อนุสัญญาของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน

Slides:



Advertisements
งานนำเสนอที่คล้ายกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
Advertisements

กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
Room Division.
การประชุมเอดส์นานาชาติ ครั้งที่ กรกฎาคม 2553 กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย Aids 2010 Rights here, Right now. Aids 2010 Rights here, Right now.
Nutrition - Fungi Fungi digest food by extra-cellular digestion (การย่อยอาหาร extracellular). Enzymes are secreted by the feeding hypha Enzymes break.
Globalization and the Law III
Present Simple Tense By Aranya Chaichana
กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
ประชุมเชิงปฏิบัติการ การพัฒนาระบบบริการอนามัยแม่และเด็ก
พลุและดอกไม้ไฟ.
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล
การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส
Chapter 3 The Law of Treaties
International Trade Agreement สัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ
หลักสิทธิมนุษยชนกับการดำเนินคดีที่เป็นธรรม
ประเด็น แหล่งทุน โครงการวิจัย ระบบการดูแลผู้สูงอายุ วช.
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องประชาคมอาเซียน
สำนักงานวิจัยนวัตกรรมและพันธมิตร มจธ.
เรื่องของอาเซียน.
การสร้างเครื่องมือในการวิจัย (Instrument)
กฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียงพ.ศ วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา.
หลักการให้คำปรึกษา (สำหรับผู้ตรวจสอบภายใน)
สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค
การพัฒนาระบบ e-GP ในระยะที่ 3
นักวิชาการสาธารณสุขเชี่ยวชาญ ศูนย์อนามัยที่ 10 เชียงใหม่
บทที่ 5 ความยากจนและการกระจายรายได้
ภัยธรรมชาติและการระวังภัยในทวีปเอเชีย ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย
องค์การระหว่างประเทศ น.อ.กฤษฎางค์ สุทัศน์ ณ อยุธยา
บทที่ 4 ตัวแปร (Variables)
โดย พระมหาปรีชา ปภสฺสโร พระวิทยากร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
PPA 1106 สถาบันการเมืองและรัฐธรรมนูญ
คู่มือคุณภาพ Quality Manual
สื่อการเรียนรู้ครูต้อม ประโยคควรรู้ในครอบครัว1 รายวิชาภาษาอังกฤษ ขั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 นางสาวลัดดาวัลย์ เขื่อนคำ ครูผู้สอน โรงเรียนสันมหาพนวิทยา อำเภอแม่แตง.
Globalization and the Law
รัฐสมัยใหม่ ดินแดนและอำนาจอธิปไตย
สไลด์การอภิปรายทิศทางฯงานสิทธิฯของพม.
25/02/62 Equality Human dignity Human Rights Pitak kerdhom.
วาระที่ 3.1 กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550, 2560
การอุ้มหายในสังคมไทย
วิชา กฎหมายพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิต
ฉัตรชัย นิติภักดิ์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง
องค์กรรอบรู้สุขภาพ (Health Literate Organization)
การพัฒนาหลักสูตรในรูปแบบ Productive Learning
Homestay.
ระบบสารสนเทศอนามัยสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย
3. การอนุรักษ์ป่าไม้ กระทำได้โดย
รัฐสมัยใหม่ ดินแดนและอำนาจอธิปไตย
บทที่4 การควบคุมการใช้อำนาจรัฐ
Boundary AJ.2 : Satit UP.
2017 edition of "The World of Organic Agriculture"
การทรมานและการประติบัติหรือ การลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (Torture and Other Cruel Inhuman or Degrading Treatment or Punishment)
ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ASEAN-Swiss Partnership for Social Forestry and Climate Change
บทที่ 2 วิวัฒนาการของกฎหมาย
ข้อกำหนดด้านสุขาภิบาลอาหาร สำหรับแผงลอยจำหน่ายอาหาร
นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย
ประวัติศาสตร์ ยุคปฏิรูปบ้านเมือง.
ปฏิทิน 2561 Calendar 2018 วันสำคัญที่เกี่ยวข้อง ด้านสิทธิมนุษยชน ตามที่องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนด Rights and Liberties Protection Department.
ความสำคัญของโภชนาการสำหรับเด็กปฐมวัย
Holy Land อาจารย์สอง Satit UP.
หน่วยที่ 2 สิทธิมนุษยชน
วันสำคัญที่เกี่ยวข้องด้านสิทธิมนุษยชน ตามที่องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนด Calendar 2019 ปฏิทิน 2562.
เก็บตกวันวาน “สานพลังสร้างมาตรการองค์กร เพื่อความปลอดภัยทางถนน”
5ใจเลิกบุหรี่ ด้วยวิธี 5 D
ทิศทางการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ
รายวิชาเพิ่มเติม อาเซียนศึกษา
บ่อเกิดแห่งสิทธิประเภทของสิทธิเสรีภาพสิทธิมนุษยชน สิทธิพลเมือง
International Trade Agreement สัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ
วิชากระบวนการนโยบายสาธารณะ PPA1104
ใบสำเนางานนำเสนอ:

อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี

อนุสัญญาของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน The United Nations Human Rights Council (UNHRC) มีอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนหลักอยู่ทั้งหมด 9 ฉบับ ตัวแทนของประเทศไทย คือคุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรประเทศไทยประจำสหประชาชาติ เคยได้รับเลือกให้เป็นประธานของคณะมนตรีของสหประชาชาติชุดนี้ ในรอบที่ 5 (2010-2011)

อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2550 ได้มีมติให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ เพื่อเป็นการ “สร้างภาพลักษณ์ของไทยในการส่งเสริมและพิทักษ์สิทธิมนุษยชนให้เด่นชัดยิ่งขึ้น” โดยไม่ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย แต่ให้ใช้การแถลงตีความ และจัดทำข้อสงวนในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ต่อมาประเทศไทยมอบภาคยานุวัติสาร (instrument of accession) ต่อเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 และอนุสัญญาฯ มีผลผูกพันประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 (ตามข้อบทที่ 27)

Reservation and Declaration สาระสำคัญของคำแถลงตีความ 1. ประเทศไทยแถลงเข้าใจว่า 1.1 ความหมายของคำว่า “ทรมาน” ตามข้อบทที่ 1 1.2 การกำหนดฐานความผิดตามข้อบทที่ 4 1.3 เขตอำนาจศาลตามข้อบทที่ 5 สอดคล้องกับประมวลกฎหมายอาญาของไทยในปัจจุบัน 2. ประเทศไทยจะพิจารณาปรับปรุงให้กฎหมายภายในของไทยสอดคล้องกับข้อทั้ง 3 ในโอกาสแรก ข้อสงวน ประเทศไทยไม่ผูกพันตามข้อบทที่ 30 วรรค 1

เมื่อประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ จึงมีพันธกรณีที่จะต้องป้องกันและปราบปรามการทรมาน รวมทั้งการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี การกระทำที่เป็นการทรมานเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาของประเทศไทย รวมทั้งก่อให้เกิดความรับผิดทางแพ่ง และทางวินัย การทรมานถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ และถือเป็นความผิดที่สามารถส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้

CAT in Overview ข้อที่ 1 : ความหมายของ “ทรมาน” ข้อที่ 2 วรรคแรก: รัฐต้องใช้มาตรการป้องกันการทรมานอย่างมีประสิทธิภาพ วรรคสอง: รัฐไม่อาจอ้างเหตุใดเป็นข้ออ้างการทรมานได้ วรรคสาม: คำสั่งผู้บังคับบัญชาไม่ถือเป็นข้ออ้างในการทำทรมาน ข้อที่ 3 : หลักการ Non-refoulment ข้อที่ 4 : การบัญญัติให้การทรมาน (พยายาม และผู้ร่วมในการกระทำความผิด) เป็นความผิด และมีระวางโทษที่เหมาะสม

CAT in Overview ข้อบทที่ 5: เขตอำนาจศาล ข้อบทที่ 6: หน้าที่ของรัฐในการควบคุมตัวผู้กระทำทรมาน ข้อบทที่ 7: หน้าที่ของรัฐในการสอบสวนผู้กระทำทรมาน ข้อบทที่ 8: การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ข้อบทที่ 9: ความร่วมมือระหว่างรัฐในคดีทรมาน ข้อบทที่ 10: การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้อบทที่ 11: หน้าที่ของรัฐในการทบทวนกระบวนการคุมขัง

