Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน
Psalms เพลงสดุดีบทที่ 49
To the choirmaster. A Psalm of the Sons of Korah To the choirmaster. A Psalm of the Sons of Korah. 1Hear this, all peoples! Give ear, all inhabitants of the world,
1ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของคณะโคราห์ ดูก่อนชาติทั้งหลาย จงฟังข้อความนี้ ชาวพิภพทั้งปวงเอ๋ย จงเงี่ยหูฟัง
2both low and high, rich and poor together
3My mouth shall speak wisdom; the meditation of my heart shall be understanding. 3ปากของข้าพเจ้าจะเผยปัญญา การภาวนาของจิตใจข้าพเจ้าคือความเข้าใจ
4I will incline my ear to a proverb; I will solve my riddle to the music of the lyre. 4ข้าพเจ้าจะเอียงหูฟังสุภาษิต ข้าพเจ้าจะแก้ปริศนาของข้าพเจ้า ให้เข้ากับเสียงพิณเขาคู่
5Why should I fear in times of trouble, when the iniquity of those who cheat me surrounds me, 5ทำไมข้าพเจ้าจึงกลัวในคราวทุกข์ยากลำบาก เมื่อความบาปชั่วแห่งผู้ข่มเหงล้อมตัวข้าพเจ้า
6those who trust in their wealth and boast of the abundance of their riches? 6คนผู้วางใจในทรัพย์ศฤงคารของตัว และอวดอ้างความมั่งคั่งอันอุดมของตน
7Truly no man can ransom another, or give to God the price of his life, 7แน่ทีเดียวไม่มีคนใดไถ่พี่น้องของตนได้ หรือถวายค่าชีวิตของเขาแด่พระเจ้า
8for the ransom of their life is costly and can never suffice, 8เพราะค่าไถ่ชีวิตของเขานั้นแพงและไม่เคยพอเลย
9that he should live on forever and never see the pit
1 Peter เปโตร1:18-19 18knowing that you were ransomed from the futile ways inherited from your forefathers, not with perishable things such as silver or gold,
18ท่านรู้ว่าพระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลายออกจากการประพฤติอันหาสาระมิได้ ซึ่งท่านได้รับต่อจากบรรพบุรุษของท่าน มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทอง
19but with the precious blood of Christ, like that of a lamb without blemish or spot. 19แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง
1 Timothy ทิโมธี 6:6-12 6Now there is great gain in godliness with contentment, 6จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ
7for we brought nothing into the world, and we cannot take anything out of the world. 7เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น
8But if we have food and clothing, with these we will be content
9But those who desire to be rich fall into temptation, into a snare, into many senseless and harmful desires that plunge people into ruin and destruction.
9ส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป
10For the love of money is a root of all kinds of evils 10For the love of money is a root of all kinds of evils. It is through this craving that some have wandered away from the faith and pierced themselves with many pangs.
10ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์
11But as for you, O man of God, flee these things 11But as for you, O man of God, flee these things. Pursue righteousness, godliness, faith, love, steadfastness, gentleness.
11แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีเสียจากสิ่งเหล่านี้ จงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนสุภาพ
12Fight the good fight of the faith 12Fight the good fight of the faith. Take hold of the eternal life to which you were called and about which you made the good confession in the presence of many witnesses.
12จงต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ไว้ ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านรับ ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน
10For he sees that even the wise die; the fool and the stupid alike must perish and leave their wealth to others. 10เออ เขาจะเห็นว่า ถึงปราชญ์ก็ยังตาย คนโง่และคนโฉดก็ต้องพินาศเหมือนกัน และละทรัพย์ศฤงคารของตนไว้ให้คนอื่น
11Their graves are their homes forever their dwelling places to all generations, though they called lands by their own names. 11หลุมศพของเขาเป็นบ้านของเขาเป็นนิตย์ เป็นที่อยู่ของเขาทุกชั่วชาติพันธุ์ ถึงเขาเคยเรียกที่ดินของตัวตามชื่อของตน
12Man in his pomp will not remain; he is like the beasts that perish
13This is the path of those who have foolish confidence; yet after them people approve of their boasts. Selah 13นี่คือเคราะห์ของบรรดาคนที่มีความเชื่อเขลา คือที่สุดปลายของคนเหล่านั้นที่พอใจอยู่กับส่วนของตน
14Like sheep they are appointed for Sheol; Death shall be their shepherd, and the upright shall rule over them in the morning. Their form shall be consumed in Sheol, with no place to dwell.
