ดุลยภาพของตลาด (Market Equilibrium) บทที่ 4 ดุลยภาพของตลาด (Market Equilibrium)
การกำหนดราคาและดุลยภาพตลาด (Price Determination and Market Equilibrium) ราคาดุลยภาพ ปริมาณดุลยภาพ
ราคาดุลยภาพ ระดับราคาที่ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคต้องการซื้อในขณะนั้นเท่ากับจำนวนสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตต้องการขายในขณะเดียวกันนั้นพอดี (Qd = Qs) 100 บาท ราคาดุลยภาพ 100 บาท ผู้ขาย ผู้ซื้อ
ปริมาณสินค้าและบริการที่ระดับราคาดุลยภาพ ปริมาณดุลยภาพ ปริมาณสินค้าและบริการที่ระดับราคาดุลยภาพ ราคาดุลยภาพ 100 บาท 100 บาท ผู้ขาย ผู้ซื้อ ปริมาณดุลยภาพ
ปริมาณส้ม (กก./สัปดาห์) Qs 12 16 20 24 28 32 26 14 8 5 10 15 25 Qd ปริมาณส้ม (กก./สัปดาห์) ราคาส้ม (บาท/กก.) การปรับตัวของราคา Qs - Qd สถานะ 20 10 อุปทานส่วนเกิน P ลดลง อุปทานส่วนเกิน P ลดลง สมดุล P คงที่ 15 20 20 อุปสงค์ส่วนเกิน P เพิ่มขึ้น อุปสงค์ส่วนเกิน P เพิ่มขึ้น
S D ราคาดุลยภาพ จุดดุลยภาพ 15 20 ปริมาณดุลยภาพ P Q 10 5 15 20 25 30 S D ราคาดุลยภาพ จุดดุลยภาพ 15 20 ปริมาณดุลยภาพ
Supply > Demand Excess Supply 5 15 S 25 8 28 = 28 - 8 = 20 Excess Supply P Q 10 5 15 20 25 30 D S 25 8 28 Qd เพิ่ม Qs ลด
Demand > Supply Excess Demand = 26 - 16 = 10 P Q 10 5 15 20 25 30 D S 10 16 26 Qs เพิ่ม Qd ลด Excess Demand
การเปลี่ยนแปลงภาวะดุลยภาพของตลาด การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยทางอ้อมต่างๆ 1. กรณีเกิดการย้ายเส้นอุปสงค์ในขณะที่เส้นอุปทานอยู่คงที่ 2. กรณีเกิดการย้ายเส้นอุปทานในขณะที่เส้นอุปสงค์อยู่คงที่
1. กรณีเกิดการย้ายเส้นอุปสงค์ในขณะที่เส้นอุปทานอยู่คงที่ 1.1 กรณีอุปสงค์เพิ่ม P Q D1 S1 E1 P1 Q1 D2 E2 P2 Q2
1.2 กรณีอุปสงค์ลด P Q D1 S1 E1 P1 Q1 D2 E2 P2 Q2
2. กรณีเกิดการย้ายเส้นอุปทานในขณะที่เส้นอุปสงค์อยู่คงที่ 2.1 กรณีอุปทานเพิ่ม P Q D1 S1 E1 P1 Q1 S2 E2 P2 Q2
2.2 กรณีอุปทานลด S2 P Q D1 S1 E1 P1 Q1 E2 P2 Q2
การเปลี่ยนแปลงภาวะดุลยภาพของตลาด กรณีทั้งอุปสงค์และอุปทานมีการเปลี่ยนแปลง อุปสงค์เพิ่ม อุปทานเพิ่ม ให้นักศึกษาประยุกต์เอาเอง อุปสงค์เพิ่ม อุปทานลด จะอธิบายเพียงแบบเดียว อุปสงค์ลด อุปทานเพิ่ม ให้นักศึกษาประยุกต์เอาเอง อุปสงค์ลด อุปทานลด ให้นักศึกษาประยุกต์เอาเอง
อุปสงค์เพิ่ม อุปทานลด อุปสงค์เพิ่ม อุปทานลด กรณีอุปสงค์เพิ่ม > อุปทานลด กรณีอุปสงค์เพิ่ม < อุปทานลด กรณีอุปสงค์เพิ่ม = อุปทานลด
กรณีอุปสงค์เพิ่ม > อุปทานลด กรณีอุปสงค์เพิ่ม > อุปทานลด S2 D2 P Q D1 S1 E1 P1 Q1 E2 P2 Q2
กรณีอุปสงค์เพิ่ม < อุปทานลด กรณีอุปสงค์เพิ่ม < อุปทานลด S2 P Q D1 S1 E1 P1 Q1 D2 E2 P2 Q2
กรณีอุปสงค์เพิ่ม = อุปทานลด กรณีอุปสงค์เพิ่ม = อุปทานลด S2 P Q D1 S1 E1 P1 Q1 D2 E2 P2 Q2
การเข้าแทรกแซงราคาของรัฐบาล การประกันราคาขั้นต่ำ (Price Support or Minimum Price) การกำหนดราคาขั้นสูง(Price Ceiling) การควบคุมราคา (Price Control)
การประกันราคาขั้นต่ำ (Price Support or Minimum Price) Q (หน่วย) 100 D S 20 ราคาขั้นต่ำ ราคาประกัน 30
สาเหตุของการประกันราคาขั้นต่ำ ระบบราคาทำให้สินค้ามีราคาต่ำมากเกินไป รัฐบาลเข้ามาแทรกแซง ประกันราคา ราคาประกันหรือราคาขั้นต่ำ ต้องสูงกว่าราคาดุลยภาพเสมอ
