่น ข้อด้อย) และทางออก (คิดแบบสามมิติ : คุณ - โทษ - ทางออก)
7. คิดแบบคุณค่าแท้ - คุณค่าเทียม (คิดแบบคุณค่าแท้ - คุณค่าเทียม : ปฏิสังขาโย) สติ และ ปัญญา คุณค่าแท้ หรือ คุณค่าเที่ยม -จีวร/เสื้อ ใส่เพื่ออะไร -รองเท้า ใส่ทำไม
8. คิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม (คิดแบบกุศลภาวนา : ชูความดี)
9. คิดแบบอยู่กับปัจจุบัน (คิดแบบจันทร์เพ็ญ : สติปัฏฐาน 4) 1)กาย 2)เวทนา 3)จิต 4)ธรรม
10. คิดแบบวิเคราะห์ทั่วตลอดรอบด้าน (คิดแบบวิภัชชวาท : คิดแบบวิธีตอบปัญหา4 อย่าง ) ยืน - แยก - ย้อน – หยุด วิภัชชวาท มาจาก วิภัชช + วาท วิภัชชะ แปลว่า แยกแยะ แบ่งออก จำแนกหรือแจกแจง /วิเคราะห์ วาท แปลว่า การกล่าว การพูด การแสดง คำสอน วิภัชชวาท แปลว่า การพูด แยกแยะ พูดจำแนก หรือพูดแจกแจง
วิธีคิดแบบอริยสัจ 4 ก. กระบวนธรรม (ตามสภาพ) 1. ขั้นกำหนดทุกข์ ให้รู้ว่าทุกข์หรือปัญหาคืออะไร 2. ขั้นสืบาสวสมุทัย หยังสาเหตุของทุกข์หรือปัญหา 3. ขั้นเก็งนิโรธ ให้เห็นกระบวนการที่ว่าการดับ ทุกข์แก้ปัญหาเป็นไปได้และอย่างไร = ขั้นตั้งสมมติฐาน
ข. กระบวนวิธี (ของมนุษย์) ที่จะต้องลงมือปฏิบัติ ข. กระบวนวิธี (ของมนุษย์) ที่จะต้องลงมือปฏิบัติ 4. ขั้นเฟ้นหามรรค แยกย่อยออกได้ 3 ขั้น * มรรค 1 = เอสนา หรือคเวสนา * มรรค 2 = วิมังสา หรือประวิจารณ์ = วิเคราะห์ข้อมูล * มรรค 3 = อนุโพธ กับข้อทีผิดออก จับหรือ เฟ้นหาข้อดี “ขั้นสรุปผล“
วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ มี 5 ขั้นตอน 1. การกำหนดปัญหาให้ถูกต้อง 2. การตั้งสมมติฐาน 3. การทดลองและเก็บข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. การสรุปผล
จุดมุ่งหมายของวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พุทธศาสตร์ * แก้ไขปรากฎการณ์ต่างๆ * เข้าใจกฎเกณฑ์ธรรม- ที่เกิดขึ้น ชาติในนิยาม 5 คือ อุตุ, พืช, จิต, กรรม,ธรรมชาติ * ต้องการรู้จัดกฎเกณฑ์ * ต้องการให้รู้กฎเกณฑ์ ของธรรมชาติ ความจริงของชีวิตมนุษย์
ความคิดแบบพุทธกับความคิดแบบวิทยาศาสตร์ กระบวนการวิทยาศาสตร์ กระบวนการพุทธศาสตร์ 1. ตั้งปัญญหา 1. ทุกข์ - ปรากฏ 2. ตั้งคำถาม เพื่อตอบทดสอบ 2. หาคำตอบจากลัทธิ 3. รวบรวมข้อมูล 3. ลองปฏิบัติโยคะ 4. วิเคราะห์ข้อมูล 4. รวมรวมผลการปฏิบัติ 5. คำตอบชั่วคราวถูกตูงทฤษฎี 5. ผิดเปลี่ยน ถูกดำเนิน 6. นำไประยุกต์ปแก้ปัญหา 6. เผยแผ่แก่ชาวโลก
อายตนะ 6 1. จักขวายตนะ อายตนะ คือ ตา 2. โสตายตนะ “ “ หู 3. ฆานายตนะ “ “ จมูก 4. ชิวหายตนะ “ “ ลิ้น 5. กายายตนะ “ “ กาย 6. มนายตนะ “ “ ใจ
ทวาร 6 1. จักขุทวาร ทวาร (ทางหรือประตู) คือ ตา 2. โสตทวาร “ คือ หู 1. จักขุทวาร ทวาร (ทางหรือประตู) คือ ตา 2. โสตทวาร “ คือ หู 3. ฆานทวาร “ “ จมูก 4. ชิวหาทวาร “ “ ลิ้น 5. กายทวาร “ “ กาย 6. มโนทวาร “ “ ใจ
