การเมืองการปกครองสมัยธนบุรี-ยุครัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงปกครอง

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "การเมืองการปกครองสมัยธนบุรี-ยุครัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงปกครอง"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 การเมืองการปกครองสมัยธนบุรี-ยุครัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงปกครอง

2 การเมืองการปกครองสมัยธนบุรี
หลังจากการตั้งเมืองใหม่ที่ธนบุรี จึงมีกุศโลบายในการปกครองคือแก้ปัญหาระยะสั้นและระยะยาว การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าการดำรงชีพ เช่น การซื้อขาวสารราคาแพงจากต่างชาติ แล้วขายให้ราษฎรในราคาถูกต่ำกว่าทุน ส่งเสริมอาชีพ เช่น ให้ทำนาให้มากนอกเหนือฤดูกาล เพิ่มพื้นที่การทำนาให้มากขึ้น อีกทั้งให้ราษฎรจับหนูเพื่อกำจัดโรคระบาด การเปิดรับความใหม่ ๆ จากต่างชาติ เช่น การต่อเรือ การตั้งโรงสี

3 การสิ้นสุดของกรุงธนบุรี
พระเจ้าตากสิน ปกครองบ้านเมืองได้เพียง 25 ปี และเป็นการสิ้นสุดการปกครอง เนื่องจากพระเจ้าตากสินได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้มีสติฟั่นเฟือน ปกครองบ้านเมืองจนอาณาประชาราษฎร์ได้รับความเดือดร้อน พระเจ้าตากสินได้ถูกประหารด้วยท่อนจันทน์ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกษาปราบดาภิเษกเป็นรัชกาลที่ 1 และเป็นต้นราชวงศ์จักรี ย้ายเมืองจากฝากฝั่งทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ไปอยู่ตรวจข้ามอีกฝากฝั่งทางทิศตะวันออก ในปี 2325

4 สรุปการเมืองการปกครองในยุคนี้
การเข้าสู่อำนาจทางการเมือง แบบสถาปนาตนเอง นัยแสดงถึงความขัดแย้งในการแย่งชิงอำนาจ พระเจ้าตากจึงถูกกล่าวหาว่าวิกลจริต การปกครองใช้รูปแบบมาจากกรุงศรีอยุธยา สภาพสังคม ยังคงไม่แตกต่างจากกรุงศรีอยุธยา

5 การเมืองการปกครองในยุครัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ 1 สถาปนาเมืองหลวงขึ้นใหม่ ในปี 2325 รูปแบบการปกครองยังคงเป็นแบบเดิมต่อจากกรุงธนบุรี การแต่งตั้งเจ้าเมืองเอก  พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง (พิษณุโลก  นครราชสีมา  นครศรีธรรมราช  ถลาง  สงขลา) ส่วนเมืองโท ตรี จัตวา เสนาบดีผู้รับผิดชอบแต่งตั้ง เมืองประเทศราช   ได้แก่ 1)  ล้านนาไทย  (เชียงใหม่  ลำพูน  ลำปาง  เชียงแสน) 2)  ลาว  (หลวงพระบาง  เวียงจันทน์  จำปาศักดิ์) 3)  เขมร 4)  หัวเมืองมลายู  (ปัตตานี  ไทรบุรี  กลันตัน  ตรังกานู)

6 ระบบกฎหมาย กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในระยะแรกของกรุงรัตนโกสินทร์นั้นก็คือกฎหมายที่ใช้อยู่สมัยกรุงศรีอยุธยา อาศัยความจำ และการคัดลอกมาตามเอกสารที่หลงเหลือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงทำการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ โดยอาศัยมูลอำนาจอธิปไตยของ พระองค์เองบ้าง อาศัยหลักฐานที่ได้จากการสืบสวน ฟังคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บ้าง

7 บ่อเกิดกฎหมายตราสามดวง
จนกระทั่งได้เกิดคดีขึ้นคดีหนึ่งและมีการทูลเกล้าฯถวายฎีกา คดีที่เกิดขึ้นนี้แม้เป็นคดีฟ้องหย่าของชาวบ้านธรรมดา แต่ที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์กฎหมาย ก็คือผลจากคดีนี้เป็นต้นเหตุให้นำมา ซึ่งการชำระสะสางกฎหมายในสมัยนั้น เป็นคดีที่อำแดงป้อม ฟ้องหย่านายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ทั้งๆ ที่ตนได้ทำชู้ กับ นายราชาอรรถ และศาลได้พิพากษาให้หย่าได้ตามที่อำแดงป้อมฟ้อง โดยอาศัยการพิจารณาคดีตามบทกฎหมาย ที่มีความว่า “ชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชาย หย่าได้”

8 การชำระกฎหมาย นายบุญศรีจึงได้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าถวายฎีกา พระองค์ทรงเห็นด้วยกับฎีกาว่าคำพิพากษาของศาลนั้น ขัดหลักความยุติธรรม ทรงสงสัยว่าการพิจารณาพิพากษาคดีจะถูกต้องตรงตามตัวฉบับกฎหมายหรือไม่ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้เทียบกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ศาลใช้กับฉบับที่หอหลวงและที่ห้องเครื่อง แต่ก็ปรากฏ ข้อความที่ตรงกัน จึงมีพระราชดำริว่ากฎหมายนั้นไม่เหมาะสม อาจมีความคลาดเคลื่อนจากการคัดลอก สมควรที่จะจัดให้มีการชำระสะสางกฎหมายใหม่

9 ลักษณะของระบบกฎหมายตราสามดวง
เป็นกฎหมายธรรมชาติ ทุกคนแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ใช่ประมวลกฎหมายที่มีเนื้อหาครอบคลุมทุกด้านเพราะเป็นที่รวมของบทกฎหมายที่ปรุงแต่งโดยนักกฎหมายและจารีตประเพณีที่สำคัญเท่านั้น เป็นการยกย่องกฎหมาย อาศัยชี้ขาดตัดสินคดีเพราะเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาพิพากษาคดี และใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นหลัก ไม่ใช่กฎหมายที่เขียนขึ้นในลักษณะตำรากฎหมาย

10 ระบบการคลังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ภาษีอากรที่ได้จากภายในประเทศ    มี  4  ชนิด  คือ  จังกอบ   คือ  การเรียกเก็บสินค้าของราษฎร  โดยชักส่วนจากสินค้าที่ผ่านด่านทั้งทางบกและทางน้ำในอัตรา  10  หยิบ  1   (หรือ 1 ส่วนต่อ  10 ส่วน) อากร   คือ  เงินหรือสิ่งของที่รัฐบาลเรียกเก็บจากผลประโยชน์ของราษฎรที่ได้จากการประกอบอาชีพนอกจากอาชีพค้าขาย  คือ  การทำนา  เรียกว่า  อากรค่านา  การทำสวน เรียกว่า อากรพลากร หรือ อากรสมพัตสร  การจับสัตว์น้ำ เรียกว่า  อากรค่าน้ำ  การเก็บไข่เต่า  รังนก  เรียกว่า อากรค่ารักษาเกาะ  นอกจากนี้ยังวมีการเก็บอากรบ่อนเบี้ย  อากรสุรา  อากรตลาด  อากรเก็บของป่า  อากรขนอน ฯลฯ ส่วย    คือ  เงินหรือสิ่งของที่ไพร่ส่วนนำมาให้แก่ทางราชการทดแทนการเข้าเดือน  ส่วนเหล่านี้ได้มาจากผลิตผลตามธรรมชาติที่หาได้ภายในท้องถิ่น  เช่น  ดีบุก  พริกไทย  มูลค้างคาว  เป็นต้น ฤชา    คือ  ค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเรียกเก็บเฉพาะรายเป็นค่าบริการที่หน่วยราชการของรัฐจัดให้ เช่น การออกโฉนดที่ดิน  เป็นต้น