14ดังแกะ เขาถูกกำหนดไว้ให้แก่แดนผู้ตาย มัจจุราชจะเป็นเมษบาลของเขา คนเที่ยงธรรมจะมีอำนาจเหนือเขาทั้งหลายในเวลาเช้า และรูปร่างของเขาจะเปื่อยสิ้นไป แดนผู้ตายจะเป็นบ้านของเขา
15But God will ransom my soul from the power of Sheol, for He will receive me. Selah 15แต่พระเจ้าจะทรงไถ่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าจาก ฤทธานุภาพของแดน ผู้ตาย เพราะพระองค์จะทรงรับข้าพเจ้าไว้
2 Corinthians โครินธ์ 5:1-9 1For we know that if the tent, which is our earthly home, is destroyed, we have a building from God, a house not made with hands, eternal in the heavens.
1เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์
2For in this tent we groan, longing to put on our heavenly dwelling, 2เพราะว่าในร่างกายนี้เรายังครวญคร่ำอยู่ มีความอาลัยที่จะสวมที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์
3if indeed by putting it on we may not be found naked
4For while we are still in this tent, we groan, being burdened—not that we would be unclothed, but that we would be further clothed, so that what is mortal may be swallowed up by life.
4เพราะว่าเราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์ มิใช่เพราะปรารถนาที่จะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมกายใหม่นั้น เพื่อว่าร่างกายของเราซึ่งจะต้องตายนั้นจะได้ถูกชีวิตอมตะกลืนเสีย
5He who has prepared us for this very thing is God, who has given us the Spirit as a guarantee.
5แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา
6So we are always of good courage 6So we are always of good courage. We know that while we are at home in the body we are away from the Lord, 6เหตุฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอ รู้อยู่แล้วว่า ขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
7for we walk by faith, not by sight
8Yes, we are of good courage, and we would rather be away from the body and at home with the Lord. 8เรามีความมั่นใจ และเราปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยู่ในร่างกายนี้
9So whether we are at home or away, we make it our aim to please Him
16Be not afraid when a man becomes rich, when the glory of his house increases. 16ท่านอย่ากลัว เมื่อผู้หนึ่งมั่งมีขึ้น เมื่อศักดิ์ศรีของบ้านของเขาเพิ่มขึ้น
17For when he dies he will carry nothing away; his glory will not go down after him. 17เพราะเมื่อเขาตาย เขาจะไม่เอาอะไรไปเลย ศักดิ์ศรีของเขาจะไม่ลงไปตามเขา
18For though, while he lives, he counts himself blessed, and though you get praise when you do well for yourself— 18แม้ว่าเมื่อเขาเป็นอยู่ เขานับว่าตัวเขาสุขสบาย และแม้ว่าเขาได้รับคำสรรเสริญ เมื่อเขาทำตัวเขาให้มั่งคั่งแล้ว
19his soul will go to the generation of his fathers, who will never again see light. 19เขาจะไปอยู่กับพวกบรรพบุรุษของเขา ผู้ซึ่งจะไม่เห็นความสว่างอีก
20Man in his pomp yet without understanding is like the beasts that perish. 20มนุษย์จะคงชีพในยศศักดิ์ของตนไม่ได้ เขาก็เหมือนสัตว์เดียรัจฉานที่พินาศ
1 Timothy ทิโมธี 6:17-19 17As for the rich in this present age, charge them not to be haughty, nor to set their hopes on the uncertainty of riches, but on God, who richly provides us with everything to enjoy.