อายตนะภายใน อายตนะภายนอก อายตนะภายใน อายตนะภายนอก ตา คู่กับ รูป หู “ เสียง จมูก “ กลิ่น ลิ้น “ รส กาย “ โผฏฐัพพะ ใจ “ ธรรมารมณ์
การรับรู้โลกภายนอกนั้น กายเป็นด่านแรกที่สุดในการรับรู้ให้เกิดความรู้ ทำให้เเกิดความรู้เรียกว่า ตา กระทบ รูป “ จักขุวิญญาณ หู “ เสียง “ โสตวิญญาณ จมูก “ กลิ่น “ ฆานวิญญาณ ลิ้น “ รส “ ชิวหาวิญญาณ กาย “ โผฏฐัพพะ “ กายวิญญาณ ใจ “ ธรรมารมณ์ “ มโนวิญญาณ
ความรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร ……? ความรู้ที่แท้นั้นคือ ความคิด (Idea) ที่เก็บสะสมไว้ในจิตของมนุษย์เราอันเกิดจากการที่ ร่างกายมีประสบการณ์ (การรับรู้) ทางประสาท สัมผัส
ความรู้ ตา <-------> รูป = 75 % หู <-------> เสียง = 13 % ตา <-------> รูป = 75 % หู <-------> เสียง = 13 % จมูก<------> กลิ่น = 3 % ลิ้น <-----> รส = 3 % กาย <-----> สัมผัส = 6 % ใจ <-----> รับรู้, ปรุ่งแต่ง
ความคิด หรือการคิดในที่นี้ หมาายถึงการคิด หาเหตุผล(Reasoning) * เหตุ คือ………………………………………………………………. * ผล คือ………………………………………………………………. = เหตุผล คือ……………………………………………………..
กิลฟอร์ด วิธีการคิด 2 แบบ 1. ความคิดรวมหรือความคิดเอกนัย (Convergent thinking) 2. ความคิดกระจายหรือความคิดอเนกนัย (Divergent thinking โครงสร้างความคิด กิลฟอร์ด แบ่ง 3 มิติ คือ มิติที่ 1 เนื้อหา มิติที่ 2 วิธีการคิด มิติที่ 3 ผลของการคิด
มิติที่ 1. เนื้อหา (Content) แบ่ง 4 ลักษณะ 1. ภาพ (Figural = F) 2. สัญญลักษณ์ (Symbolic = S) 3. ภาษา 4. พฤติกรรม
มิติที่ 2. วิธีการคิด 2. การจำ (Memory = M) 1. การรู้การเข้าใจ Cognition = C) 2. การจำ (Memory = M) 3. การคิดแบบอเนกนัยหรือความคิดกระจาย(dIVERGNT THINKING = d) 4. การคิดแบบเอกนัยหรือความคิดรวม(Convergent thinking = N) 5. การประเมินค่า EValation = E)
มิติที่ 3 ผลของการคิด แบ่งเป็น 6 ลักษณะ 1. หน่วย (Units = S) 2. จำพวก (Classes = C) 3. ความสัมพันธ์ (Relations = R) 4. ระบบ (Systems = S) 5. การแปลงรูป (Transformation = T) 6. การประยุกต์ (Impications = I)
องค์ประกอบของความคิด โครงทางสติปัญญา ของ กิลฟอร์ด ประกอบด้วย .... 1. ความคิดริเริ่ม (Originality) 2. ความคิดคล่องตัว (Fluency) 3. ความคิดยืดหยุ่นหรือ (Flexibilify) 4. ความคิดละเอียดลออ (Elaboration)
ความคิดริเริ่ม (Originality) 1. พฤติกรรมของบุคคลที่มีความคิดริเริ่ม 1.1 เป็นบุคคลที่กล้าคิด 1.2 กล้าแสดง 1.3 กล้าทดลอง 1.4 กล้าเสี่ยง 1.5 กล้าเล่นกับความคิดของตน
2. ความคิดคล่องตัว (Fluency) 2.1 ความคิดคล่องแคล้วทางด้านถ้อยคำ 2.2 “ โยงสัมพันธ์ 2.3 “ การแสดงออก 2.4 “ “ ในการคิด