11 ระบบการคลังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ภาษีเบิกร่องหรือภาษีปากเรือ   คือ  ภาษีที่เก็บจากเรือสินค้าต่างประเทศ  โดยคิดจากขนาดคามกว้างของปากเรือหรือยานพาหนะที่บรรทุกสินค้าเข้ามา  ภาษีสินค้าออก เรียกเก็บตามประเภทของสินค้า  เช่น  ข้าวสารหาบละ  1  สลึง  น้ำตาลหาบละ  2  สลึง  สมัยรัชกาลที่ 3  เรียกเก็บภาษีขาออกต่างๆ  เพิ่มมากขึ้น  รายได้จากสินค้าผูกขาดและสินค้าต้องห้าม       สินค้าผูกขาด  คือ สินค้าที่รัฐบาลผูกขาดเป็นผู้ซื้อขายแต่ผู้เดียว  ห้ามมิให้ราษฎรผู้ใดซื้อหรือขายสินค้านั้นๆ  เพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศ เช่น  อาวุธปืน  กระสุนปืน  และดินระเบิด เป็นต้น   สินค้าเหล่านี้ถ้านำเข้ามาจากต่างประเทศต้องขายให้รัฐบาลไทยเท่านั้น  และเมื่อจะซื้อก็ซื้อจากรัฐบาลไทยได้แห่งเดียว  สินค้าต้องห้าม  คือ  สินค้าที่หายาก  มีราคาแพง เช่น  งาช้าง  รังนกนก  ฝาง  กฤษณา   เป็นต้น   สินค้าต้องห้ามเหล่านี้แม้ชาวต่างประเทศจะมีสิทธิ์ซื้อได้  แต่ก็ต้องซื้อผ่านทางการ คือ  ราษฎรต้องนำมาขายให้รัฐบาลก่อน  รัฐบาลจึงนำไปขายให้พ่อค้าต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง

12 เหตุบ้านการเมืองการปกครองสมัย ร.3
พ.ศ.2368 เฮนรี เบอร์นี  (Henry Burney; 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ มีนาคม ค.ศ ) เป็นพ่อค้าและทูตชาวอังกฤษของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ทำสนธิสัญญากับสยาม  พ.ศ.2375 สหรัฐอเมริกาส่งเอ็ดมันต์ โรเบิร์ต เข้ามาขอเจริญพระราชไมตรีทำการค้ากับไทย พ.ศ.2377 ออกหวย ก.ข. เป็นครั้งแรก รับอิทธิพลมาจากชาวจีนอพยพ พ.ศ.2385 หมอบรัดเลย์ พิมพ์ปฏิทิน ภาษาไทยเป็นครั้งแรก พ.ศ.2393 อังกฤษ และสหรัฐฯ ขอแก้สนธิสัญญา พ.ศ ร.3 สวรรคต

13 การเมืองกาปกครองในสมัย ร.4
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

14 กษัตริย์ 2 พระองค์ในสมัย ร.4
ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคตนั้น ทรงพระราชปรารภถึงผู้ที่สมควรจะสืบราชสมบัติว่า “ที่สติปัญญาพอจะรักษาแผ่นดินอยู่ได้ ก็เห็นแต่ท่านฟ้าใหญ่ท่านฟ้าน้อย 2 พระองค์” ขณะนั้น “ท่านฟ้าใหญ่” ยังคงประทับจำพรรษาอยู่ ณ วัดบวรนิเวศ พระภิกษุสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎก็ได้ทรงลาผนวช และเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้โปรดสถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชอนุชา เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒ ด้วยเหตุผลที่ว่าพระราชอนุชาพระองค์นี้มีดวงพระชะตาแรงกล้า ดวงพระชะตาเช่นนี้จะต้องได้เป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน หากทรงรับพระราชสมบัติเพียงพระองค์เดียวจะเกิดอัปมงคลด้วยไปกีดพระบารมี

15 จุดเปลี่ยนการเมืองการปกครองในสมัย ร.4
ความเจริญก้าวหน้าในความรู้และวิทยาการของโลกตะวันตก เป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับบ้านเมือง จึงสมควรที่คนไทยจะได้เรียนรู้ไว้ * การเผชิญหน้ากับภัยจากลัทธิจักรวรรดินิยม ประเทศมหาอำนาจตะวันตกกำลังแผ่ขยายอิทธิพลเข้ารุกรานในอินเดีย จีน และพม่าสมควรที่ไทยต้องเร่งรีบปรับปรุงประเทศให้เข้มแข็งและเจริญก้าวหน้า เพื่อป้องกันมิให้ถูกบีบบังคับหรือข่มเหงเหมือนประเทศอื่นๆ

16 การค้าทำให้การเมืองการปกครองเปลี่ยน
หลังจากที่เกิดสนธิสัญญาเบอร์นี่ขึ้นใน ร.3 การค้าได้เป็นเครื่องมือสำคัญต่อสยาม เพราะแนวคิดของอาดัม สมิท อันเป็นที่มาของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ให้เกิดการค้าแบบเสรี ผู้ที่ผูกขาดการค้าในสยามในสมัยนั้น ก็คือ พระมหากษัตริย์ ทางยุโรปมองว่าไม่เกิดผลกระทบต่อเฉพาะภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงผู้ที่มาค้าขายกับเอเชียด้วย ชาติตะวันตกจึงพยายามเข้ามาเปิดการค้ากับสยามตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 3 พอมาถึงรัชกาลที่ 4 อังกฤษเริ่มมีบทบาทต่อสยามมากขึ้น

17 สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ทำให้สยามต้อง “เสียอำนาจอธิปไตยทางการศาล” และปรากฏมี “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” เกิดขึ้น แต่ก็ ทำให้สยามรอดจากการตกเป็น “อาณานิคม” (โดยสมบูรณ์แบบ) ไปได้ ปลายรัชสมัยปลายรัชกาลที่ 4 และต้นรัชกาลที่ 5 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นอัครราชทูตไทยประจำลอนดอน และยุโรป ถือได้ว่าเป็น “ตัวแทนประจำคนแรกของไทย” ก็ว่าได้ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “ พระยาสยามมานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ ” 

18 ผลกระทบจากสนธิสัญญาบราว์ริ่ง
สนธิสัญญาบราว์ริ่ง ทำให้เกิด “การค้าเสรี” ถือเป็นการสิ้นสุดของ “การผูกขาดการค้าต่าง ประเทศ” โดย “พระคลังสินค้า” ของกษัตริย์และเจ้านายสยาม  สนธิสัญญาเบาว์ริง ได้กลายเป็นต้นแบบของ การทำสนธิสัญญาทางการ ค้ากับประเทศต่างๆ ที่เข้า มาเจรจากับสยาม สนธิ สัญญาเบาว์ริงใช้บังคับอยู่ นานกว่า 70 ปี