CAT in Overview ข้อบทที่ 12: การสอบสวนโดยพลัน ข้อบทที่ 13: สิทธิของผู้เสียหาย ข้อบทที่ 14: การเยียวยาความเสียหายอย่างเป็นธรรม และเพียงพอ ข้อบทที่ 15: ข้อห้ามในการรับฟังพยานหลักฐาน ข้อบทที่ 16: การป้องกันการกระทำอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือการประติบัติหรือการลงโทษที่ย่ำยีศักดิ์ศรี

สาระสำคัญของอนุสัญญาฯ 1. ความหมายของการทรมาน และการปฏิบัติ หรือลงโทษอื่นฯ 2. ความผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้อง 3. ข้อห้ามและพันธกรณีอื่นๆ

ความหมายของการ “ทรมาน” ตามอนุสัญญาฯ การกระทำใดก็ตามโดยเจตนาที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส ไม่ว่าทางกายหรือทางจิตใจต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะให้ได้มาซึ่งข้อสนเทศหรือคำสารภาพจากบุคคลนั้นหรือจากบุคคลที่สาม การลงโทษบุคคลนั้น สำหรับการกระทำ ซึ่งบุคคลนั้นหรือบุคคลที่สามกระทำหรือถูกสงสัยว่าได้กระทำ หรือเป็นการข่มขู่ให้กลัวหรือเป็นการบังคับขู่เข็ญบุคคลนั้นหรือบุคคลที่สามหรือเพราะเหตุผลใดใด บนพื้นฐานของการเลือกประติบัติ ไม่ว่าจะเป็นในรูปใด เมื่อความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานนั้นกระทำโดย หรือด้วยการ ยุยง หรือโดยความยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจของเจ้าพนักงานของรัฐ หรือของบุคคลอื่นซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งทางการ ทั้งนี้ไม่รวมถึงความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานที่เกิดจาก หรืออันเป็นผลปกติจาก หรืออันสืบเนื่องมาจากการลงโทษทั้งปวงที่ชอบด้วยกฎหมาย”

องค์ประกอบของการทรมาน การกระทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส กระทำโดยเจตนา โดยมีมูลเหตุชักจูงใจอย่างหนึ่งอย่างใด กระทำโดย หรือภายใต้การยุยง ยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจของ เจ้าพนักงานของรัฐ หรือของบุคคลอื่นซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ในตำแหน่งทางการ

อันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา อย่างสาหัสตามอนุสัญญา 1. “อย่างสาหัส” อันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา อย่างสาหัสตามอนุสัญญา มาตรา 297 (1) ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท (2) เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์ (3) เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้วหรืออวัยวะอื่นใด (4) หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว (5) แท้งลูก (6) จิตพิการอย่างติดตัว (7) ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต (8) ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ยี่สิบวัน มีความหมายกว้าง และเคร่งครัดน้อยกว่าประมวลกฎหมายอาญา โดยจำกัดเพียงแค่ต้องเป็นความเจ็บปวด หรือทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรง โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆได้แก่ (1) ระยะเวลาในการประติบัติ (2) ผลที่เกิดขึ้นต่อร่างกายหรือจิตใจของผู้เสียหาย (3) เพศ อายุ และสุขภาพของผู้เสียหาย การกระทำที่เข้าองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 297 (1)-(6) ย่อมเป็นการทรมานโดยสภาพ แต่แม้ความรุนแรงไม่ถึงตามที่กำหนดไว้ก็เป็นการทรมานได้ แม้ไม่เกิดบาดแผลฟกช้ำ หรือมีโลหิตไหลก็ตาม

2. มีมูลเหตุชักจูงใจอย่างหนึ่งอย่างใด 1) เพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะให้ได้มาซึ่งข้อสนเทศหรือคำสารภาพจากบุคคลนั้นหรือบุคคลที่สาม เช่น การซ้อมเพื่อให้รับสารภาพ ซัดทอด หรือข้อมูลอันอาจจะนำไปใช้ประโยชน์ในการขยายผลการสอบสวน เป็นต้น 2) เพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะลงโทษบุคคลหรือบุคคลที่สามสำหรับการกระทำหรือการถูกสงสัยว่าได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การลงโทษผู้ต้องขังด้วยการเฆี่ยนตี ขังห้องมืด เนื่องด้วยการทำผิดวินัยของผู้ต้องขัง

