งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน."— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน

2 Psalm เพลงสดุดีบทที่ 104  

3 1Bless the LORD, O my soul. O LORD my God, you are very great
1Bless the LORD, O my soul! O LORD my God, you are very great! You are clothed with splendor and majesty, 1จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ใหญ่ยิ่งนัก พระองค์ทรงเกียรติและความสูงส่งเป็นฉลองพระองค์

4 2covering yourself with light as with a garment, stretching out the heavens like a tent. 2ผู้ทรงคลุมพระองค์ด้วยแสงสว่างดุจดังฉลองพระองค์ ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์ออกดังขึงม่าน

5 3He lays the beams of his chambers on the waters; he makes the clouds his chariot; he rides on the wings of the wind; 3ผู้ทรงวางคานของที่ประทับอันสูงของพระองค์ไว้ในน้ำ ผู้ทรงใช้เมฆเป็นราชรถ ผู้ทรงประทับไปบนปีกของลม

6 4he makes his messengers winds, his ministers a flaming fire

7 5He set the earth on its foundations, so that it should never be moved

8 6You covered it with the deep as with a garment; the waters stood above the mountains. 6พระองค์ทรงคลุมมันไว้ด้วยน้ำลึกอย่างด้วยเครื่องนุ่งห่ม น้ำอยู่เหนือภูเขา

9 7At your rebuke they fled; at the sound of your thunder they took to flight. 7เมื่อพระองค์ทรงขนาบ น้ำนั้นก็หนีไป พอได้ยินเสียงฟ้าร้องของพระองค์ มันก็วิ่งไป

10 8The mountains rose, the valleys sank down to the place that you appointed for them. 8(ภูเขาโผล่ขึ้นมา หุบเขาทรุดลงไป) ไปยังที่ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดไว้ให้ น้ำนั้น

11 9You set a boundary that they may not pass, so that they might not again cover the earth. 9พระองค์ทรงวางขอบเขตมิให้มันข้าม เพื่อมิให้มันคลุมแผ่นดินโลกอีก  

12 Acts กิจการ 17: So Paul, standing in the midst of the Areopagus, said: “Men of Athens, I perceive that in every way you are very religious.

13 22ฝ่ายเปาโลจึงยืนขึ้นกลางสภาอาเรโอปากัสแล้วกล่าวว่า “ดูก่อนท่านชาวกรุงเอเธนส์ โดยประการต่างๆข้าพเจ้าเห็นได้ว่า ท่านทั้งหลายเป็นนักศาสนา

14 23For as I passed along and observed the objects of your worship, I found also an altar with this inscription, ‘To the unknown god.’ What therefore you worship as unknown, this I proclaim to you.

15 23เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาสังเกตดูสิ่งที่ท่านนมัสการนั้น ข้าพเจ้าได้พบแท่นแท่นหนึ่ง มีคำจารึกไว้ว่า 'แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก' เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาประกาศ และแสดงให้ท่านทั้งหลายทราบ ถึงพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่ยังนมัสการอยู่

16 24The God who made the world and everything in it, being Lord of heaven and earth, does not live in temples made by man, 24พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้

17 25nor is He served by human hands, as though He needed anything, since He Himself gives to all mankind life and breath and everything.

18 25พระองค์มิจำต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติ ดังว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ และสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก

19 26And He made from one man every nation of mankind to live on all the face of the earth, having determined allotted periods and the boundaries of their dwelling place, 26พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่

20 27that they should seek God, in the hope that they might feel their way toward him and find him. Yet he is actually not far from each one of us, 27เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย

21 28for “‘In Him we live and move and have our being’; as even some of your own poets have said, “‘For we are indeed His offspring. 28ด้วยว่า 'เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์' ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า 'แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์'

22 29Being then God's offspring, we ought not to think that the divine being is like gold or silver or stone, an image formed by the art and imagination of man.