19 ผลการเข้ามาของชาติตะวันตก
การเข้ามาของตะวันตกส่งผลกระทบต่อการ สร้างตัวตนของรัฐสยาม ทำให้รัฐ สยามเปลี่ยนจากรัฐ mandala หรือรัฐไร้ร่าง (non geo-body) มาเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราช หรือรัฐมีร่าง (geo-body) รัฐที่มี พรมแดนเป็นเส้นขีดแบ่งแน่ชัด พร้อมทั้งส่งผลให้เกิดอัตลักษณ์ ความเป็นสยามที่ประกอบด้วย “ชาติ-ศาสนา- ”พระมหากษัตริย์ อัตลักษณ์ความเป็นไทย และใช้ศาสนา (พุทธ) เป็นเครื่องนำทาง ร.4 มีดำริต้องปฏิรูปการปกครองไทยจากเหตุผลข้างต้น

20 ข้อพิสูจน์หลักศิลาจารึก
เมื่อนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิจัยด้วยวิธีวิทยาศาสตร์มาพิจารณาร่วมกับข้อมูลที่ได้จากการศึกษาประวัติการค้นพบและการเก็บรักษาศิลาจารึกหลักที่ 1 ดูจะเป็นไปไม่ได้ที่ศิลาจารึกหลักที่ 1 ถูกทำขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือในสมัยรัชกาลที่ 4 ”

21 ปัญหาเรื่องหลักศิลาจากรึก
และการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพบศิลาจารึกนี้โดยง่ายภายในระยะเวลาอันสั้น แสดงว่าขณะที่ถูกพบ ศิลาจารึกหลักนี้ไม่ได้อยู่ใต้ดิน และอาจจะไม่เคยอยู่ใต้ดินเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นผิวของศิลาจารึกหลักที่ 1 น่าจะมีริ้วรอยที่เกิดจากการสึกกร่อนเนื่องจากสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมี ใกล้เคียงกับศิลาจารึกหลักอื่นๆ ที่ทำขึ้นในสมัยสุโขทัย โดยมีข้อแม้ว่าต้องเป็นหินชนิดเดียวกัน มีองค์ประกอบทางเคมีใกล้เคียงกัน และอยู่ในสภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกัน ถ้าศิลาจารึกหลักที่ 1 ทำขึ้นในสมัยสุโขทัย จะมีระยะเวลาที่ถูกทอดทิ้งอยู่กลางแดดกลางฝนเป็นเวลานานกว่า 500 ปี ก่อนที่จะถูกเคลื่อนย้ายมาเก็บรักษาในกรุงเทพฯ

22 การเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงฉายกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงฉายที่ห้องถ่ายภาพ "ดาวนีย์" กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2450

23 การขึ้นครองราชย์ของ ร.5

24 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์
ผู้สำเร็จราชการแทน ร.5 เมื่อ ร.5 ขึ้นครองราชย์เมื่ออายุ 15 พรรษา ทำให้ต้องมีผู้สำเร็จราชการแทน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ร.5 ต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคนานาประการ ระยะแรกจึงต้องชะลอการเคลื่อนไหวทางการเมืองลงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็มิได้หยุดนิ่งเสียทีเดียว ระบอบการปกครองยังคงเป็นระบอบเดิมตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)

25 ลักษณะของการปกครอง การปฏิบัติของพระเจ้าแผ่นดินแม้มีอำนาจสูงสุด แต่ในทางปฏิบัติการบริหารปกครองแผ่นดินตกอยู่กับเจ้านายและขุนนางที่มีตำแหน่ง การปกครองหัวเมือง ส่วนกลางมีอำนาจครอบคลุมหัวเมืองรายรอบเมืองหลวงเท่านั้น ส่วนเมืองที่ห่างไกลส่วนกลางมีอำนาจลดน้อยลงไปตามระยะทาง อุปสรรคก็คือการคมนาคม ยากต่อการเก็บภาษี ทำให้หัวเมืองมีอิสระในการปกครอง ตราบเท่าที่เมืองเหล่านั้นไม่สร้างความวุ่นวาย เมืองประเทศราช ส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทอง 3 ปี ต่อ 1 ครั้ง ยามสงครามต้องส่งไพร่พลไปช่วยเมืองหลวง จึงเรียกว่าการปกครองแบบจารีตหรือแบบกินเมือง การปกครองแบบจารีตจึงมีลักษณะเป็นการกระจายอำนาจ จุดอ่อนก็คือเป็นการเปิดโอกาสให้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงจากเงินภาษี

26 ปัญหาอุปสรรคการบริหารราชการ
ข้าราชการขุนนางได้รับค่าตอบแทนเป็นเบี้ยหวัดได้รับเป็นรายปี มีรายได้จากการหักลดภาษีและเก็บสิบลดและการควบคุมไพร่ทาส (แรงงานในการผลิต) ทำให้เกิดการทุจริตในหน้าที่จากการไม่ส่งภาษีอากรอย่างตรงไปตรงมา ความไม่มีเอกภาพในดินแดนของสยามเนื่องจากไม่สามารถรวมอำนาจการปกครองเข้าสู่ส่วนกลางได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นก็ขึ้นอยู่กับพระปรีชาสามารถและบารมีของกษัตริย์แต่ละพระองค์ การต่อต้านอำนาจตามหัวเมืองต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นบ่อย ระบบการเมืองการปกครองสมัยนั้นไม่สามารถสร้างความเป็นเอภาพของชาติได้ สถาบันกษัตริย์ไร้หลักประกันในการสืบทอดอำนาจทางการเมือง มีการแย่งชิงราชสมบัติเนือง ๆ หรือบางครั้งกษัตริย์ก็ตกอยู่ในอำนาจของกลุ่มขุนนาง ทำให้ ร.5 ขาดพระราชอำนาจในการปกครองบ้านเมือง

27 ปัญหาตอนต้นรัชกาลของ ร.5
ส่วนตัวพ่อเองยังเป็นเด็กอายุเพียงเท่านี้ ไม่มีความสามารถรอบรู้ในราชการอันใดที่จะทำตามหน้าที่ แม้แต่เพียงที่ทูลกระหม่อมทรงประพฤติมาแล้วได้ ยังซ้ำเจ็บเกือบจะถึงแก่ความตาย อันไม่มีผู้ใดสักคนเดียวซึ่งเชื่อว่าจะรอด ยังซ้ำถูกอันตรายอันใหญ่คือทูลกระหม่อมเสด็จสวรรคตในเวลานั้น เปรียบเหมือนคนที่ศีรษะขาดแล้ว จับเอาแต่ร่างกายขึ้นตั้งไว้ในที่สมมติกษัตริย์ เหลือที่จะพรรณนาถึงความทุกข์อันต้องเป็นกำพร้าในอายุเพียงเท่านั้น และความหนักของมงกุฎอันเหลือที่คอจะทานไว้ได้ ทั้งมีศัตรูซึ่งมุงหมายอยู่โดยเปิดเผยรอบข้างทั้งภายในภายนอก หมายเอาทั้งในกรุงเองและต่างประเทศ ทั้งโรคภัยในกายเบียดเบียนแสนสาหัส” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

28 พระราชปรารภในจดหมายถึงเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
การซึ่งจะให้ออกไปเรียนครั้งนี้ มีความประสงค์มุ่งหมายแต่จะให้ได้วิชาความรู้อย่างเดียว ไม่มั่นหมายจะให้เป็นเกียรติยศชื่อเสียงอย่างหนึ่งอย่างใดในชั้นซึ่งยังเป็นผู้เรียนวิชาอยู่นี้เลย เพราะฉะนั้นที่จะไปครั้งนี้ อย่าให้ไว้ยศว่าเป็นเจ้า ให้ถือเอาบรรดาศักดิ์เสมอลูกผู้มีตระกูลในกรุงสยาม คืออย่าให้ใช้ ฮีสรอแยลไฮเนสปรินส์ นำหน้าชื่อ ให้ใช้แต่ชื่อเดิมของตัวเฉยๆ เมื่อมีผู้อื่นเขาจะเติมหน้าชื่อ ฤาจะเอสไควก็ตามทีเถิด อย่าคัดค้านเขาเลย แต่ไม่ต้องใช้คำว่านายตามอย่างไทย ซึ่งเป็นคำนำของชื่อลูกขุนนางที่เคยใช้แทนมิสเตอร์เมื่อเรียกชื่อไทยในภาษาอังกฤษบ่อยๆ เพราะว่าเป็นภาษาไทยซึ่งจะทำให้เป็นที่ฟังขำๆ หูไป เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

29 พระราชปรารภในจดหมายถึงเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
ยศเจ้าไปนั้นไม่เป็นประโยชน์อันใดแก่ตัวนัก ด้วยธรรมดาเจ้านายฝ่ายเขามีน้อยเจ้านายฝ่ายเรามีมาก ของฝ่ายเขามีน้อยตัวก็ยกย่องทำนุบำรุงกันใหญ่โตมากกว่าเรา ฝ่ายเราจะไปมียศเสมออยู่กับเขา แต่ความบริบูรณ์แลยศศักดิ์ไม่เต็มที่เหมือนอย่างเขา ก็จะเป็นที่น่าน้อยหน้าแลเห็นเป็นเจ้านายเมืองไทยเลวไป ถ้าเป็นเจ้านายและต้องรักษายศศักดิ์ในกิจการทั้งปวง ที่จะทำทุกอย่างเป็นที่ล่อตาล่อหูคนทั้งปวงที่จะให้พอใจดูพอใจฟัง จะทำอันใดก็ต้องระวังตัวไปทุกอย่าง ที่สุดจนจะซื้อจ่ายอันใด ก็แพงกว่าคนสามัญ เพราะเขาถือว่ามั่งมี เป็นการเปลืองทรัพย์ในที่ไม่ควรจะเปลืองเพราะเหตุว่าถึงจะเป็นไพร่ก็ดี เมื่ออยู่ในประเทศมิใช่บ้านเมืองของตัว ก็ไม่มีอำนาจที่จะทำฤทธิ์เดชอันใดไปผิดกับคนสามัญได้ . . .ขอห้ามเสียว่า อย่าให้ไปอวดอ้างว่าเป็นเจ้านายอันใด

30 ความรู้ความสามารถในการดำรงชีพ
จงรู้ตัวเป็นนิจเถิด ว่าเกิดมาเป็นเจ้านายมียศถาบรรดาศักดิ์มากจริงอยู่ แต่ไม่เป็นการจำเป็นเลยที่ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดินขึ้น จะต้องใช้ราชการอันเป็นช่องที่จะหาเกียรติยศชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ  เจ้านายซึ่งจะหาช่องทำราชการได้ยากกว่าลูกขุนนางเพราะเหตุที่เป็นผู้มีวาสนาบรรดาศักดิ์มาก จะรับราชการในตำแหน่งต่ำๆ ซึ่งเป็นกระไดขั้นแรก คือเป็นนายรองหุ้มแพรมหาดเล็ก เป็นต้น ก็ไม่ได้เสียแล้ว จะไปตั้งแต่งให้ว่าการใหญ่โตสมยศศักดิ์เมื่อไม่มีวิชาความรู้และสติปัญญาพอที่จะทำการในตำแหน่งนั้นไปได้ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เจ้านายจะเป็นผู้ได้ทำราชการ มีชื่อเสียงดี ก็อาศัยได้แต่สติปัญญาความรู้และความเพียรของตัว

31 จงตั้งใจเรียนเพื่ออนาคต
จงอุตสาหะเล่าเรียนโดยความเพียรอย่างยิ่ง เพื่อจะได้มีโอกาสที่จะทำการให้เป็นคุณแก่บ้านเมืองของตัว และโลกที่ตัวได้มาเกิด ถ้าจะถือว่าเกิดมาเป็นเจ้านายแล้วนิ่งๆ อยู่จนตลอดชีวิตก็เป็นสบาย ดังนั้นจะไม่ผิดอันใดกับสัตว์ดิรัจฉานอย่างเลวนัก สัตว์ดิรัจฉานมันเกิดมากินๆ นอนๆ แล้วก็ตาย แต่สัตว์บางอย่างยังมีหนังมีเขามีกระดูกเป็นประโยชน์ได้บ้าง ถ้าคนประพฤติอย่างเช่นสัตว์ดิรัจฉานแล้วจะไม่มีประโยชน์อันใดยิ่งกว่าสัตว์ดิรัจฉานบางพวกไปอีก เพราะฉะนั้น จงอุตสาหะที่จะเรียนวิชาเข้ามาเป็นกำลังที่จะทำตัวให้ดีกว่าสัตว์ดิรัจฉานให้จงได้ จึงจะนับว่าเป็นการได้สนองคุณพ่อ ซึ่งได้คิดทำนุบำรุงเพื่อจะให้ดีตั้งแต่เกิดมา

32 อย่าอวดใหญ่ว่าเป็นลูกเจ้า
อย่าได้ถือตัว ว่าตัวเป็นลูกเจ้าแผ่นดิน พ่อมีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในบ้านเมือง ถึงจะเกะกะไม่กลัวเกรงข่มเหงผู้ใด เพราะรู้เป็นแน่ว่าเมื่อรักลูกเกินไป ปล่อยให้ไม่กลัวใครและประพฤติการชั่ว ดังนั้น คงจะเป็นโทษแก่ตัวลูกนั่นเองทั้งในปัจจุบันและอนาคต  จงเป็นคนอ่อนน้อมว่าง่ายสอนง่าย อย่าให้เป็นทิฐิมานะไปในทางที่ผิด จงประพฤติตัวหันหาทางที่ชอบที่ถูกอยู่เสมอเป็นนิจเถิด จงละเว้นทางที่ชั่วซึ่งรู้ได้เองแก่ตัว ฤามีผู้ตักเตือนแนะนำให้รู้แล้ว อย่าให้ล่วงให้เป็นไปได้เลยเป็นอันขาด