2. มีมูลเหตุชักจูงใจอย่างหนึ่งอย่างใด 3) เพื่อความมุ่งประสงค์ข่มขู่ให้กลัวหรือเป็นการบังคับขู่เข็ญบุคคลนั้นหรือบุคคลที่สาม 4) เนื่องมาจากเหตุผลใด ๆ ก็ตาม หรือบนพื้นฐานของการเลือกประติบัติ เช่นการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยต่างๆ นอกจากมูลเหตุชักจูงใจที่กำหนดไว้ทั้ง 4 ประการไว้หากเป็นการกระทำโดยมูลเหตุชักจูงใจอื่นๆในลักษณะเดียวกันก็อาจเป็นการทรมานได้

เงื่อนไขในข้อสองนี้มีเพื่อจำกัดขอบเขตของการทรมานให้อยู่ในกรอบที่กำหนด เพื่อไม่ให้การกระทำของหน่วยงานรัฐที่เป็นการสร้างอันตราย หรือความเจ็บปวดแก่ประชาชนมีผลเป็นการทรมานทั้งหมด ดังนั้นกรณีที่เรือนจำต่างๆ มีสภาพต่ำกว่ามาตรฐานสากลอาจไม่ถึงขั้นเป็นการทรมาน หากรัฐไม่ได้กระทำไปเพื่อต้องการลงโทษผู้ต้องหาให้อยู่ในสภาพดังกล่าวแต่เป็นไปเพราะข้อจำกัดทางด้านงบประมาณ หรือบุคลากร

3. ผู้กระทำความผิด การทรมานต้องเป็น 1 กระทำโดย หรือ 1.1 ภายใต้การยุยง 1.2 ยินยอม หรือ 1.3 รู้เห็นเป็นใจของเจ้าพนักงานของรัฐ หรือของบุคคลอื่นซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งทางการ

ตัวอย่างของการทรมาน การจับผู้ต้องขังมัดไว้กับกระดาน คลุมหน้าผู้ต้องขังไว้ด้วยผ้า และเทน้ำลงไปเพื่อให้ผู้ต้องขังสำลัก (Waterboarding)

ตัวอย่างของการทรมาน

การประติบัติ หรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี การประติบัติ หรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CID) เป็นข้อห้ามเช่นเดียวกับการทรมาน เพียงแต่ระดับของการกระทำมีความรุนแรงน้อยกว่าการทรมาน อนุสัญญาฯไม่ได้นิยามศัพท์ CID ไว้ และในการตีความตามกฎหมายระหว่างประเทศก็ยังไม่มีคำจำกัดความโดยเฉพาะ แต่ตามกฎหมายไทยนั้นไม่ได้มีการแยกระหว่างการกระทำทั้งสองประเภท ระวางโทษจึงไม่มีความแตกต่างทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานความผิด

ตัวอย่างการตีความแยกแยะระหว่าง การทรมาน กับ CID 1) คณะกรรมการต่อต้านการทรมานเห็นว่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยูโกสลาเวียนิ่งเฉย และไม่กระทำการใดที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่ชาว Romani ถูกชาวมอนเตรเนโกร กว่า 200 เนื่องจากโกรธแค้นที่ชายชาว Romani คนหนึ่งข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงชาวมอนเตรเนโกร เป็นการกระทำที่เป็นการประติบัติ หรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี

ตัวอย่างการตีความแยกแยะระหว่าง การทรมาน กับ CID 2) ผู้พิพากษาระดับสูงประจำศาลอุทธรณ์กลางแห่งสหรัฐอเมริกา ขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอัยการสูงสุด ได้ทำบันทึกข้อความ ในนามของคณะกรรมการกฤษฎีกาแจ้งความเห็นไปยังนาย Alberto Gonzales ที่ปรึกษาประธานาธิบดี George W. Bush ว่าการกระทำที่จะถึงขั้นเป็นการทรมานนั้นต้องเป็นการทำอันตรายทางกายภายถึงขั้นที่อาจทำให้ตาย หรือทำให้การทำงานของอวัยวะล้มเหลว หรือกระทำต่อจิตใจที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบประสาทอย่างยาวนาน ซึ่งต่อมารัฐบาลของประธานาธิบดี Barack Obama ได้ยกเลิกความเห็นดังกล่าว

