การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ วัสดุเฟอร์นิเจอร์

วัสดุเพื่อใช้ในการออกแบบและผลิตเฟอร์นิเจอร์ปัจจุบันมีด้วยกันมากมายหลายประเภทและชนิด ซึ่งเกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการแข่งขันในตลาด ไม่ว่าจะเป็นวัสดุพื้นฐานเช่นไม้ โลหะ หรือวัสดุสังเคราะห์ต่างๆที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ ดังนั้นนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์จึงควรมีความเข้าใจถึงคุณสมบัติของวัสดุและการเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าการเลือกวัสดุที่เหมาะสมนั้นควรนำมาใช้สร้างหรือขึ้นรูปได้ง่าย มีคุณสมบัติทางกลไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเสียหายในขณะใช้งาน รวมถึงมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่เหมาะสมกับการใช้งาน และมีราคาที่เหมาะสมด้วย

วัสดุเฟอร์นิเจอร์ วัสดุที่เราพบเห็นโดยทั่วไปนั้น หากแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆนั้นสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆได้แก่ 1. กลุ่มโลหะ ซึ่งสามารถแบ่งย่อยเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ โลหะเหล็ก เช่น เหล็กกล้า เหล็กหล่อ เหล็กเหนียว ฯลฯ และ โลหะประเภทอื่นที่ไม่ใช่เหล็ก เช่น ทองคำ ทองคำขาว ทองเหลือง ทองแดง อลูมิเนียม ตะกั่ว สังกะสี โลหะผสม ฯลฯ 2. กลุ่มอโลหะ หรือ กลุ่มวัสดุที่ไม่ใช่โลหะ กลุ่มอโลหะดังกล่าวยังสามารถแบ่งย่อยได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ วัสดุธรรมชาติ อาทิเช่น ไม้ เส้นใยธรรมชาติ หนังสัตว์ ดิน หิน ฯลฯ และวัสดุสังเคราะห์ ได้แก่วัสดุที่มนุษย์คิดค้นหรือประดิษฐ์ขึ้นนอกเหนือจากวัสดุธรรมชาติ เช่น พลาสติก หนังเทียม ยางสังเคราะห์ ฯลฯ

ไม้ธรรมชาติ และไม้ที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ ไม้เป็นวัสดุหลักที่ได้รับความนิยมในการใช้ทำเฟอร์นิเจอร์สูงที่สุด ด้วยคุณสมบัติที่เหมาะสมหลายอย่างอาทิเช่น ความสามารถในการขึ้นรูปและการผลิตได้ง่าย สวยงาม แข็งแรงทนทาน หาได้ง่าย และราคาเหมาะสม นั่นเอง นอกจากนี้ไม้ยังสามารถแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ๆได้ 3 ชนิดได้แก่ 1. ไม้ธรรมชาติ 2. ไม้ที่ผลิตจากไม้แผ่น เศษไม้และเส้นใยธรรมชาติ หรือ ไม้วิทยาศาสตร์ 3. ไม้ไผ่ และหวาย