33 อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือย
เงินทองที่จะใช้สอยในค่ากินอยู่นุ่งห่มฤาใช้สอยเบ็ดเสร็จทั้งปวง จงเขม็ดแขม่ใช้แต่เพียงพอที่อนุญาตให้ใช้ อย่าทำใจโตมือโตสุรุ่ยสุร่ายโดยถือตัวว่าเจ้านายมั่งมีมาก ฤาถือว่าพ่อเป็นเจ้าแผ่นดินมีเงินทองถมไป  ขอบอกเสียให้รู้แต่ต้นมือ ถ้าว่า ถ้าผู้ใดไปเป็นหนี้มาจะไม่ยอมใช้หนี้ให้เลย ฤาถ้าเป็นการจำเป็นจะต้องใช้ จะไม่ใช้เปล่าโดยไม่มีโทษแก่ตัวเลย พึงรู้เถิดว่าต้องใช้หนี้เมื่อใด ก็จะต้องรับโทษเมื่อนั้นพร้อมกัน อย่าเชื่อถ้อยคำผู้ใด ฤาอย่าหมายใจว่าโดยจะใช้สุรุ่ยสุร่ายไปเหมือนอย่างเช่นคนเขาไปแต่ก่อนๆ แต่พ่อเขาเป็นขุนนางเขายังใช้กันได้ ไม่ว่าไรกัน ถ้าคิดดังนั้น คาดดังนั้น เป็นผิดแท้ทีเดียว. . .

34 ที่มาและคุณค่าของเงิน
จงนึกไว้เสมอว่าเงินทองที่แลเห็นมากๆ ไม่ได้เป็นของหามาได้โดยง่ายเหมือนเวลาที่จ่ายไปง่ายนั้น  เงินที่ส่วนตัวได้รับเบี้ยหวัดฤาเงินกลางปีอยู่เสมอนั้น ก็ด้วยอาศัยที่พ่อเป็นผู้ทำนุบำรุงรักษาบ้านเมือง แลราษฎรผู้เจ้าของทรัพย์นั้นก็เฉลี่ยเรี่ยรายกันมาให้ เพื่อจะให้เป็นกำลังที่จะหาความสุขคุ้มค่ากับค่าที่เหน็ดเหนื่อย ที่ต้องรับการในตำแหน่งอันสูง คือเป็นผู้รักษาความสุขของเขาทั้งปวง เงินนั้นไม่ควรจะมาจำหน่ายในการที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นเรื่อง แลเป็นการไม่มีคุณ กลับให้โทษแก่ตัว ต้องใช้แต่ในการจำเป็นที่จะต้องใช้ ซึ่งจะเป็นการมีคุณประโยชน์แก่ตนแลผู้อื่นในทางชอบธรรม 

35 เรียนรู้ภาษาอื่น แต่อย่าลืมภาษาไทย
วิชาที่ออกไปเรียนนั้น ก็คงต้องเรียนภาษาแลหนังสือในสามภาษา คืออังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ให้ได้แม่นยำจัดเจนคล่องแคล่วจนถึงแต่งหนังสือได้สองภาษาเป็นอย่างน้อย เป็นวิชาหนังสืออย่างหนึ่ง กับวิชาเลข ให้เรียนรู้คิดใช้ได้ในการต่าง ๆ จะขอตักเตือนอย่างหนึ่งก่อนว่า ซึ่งให้ออกไปเรียนภาษาวิชาการในทวีปนั้น ใช่ว่าจะต้องการเอามาใช้แต่ภาษาฝรั่งนั้นอย่างเดียว ภาษาไทยแลหนังสือไทยซึ่งเป็นภาษาของตัว หนังสือของตัว คงจะต้องใช้อยู่เป็นนิจ จงเข้าใจว่า ภาษาต่างประเทศนั้นเป็นแต่พื้นของความรู้ เพราะวิชาความรู้ในหนังสือไทยที่มีผู้แต่งไว้นั้นเป็นแต่ของเก่าๆ มีน้อย เพราะมิได้สมาคมกับชาติอื่นช้านาน เหมือนวิชาการในประเทศยุโรปที่ได้สอบสวนซึ่งกันและกันจนเจริญรุ่งเรืองมากแล้ว

36 ความไม่จริงใจของขุนนาง-พระญาติ
“…มีญาติฝ่ายมารดาก็ล้วนแต่โลเลเหลวไหล หรือไม่โลเลเหลวไหลก็มิได้ตั้งอยู่ในตำแหน่งราชการอันใดเป็นหลักฐาน ฝ่ายญาติข้างพ่อคือเจ้านายทั้งปวง ก็ตกอยู่ใต้อำนาจสมเด็จเจ้าพระยา และต้องรักษาชีวิตอยู่ด้วยกันทุกพระองค์ …. ฝ่ายข้าราชการถึงว่ามีผู้ที่รักใคร่สนิทสนมอยู่บ้างก็เป็นแต่ผู้น้อยโดยมาก” “…ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งท่านเชื่อเป็นแน่ว่าพ่อเป็นเจว็ดครั้งหนึ่งคราวหนึ่งอย่างเรื่องจีน แต่ถึงดังนั้นพ่อได้แสดงความเคารพนับถืออ่อนน้อมต่อท่านอยู่เสมอ…จนท่านมีเมตตาขึ้นทุกวัน … ส่วนข้าราชการผู้ใหญ่ ซึ่งรู้อยู่ว่า มีความรักใคร่นับถือพ่อมาแต่เดิมก็ได้แสดงความเชื่อถือรักใคร่ยิ่งกว่าแต่ก่อน จนมีความหวังว่าถ้ากระไรคงจะได้ดีสักมือหนึ่ง”

37 พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ไม่ศัทธา
“…ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งท่านเชื่อเป็นแน่ว่าพ่อเป็นเจว็ดครั้งหนึ่งคราวหนึ่งอย่างเรื่องจีน แต่ถึงดังนั้นพ่อได้แสดงความเคารพนับถืออ่อนน้อมต่อท่านอยู่เสมอ…จนท่านมีเมตตาขึ้นทุกวัน … ส่วนข้าราชการผู้ใหญ่ ซึ่งรู้อยู่ว่า มีความรักใคร่นับถือพ่อมาแต่เดิมก็ได้แสดงความเชื่อถือรักใคร่ยิ่งกว่าแต่ก่อน จนมีความหวังว่าถ้ากระไรคงจะได้ดีสักมือหนึ่ง” พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ร.5

38 การเมืองภายในต้นสมัย ร.5
กลุ่มอำนาจเก่า ประกอบไปด้วย 1) กลุ่มสยามเก่า นำโดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (วังหน้า) 2) กลุ่มอนุรักษ์นิยม นำโดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) หรือตระกูลบุนนาคและพวกพ้อง     3) กลุ่มสยามหนุ่ม (รุ่นที่1) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยากระสาปนกิจโกศล พระยาภาสกรวงศ์ ทั้งสามกลุ่มนี้เป็นกลุ่มการเมืองที่มีอิทธิพลในช่วงต้นรัชกาล