ตัวอย่างการตีความแยกแยะระหว่าง การทรมาน กับ CID 3) ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปตัดสินว่าการใช้เทคนิคการสอบสวนห้าประการอันประกอบด้วย   Wall-Standing – การบังคับให้ผู้ต้องหายืนข้างกำแพงแยกมือขึ้น เหนือศีรษะ กางขาออก และยืนด้วยนิ้วเท้าเป็นระยะเวลานาน Hooding - การให้ผู้ต้องหาแบกกระเป๋าที่มีน้ำหนักมากไว้บนศีรษะตลอดเวลา Subjection to Noise - การให้ผู้ต้องหาอยู่ในห้องที่มีเสียงดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน Deprivation of Sleep - การบังคับให้อดนอน Deprivation of Food and Drink - การบังคับให้อดน้ำและอาหาร

ตัวอย่างการตีความแยกแยะระหว่าง การทรมาน กับ CID เป็นเพียงการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรม แต่ไม่ถึงขั้นเป็นการทรมาน โดยอธิบายว่า “ทรมาน” นั้นต้องเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอันเป็นการสร้างตราบาปโดยมีการไตร่ตรองไว้ก่อน และก่อให้เกิดความเจ็บปวดที่รุนแรง และโหดร้ายอย่างมาก ดังนั้นแม้เทคนิคการสอบสวนทั้งห้าประการนั้นจะกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งคำรับสารภาพ, ชื่อ หรือข้อมูลใดๆ และถึงแม้จะกระทำอย่างเป็นระบบแต่การกระทำดังกล่าวหาได้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดที่ถึงระดับความรุนแรง และโหดร้ายที่จะเป็นการทรมานแต่อย่างใด

การยกเว้นความรับผิด ตามอนุสัญญาฯ ข้อ 1. การลงโทษที่ชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการทรมาน ตามอนุสัญญาฯ ข้อ 2.2 ห้ามยกอ้างพฤติการณ์พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การขาดเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศมาเป็นเหตุแห่งการทรมาน ตามอนุสัญญาฯ ข้อ 2.3 คำสั่งของผู้บังคับบัญชา หรือทางการ ไม่สามารถยกขึ้นอ้างได้

ความรับผิดทางอาญาตามกฎหมายไทย ตามอนุสัญญาฯ ข้อ 4. กำหนดให้รัฐภาคีต้องรับประกันว่าการทำทรมานทั้งปวงเป็นความผิดอาญา และกำหนดระวางโทษที่เหมาะสมกับความร้ายแรงของการกระทำเหล่านั้น ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมาย “เฉพาะ” เอาผิดกับการทรมาน แต่กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพกำลังดำเนินการอยู่ ประเทศศรีลังกากำหนดระวางโทษสำหรับการทำทรมานไว้ที่จำคุก 7-10 ปี ซึ่ง คณะกรรมการต่อต้านการทรมานฯให้ความเห็นว่าเป็นโทษที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่ประเทศฟิลิปปินส์กำหนดระวางโทษลดหลั่นตามความรุนแรงของการกระทำและผล โดยระวางโทษไว้สูงสุดที่โทษจำคุก 40 ปี

ความรับผิดทางอาญาตามกฎหมายไทย ปัจจุบันประเทศไทยแถลงตีความ-Declaration ว่าประเทศไทยเข้าใจอนุสัญญาฯข้อ 4 ตามที่กฎหมายอาญาบังคับใช้ แม้ประเทศไทยยังไม่ได้กำหนดความรับผิดเอาไว้โดยเฉพาะ เราสามารถนำกฎหมายที่มีอยู่บังคับใช้ได้ดังนี้ กลุ่มเกี่ยวกับชีวิตร่างกาย กลุ่มเกี่ยวกับเสรีภาพ และการก่อภยันตราย กลุ่มความผิดเกี่ยวกับเพศ กลุ่มความผิดเกี่ยวกับเจ้าพนักงาน