23 29เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ควรถือว่าพระเจ้าทรงเป็นทอง เงิน หรือหิน อันเป็นปฏิมากรสำเร็จด้วยศิลปะและความคิดของมนุษย์

24 30The times of ignorance God overlooked, but now he commands all people everywhere to repent, 30ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังไร้เดียงสา พระเจ้ามิได้ทรงถือโทษ แต่เดี๋ยวนี้ พระเจ้าได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่

25 31because He has fixed a day on which He will judge the world in righteousness by a man whom He has appointed; and of this He has given assurance to all by raising Him from the dead.”

26 31เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต”

27 32Now when they heard of the resurrection of the dead, some mocked
32Now when they heard of the resurrection of the dead, some mocked. But others said, “We will hear you again about this.” 32ครั้นคนทั้งหลายได้ยินถึงเรื่องการซึ่งเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว บางคนก็เยาะเย้ย แต่บางคนว่า “ข้าพเจ้าจะคอยฟังท่านกล่าวเรื่องนี้อีกต่อไป”

28 33So Paul went out from their midst. 33แล้วเปาโลจึงออกไปจากเขา

29 34But some men joined him and believed, among whom also were Dionysius the Areopagite and a woman named Damaris and others with them.

30 34แต่มีบางคนติดตามเปาโลไปและได้เชื่อถือ ในคนเหล่านั้นมีดิโอนิสิอัสผู้เป็นสมาชิกสภาอาเรโอปากัส กับหญิงคนหนึ่งชื่อดามาริสและคนอื่นๆด้วย

31 Psalm เพลงสดุดี 19:1 1The heavens declare the glory of God, and the sky above proclaims His handiwork. 1ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์

32 Romans โรม 1: For the wrath of God is revealed from heaven against all ungodliness and unrighteousness of men, who by their unrighteousness suppress the truth.

33 18เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง

34 19For what can be known about God is plain to them, because God has shown it to them. 19เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว

35 20For His invisible attributes, namely, His eternal power and divine nature, have been clearly perceived, ever since the creation of the world, in the things that have been made. So they are without excuse.

36 20ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย

37 21For although they knew God, they did not honor him as God or give thanks to Him, but they became futile in their thinking, and their foolish hearts were darkened.

38 21เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป

39 22Claiming to be wise, they became fools, 22เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป

40 23and exchanged the glory of the immortal God for images resembling mortal man and birds and animals and reptiles. 23และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตายหรือรูปนก รูปสัตว์จตุบาท และรูปสัตว์เลื้อยคลาน

41 24Therefore God gave them up in the lusts of their hearts to impurity, to the dishonoring of their bodies among themselves, 24เหตุฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติอุลามกตามราคะตัณหาในใจของเขาให้เขากระทำสิ่งซึ่งน่าอัปยศทางกายต่อกัน

42 25because they exchanged the truth about God for a lie and worshiped and served the creature rather than the Creator, who is blessed forever! Amen.

43 25เพราะว่าเขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ และได้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ซึ่งควรจะได้รับความสรรเสริญเป็นนิตย์ อาเมน  

44 10You make springs gush forth in the valleys; they flow between the hills; 10พระองค์ทรงกระทำให้น้ำพุพลุ่งขึ้นมาในหุบเขา นนั้นก็ไหลไประหว่างเขา

45 11they give drink to every beast of the field; the wild donkeys quench their thirst. 11ให้บรรดาสัตว์ป่าได้ดื่ม และให้ลาป่าดับความกระหายของมัน

46 12Beside them the birds of the heavens dwell; they sing among the branches. 12ที่ริมน้ำนั้น นกในอากาศจึงได้มีที่อาศัย มันร้องอยู่ท่ามกลางกิ่งไม้

47 13From your lofty abode you water the mountains; the earth is satisfied with the fruit of your work. 13พระองค์ทรงรดภูเขาจากที่ประทับอันสูงของพระองค์ แผ่นดินโลกก็อิ่มด้วยผลพระราชกิจของพระองค์

