พระวาจา ทรง ชีวิต พฤศจิกายน 2007
“ไม่มีชาติยิ่งใหญ่ชาติใดมีบทบัญญัติเหมือนดังที่ข้าพเจ้าสอนพวกท่านอยู่ทุกวันนี้” (ฉธบ. 4: 8)
ระยะเวลาแห่งการเดินทางของชาวอิสราเอลในทะเลทรายยาวนานถึง 40 ปี เป็นเวลาแห่งความทุกข์ยากก็จริง แต่ก็เป็นเวลาแห่งพระหรรษทานด้วย พระเจ้าทรงชำระจิตใจของพวกเขาให้บริสุทธิ์ขึ้น และทรงเผยให้เห็นว่า พระองค์ทรงรักพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่ชาวอิสราเอลกำลังจะเดินทางเข้าแผ่นดินแห่งพันธสัญญา โมเสสเตือนพวกเขาให้ระลึกถึงประสบการณ์ในอดีต โดยเฉพาะให้ระลึกถึงพระพรยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้รับ นั่นคือพระบัญญัติของพระเจ้า สรุปย่อๆเป็นพระบัญญัติสิบประการ ท่านตักเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตาม
ในขณะที่ท่านกำลังอธิบายบทบัญญัติของพระเจ้าอยู่นั้น โมเสสรู้สึกตื้นตันใจว่า พระเจ้าช่างประทับอยู่ใกล้ชิดประชากรของพระองค์เหลือเกิน พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ ทรงประทานหลักเกณฑ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับ การดำเนินชีวิตแก่พวกเขา โมเสสร้องอุทานเสียงดังว่า
“ไม่มีชาติยิ่งใหญ่ชาติใดมีบทบัญญัติเหมือนดังที่ข้าพเจ้าสอนพวกท่านอยู่ทุกวันนี้” (ฉธบ. 4: 8)
เราแต่ละคนจึงรู้สึกปลื้มใจที่พระเจ้าทรงแสดงความรักยิ่งใหญ่ต่อพวกเขา พระเจ้าทรงจารึกกฎเกณฑ์ของพระองค์ในดวงใจของเราแต่ละคนเช่นกัน พระองค์ตรัสกับประชากรทุกชาติ ทุกภาษา ด้วยวิธีการหลากหลายในระยะเวลาต่างกัน เราแต่ละคนจึงรู้สึกปลื้มใจที่พระเจ้าทรงแสดงความรักยิ่งใหญ่ต่อพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นเรื่องยาก ที่จะเข้าใจแผนการที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษยชาติได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพระเจ้าจึงทรงเลือก ชนชาติอิสราเอล ซึ่งเป็นชนชาติเล็กๆ เพื่อทรงเผยให้พวกเราเห็นแผนการของพระองค์ ได้ชัดเจนขึ้น
และที่สุด พระเจ้าทรงส่งพระบุตร ของพระองค์ คือองค์พระเยซูเจ้า มาเผยให้เราเห็นโฉมพระพักตร์ของพระเจ้าว่า เป็นความรัก และทรงสรุปบทบัญญัติ ของพระองค์ว่า ให้รักพระเจ้า และรักพี่น้อง
ความยิ่งใหญ่ของประชากรหรือของเราแต่ละคน อยู่ที่การตอบรับบทบัญญัติของพระเจ้า เป็นการ “ตอบรับ” เฉพาะตนต่อบทบัญญัติของพระองค์
หามิได้ แต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา ที่เราอาจจินตนาการได้ต่างหาก มันหมายถึงการที่เราได้ร่วมมือกับพระเจ้าในโครงการยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมี ต่อเราแต่ละคน และต่อมนุษยชาติ เพื่อสร้างมนุษยชาติให้เป็นครอบครัวเดียวกัน ผูกพันกันในความรัก เจริญชีวิตแบบเดียวกันด้วยชีวิตเหนือธรรมชาติ
การตอบรับนี้ มิได้หมายถึงการจะต้องสร้างกรอบประเพณีใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งมิใช่เป็นการนำสิ่งแปลกปลอมภายนอกเข้ามา หรือเป็นการยอมจำนนต่อชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง หรือเป็นการยอมแพ้ต่อพรหมลิขิต ราวกับว่าเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เช่นเดียวกัน เราอาจอุทานเสียงดังเช่นโมเสสได้ว่า: "ไม่มีชาติยิ่งใหญ่ชาติใดมีบทบัญญัติ เหมือนดังที่ข้าพเจ้าสอนพวกท่านอยู่ทุกวันนี้...".