39 พระราชอำนาจรัชกาลที่ 5 ที่อยู่ใต้อิทธิพลขุนนาง
ร.5 ได้มีพระราชบันทึกในปี พ.ศ.2427 ว่า “...การแต่เดิม ๆ นั้น การเอกเสกคิวตีฟ (Executive) กับลิยิสเลตีฟ (Legislative) รวมอยู่ในพระเจ้าแผ่นดินกับเสนาบดีโดยมาก แต่ครั้นมาเมื่อรีเยนซี (Regency) ในตอนต้นอำนาจนั้นอยู่แก่ริเยเยนซีและเสนาบดีทั้งสองอย่าง” Executive นักบริหาร, Legislative ในทางกฎหมาย

40 ความคิดทางการเมืองของ 3 กลุ่มการเมือง
กลุ่มสยามเก่า (Old Siam) นำโดยกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (วังหน้า) ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ กลุ่มอนุรักษ์นิยม Conservative Siam) นำโดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบตะวันตก เพื่อตนเองและพวกพ้อง คัดค้านการเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อพวกตนเอง กลุ่มสยามหนุ่ม (รุ่นที่1) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยากระสาปนกิจโกศล พระยาภาสกรวงศ์ ต้องการปรับเปลี่ยนให้สยามทันสมัยแบบตะวันตกโดยการประยุกต์ใช้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)

41 กลุ่มสยามหนุ่ม (2) ในปลายสมัย ร.5
ในช่วงปลายรัชกาลมีสองกลุ่มสำคัญคือ กลุ่มสยามหนุ่ม (รุ่นที่ 2 ) คือกลุ่มพระโอรส กับชนชั้นสูง เช่น จมื่นไวยวรนาถ พระองค์เจ้าเทววงศ์ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พระองค์เจ้าภานุรังษี จมื่นศรีสรรักษ์ ฯลฯ และกลุ่มข้าราชการสามัญชนคนรุ่นใหม่ จมื่นไวยวรนาถ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พระองค์เจ้าภานุรังษี พระองค์เจ้าเทววงศ์

42 สภาพการเมืองเมื่อต้นรัชกาล ร.5
สะท้อนถึงสภาพการณ์ทางการเมืองในต้นรัชสมัย ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กลุ่มต่างกำลังขัดแย้งกันอย่างรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ เป็นช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงระมัดระวังพระองค์อย่างมาก ในการที่จะทรงพยายามดำเนินการเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ที่จะกระทบกระเทือนผู้ที่มีอำนาจอยู่ในขณะนั้น เป็นเวลาที่ต่างคนต่างระมัดระวังตัว พยายามรักษาตัวให้อยู่ได้ และเป็นเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสังเกตพฤติกรรมของข้าราชการ ต่าง ๆ ว่าจะปฏิบัติตัวพระองค์อย่างไร

43 แนวคิดในการรวบอำนาจ การกำเนิดรัฐแบบใหม่ที่มีลักษณะ กา ร บ ริหา ร แ บ บ ร ว ม ศูน ย์ จำเป็นต้องใช้วิธีการบางอย่าง ในการสลายอำนาจท้องถิ่นเพื่อดึงเอาทรัพยากร และผู้คนมาเป็นของรัฐส่วนกลาง สยามใช้วิธีผสมกันระหว่างวิธีการ ของเจ้าอาณานิคมและธรรมเนียมแบบรัฐจารีต วิธีการของเจ้าอาณานิคมได้แก่การบังคับใช้ สนธิสัญญา การออกกฎหมายและบังคับใช้ กฎหมายจากส่วนกลาง การตั้งตำแหน่งที่เรียกว่า “ข้าหลวง” เป็นการถาวรประจำที่เมืองสำคัญ ๆ

44 การสร้างจิตสำนึกความเป็นชาติ
แ น ว คิด และวิธีการของรัฐสยามในสมัยดังกล่าวเปลี่ยนไป เนื่องจากการปฏิรูปในสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นการปรับโครงสร้าง การปกครองของรัฐให้เป็นรัฐสมัยใหม่ที่เรียก ว่ารัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ ทำให้ได้มาซึ่ง “พื้นที่” และ “อำนาจการบริหาร” แต่สำหรับ คนยังคงขาด “จิตสำนึกร่วมชาติ” การปฏิรูปต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทำไว้นั้นเป็นเพียงการ ปฏิรูปโครงสร้างทางด้านการปกครองให้ดีขึ้น เท่านั้น แต่มิได้แก้ปัญหาการขาดความร่วมมือกัน ระหว่างรัฐบาลกับประชาชน และระหว่าง ประชาชาชนด้วยกันเอง

45 ร.5 กับการวางรากฐานการปกครองแบบใหม่
เมื่อบรรลุนิติภาวะ ร.5 ต้องการพัฒนาประเทศแต่จะต้องใช้เงินจำนวนมาก ในขณะนั้นเงินพระคลังข้างที่มีไม่เพียงพอ ปี พ.ศ.2416 ปฎิรูปกาคลัง โดยปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีใหม่ ด้วยการตัดตั้งหอพิพัฒน์รัษฎากร สาระสำคัญคือควบคุมเจ้าภาษีนายอากรต้องจัดส่งเงินรายได้แผ่นให้ตรงกำหนดเวลา หากฝ่าฝืนมีโทษหนัก โดยตั้งเจ้าฟ้าจาตุรนต-รัศมีเป็นผู้รับผิดชอบ โดยพระองค์ทรงกำกับดูแล ปี 2418 ออก พ.ร.บ.คลังมหาสมบัติ กำหนดธรรมเนียมการรับ-จ่ายเงินของเสนาบดีให้เจ้าพนักงานเร่งรัดเก็บส่งจากเจ้าภาษีนายอากรให้เสร็จภายใน 15 วัน ถ้าขัดข้องต้องรายงานและจัดทำงบประมาณรายรับรายจ่ายที่สมดุลแต่ละเดือน แต่เดิมไม่มีการแยกประเภทเงินโดยพระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของทั้งหมด

46 จัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณครั้งแรก
ปี พ.ศ.2433 ตรา พ.ร.บ.งบประมาณเป็นครั้งแรก เพื่อมิให้ใช้จ่ายเกินรายได้ ปี พ.ศ.2434 จัดงบประมาณประเทศเป็นครั้งแรก จัดสรรเงินให้ส่วนราชการต่าง ๆ ตามหลักการ ดังนี้ ทำบัญชีงบประมาณล่วงหน้า ให้คาดคะเนจำนวนเงินที่ใช้ในปีที่ผ่านมา ให้รายงานชี้แจงภาวการณ์เพิ่มหรือลดลงของรายได้ภาษีอากรทุกชนิด ให้ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้าของกรมต่าง ๆ (มีผลถึงปัจจุบัน)