17สำหรับคนเหล่านั้นที่มั่งมีฝ่ายโลก จงกำชับเขาอย่าให้มีมานะทิฐิ หรือให้เขามุ่งหวังในทรัพย์ที่ไม่เที่ยง แต่จงหวังในพระเจ้าผู้ทรงประทานทุกสิ่ง เพื่อความสะดวกสบายของเรา
18They are to do good, to be rich in good works, to be generous and ready to share, 18จงกำชับให้เขากระทำดี ให้กระทำดีมากๆ ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว
19thus storing up treasure for themselves as a good foundation for the future, so that they may take hold of that which is truly life. 19อย่างนี้จึงจะเป็นการวางรากฐานอันดีไว้สำหรับตนเองในภายหน้า เพื่อว่าเขาจะได้รับเอาชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตอันแท้จริง
Matthew มัทธิว 6:33 33But seek first the kingdom of God and his righteousness, and all these things will be added to you. 33แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
Psalm เพลงสดุดีบทที่ 50
Deuteronomy พระราชบัญญัติ 31:9-14 9Then Moses wrote this law and gave it to the priests, the sons of Levi, who carried the ark of the covenant of the LORD, and to all the elders of Israel.
9โมเสสได้เขียนกฎหมายนี้ และมอบให้แก่ปุโรหิตบุตรหลานของเลวีผู้ซึ่งหามหีบ พันธสัญญา ของพระเจ้าและแก่พวกผู้ใหญ่ทั้งปวงของคนอิสราเอล
10And Moses commanded them, “At the end of every seven years, at the set time in the year of release, at the Feast of Booths, 10และโมเสสบัญชาเขาว่า “เมื่อครบทุกๆเจ็ดปี ตามเวลากำหนดปีปลดปล่อย ณ เทศกาลอยู่เพิง
11when all Israel comes to appear before the LORD your God at the place that he will choose, you shall read this law before all Israel in their hearing.
11เมื่อคนอิสราเอลประชุมพร้อมกันต่อ พระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ณ สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้นั้น ท่านทั้งหลายจงอ่านกฎหมายนี้ให้คนอิสราเอลทั้งปวงฟัง
12Assemble the people, men, women, and little ones, and the sojourner within your towns, that they may hear and learn to fear the LORD your God, and be careful to do all the words of this law,
12จงเรียกประชาชนให้มาประชุมกันทั้งชาย หญิง และเด็ก ทั้งคนต่างด้าวในเมืองของท่านเพื่อให้เขาได้ยินและเรียนรู้ ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และให้ระวังที่จะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของธรรมบัญญัตินี้
13and that their children, who have not known it, may hear and learn to fear the LORD your God, as long as you live in the land that you are going over the Jordan to possess.”
13และเพื่อบุตรหลานทั้งหลายของเขาผู้ยังไม่ทราบจะได้ยิน และเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ตราบเท่าเวลาซึ่งท่านอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”
14And the LORD said to Moses, “Behold, the days approach when you must die. Call Joshua and present yourselves in the tent of meeting, that I may commission him.” And Moses and Joshua went and presented themselves in the tent of meeting.
A Psalm of Asaph. 1The Mighty One, God the LORD, speaks and summons the earth from the rising of the sun to its setting.