หลักการเลือกไม้ธรรมชาติเพื่อนำมาใช้งานเฟอร์นิเจอร์ หลักการเลือกไม้ธรรมชาติเพื่อนำมาใช้งานเฟอร์นิเจอร์ การเลือกไม้ต้องคำนึงถึงลักษณะงานว่าเป็นงานประเภทใด ได้แก่ การใช้ประโยชน์ ความแข็งแรง การรับน้ำหนัก ความสวยงาม และรสนิยมของผู้ใช้ หรือเจ้าของ สำหรับหลักการเลือกไม้เพื่อใช้งานมีหลักในการพิจารณาดังต่อไปนี้ 1. เนื้อไม้ ไม่ควรเป็นไม้ที่มีเนื้อหยาบเกินไป เพราะไม้ที่มีเนื้อหยาบมักจะเป็นไม้โตเร็ว น้ำหนักเบา ไม้เนื้ออ่อน การตบแต่งเคลือบผิวทำได้ยาก การใช้ไม้เนื้อละเอียด น้ำหนักมากแม้ว่าการตัดไสแต่งผิวแม้ว่าจะทำได้ยาก แต่ไม้เนื้อแข็งจะมีลายไม้ชัดเจน สีเข้ม สวยงาม แข็งแรง เมื่อแต่งเคลือบแต่งผิวจะมีความสวยงาม 2. สีเนื้อไม้ การเลือกสีเนื้อไม้ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่นำมาประกอบการพิจารณา เพราะสีเนื้อไม้จะช่วยให้ชิ้นงานสวยงามตรงตามความต้องการของรสนิยมของผู้ใช้ หรือเจ้าของชิ้นงาน แม้ว่าไม้สามารถยอมสีได้แต่การที่ได้สีจริงของเนื้อไม้จะช่วยให้ผลงานดูสวยงามเป็นธรรมชาติมากกว่า 3. น้ำหนักของไม้ ไม้ที่เลือกควรมีน้ำหนักที่ใกล้เคียงกับน้ำหนักมาตรฐานของไม้ เพราะน้ำหนักของไม้ที่มาตรฐานจะช่วยในเรื่องความแข็งแรงและทนทาน เช่นการเลือกไม้สักหากมีน้ำหนักเบาเกินไป อาจได้ไม้สักกระพี้ หรือไม้เป็นโรค หรือไม้ที่มีอายุน้อย ซึ่งจะส่งผลถึงความแข็งแรงและทนทานในการนำไปใช้งาน เป็นต้น 4. ลายของไม้ ลวดลายไม้นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ชิ้นงานนั้นดูสวยงามและมีคุณค่าแตกต่างจากงานชิ้นอื่นได้ นอกจากนเรื่องของความสวยงามแล้ว ทิศทางของลายไม้ยังมีส่วนอย่างมากในการรับแรงหรือความแข็งแรงด้วยนอกเหนือไปจากน้ำหนักของไม้ที่กล่าวแล้ว

นอกจากหลักการเลือกหลักการเลือกไม้ธรรมชาติเพื่อนำมาใช้งานเฟอร์นิเจอร์ดังที่กล่าวมาในตอนต้นแล้ว ในด้านความแข็งแรงของไม้ลักษณะของไม้ที่มีความแข็งแรงควรมีลักษณะดังนี้ 1. เนื้อไม้ไม่มีตำหนิหรือการผุ เช่น การผุจากเชื้อรา หรือ โรคไม้ 2. เนื้อไม้ต้องสมบูรณ์ ไม่มีรอยแตก หรือเป็นรู หรือเป็นตาไม้ 3. เป็นไม้ที่แก่จัด อายุไม้ตามระยะเวลาของการตัด ไม่ใช่เป็นไม้อ่อนตัดก่อนกำหนด 4. ไม่เป็นไม้เนื้ออ่อนเกินไป จนไม่สามารถต้านทานน้ำหนัก หรือรับแรงต้านทานได้ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน 5. เป็นไม้ที่ต้องผ่านการผึ่ง หรือ อบ ความชื้นจนได้ความชื้นตามมาตรฐานการใช้งานแล้วเท่านั้น