ตลอดเดือนนี้ เราจะเจริญชีวิตตาม พระวาจานี้ได้อย่างไร ตลอดเดือนนี้ เราจะเจริญชีวิตตาม พระวาจานี้ได้อย่างไร
ด้วยการเข้าถึงหัวใจของบทบัญญัติ ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงกล่าวสรุปไว้แล้ว คือ บทบัญญัติแห่งความรัก
I II III IV V VI VII VIII IX X ถ้าเราพิจารณาดูบทบัญญัติทั้งสิบประการที่พระเจ้าทรงประทานให้ไว้ ในพันธสัญญาเดิม เราจะปฏิบัติตามได้ ด้วยการรักพระเจ้า และรักพี่น้อง ซึ่งเท่ากับปฏิบัติครบถ้วนทั้งสิบประการ I II III IV V VI VII VIII IX X
ผู้ที่รักพระเจ้าย่อมไม่ยอมให้พระอื่นเข้ามาครอบครองดวงใจของเขาเป็นแน่ ผู้ที่รักพระเจ้าจะกล่าวพระนามพระองค์ และไม่ออกพระนามพระองค์โดยไม่สมเหตุ
ผู้ที่รักพระเจ้า ย่อมดีใจที่จะอุทิศเวลาอย่างน้อยหนึ่งวันในสัปดาห์ เพื่อพระองค์ผู้ที่เขารักอย่างที่สุด
ผู้ที่รักพี่น้อง แน่นอนว่า เขาจะรักบิดามารดาของเขาเอง
เช่นเดียวกัน ผู้ที่รักพี่น้องย่อมไม่ขโมยข้าวของของผู้อื่น ไม่ฆ่าผู้อื่น ไม่เอาเปรียบ หรือเป็นพยานเท็จกล่าวหาผู้อื่น
บุคคลเช่นนั้นย่อมพอใจในทรัพย์สมบัติที่ตนมี ไม่มักได้ข้าวของ หรือภรรยาของผู้อื่น
และด้วยเหตุนี้ ผู้ที่รักผู้อื่นย่อมไม่ทำบาป แต่เขาจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของ พระเจ้าทุกข้อ
ดิฉันมีประสบการณ์เช่นนี้ บ่อยครั้งที่เดินทางไปพบปะกับประชากร หรือเผ่าพันธุ์หลายๆกลุ่ม โดยเฉพาะครั้งหนึ่ง ดิฉันรู้สึกประทับใจมาก เมื่อพบปะกับชนเผ่า บังกวา ที่ฟอนเธ็ม ในประเทศคาเมรูนในปี ค.ศ. 2000 พวกเขาเริ่มตอบรับคำเชื้อเชิญของพวกเราให้รัก
ในแต่ละวัน เราจงถามตนเองบ่อยๆว่า การงานที่เรากำลังทำอยู่นั้น เราทำเพราะความรักหรือไม่ ถ้าเราทำเพราะความรัก ชีวิตของเราย่อมมีคุณค่า จะมีส่วนช่วยให้แผนการที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษยชาติสำเร็จไป
“ไม่มีชาติยิ่งใหญ่ชาติใดมีบทบัญญัติเหมือนดังที่ข้าพเจ้าสอนพวกท่านอยู่ทุกวันนี้” (ฉธบ. 4: 8) พระวาจาทรงชีวิตประจำเดือนจัดทำโดยคณะโฟโคลาเร คำอธิบายโดย เคียร่า ลูบิค กราฟฟิก โดย Anna Lollo ด้วยความร่วมมือจาก Fr. Placido D’Omina (ซิซิลี - ประเทศอิตาลี)