1เพลงสดุดีของอาสาฟ องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าตรัส และทรงเรียกแผ่นดินโลก ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก
2Out of Zion, the perfection of beauty, God shines forth
3Our God comes; He does not keep silence; before Him is a devouring fire, around Him a mighty tempest. 3พระเจ้าของเราเสด็จมา พระองค์มิได้ทรงเงียบอยู่ เพลิงเผาผลาญมาข้างหน้าพระองค์ รอบพระองค์คือวาตะอันทรงมหิทธิฤทธิ์
4He calls to the heavens above and to the earth, that He may judge His people: 4พระองค์ทรงเรียกถึงฟ้าสวรรค์เบื้องบน และถึงแผ่นดินโลก เพื่อพระองค์จะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์ว่า
5“Gather to Me My faithful ones, who made a covenant with Me by sacrifice!” 5“จงรวบรวมบรรดาธรรมิกชนของเรามาให้เรา ผู้กระทำพันธสัญญากับเราด้วยเครื่องสัตวบูชา”
6The heavens declare His righteousness, for God himself is judge 6The heavens declare His righteousness, for God himself is judge! Selah 6ฟ้าสวรรค์ประกาศความชอบธรรมของพระองค์ เพราะพระเจ้านั่นแหละทรงเป็นผู้พิพากษา
7“Hear, O my people, and I will speak; O Israel, I will testify against you. I am God, your God. 7“ประชากรของเราเอ๋ย จงฟัง และเราจะพูด อิสราเอลเอ๋ย เราจะเป็นพยานปรักปรำเจ้า เราเป็นพระเจ้า พระเจ้าของเจ้า
8Not for your sacrifices do I rebuke you; your burnt offerings are continually before Me. 8เรามิได้ตักเตือนเจ้าเรื่องเครื่องสัตวบูชาของเจ้า เครื่องเผาบูชาของเจ้ามีอยู่ต่อหน้าเราเสมอ
9I will not accept a bull from your house or goats from your folds
10For every beast of the forest is mine, the cattle on a thousand hills. 10เพราะสัตว์ทุกตัวในป่าเป็นของเรา ทั้งสัตว์เลี้ยงบนภูเขาตั้งพันยอด
11I know all the birds of the hills, and all that moves in the field is mine. 11เรารู้จักบรรดานกแห่งภูเขาทั้งหลาย และบรรดาสัตว์ในนาเป็นของเรา
12“If I were hungry, I would not tell you, for the world and its fullness are mine. 12ถ้าเราหิว เราจะไม่บอกเจ้า เพราะพิภพและสารพัดที่อยู่ในนั้นเป็นของเรา
13Do I eat the flesh of bulls or drink the blood of goats
14Offer to God a sacrifice of thanksgiving, and perform your vows to the Most High, 14จงนำเครื่องการโมทนาพระคุณมาเป็นเครื่อง สักการบูชาแด่พระเจ้า และแก้บนของเจ้าต่อองค์ผู้สูงสุด
15and call upon Me in the day of trouble; I will deliver you, and you shall glorify Me.” 15และจงร้องทูลเราในวันทุกข์ยากลำบาก เราจะช่วยกู้เจ้า และเจ้าจะถวายพระสิริแก่เรา”
16But to the wicked God says: “What right have you to recite My statutes or take My covenant on your lips? 16แต่พระเจ้าตรัสกับคนอธรรมว่า “เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะท่องกฎเกณฑ์ของเรา หรือรับปากตามพันธสัญญาของเรา
17For you hate discipline, and you cast My words behind you
18If you see a thief, you are pleased with him, and you keep company with adulterers. 18ถ้าเจ้าเห็นโจร เจ้าก็คบเขา และเจ้าเข้าสังคมกับคนล่วงประเวณี
19“You give your mouth free rein for evil, and your tongue frames deceit. 19“เจ้าปล่อยปากของเจ้าให้พูดชั่ว และลิ้นของเจ้าประกอบการหลอกลวง
20You sit and speak against your brother; you slander your own mother's son. 20เจ้านั่งพูดใส่ร้ายพี่น้องของเจ้า เจ้านินทาลูกชายมารดาของเจ้าเอง
21These things you have done, and I have been silent; you thought that I was one like yourself. But now I rebuke you and lay the charge before you. 21เจ้าได้กระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว เราก็นิ่งเงียบ เจ้าคิดว่าเราเป็นเหมือนเจ้า แต่บัดนี้เราขนาบเจ้า และกล่าวโทษเจ้า
22“Mark this, then, you who forget God, lest I tear you apart, and there be none to deliver! 22“เจ้าทั้งหลายผู้ลืมพระเจ้า จงพิจารณาเรื่องนี้ หาไม่เราจะฉีก และจะไม่มีสักคนที่ช่วยกู้เจ้าได้
23The one who offers thanksgiving as his sacrifice glorifies Me; to one who orders his way rightly I will show the salvation of God!”
23บุคคลที่นำการโมทนาพระคุณมา เป็นเครื่องสักการบูชาก็ให้เกียรติแก่เรา เราจะสำแดงความรอดของพระเจ้า แก่ผู้จัดทางของเขาอย่างถูกต้อง”