2. ไม้ที่ผลิตจากไม้แผ่น เศษไม้และเส้นใยธรรมชาติ หรือ ไม้วิทยาศาสตร์ ไม้ที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ นั้นบางครั้งเรียกว่า ไม้วิทยาศาสตร์ก็เป็นวัสดุที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในการทำเฟอร์นิเจอร์ ทั้งนี้จากผลพวงอันเนื่องจากไม้ธรรมชาติหายากและมีราคาแพงขึ้น จึงเกิดประดิษฐกรรมขึ้นใหม่ที่มีลักษณะคล้ายคลึงไม้ธรรมชาติ ไม้วิทยาศาสตร์นี้สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆได้แก่ 2.1 กลุ่มไม้วิทยาศาสตร์จากแผ่นไม้บาง หรือแผ่นไม้แปรรูปเล็กๆ มาประสานกัน (Laminated board )แผ่นวัสดุในกลุ่มนี้มักประกอบด้วยแผ่นไม้บาง (Veneer ) ซึ่งได้จากการปอกหรือฝานจากเครื่องจักรแล้วนำมาอัดวางซ้อนกันเรียงกันที่ละชั้นในลักษณะขวางเสี้ยน วัสดุดังกล่าวอาจทำจากแผ่นไม้บางล้วนๆมาซ้อนกันจนได้ความหนาตามต้องการหรือใช้แผ่นไม้แปรรูปเล็กๆที่ต่อประสานกันเป็นแผ่นแล้วนำมาทำไส้แกนกลางและปิดทับด้วยแผ่นไม้บาง กลุ่มไม้วิทยาศาสตร์จากแผ่นไม้บางที่เรารู้จักหรือนิยมใช้มากที่สุดได้แก่ ไม้อัด (Plywood ) ไม้อัดสามารถแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ๆ 2 ประเภท ได้แก่ ไม้อัดที่ใช้ภายในอาคารและไม้อัดที่ใช้ภายนอกอาคาร ไม้อัดที่ใช้ภายในอาคารเป็นไม้อัดที่ผ่านการแช่ในน้ำอุ่นในอุณหภูมิระหว่าง 65-69 องศาเซลเซียส ได้นาน 3 ชั่วโมง โดยไม่มีการแตกหลุดจากกันและต้องได้ความแข็งแรงตามมาตรฐาน และไม่มีร่องรอยตำหนิ ไม้อัดที่ใช้ภายในอาคาร เหมาะสำหรับ ทำเฟอร์นิเจอร์ เช่ร โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ ชั้นวางของ ฯลฯ นอกจากนี้ยังใช้สำหรับบุฝาห้อง บุฝ้าเพดาน เป็นต้น สำหรับไม้อัดที่ใช้ภายนอกอาคาร เป็นไม้อัดที่ต้องผ่านการต้มในน้ำร้อน 100 องศาเซลเซียส ได้นานถึง 72 ชั่วโมง โดยไม่มีการแตกหลุดจากกันและต้องได้ความแข็งแรงตามมาตรฐาน และไม่มีร่องรอยตำหนิ ไม้อัดชนินี้มีความหนาเพียง ขนาด ได้แก่ 4 และ 6 มิลลิเมตรเท่านั้น มีราคาแพง ไม้อัดชนิดนี้เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง เช่น ป้ายโฆษณา ทำไม้หล่อคอนกรีต ส่วนของอาคารบ้านเรือนที่ต้องถูกแดดและฝน เรือหางยาว เป็นต้น

2.2 กลุ่มไม้วิทยาศาสตร์ที่ใช้ชิ้นไม้สับอัดเป็นวัตถุดิบ (Partical board ) กลุ่มไม้วิทยาศาสตร์ชนิดนี้สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท เช่น แผ่นชานอ้อยอัด แผ่นเส้นใยป่าน ลินนินอัด แผ่นเกล็ดไม้อัด แผ่นเกล็ดไม้อัดเรียงชิ้น แผ่นไม้สับอัด ฯลฯ 2.3กลุ่มไม้วิทยาศาสตร์ที่ใช้เส้นใยไม้ ( Fiber board ) เป็นไม้ที่ได้จากการย่อยชิ้นไม้สับโดยผ่านขบวนการที่ใช้ความร้อนสูงได้เส้นใยแล้วนำเส้นยาเรียงเป็นแผ่นโปร่งๆ หลังจากนั้นจึงนำเข้าเครื่องอัดให้เป็นแผ่นตามขนาดที่ต้องการ ความหนาแน่นของเส้นใยจะแตกต่างตามกำลังอัด การเรียงตัวของเส้นใยเป็นไปด้วยความสม่ำเสมอ ในระหว่างการผลิตอาจผสมสารอื่นๆลงไปด้วยเพื่อให้เกิดความแข็งแรงยิ่งขึ้น มีความต้านทานความชื้น ทนต่อไฟ ต้านทานแมลง หรือ การผุกรอนได้ดียิ่งขึ้น