48 14You cause the grass to grow for the livestock and plants for man to cultivate, that he may bring forth food from the earth 14พระองค์ทรงให้หญ้างอกมาเพื่อสัตว์เลี้ยง และผัก ให้มนุษย์ได้ดูแล เพื่อเขาจะทำให้เกิดอาหารจากแผ่นดิน

49 15and wine to gladden the heart of man, oil to make his face shine and bread to strengthen man's heart. 15และเหล้าองุ่น ซึ่งให้ใจมนุษย์ยินดี น้ำมัน เพื่อทำให้หน้าของเขาทอแสง และขนมปัง ซึ่งเสริมกำลังใจมนุษย์

50 16The trees of the LORD are watered abundantly, the cedars of Lebanon that He planted. 16บรรดาต้นไม้ของพระเจ้าได้อิ่มหนำ คือต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน ซึ่งพระองค์ได้ทรงปลูกไว้

51 17In them the birds build their nests; the stork has her home in the fir trees. 17นกสร้างรังของมันอยู่ในนั้น ส่วนนกยางนั้น ต้นสนสามใบ เป็นบ้านของมัน

52 18The high mountains are for the wild goats; the rocks are a refuge for the rock badgers. 18ภูเขาสูงนั้นเป็นของเลียงผา หินเป็นที่ลี้ภัยของตัวกระจงผา

53 19He made the moon to mark the seasons; the sun knows its time for setting. 19พระองค์ทรงจัดตั้งดวงจันทร์ให้กำหนดฤดู ดวงอาทิตย์รู้จักเวลาตกของมัน

54 20You make darkness, and it is night, when all the beasts of the forest creep about. 20พระองค์ทรงให้เกิดความมืดและเป็นกลางคืน เป็นสัตว์ของป่าไม้คลานออกมา

55 21The young lions roar for their prey, seeking their food from God

56 22When the sun rises, they steal away and lie down in their dens

57 23Man goes out to his work and to his labor until the evening

58 Ephesians เอเฟซัส 5:18 18And do not get drunk with wine, for that is debauchery, but be filled with the Spirit, 18และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ

59 John ยอห์น 7: On the last day of the feast, the great day, Jesus stood up and cried out, “If anyone thirsts, let him come to me and drink. 37ในวันสุดท้ายของงานเทศกาลซึ่งเป็นวันใหญ่นั้น พระเยซูทรงยืนและประกาศว่า “ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม

60 38Whoever believes in Me, as the Scripture has said, ‘Out of his heart will flow rivers of living water.’” 38ผู้ที่วางใจในเราตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า 'แม่น้ำที่มีน้ำธำรงชีวิต จะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น'”

61 39Now this He said about the Spirit, whom those who believed in Him were to receive, for as yet the Spirit had not been given, because Jesus was not yet glorified.

62 39สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณ ซึ่งผู้ที่วางใจในพระองค์จะได้รับ เหตุว่ายังไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้ เพราะพระเยซูยังมิได้ประสบเกียรติกิจ

63 24O LORD, how manifold are your works
24O LORD, how manifold are your works! In wisdom have You made them all; the earth is full of your creatures. 24ข้าแต่พระเจ้า พระราชกิจของพระองค์มากมายจริงๆ พระองค์ทรงสร้างการงานนั้นทั้งสิ้นด้วยพระปัญญา แผ่นดินโลกมีสิ่งที่ทรงสร้างเต็มหมด

64 25Here is the sea, great and wide, which teems with creatures innumerable, living things both small and great. 25ทะเลอยู่ข้างโน้น ทั้งใหญ่และกว้าง ซึ่งในนั้นมีสิ่งเคลื่อนไหวนับไม่ถ้วน คือสัตว์ที่มีชีวิตทั้งเล็กและใหญ่

65 26There go the ships, and Leviathan, which you formed to play in it

66 27These all look to You, to give them their food in due season

67 28When You give it to them, they gather it up; when You open Your hand, they are filled with good things. 28เมื่อพระองค์ประทานให้ มันก็เก็บไป เมื่อพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออก มันก็อิ่มหนำด้วยของดี