วิธีการประกันราคาขั้นต่ำ 1. การประกันราคาขั้นต่ำโดยรัฐบาลรับซื้ออุปทานส่วนเกิน 2. การประกันราคาขั้นต่ำโดยรัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุน การประกันราคาแก่เกษตกร การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ (Minimum Wage)
1. การประกันราคาขั้นต่ำโดยรัฐบาลรับซื้ออุปทานส่วนเกิน การที่รัฐบาลประกาศราคาประกัน และใช้กฏหมายบังคับให้ผู้ซื้อทุกรายซื้อสินค้าในราคาประกันนั้น มิฉะนั้นจะมีความผิดตามกฏหมาย
P Q 100 D S 20 Excess supply 30 รัฐใช้งบประมาณ (เพื่อซื้อผลผลิตส่วนเกิน) = 30 x (150 - 50) = 3,000 50 150
2. การประกันราคาขั้นต่ำโดยรัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุน รัฐกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ แต่จะปล่อยให้ซื้อขายกันตามกลไกราคาปกติ รัฐใช้งบประมาณ = (30 - 20) x 100 = 1,000 P Q 100 D S 20 30 100
การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (Minimum Wage) นโยบายในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือคนงานในภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้มีรายได้ที่สูงขึ้น โดยมีวิธีการเช่นเดียวกับการประกันราคาขั้นต่ำ กล่าวคือเมื่อรัฐบาลเห็นว่าค่าจ้างดุลยภาพในขณะนั้นต่ำเกินไป รัฐบาลจึงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำให้สูงกว่าค่าจ้างดุลยภาพ
รัฐใช้งบประมาณ = (300 - 200) x 100 = 100,000 P (บาท/ชม) Q 100 D S 200 300 100
มาตรการอื่น ๆ ที่ใช้ควบคู่กับการประกันราคาขั้นต่ำ S1 P Q 15 D S 200 D1 300
P Q 15 D S 200 S1 D1 300
การกำหนดราคาขั้นสูง(Price Ceiling) Q (ล้านหน่วย) 10 D S 300 ราคาขั้นสูงหรือ ราคาควบคุม 200
สาเหตุของการกำหนดราคาขั้นสูงหรือการควบคุมราคา ระบบราคาทำให้สินค้ามีราคาสูงมากเกินไป รัฐบาลเข้ามาแทรกแซง ราคาควบคุม ราคาขั้นสูงหรือราคาควบคุม ต้องต่ำกว่าราคาดุลยภาพเสมอ
Q (ล้านหน่วย) Excess demand P (บาท) Q (ล้านหน่วย) 15 300 ราคาใน ตลาดมืด 400 200 5 25 Excess demand Q ที่มีการขายจริง
มาตรการอื่น ๆ ที่ใช้ควบคู่กับการกำหนดราคาขั้นสูง P (บาท) Q (ล้านหน่วย) 10 D S 300 S1 D1 200
P (บาท) Q (ล้านหน่วย) 10 D S 300 S1 D1 200
ตลาดและการแข่งขัน
ความหมายของตลาด กิจกรรมการตกลงซื้อขายสินค้าและบริการรวมทั้งปัจจัยการผลิต ไม่ได้หมายถึง “สถานที่”
ประเภทของตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ 1. ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfect Competitive Market) 2. ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (Imperfect Competitive Market) 2.1 ตลาดผูกขาด (Monopoly) 2.2 ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) 2.3 ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition)
1. ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfect Competitive Market) ลักษณะสำคัญ 1. มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก ผู้ขายแต่ละรายไม่มีอิทธิพลในการกำหนดราคาแต่เป็นผู้ยอมรับ (Price Taker)ที่กำหนดขึ้นโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาด S D P Q ตลาด P Q ผู้ผลิต/ขาย D
2. สินค้าที่ซื้อขายกันในตลาดมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ (Homogeneous Product)
