Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.

Slides:



Advertisements
งานนำเสนอที่คล้ายกัน
นางสาวอุทัยวรรณ ชัยมงคล กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
Advertisements

Indirect Question without Question Word.
Indirect Question word
ครูรุจิรา ทับศรีนวล. “Christmas Day” * อ่านเรื่องแล้วสรุป ใจความสำคัญได้ ครูรุจิรา ทับศรีนวล.
ภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปึที่ 4 Grammar & Reading ครูรุจิรา ทับศรีนวล.
ความคิดเรื่องวุฒิภาวะในศิลปะและการวิจารณ์
A Powerful Purpose – Part 1
Sermon 2: THE WORKS OF JESUS – TOUCHING LIVES THROUGH TEACHING
ความเชื่อที่จะมีชัยชนะ
คำเทศนาหัวข้อที่ 3: ประกาศข่าวดี SERMON 3: PREACHING GOOD NEWS
คำเทศนาหัวข้อที่ 3: ประกาศข่าวดี SERMON 3: PREACHING GOOD NEWS
ดาเนียลมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า
“เอาชนะเนื้อหนัง” OVERCOMING THE FLESH. “เอาชนะเนื้อหนัง” OVERCOMING THE FLESH.
ความเชื่อที่มีการประพฤติตาม
Part 1: By the Power of the Gospel
“ชีวิตที่ไร้กังวล” A WORRY FREE LIFE. “ชีวิตที่ไร้กังวล” A WORRY FREE LIFE.
A Powerful Purpose – Part 2
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
1. นี่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงทำ พระองค์ทรงรักษาทุกคน ที่เจ็บป่วยให้หายดี
Part 8 Overcoming Discouragement
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
1. มีความเชื่อมโยงกันโดยตรงระหว่างการได้ยิน สิ่งที่มองเห็น
สุขสันต์วันครบรอบคริสตจักร 19 ปี คริสตจักรเรมากรุงเทพฯ
เรื่องราวของวันคริสต์มาส
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
อย่ากลัวสิ่งใดเลย Fear Nothing. อย่ากลัวสิ่งใดเลย Fear Nothing.
เดือนครอบครัวแข็งแกร่ง
Direct Speech Vs Indirect Speech
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
ตอนที่ 3: ท่านเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร?
พระเยซูและเพื่อนของพระองค์
พื้นฐานอันแข็งแกร่งของความเชื่อ Faith’s Strong Foundation
คำเทศนาชุด: ท่านมีของประทาน
I WISH YOU A GREAT DAY! ฉันขอให้คุณ มีความสุขมากๆในวันนี้ นะคะ!
“เข้าใจเรื่องความเชื่อ”
“คิดอย่างแชมป์” THINK LIKE A CHAMPION. “คิดอย่างแชมป์” THINK LIKE A CHAMPION.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
ตอนที่ 4: ผลประโยชน์ของความชอบธรรม
1 ยอห์น 1:5-7 5 นี่เป็นเรื่องราวซึ่งเราได้ยินจากพระองค์และประกาศแก่ท่าน คือพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย 6 ถ้าเราอ้างว่ามีสามัคคีธรรมกับพระองค์แต่ยังดำเนินในความมืด.
ความเชื่อที่จะเจริญรุ่งเรือง
ตอนที่ 6: ชอบธรรมที่ภายใน Part 6: Righteous On The Outside
1. พระเยซูทรงมีฤทธิ์เดชที่จะ ช่วยให้รอด
คุณลักษณะของเพื่อนที่ดีที่สุด
ตอนที่ 3 - โดยฤทธิ์เดชแห่งการอธิษฐาน Part 3 - By the Power of Prayer
“ความเชื่อที่นำสู่ชัยชนะ”
ตอนที่ 2: ค้นพบของประทานของท่าน Part 2: Finding Your Gift
ตอนที่ 1: ผู้เลี้ยงที่ดีเลิศ Part 1: The Good Shepherd
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
แล้วไงเกี่ยวกับความจริง What About Truth?
“เคลื่อนไปสู่ชีวิตใหม่ ตอนที่ 2” Moving Into the Newness of Life
“เคลื่อนไปสู่ชีวิตใหม่” Moving Into the Newness of Life
1. พระเยซูทรงต้องการให้เราเป็น เหมือนพระองค์
ตอนที่ 4: เคลื่อนไปกับของประทานของท่าน Part 4: Flowing In Your Gift
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
เรื่องราวของวันคริสต์มาส ตอนที่ 2: พระเจ้าทรงกลายมาเป็นมนุษย์
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
FREE INDEED! เสรีภาพให้เราเป็นไท
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน.
ใบสำเนางานนำเสนอ:

Good morning welcome to Calvary Chapel at the Bridge สวัสดีตอนเช้าขอต้อนรับสู่ โบสถ์แคล'วะรีแชพ'เพิลที่สะพาน

Psalm เพลงสดุดีบทที่ 106

1Praise the LORD! Oh give thanks to the LORD, for He is good, for His steadfast love endures forever! 1จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าเพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็น นิตย์

2Who can utter the mighty deeds of the LORD, or declare all His praise

3Blessed are they who observe justice, who do righteousness at all times! 3บรรดาผู้ที่ประพฤติความยุติธรรมก็เป็นสุข คือผู้ที่กระทำความชอบธรรมตลอดเวลา

4Remember me, O LORD, when you show favor to your people; help me when you save them, 4ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงโปรดปราน ประชากรของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงช่วยกู้เขา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วย

5that I may look upon the prosperity of your chosen ones, that I may rejoice in the gladness of your nation, that I may glory with your inheritance.

5เพื่อข้าพระองค์จะเห็นความเจริญรุ่งเรืองของบรรดาผู้ เลือกสรรของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์ในความยินดีแห่งประชาชาติ ของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะอวดได้ร่วมกับมรดกของพระองค์

6Both we and our fathers have sinned; we have committed iniquity; we have done wickedness. 6ทั้งข้าพระองค์ทั้งหลายและบรรพบุรุษของ ข้าพระองค์ได้กระทำบาปแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำความบาปผิด ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำอย่างอธรรม

1 Kings พงศ์กษัตริย์ 8:46-53 46“If they sin against You—for there is no one who does not sin—and You are angry with them and give them to an enemy, so that they are carried away captive to the land of the enemy, far off or near,

46“ถ้าเขาทั้งหลายกระทำบาปต่อพระองค์ (เพราะไม่มีมนุษย์สักคนหนึ่งซึ่งมิได้กระทำบาป) และพระองค์ทรงกริ้วต่อเขา และทรงมอบเขาไว้กับศัตรู เขาจึงถูกจับไปเป็นเชลยยังแผ่นดินของศัตรูนั้น ไม่ว่าไกลหรือใกล้

47yet if they turn their heart in the land to which they have been carried captive, and repent and plead with you in the land of their captors, saying, ‘We have sinned and have acted perversely and wickedly,’

47แต่ถ้าเขาสำนึกผิดในใจในแผ่นดิน ซึ่งเขาได้ถูกจับไปเป็นเชลยและได้กลับใจ และได้ทำการวิงวอนต่อพระองค์ใน แผ่นดินของผู้จับเขาไปเป็นเชลย ทูลว่า 'ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาป และได้ประพฤติชั่วร้ายและอย่างอธรรม'

48if they repent with all their mind and with all their heart in the land of their enemies, who carried them captive, and pray to you toward their land, which you gave to their fathers, the city that you have chosen, and the house that I have built for your name,

48ถ้าเขาทั้งหลายกลับมาหาพระองค์ ด้วยสุดจิตสุดใจของเขาในแผ่นดินแห่งศัตรู ทั้งหลายของเขาผู้ซึ่งจับเขาไปเป็นเชลย และอธิษฐานต่อพระองค์ตรงต่อแผ่นดินของเขา ซึ่งพระองค์ทรงประทานแก่บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย คือเมืองซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรรไว้ และพระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้ เพื่อพระนามของพระองค์

49then hear in heaven Your dwelling place their prayer and their plea, and maintain their cause 49ขอพระองค์ทรงสดับคำ อธิษฐานและคำวิงวอนของเขาในฟ้าสวรรค์ อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และขอทรงให้สิทธิอันชอบธรรมของเขาคงอยู่

50and forgive Your people who have sinned against You, and all their transgressions that they have committed against You, and grant them compassion in the sight of those who carried them captive, that they may have compassion on them

50และขอทรงประทานอภัยแก่ประชากรของ พระองค์ผู้ได้กระทำบาปต่อพระองค์ และทรงประทานอภัยต่อการทรยศของเขาทั้งหลาย ซึ่งเขาได้กระทำต่อพระองค์และให้เขาเป็นที่ เมตตาของคนเหล่านั้นที่จับเขาทั้งหลายไปเป็นเชลย เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความเมตตาจากเขา

51(for they are Your people, and Your heritage, which You brought out of Egypt, from the midst of the iron furnace). 51(เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็น ประชากรของพระองค์และเป็นมรดกของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงนำออกมาจากอียิปต์ จากท่ามกลางเตาเหล็ก)

52Let Your eyes be open to the plea of Your servant and to the plea of Your people Israel, giving ear to them whenever they call to You.