กลุ่มเกี่ยวกับชีวิตร่างกาย 1. ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยทรมาน หรือกระทำทารุณโหดร้าย หรือไตร่ตรองไว้ก่อน (มาตรา 289 ประหารชีวิต) 2. ความผิดฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนา (มาตรา 290 จำคุก 3-15 ปี) 3. ความผิดฐานทำร้ายร่างกายอันตรายสาหัสโดยมีเหตุตามมาตรา 289 (มาตรา 298 จำคุก 2-10 ปี) 4. ความผิดฐานทำร้ายร่างกายโดยมีเหตุตามมาตรา 289 (มาตรา 296 จำคุกไม่เกิน 3 ปี) 5. ความผิดฐานใช้กำลังทำร้ายไม่เป็นเหตุให้เกิดอันตราย (มาตรา 391 จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท)

กลุ่มเกี่ยวกับเสรีภาพ และการก่อภยันตราย 1. ความผิดฐานปลอมปนอาหารให้คนเสพหรือใช้เป็นเหตุให้บุคคลอื่นตาย หรือได้รับอันตรายสาหัส (มาตรา 238 จำคุก 5-20 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000- 40,000 บาท และ1-10 ปี ปรับ 2,000-20,000 บาท ตามลำดับ) 2. ความผิดฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว ให้กระทำการใด (มาตรา 310 ทวิ จำคุก ไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท) 3. ความผิดฐานปลอมปนอาหารให้คนเสพหรือใช้ (มาตรา 236 จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท) 4. ความผิดฐานกระทำต่อเสรีภาพ (มาตรา 309 จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท) 5. ความผิดฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว (มาตรา 310 จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท) 6. ความผิดฐานทำให้กลัว หรือตกใจโดยการขู่เข็ญ (มาตรา 392 จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท)

กลุ่มความผิดเกี่ยวกับเพศ 1. ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา (มาตรา 276, 277, 277 ทวิ, 277 ตรี) 1.1 ความผิดพื้นฐาน (จำคุก 4-20 ปี ปรับ 8,000-40,000 บาท) 1.2 กระทำกับเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี (จำคุก 7-20 ปี ปรับ 14,000-40,000 บาท) 1.3 กระทำโดยมี หรือใช้อาวุธปืน/วัตถุระเบิด, โทรมหญิง/ชาย จำคุกตลอดชีวิต จำคุก 15-20 ปี ปรับ 30,000-40,000 บาท) 1.4 กระทำตาม 1.3 ต่อคนที่อายุต่ำกว่า 15 ปี (จำคุกตลอดชีวิต) 1.5 กระทำตาม 1.1 หรือ 1.2 เป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส (จำคุกตลอดชีวิต จำคุก 15-20 ปี ปรับ 30,000-40,000 บาท) 1.6 กระทำตาม 1.1 หรือ 1.2 เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย (ประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต) 1.7 กระทำตาม 1.3 เป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส (ประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต) 1.8 กระทำตาม 1.3 เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย (ประหารชีวิต)

กลุ่มความผิดเกี่ยวกับเพศ 2. ความผิดฐานกระทำอนาจาร (มาตรา 278, 279, 280) 2.1 ความผิดพื้นฐาน (จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับเกิน 20,000 บาท) 2.2 กระทำโดยบังคับต่อเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี (จำคุกไม่เกิน 15 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท) 2.3 เป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส (จำคุก 5-20 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000-40,000 บาท) 2.4 เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย (ประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต)

กลุ่มความผิดเกี่ยวกับเจ้าพนักงาน ความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด (มาตรา 157 จำคุก 1-10 ปี ปรับ 2,000-20,000 บาท) จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นพนักงานตำรวจหาได้มีอำนาจที่จะชกต่อยทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาไม่ การที่ผู้ต้องหาได้รับบาดเจ็บโดยมีบาดแผลบวมที่โหนกแก้มขวาและตามัว ซึ่งเกิดจากการที่ถูกจำเลย ที่ 1 ชกในขณะจับกุมการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9590/2544)