47 การปฏิรูปการเมืองการปกครองระยะแรก
ร.5 ได้ปฏิรูปการเมืองการปกครองอาจเรียกว่า “พลิกแผ่นดิน” (revolution) แบ่งได้ 2 ระยะ ดังนี้ ระยะแรก ปี ดึงอำนาจจากขุนนางกลับสู่อำนาจของกษัตริย์ คือ ปี พ.ศ.2417 ตั้งสภาที่ปรึกษาแผ่นดิน (Council of State) นำรูปแบบจากฝรั่งเศส โดยพระองค์เป็นประธาน มีสมาชิก 11 คน ที่เป็นขุนนางชั้นพระยาและมีตำแหน่งคุมกำลังคน นัยก็คือการดึงอำนาจมาจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เน้นเรื่องนิติบัญญัติ คานอำนาจบริหาร ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคนที่ไว้วางใจ โดยใช้นโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับตั้งสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (Privy Council) นำแบบอย่างมาจากอังกฤษ มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการปรึกษากิจการบริหารบ้านเมืองให้พัฒนาทันสมัย มีสมาชิก 49 คน ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ไม่ขอรับเป็นสมาชิก เพราะถือว่าเคยเป็นที่ปรึกษาและสำเร็จราชการมาแล้ว ประการสำคัญการดื่มน้ำสาบานเพื่อแสดงถึงการลดอิทธิพลตนเองที่ต้องอยู่ใต้อำนาจกษัตริย์ การไม่เป็นสมาชิกก็ยังคงสถานะที่ปรึกษากษัตริย์เช่นเดิม

48 ผลงานของสภาที่ปรึกษาในพระองค์
สภาที่ปรึกษาในพระองค์ตั้งขึ้นไม่นานก็ต้องเลิกไป เพราะในทางปฏิบัติสมาชิกขาดอิสระ แต่ก็มีผลงานที่เป็นที่โดดเด่น คือ พ.ร.บ.จัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ พ.ร.บ.พิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทย พ.ร.บ.คลังมหาสมบัติ การปฏิรูประบบตุลาการ

49 พ.ร.บ.พิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูก
21 สิงหาคม 2417 ตรา พ.ร.บ.พิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท เพื่อปลดปล่อยทาส 7 ประเภท ให้เป็นอิสระ ทาสสินไถ่ : การขายบุตร-สามี-ภรรยา เปลี่ยนสถานะได้เมื่อมีการไถ่ถอน ทาสในเรือนเบี้ย: เปลี่ยนสถานะไม่ได้ เพราะพ่อแม่เป็นทาสมาก่อน ทาสที่ได้รับมาด้วยมรดก: นายทาสมอบให้ลูกหลาน ทาสท่าให้: มีการเปลี่ยนนานทาส ทาสที่ช่วยไว้จากทัณฑ์โทษ: มีผู้เสียค่าปรับแทน ทาสที่ช่วยให้พ้นความอดยาก: ไพร่ที่แร้นแค้นขายตนเองมาเป็นทาส ทาสเชลย: ผู้ชนะสงครามกวาดต้อนผู้คนมายังเมืองของตน เพื่อเป็นแรงงาน

50 วิกฤติวังหน้าจากผลกระทบการปฏิรูปในระยะแรก
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเกรงว่าสถานะของพระองค์เกิดความสั่นคลอน ผลจากการตั้งสภาที่ปรึกษาในพระองค์ที่ต้องให้สมาชิกสาบานตนที่จะต้องจงรักภักดีต่อกษัตริย์และพระราชโอรสในภายหน้าด้วย วังหน้าเข้าใจผิดเรื่องการได้รับรายได้จากภาษีลดลง จากผลดังกล่าวทำให้เกิดวิกฤติระหว่างวังหลวงกับวังหน้า ถึงการสะสมกำลังและอาวุธ ต่อมาทำให้สถานะของวังหน้าถูกจำกัดกำลังทหารเหลือเพียง 200 คน มีได้เฉพาะปืนเล็ก เมื่อวังหลวงมีเหตุจำเป็นต้องมาช่วยเหลือ

51 การตั้งศาลรับสั่ง การตั้งศาลรับสั่งเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนของสังคม ประกอบด้วยสมาชิกจากสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน มีหน้าที่พิจารณาความของกระนครบาล มหาดไทย กลาโหม กรมท่าให้ตั้งอยู่บนความยุติธรรม สามารถสะสางคดิความตามกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งเดิมเป็นระบบศาลเดียวขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์

52 การปฏิรูปการเมืองการปกครองระยะสอง
ปี เป็นการปฏิรูปการเมืองการปกครองระยะสอง ทั้งการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม เป็นช่วงที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ถึงแก่พิราลัยในปี 2425 และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคตในปี 2428 จัดระเบียบงานที่ซ้ำซ้อน โดยมีการจัดการบริหารราชการให้เกิดประสิทธิภาพ จึงโปรดเกล้าฯ จัดตั้งกระทรวงตามระเบียบใหม่ เมื่อ 1 เมษายน 2435 ดังนี้ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น

53 ราชการส่วนกลาง มีทั้งหมด 12 กระทรวง ได้แก่
กระทวงกลาโหม (ผ่อนปรนให้ดูแลหัวเมืองภาคใต้ต่อไป เพราะให้เกียรติแก่สมุหกลาโหมคนเดิม คือ พระยาพหลเทพ ที่ทรงไว้วางพระทัย ในปี 2437 จึงมี พ.ร.บ.ให้ กห.ดูแลทหารทั้งหมดคือการรับผิดชอบกรมยุทธนาธิการ กระทรวงมหาดไทย ก็คงให้ผู้ดูแลตามเดิมคือหัวเมืองภาคเหนือ เหตุผลเดียวกับกระทรวงกลาโหม โดยมีเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์เป็นเสนาบดี ปี 2437 จึงมี พ.ร.บ.ให้ดูแลการปกครองพลเรือนทั้งหมด เว้นกรุงเทพฯ กระทรวงนครบาล มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตราชธานี กระทรวงวัง มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับพระบรมมหาราชวังและราชพิธี

54 ราชการส่วนกลาง (2) กระทรวงเกษตราพานิชการ มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบงานด้านเกษตรและการค้า ปี 2439 ยุบรวมกับกระทรวงคลังมหาสมบัติ หลังจากเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีเสนาบดีลาออก ปี 2443 จึงแยกตั้งเป็นกระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลังมหาสมบัติ รับผิดชอบค้านการคลัง กระทรวงยุทธนาธิการ รับผิดชอบด้านกองทัพบกและกองทัพเรือ (ต่อมาลดสถานะเป็นกรม)

55 ราชการส่วนกลาง (3) กระทรวงยุติธรรม รับผิดชอบด้านศาลและกฎหมาย
กระทรวงยุติธรรม รับผิดชอบด้านศาลและกฎหมาย กระทรวงธรรมการ รับผิดชอบเรื่องการศึกษาของประเทศ กระทรวงโยธาธิการ รับผิดชอบเรื่องคมนาคม และการก่อสร้าง กระทรวงมรุธาธร รับผิดชอบด้านเอกสารที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นงานด้านอาลักษณ์ เสนาบดีมีฐานะเท่ากัน ปลายรัชกาลยุบรวมเหลือ 10 กระทรวง คือยุบกรมยุทธนาธิการไปรวมกับกระทรวงกลาโหม และยุบกระทรวงมรุธาธรไปรวมกับกระทรวงวัง