3. ผู้ขายเข้าและออกจากกิจการได้อย่างเสรี (Freedom of entry or exit) ไม่มีกฎหมายที่เข้มงวดจนเกินไปเข้ามาขัดขวาง ใช้ปัจจัยการผลิตพื้นฐานทั่ว ๆ ไป ไม่ซับซ้อนมาก
4. สินค้าสามารถโยกย้ายได้อย่างเสรี (Free mobility)
5. ผู้ซื้อและผู้ขายมีความรอบรู้เกี่ยวกับสภาพของตลาดได้เป็นอย่างดี (Perfect knowledge) พฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างไร ขายสินค้าที่ไหนดี ฯลฯ ซื้อที่ไหนราคาถูก ซื้อเวลาไหนดี ผู้ผลิตรายไหนบริการดี ฯลฯ ผู้ขาย ผู้ซื้อ
ตลาดผูกขาด (Monopoly) 2. ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์(Imperfect Competitive Market) ตลาดผูกขาด (Monopoly) ลักษณะสำคัญ มีผู้ผลิตหรือผู้ขายรายเดียว เรียกว่า “ผู้ผูกขาด” (Monopolist)
2. สินค้ามีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร ไม่สามารถหาสินค้าอื่นมาทดแทนได้อย่างใกล้เคียง 3.ผู้ผูกขาดมีอำนาจในการกำหนดราคา (Price Maker) 4.ผู้ผูกขาดสามารถกีดกันไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาผลิตแข่งขันได้
สาเหตุของการผูกขาด 1. ผู้ผลิตหลายรายรวมตัวกันผูกขาดการผลิต 2. การเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตแต่เพียงผู้เดียว 3. การเป็นเจ้าของลิขสิทธิของสินค้า (มีการจดทะเบียนลิขสิทธิ์) 4. รัฐออกกฎหมายให้ผูกขาดการผลิตแต่ผู้เดียว เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจและสังคมส่วนรวม 5. เป็นการผลิตที่ต้องใช้ทุนจำนวนมาก และต้องมีขนาดการผลิตที่ใหญ่ เพื่อจะได้รับประโยชน์จากการประหยัดของขนาดการผลิต
การกำหนดราคาจึงกำหนดต่ำ ๆ ได้ Long-run Average Cost P Q ผู้ผลิต 3 ราย ผู้ผลิต 2 ราย ผู้ผลิต 1 ราย ผู้ผลิตน้อยรายทำให้ต้นทุนต่ำลง การกำหนดราคาจึงกำหนดต่ำ ๆ ได้
รัฐบาลอาจจะให้สัมปทาน ราคาอาจจะถูกควบคุมอีกครั้ง ผู้ผลิตหลายหลาย ราคาสูง รัฐบาลอาจจะให้สัมปทาน ราคาอาจจะถูกควบคุมอีกครั้ง ราคาต่ำ
ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) ลักษณะสำคัญ 1. มีผู้ขายจำนวนน้อย และผู้ขายเหล่านี้อาจรวมตัวในการกำหนดราคาสินค้า 2. ผู้ขายรายใหญ่มีส่วนแบ่งตลาด (Market share) มาก แต่อำนาจในการกำหนดราคาหรือปริมาณขายของผู้ขายรายย่อยมีน้อยกว่าตลาดผูกขาด
3. สินค้าที่ซื้อขายในตลาดมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นการกำหนดราคาสินค้าของผู้ขายแต่ละรายจะมีผลกระทบผู้ขายรายอื่น Home Brand
4. ผู้ขายมักจะไม่ลดราคาแข่งขันกัน เพราะการแข่งขันลดราคาสินค้าจะทำลายผลประโยชน์ของผู้ผลิตทุกคน ผู้ขายจึงมักใช้การแข่งขันแบบไม่ใช้ราคา
สาเหตุที่ไม่มีการแข่งขันกันด้านราคา การลดราคาจะทำให้ผู้ผลิตรายอื่นลดราคาตามได้ง่าย ทำให้ปริมาณขายไม่เพิ่มมากขึ้นตามที่คาดการณ์ การใช้วิธีการปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการเป็นวิธีที่จะทำตามได้ยากและใช้เวลานาน ผู้ผลิตในตลาดนี้มักมีเงินทุนมากจึงสามารถที่จะลงทุนโฆษณาและพัฒนาคุณภาพสินค้าได้ดี
ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition) 1. มีผู้ขายจำนวนมาก 2. ไม่มีการกีดกันผู้ที่จะเข้ามาใหม่ 3. สินค้าของผู้ผลิตมีความแตกต่างกัน โดยอาจแตกต่างกันโดยรูปลักษณ์ของตัวสินค้า หรือการแตกต่างกันในความรู้สึกของผู้บริโภค ซึ่งเป็นผลจากการโฆษณา การบรรจุหีบห่อ การบริการ ฯลฯ รวมไปถึงคุณภาพของสินค้าด้วย