การผลักดันบุคคลออกนอกประเทศโดยละเมิดต่ออนุสัญญาต่อต้านการทรมาน ข้อบทที่ 3 ของอนุสัญญาได้กำหนดให้ประเทศไทย “ต้องไม่ขับไล่ ส่งกลับ (ผลักดันกลับออกไป) หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะตกอยู่ภายใต้อันตรายที่จะถูกทรมาน” ดังนั้นตามพันธกรณีในข้อดังกล่าวประเทศไทยจึงพึงต้องตรวจสอบผลของการขับไล่ (expel) ส่งกลับ (return) หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง (extradite) ว่าจะเป็นผลให้บุคคลที่ถูกกระทำดังกล่าวได้รับการทรมานหรือไม่

Non – Refoulement การตรวจสอบก่อนส่งตัวดังกล่าวนั้นอย่างน้อยจะต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมของรัฐ รวมถึงปัจจัยเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐที่จะส่งตัวกลับ ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่ามีเหตุอันควรเชื่อเช่นนั้น ประเทศไทยมีหน้าที่ที่จะต้องไม่ส่งตัวบุคคลกลับ หรือผลักดันออกไป ซึ่งเป็นการเน้นย้ำให้เห็นว่ารัฐภาคีมีหน้าที่ที่จะต้องร่วมป้องกันไม่ให้เกิดการทรมานขึ้น และรัฐภาคีจะต้องไม่มีส่วนร่วม หรือเกี่ยวข้องในการทำทรมานไม่ว่าจะเป็นในฐานะ หรือส่วนใดก็ตาม

Non – Refoulement แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยจะได้รับการจับตามองจากนานาชาติ เรื่องการผลักดินคนกลับออกไปอย่างเช่น ในกรณี เดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2551 รัฐบาลไทยผลักดันกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง ซึ่งลี้ภัยมาจากรัฐกะเหรี่ยง และได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบแม่ลาหลวง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ให้ข้ามแม่น้ำสาละวินกลับไป หรือปัญหาการผลักดันผู้แสวงหาที่พักพิง หรือผู้อพยพชาวโรฮิงยาออกสู่น่านน้ำสากล เมื่อต้นปี พ.ศ. 2552 รวมทั้งปัญหาการผลักดันผู้อพยพชาวม้งลาวกลับลาวเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552

Non – Refoulement แต่เนื่องด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พนักงานอัยการ และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็ได้มีความรู้ความเข้าใจในหลักการ Non-refoulement ที่จะไม่ส่งคนหรือผลักดันคนชาติอื่นออกนอกประเทศ หากมีข้อมูลที่เชื่อได้ว่าบุคคลที่จะผลักดันออกไปนั้นอาจได้รับอันตราย หรือถูกทรมาน

ข้อห้าม และพันธกรณีอื่นๆ ที่สำคัญ 1. ในเรื่องเขตอำนาจศาลนั้นอนุสัญญาฯกำหนดว่าศาลภายในประเทศต้องมีเขตอำนาจดำเนินคดีอาญาทรมานในกรณีต่อไปนี้ 1.1 เมื่อความผิดเหล่านั้นเกิดขึ้นในอาณาเขตใดที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจ ของตน หรือบนเรือหรืออากาศยาน ที่จดทะเบียนในรัฐนั้น 1.2 เมื่อผู้ถูกกล่าวหาเป็นคนชาติของรัฐนั้น 1.3 เมื่อผู้เสียหายเป็นคนชาติของรัฐนั้น หากรัฐนั้นเห็นเป็นการสมควร ยังมีปัญหาไม่สามารถทำได้ครบถ้วน เพราะกรณีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8 มีเงื่อนไขกำหนด

ข้อห้าม และพันธกรณีอื่นๆที่สำคัญ 2. ต้องจัดการอบรมบุคลากรที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เกี่ยวกับข้อห้ามการทรมาน 3. ทบทวนกฎเกณฑ์ คำสั่ง วิธีการ และแนวทางในการไต่สวน การควบคุมตัว ตลอดจนการจับและการกักขังเพื่อป้องกัน การทรมาน 4. ผู้เสียหายต้องได้รับการเยียวยาอย่างเพียงพอและเป็นธรรม 5. หลักฐานที่ได้จากการทรมานไม่สามารถใช้ในการดำเนินคดีได้