52ขอพระเนตรของพระองค์จงลืมอยู่ต่อคำวิงวอน ของผู้รับใช้ของพระองค์ และต่อคำวิงวอนของอิสราเอลประชากรของพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังเมื่อเขาทั้งหลายร้องต่อพระองค์

53For You separated them from among all the peoples of the earth to be Your heritage, as You declared through Moses Your servant, when You brought our fathers out of Egypt, O Lord GOD.”

53เพราะพระองค์ทรงแยกเขาจากท่ามกลางชนชาติ ทั้งหลายของแผ่นดินโลกให้เป็นมรดกของพระองค์ ตามซึ่งพระองค์ตรัสทางโมเสส ผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า ในเมื่อพระองค์ทรงนำบรรพบุรุษ ของข้าพระองค์ทั้งหลายออกจากอียิปต์”

7Our fathers, when they were in Egypt, did not consider your wondrous works; they did not remember the abundance of your steadfast love, but rebelled by the Sea, at the Red Sea.

7บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย เมื่อท่านอยู่ในอียิปต์ ท่านมิได้สนใจในการอัศจรรย์ของพระองค์ ท่านมิได้ระลึกถึงความมั่นคงอันอุดมของพระองค์ แต่ได้กบฏที่ทะเล ที่ทะเลแดง

8Yet He saved them for His name's sake, that He might make known His mighty power. 8ถึงกระนั้นพระองค์ยังทรงช่วยท่านเพราะเห็นแก่ พระนามของพระองค์ เพื่อพระองค์จะให้ทราบถึงมหิทธานุภาพของพระองค์

9He rebuked the Red Sea, and it became dry, and He led them through the deep as through a desert. 9พระองค์ทรงขนาบทะเลแดง มันก็แห้งไป และพระองค์ทรงนำท่านข้ามที่ลึกอย่าง กับเดินข้ามถิ่นทุรกันดาร

10So He saved them from the hand of the foe and redeemed them from the power of the enemy. 10พระองค์จึงทรงช่วยท่านให้พ้นมือของผู้ที่เกลียดชังท่าน และช่วยกู้ท่านให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรู

11And the waters covered their adversaries; not one of them was left

12Then they believed His words; they sang His praise

Exodus อพยพ 14:10-31 10When Pharaoh drew near, the people of Israel lifted up their eyes, and behold, the Egyptians were marching after them, and they feared greatly. And the people of Israel cried out to the LORD.

10เมื่อฟาโรห์เข้ามาใกล้ ชนชาติอิสราเอลก็เงยหน้าขึ้นดู เมื่อเห็นชาวอียิปต์ยกติดตามมา ก็มีความกลัวยิ่งนัก คนอิสราเอลจึงร้องทูลพระเจ้า

11They said to Moses, “Is it because there are no graves in Egypt that you have taken us away to die in the wilderness? What have you done to us in bringing us out of Egypt?

11เขาบอกโมเสสว่า “หลุมฝังศพในอียิปต์ไม่มีหรือ ท่านจึงพาเราออกมาให้ตายในถิ่นทุรกันดาร ทำไมหนอท่านจึงพาเราออกมาจากอียิปต์

12Is not this what we said to you in Egypt, ‘Leave us alone that we may serve the Egyptians’? For it would have been better for us to serve the Egyptians than to die in the wilderness.”

12พวกเราบอกท่านในอียิปต์แล้วมิใช่หรือว่า ปล่อยพวกเราแต่ลำพัง ให้พวกเรารับใช้ชาวอียิปต์เถิด เพราะการรับใช้ชาวอียิปต์นั้น ก็ยังดีกว่าที่จะมาตายในถิ่นทุรกันดาร”

13And Moses said to the people, “Fear not, stand firm, and see the salvation of the LORD, which he will work for you today. For the Egyptians whom you see today, you shall never see again.

13โมเสสจึงเตือนประชากรว่า “อย่ากลัวเลย มั่นคงไว้ คอยดูความรอดที่จะมาจากพระเจ้า ซึ่งพระองค์จะประทานให้แก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ด้วยคนอียิปต์ ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นในวันนี้ แต่นี้ไปจะไม่ได้เห็นอีกเลย

14The LORD will fight for you, and you have only to be silent

15The LORD said to Moses, “Why do you cry to me 15The LORD said to Moses, “Why do you cry to me? Tell the people of Israel to go forward. 15พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เหตุไฉนเจ้าจึงมาร้องทุกข์ต่อเรา จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้เดินต่อไปข้างหน้าเถิด

16Lift up your staff, and stretch out your hand over the sea and divide it, that the people of Israel may go through the sea on dry ground.

