แนวทางการใช้ยาปฎิชีวนะ Antibiotics smart use แนวทางการใช้ยาปฎิชีวนะ
Antibiotics smart use โรคติดเชื้อเฉียบพลันทางเดินหายใจส่วนบน โรคท้องร่วงเฉียบพลัน บาดแผล
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน สาเหตุการติดเชื้อ 80% จากไวรัส 20% จากแบคทีเรีย กรณีที่ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ อาการดังนี้ ไม่มีไข้ ไม่เจ็บคอ มีน้ำมูกมาก จามบ่อย เสียงแหบ ตาแดง มีผื่นตามตัว โดยตรวจไม่พบอาการโรคปอดอักเสบ แผลในปาก ถ่ายเหลว ไข้สูง > 38๐c ร่วมกับอาการข้างต้น หมายถึง ติดเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องให้ยาฆ่าเชื้อ ส่วนใหญ่จึงไม่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน กรณีที่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ: คอหอยและทอนซิลอักเสบ ไข้สูง เจ็บคอมาก มีจุดขาวที่ทอนซิล ต่อมน้ำเหลืองใต้คอโต ลิ้นไก่บวมแดง มีจุดเลือดออกที่เพดานปาก ยาที่ควรใช้: penicillin V, amoxicillin, roxithromycin 10 วัน
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน กรณีที่อาจให้ยาปฏิชีวนะ: หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ มีไข้ ปวดหู โดยเฉพาะหลังจากเป็นหวัด หมายถึงติดเชื้อในหูชั้นกลาง การติดเชื้อในหูชั้นกลางมักดีขึ้นใน 72 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น ใน3วันแรกจึงไม่จำเป็นต้องให้ยา แต่หากพ้น3วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นจึงทานยาฆ่าเชื้อ
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ไซนัสอักเสบที่มีอาการต่อเนื่องนานเกิน 7 วัน จึงค่อยทานยาฆ่าเชื้อ ยาที่ใช้ : amoxicillin, erythromycin นาน 5วันในหูชั้นกลางอักเสบ และ นาน 7 วันในไซนัสอักเสบ
ขนาดและวิธีให้ยาฆ่าเชื้อ Penicillin V ผู้ใหญ่ 500 มก. วันละ 2-3 ครั้ง เด็ก 25-50 มก./กก./วัน วันละ 2-3 ครั้ง Amoxicillin ผู้ใหญ่ 500 มก. วันละ 3 ครั้ง เด็ก 25-50 มก./กก./วัน วันละ 3 ครั้ง หากเป็นไซนัสอักเสบให้ 80-90 มก./กก./วัน วันละ 2-3 ครั้ง
ขนาดและวิธีให้ยาฆ่าเชื้อ Erythromycin เด็ก 5-8 มก./กก./วัน วันละ 2 ครั้ง
ข้อควรรู้ การมีน้ำมูกหรือเสมหะข้น หรือสีเขียวเหลืองไม่ได้บ่งชี้ว่าต้องทานยาฆ่าเชื้อ อาการไข้สูงเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่าต้องทานยาฆ่าเชื้อ เพราะอาจเป็นโรคอื่นได้ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก
โรคท้องร่วงเฉียบพลัน โรคท้องร่วง หมายถึง การถ่ายอุจจาระเหลวจำนวนอย่างน้อย 3 ครั้งหรือถ่ายมีมูกปนเลือดหรือเป็นน้ำ อย่างน้อย 1 ครั้ง ผู้ป่วยที่มีอาเจียนเป็นอาการเด่นมักหมายถึงอาหารเป็นพิษ ไม่ไช่ติดเชื้อจึงไม่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ
โรคท้องร่วงเฉียบพลัน การให้ยาฆ่าเชื้อควรให้เฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการร่วมดังนี้ ไข้สูง > 38๐c อุจจาระเป็นมูกหรือมีเลือดปนเห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือ ตรวจพบWBC,RBCในอุจจาระ ยาฆ่าเชื้อที่ควรใช้คือ norfloxacin ผู้ใหญ่ 400 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน เด็ก 15-20 มก./กก./วัน แบ่งวันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน (หากเป็นเด็กที่ต่ำกว่า 5 ปี ให้ตามแพทย์เสมอ)
ข้อควรรู้ เป้าหมายสำคัญที่สุดในการรักษาไม่ใช่ยาฆ่าเชื้อ แต่เป็นการให้สารน้ำและเกลือแร่ทดแทนที่สูญเสียไปกับอุจจาระ ยาบางตัวไม่แนะนำให้ใช้ในกรณีท้องร่วง ได้แก่ buscopan, imodium, lomotil เป็นต้น การให้ activated charcoal หรือ ultracarbon สามารถให้ได้ ไม่เป็นพิษ ราคาถูกและช่วยลดความกังวลใจแก่ผู้ป่วย โดยทาน 1-2 เม็ด วันละ 2-4 ครั้ง
บาดแผล แผลที่ยังไม่ติดเชื้อ คือ บาดแผลที่มาถึงรพ.ภายใน6ชั่วโมง แผลสะอาด หมายถึง บาดแผลเปิดที่มีขอบเรียบสามารถล้างทำความสะอาดง่าย ไม่มีเนื้อตาย บาดแผลที่มีสิ่งสกปรกติดอยู่ แต่ล้างออกได้ง่าย แผลที่ไม่ได้เปื้อนสิ่งแปลกปลอมที่ติดเชื้อสูง เช่น น้ำคลอง ดิน มูลสัตว์ เป็นต้น
บาดแผล บาดแผลที่มีโอกาสติดเชื้อสูง บาดแผลที่ถูกวัตถุทิ่มเป็นรูยากแก่การทำความสะอาดได้ทั่วถึง บาดแผลที่มีเนื้อตายเป็นบริเวณกว้าง บาดแผลที่มีสิ่งสกปรกติดอยู่ ที่ล้างได้ไม่หมด บาดแผลที่สัมผัสเชื้อโรคมาก เช่น ดิน น้ำคลอง เหล็กมีสนิม มูลสัตว์ เป็นต้น บาดแผลจากการบดอัด แผลที่เท้า แผลขอบไม่เรียบ แผลผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือโอกาสติดเชื้อง่าย เช่น เบาหวาน เป็นต้น
บาดแผล ยาฆ่าเชื้อให้ในกรณีที่แผลมีโอกาสติดเชื้อสูงเท่านั้น และเป็นการให้เพื่อการป้องกันการติดเชื้อ ยาที่ควรใช้ Dicloxacillin ผู้ใหญ่ 250 มก. วันละ 4 ครั้ง 2 วัน เด็ก 25-50 มก. วันละ 4 ครั้ง 2 วัน Clindamycin ผู้ใหญ่ 150-300 มก. วันละ 4 ครั้ง 2 วัน เด็ก 8-25 มก./กก./วัน วันละ 4 ครั้ง 2 วัน
ข้อควรรู้ ในการชะล้างแผลที่สกปรกเป็นร่องลึกควรใช้ syringe 10-40 cc. ฉีดล้างบริเวณแผลให้ทั่วถึง แค่ scrub อย่างเดียวไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำยาฆ่าเชื้อใดๆลงในบาดแผล เพราะไม่ลดโอกาสติดเชื้อและ อาจทำลายเนื้อเยื่อในแผลให้แผลหายช้าลง ทุกครั้งที่ผู้ป่วยมาทำแผลต้องสังเกตุแผลเสมอว่ามีการอักเสบหรือไม่
ข้อควรรู้ การตัดไหม กรณีแผลที่หน้า ตัดไหม 5 วัน แผลที่ข้อพับ ตัดไหม 10-14 วัน แผลอื่นๆ ตัดไหม 7 วัน
The end