68 29When You hide Your face, they are dismayed; when You take away their breath, they die and return to their dust. 29เมื่อพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์เสีย มันทั้งหลายก็ลำบากใจ เมื่อพระองค์ทรงเอาลมหายใจมันไปเสีย มันก็ตาย และกลับเป็นผงคลี

69 30When You send forth your Spirit, they are created, and You renew the face of the ground. 30เมื่อพระองค์ทรงส่งวิญญาณของพระองค์ออกไป มัน ก็ถูกสร้างขึ้นมา และพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนโฉมหน้าของพื้นดินเสียใหม่

70 31May the glory of the LORD endure forever; may the LORD rejoice in His works, 31ขอพระสิริของพระเจ้าดำรงอยู่เป็นนิตย์ ขอพระเจ้าทรงเปรมปรีดิ์ในบรรดา พระราชกิจของพระองค์

71 32who looks on the earth and it trembles, who touches the mountains and they smoke! 32ผู้ทรงทอดพระเนตรโลก มันก็สั่นสะท้าน ผู้ทรงแตะต้องภูเขา มันก็มีควันขึ้นมา

72 33I will sing to the LORD as long as I live; I will sing praise to my God while I have being. 33ข้ามีชีวิตอยู่ตราบใด ข้าจะร้องเพลงถวายพระเจ้า ขณะข้ายังเป็นอยู่ ข้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้า

73 34May my meditation be pleasing to Him, for I rejoice in the LORD

74 35Let sinners be consumed from the earth, and let the wicked be no more! Bless the LORD, O my soul! Praise the LORD! 35ขอคนบาปถูกผลาญเสียจากแผ่นดินโลก  

75 Romans โรม 12:1-2 1I appeal to you therefore, brothers, by the mercies of God, to present your bodies as a living sacrifice, holy and acceptable to God, which is your spiritual worship.

76 1พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย

77 2Do not be conformed to this world, but be transformed by the renewal of your mind, that by testing you may discern what is the will of God, what is good and acceptable and perfect.

78 2อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม

79 1 Corinthians โครินธ์ 4:7 7For who sees anything different in you
1 Corinthians โครินธ์ 4:7 7For who sees anything different in you? What do you have that you did not receive? If then you received it, why do you boast as if you did not receive it?

80 7ผู้ใดเล่ากระทำให้ท่านวิเศษกว่าคนอื่น ท่านมีอะไรที่ท่านมิได้รับมา ก็เมื่อท่านได้รับมา เหตุไฉนท่านจึงโอ้อวดเหมือนกับว่าท่านมิได้รับเลย  

81 Romans โรม 8: For I consider that the sufferings of this present time are not worth comparing with the glory that is to be revealed to us. 18เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย

82 19For the creation waits with eager longing for the revealing of the sons of God. 19ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ

83 20For the creation was subjected to futility, not willingly, but because of him who subjected it, in hope 20เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้น

84 21that the creation itself will be set free from its bondage to decay and obtain the freedom of the glory of the children of God. 21ด้วยมีความหวังใจว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะเข้าในเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า

85 22For we know that the whole creation has been groaning together in the pains of childbirth until now. 22เรารู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้

86 23And not only the creation, but we ourselves, who have the first fruits of the Spirit, groan inwardly as we wait eagerly for adoption as sons, the redemption of our bodies.

87 23และไม่ใช่เท่านั้น แต่เราทั้งหลายเองด้วย ผู้ได้รับพระวิญญาณเป็นผลแรก ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยการที่พระเจ้าทรงให้เป็นบุตร คือที่จะทรงให้กายของเราทั้งหลายรอดตาย

88 24For in this hope we were saved. Now hope that is seen is not hope
24For in this hope we were saved. Now hope that is seen is not hope. For who hopes for what he sees? 24เหตุว่าเราทั้งหลายรอดแม้เป็นเพียงความหวังใจ แต่ความหวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้ หาเป็นความหวังใจไม่ ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็น

89 25But if we hope for what we do not see, we wait for it with patience


ดาวน์โหลด ppt Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google