56 ราชการส่วนภูมิภาค ปี 2437 จัดตั้งการปกครองมณฑลเทศาภิบาลภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย โดยขึ้นตรงต่อ ร.5 เพื่อพัฒนาหัวเมืองให้มีระเบียบการปฏิบัติเป็นเอกภาพอย่างมีมาตรฐาน และสะดวกต่อการกำกับดูแลและสั่งการ เอื้อต่อความมั่นคงความเป็นเอกราชของขาติ ระบบเทศาภิบาลเป็นการปกครองที่มีลักษณะการจัดหน่วยบริหารที่ตำแหน่งบริหารส่งจากส่วนกลางที่เป็นผู้ที่ไว้วางใจ คือ สมหเทศาภิบาลเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นการดึงอำนาจเข้าส่วนกลาง ปี 2439 ยกเลิกเมืองประเทศราชให้มีฐานะเป็นเมืองหนึ่งในราชอาณาจักรโดยผนวกดินแดนรวมเป็นรัฐเดียว

57 การสร้างรัฐชาติ สมเด็จฯ กรมดำรงราชานุภาพ ระบบเทศาภิบาล มีฐานะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างรัฐชาติในส่วนภูมิภาค รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลตามสมควรแก่ภูมิลำเนาให้สะดวกแก่การปกครองและมีสมุหเทศาภิบาลบังคับบัญชาทุกมณฑล มีวัตถุประสงค์ คือ ประการแรกยุบประเทศราชและให้รวมมาเป็นหัวเมืองในราชอาณาจักร ก็เพื่อต้องการที่จะเสริมสร้างความเป็นเอกภาพของชาติ (National Unity) ให้มั่นคงโดยมุ่งที่จะขจัดการแตกแยกของชนชาติต่าง ๆ ภายในราชอาณาจักรให้หมดสิ้นไป ประการที่สองของพระองค์ที่จะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองมาไว้ที่มหาดไทยแต่กระทรวงเดียว นอกจากต้องการที่จะจัดระเบียบการปกครองประเทศเป็นแบบรวมอำนาจ อันเป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่เอกภาพของชาติ สมเด็จฯ กรมดำรงราชานุภาพ

58 ราชการส่วนท้องถิ่น ปี 2440 เริ่มตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพมหานคร แต่ยังมิได้มีความหมายถึงว่าเป็นการปกครองท้องถิ่นเช่นในปัจจุบัน เพราะยังให้ข้าราชการทำหน้าที่ในการบริหารทั้งหมด ปี 2448 ได้ประพาสเมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) พบว่ามีความสกปรกมากไม่เป็นพอพระทัย จนมีพระราชปรารภว่าสกปรกเหมือนตลาดท่าจีน 18 มีนาคม 2449 เมื่อตลาดท่าจีนได้รับการปรับปรุงแล้ว พระองค์ได้เสด็จเปิดถนนโดยให้จัดทั้งเป็นสุขาภิบาลท่าฉลอม และทรงอนุญาตให้ใช้ภาษีโรงเรือนที่เก็บได้นำมาใช้จ่าย

59 เหตุผลการปฏิรูปการปกครอง
การปฏิรูปการปกครองครั้งสำคัญในสมัยรัชกาล ที่ 5 (Bangkok Reformation) ด้วยเหตุผล คือ เพื่อป้องกันลัทธิ จักรวรรดิ์นิยม เพื่อพัฒนาประเทศตามแบบอย่างอารยประเทศ เพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อรักษาความอยู่รอดของรัฐสยาม

60 การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5
สาเหตุของการปฏิรูปสมัย ร.5 การเปลี่ยนแปลงของโลก การคุกคามจากจักรวรรดินิยม ความต้องการเปลี่ยนแปลงจากขุนนางที่ ได้รับการศึกษา ความต้องการลดอำนาจขุนนาง

61 การปกครองส่วนกลาง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ
จัดตั้งกระทรวง 12 กระทรวง โดยมีเสนาบดีเป็นผู้บังคับบัญชา มีฐานะเสมอกันทั้งหมด กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัง กระทรวงนครบาล กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ

62 กระทรวงยุติธรรม กระทรวงยุทธนาธิการ กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงธรรมการ กระทรวงโยธาธิการ กระทรวงมุรธาธิการ

63 ตั้งสภาที่ปรึกษา 2 สภา 1.เสนาบดีสภาหรือรัฐมนตรีสภา
ให้คำปรึกษาราชการแผ่นดิน พิจารณาร่างกฎหมาย 2.องคมนตรีสภา ที่ปรึกษาราชการส่วนพระองค์ เป็นคณะกรรมการชำระความ

64 การปกครองส่วนภูมิภาค
หลักการ ขยายอำนาจการปกครองของส่วนกลางออกไปยังหัวเมืองต่างๆโดยตรง เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพและความมั่นคงของประเทศ ยังผลให้หัวเมืองต่างๆอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวเท่านั้น

65 การจัดรูปแบบการปกครองส่วนภูมิภาค
มณฑลเทศาภิบาล เมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน

66 การปกครองส่วนท้องถิ่น
การจัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพ เป็นสุขาภิบาลแห่งแรกเมื่อพ.ศ.2440 พ.ศ.2448 จัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอม ตลอดรัชกาลมีการจัดตั้งสุขาภิบาลทั้งสิ้น 35 แห่ง หน้าที่หลักสำคัญคือการรักษาความสะอาด การบำรุงรักษาถนน

67 สมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย
วันก่อการคือวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะผู้ก่อการคือ คณะราษฎร ผู้นำของคณะราษฎรที่สำคัญ เช่น พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พันตรีหลวงพิบูลสงคราม(แปลก ขีตตะสังคะ) หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) หลวงโกวิท อภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์)

68 สาเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
สาเหตุทางเศรษฐกิจ สาเหตุทางการเมือง สาเหตุทางสังคม สาเหตุจากอิทธิพลภายนอก

69 เหตุผลทางเศรษฐกิจ ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศถดถอย
นโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่คนส่วนใหญ่ การตัดทอนรายจ่ายรัฐบาล โดยปลดข้าราชการ การเพิ่มภาษีอากร

70 เหตุผลทางการเมือง อำนาจของพระมหากษัตริย์ไม่มี
พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้อิทธิพลของพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ คืออภิรัฐมนตรีสภา ทำให้ข้าราชการทั่วไปรู้สึกว่าพระมหากษัตริย์ทรงส่งเสริมให้พวกราชวงศ์ผูกขาดอำนาจทางการเมือง

71 สาเหตุทางสังคม ความแตกต่างทางชนชั้นระหว่างชั้นเจ้ากับราษฎรเห็นอย่างชัดเจน เจ้ามีกินอย่างเหลือเฟือส่วนราษฎรอดอยาก เจ้าได้อภิสิทธิ์ต่างๆมากกว่าราษฎร เจ้าใช้อิทธิพลหาผลประโยชน์ให้ตนเอง ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับพวกเจ้า

72 สาเหตุจากอิทธิพลภายนอก
อุดมการณ์ทางประชาธิปไตยแบบตะวันตก พวกนักศึกษาที่ได้ไปศึกษาจากต่างประเทศต้องการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศเจริญเหมือนประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก

73 ผลของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
คณะราษฎรจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ร.7 พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475


ดาวน์โหลด ppt การเมืองการปกครองสมัยธนบุรี-ยุครัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงปกครอง

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google