3. ไม้ไผ่และหวาย ไม้ไผ่และหวาย เป็นไม้ประเภทพืชพื้นถิ่นอีกประเภทหนึ่งที่นิยมนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องเรือน เครื่องใช้ในบ้าน ทั้งนี้เพราะไม้ไผ่และหวายเป็น พืชที่สามารถหาได้ง่ายในพื้นถิ่น ใช้เวลาปลูกน้อยน้อยก็สามารถนำมาใช้ได้เมื่อเทียบกับการปลุกไม้ธรรมชาติชนิดอื่นๆ ทั้งยังมีความสวยงาม คงทนพอสมควร ราคาถูก จึงได้รับความนิยมโดยเฉพาะการนำมาใช้ผลิตเครื่องเรือนที่ใช้กันในระดับชาวบ้าน

เหล็ก และโลหะอื่น โลหะเป็นอินทรีย์สารที่ได้จากแร่ธาตุต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีผิวมันวาว นำความร้อนและไฟฟ้าดี จุดหลอมเหลวสูง มีความแข็งแรง เคาะแล้วมีเสียงกังวาน ตีเป็นแผ่น และทำเป็นเส้นลวดได้ มีความถ่วงจำเพาะสูง โลหะมีด้วยกันหลายชนิดอาทิเช่น เหล็ก ทองแดง อลูมิเนียม สังกะสี ตะกั่ว ดีบุก ฯลฯ สำหรับโลหะนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆได้แก่ 1. โลหะกลุ่มเหล็ก คือ โลหะที่มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบหลัก และอาจมีธาตุอื่นเป็นส่วนประกอบอยู่บ้าง 2. โลหะกลุ่มที่ไม่ใช่เหล็ก คือ โลหะที่มีแร่ธาตุอื่นๆที่ไม่ใช่เหล็กเป็นส่วนประกอบหลัก โลหะกลุ่มนี้ยังสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มย่อยๆ 2.1 โลหะหนัก คือโลหะมีมวลและความหนาแน่นสูง เช่น ทอง ทองคำขาว เงินทองแดง สังกะสี ตะกั่ว แมงกานีส เป็นต้น 2.2 โลหะเบา คือโลหะมีมวลและความหนาแน่นต่ำ เช่น อลูมิเนียม แมกนีเซียมลิเทียม เป็นต้น

สรุป วัสดุที่เราพบเห็นโดยทั่วไปนั้น หากแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆนั้นสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆได้แก่ โลหะและ อโลหะ ในส่วนของโลหะยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆได้แก่ โลหะที่เป็นเหล็ก และโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก ส่วนอโลหะก็สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆเช่นกันได้แก่ วัสดุธรรมชาติและวัสดุสังเคราะห์ ทั้งหมดดังกล่าวจะประกอบด้วยวัสดุย่อยๆต่างๆมากมายในจำนวนวัสดุย่อยๆดังกล่าววัสดุที่ได้รับความนิยมใช้แพร่หลายมากที่สุดในวงการเฟอร์นิเจอร์ ได้แก่ ไม้ธรรมชาติ และไม้ที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เหล็กและโลหะอื่นๆ ไม้เป็นวัสดุหลักที่ได้รับความนิยมในการใช้ทำเฟอร์นิเจอร์สูงที่สุด ด้วยคุณสมบัติที่เหมาะสมหลายอย่างอาทิเช่น ความสามารถในการขึ้นรูปและการผลิตได้ง่าย สวยงาม แข็งแรงทนทาน หาได้ง่าย และราคาเหมาะสม นั่นเอง นอกจากนี้ไม้ยังสามารถแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ๆได้แก่ ไม้-ธรรมชาติ ไผ่ หวาย และ ไม้วิทยาศาสตร์ เป็นต้น การเลือกไม้ต้องคำนึงถึงลักษณะงานว่าเป็นงานประเภทใด ได้แก่ การใช้ประโยชน์ ความแข็งแรง การรับน้ำหนัก ความสวยงาม และรสนิยมของผู้ใช้ หรือเจ้าของ เป็นต้น