3. ความคิดยืดหยุ่น (Flexbility) 3.1 ความคิดยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นทันที 3.2 ความคิดยืดหยุ่นทางด้านการดัดแปลง 4. ความคิดละเอียดลออ (Elaboration) ประกอบด้วยความดิด * ความคิดริเริม *ความยืดหยุ่น* ความคิดคล่องตัว
ลักษณะพฤติกรรมของนักคิด 1. อยากรู้อยากเห็น มีความกระหายใคร่รู้อยู่เป็นนิจ 2. ชอบเสาะแสวงหา สำรวจ ศึกษา ค้นคว้า และ ทดลอง 3. ชอบซักถาม และถามคำถามแปลก ๆ 4. ช่างสงสัย เป็นเด็กที่มีความรู้สึกแปลก ประหลาดใจในสิ่งที่พบเห็นเสมอ
5. ช่างสังเกต มองเห็นลักษณะที่แปลก ผิดปกติ หรือช่องว่างที่ขาดหายไปได้ง่ายและเร็ว 6. ชอบแสดงออกมากกว่าจะเก็บกด ถ้าสงสัยสิ่งใด ก็จะถาม หรือพยายามหาคำตอบไม่รั้งรอ 7. มีอารมณ์ขัน มองสิ่งต่าง ๆ ในแง่มุมที่แปลก และ สร้างอารมณ์ขันอยู่เสมอ
8. มีสมาธิในสิ่งที่ตนสนใจ 9. สนุกสนานกับการใช้ความคิด 10. สนใจสิ่งต่าง ๆ 11. มีความเป็นตัวเอง
การคิดอย่างเสรี การคิดอย่างมีเหตุผล เจตจำนงเสรี - การคิดไม่มีอิสระ - “มนุษย์เป็นอิสระ หรือไม่ ?”
= มนุษย์ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย......?... อดีต กำหนด ปัจจุบัน ปัจจุบัน กำหนด อนาคต เหตุวิสัย = เป็นลักษณะสากลของจักวาล ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุ”
ความรู้ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน 1. มีระบบความคิดอยู่ในจิต 2. ความคิดนั้นตรงกับสิ่งทั้งหลาย ที่มีอยู่จริง 3. มีความเชื่อในความตรงกัน ระหว่างความคิดกับสิ่งภายนอก
อุปสรรคของการคิด 1. อคติ ความลำเอียง 2. ความเร่งรัด 1. อคติ ความลำเอียง 2. ความเร่งรัด 3. ความบกพร่องของสุขภาพทางกายและจิต 4. สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย 5. ความเหนื่อยล้าและความซำซากจำเจ 6. การขาดพื้นความรู้ที่เพียงพอ
ที่มาของความรู้มี 3 ประการ 1. ความรู้ประจักษ์ (Immediat Apprehension) 2. การอนุมาน (Inference) 3. พยานหรือหลักฐาน (Testimony and Authority)
แนวคิดทางปรัชญาแบบตะวันตก แบ่ง 3 1. แนวความคิดแบบวัตถุนิยม (materialistic) 2. แนวความคิดแบบสัจนิยม (Realistic) 3. แนวคิดแบบจิตนิยม (Idealistic)
มีความคิดตามแนวอริยมรร มีองค์ 8 1. สัมมาทิฐิ เห็นชอบ รู้ดี 2. สัมมาสังกัปปะ คิดชอบ คิดดี 3. สัมมาวาจา พูดชอบ พูดดี 4. สัมมากัมมันตะ ทำชอบ ทำดี 5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ อาชีพดี
6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ พยายามดี 6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ พยายามดี 7. สัมมาสติ ระลึกชอบ ตื่นตัวดี 8. สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ ตั้งใจดี