16ฝ่ายเจ้าจงยกไม้เท้าของเจ้า แล้วยื่นมือของเจ้าออกไปเหนือทะเล ทำให้ทะเลนั้นแยกออก เพื่อคนอิสราเอลจะได้เดินบนดินแห้งกลางทะเลแล้ว ข้ามไปได้

17And I will harden the hearts of the Egyptians so that they shall go in after them, and I will get glory over Pharaoh and all his host, his chariots, and his horsemen.

17ส่วนเราก็จะบันดาลให้ใจชาวอียิปต์แข็งกระด้างไล่ตามมา แล้วเราจะได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์ พลโยธา รถรบ และพลม้าทั้งหมดของเขา

18And the Egyptians shall know that I am the LORD, when I have gotten glory over Pharaoh, his chariots, and his horsemen.” 18เมื่อเราได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์ รถรบ และพลม้าของเขาแล้ว ชาวอียิปต์ก็จะรู้ว่าเรานี่แหละคือพระเจ้า”

19Then the angel of God who was going before the host of Israel moved and went behind them, and the pillar of cloud moved from before them and stood behind them, 19ฝ่ายทูตของพระเจ้าซึ่งนำพลโยธานั้นกลับไปอยู่ข้างหลัง และเสาเมฆซึ่งอยู่ข้างหน้า ก็กลับมาตั้งอยู่ข้างหลังเขา

20coming between the host of Egypt and the host of Israel 20coming between the host of Egypt and the host of Israel. And there was the cloud and the darkness. And it lit up the night without one coming near the other all night.

20คือมาอยู่ระหว่างพลโยธาอียิปต์และพลโยธาอิสราเอล มีเมฆและความมืดกั้น เวลากลางคืนก็ผ่านไปโดยทั้งสองฝ่ายมิได้เข้าใกล้กันตลอดคืน

21Then Moses stretched out his hand over the sea, and the LORD drove the sea back by a strong east wind all night and made the sea dry land, and the waters were divided.

21โมเสสยื่นมือของท่านออกไปเหนือทะเล และพระเจ้าก็ทรงบันดาลให้ลมทิศตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืน ทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง น้ำแยกออกจากกัน

22And the people of Israel went into the midst of the sea on dry ground, the waters being a wall to them on their right hand and on their left. 22ชนชาติอิสราเอลก็พากันเดินบนดินแห้งกลาง ทะเล ส่วนน้ำนั้นตั้งเป็นเหมือนกำแพงสำหรับเขา ทั้งทางขวาและทางซ้าย

23The Egyptians pursued and went in after them into the midst of the sea, all Pharaoh's horses, his chariots, and his horsemen. 23คนอียิปต์ก็ไล่ตามเขาเข้าไปกลางทะเล ทั้งกองม้าและราชรถ และพลม้าทั้งปวงของฟาโรห์

24And in the morning watch the LORD in the pillar of fire and of cloud looked down on the Egyptian forces and threw the Egyptian forces into a panic, 24เวลาปัจฉิมยามพระเจ้า ทอดพระเนตรจากเสาเพลิงและเสาเมฆทรงเห็นพลโยธาอียิปต์ ก็ทรงบันดาลให้กองทัพอียิปต์เกิดโกลาหล

25clogging their chariot wheels so that they drove heavily 25clogging their chariot wheels so that they drove heavily. And the Egyptians said, “Let us flee from before Israel, for the LORD fights for them against the Egyptians.”

25พระองค์ทรงกระทำให้ล้อรถฝืดจนแล่นไปแทบไม่ไหว คนอียิปต์จึงพูดกันว่า “ให้เราหนีไปจากคนอิสราเอลเถิด เพราะพระเจ้าทรงต่อสู้กับคนอียิปต์แทนเขา”

26Then the LORD said to Moses, “Stretch out your hand over the sea, that the water may come back upon the Egyptians, upon their chariots, and upon their horsemen.” 26ขณะนั้นพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงยื่นมือออกไปเหนือทะเล เพื่อให้น้ำทะเลไหลกลับคืนมาท่วมคนอียิปต์ ทั้งรถรบและพลม้าของเขา”

27So Moses stretched out his hand over the sea, and the sea returned to its normal course when the morning appeared. And as the Egyptians fled into it, the LORD threw the Egyptians into the midst of the sea.

27โมเสสจึงยื่นมือออกไปเหนือทะเล ครั้นรุ่งเช้า ทะเลก็กลับไหลดังเก่า คนอียิปต์พากันหนีกระแสน้ำ แต่พระเจ้าทรงสลัดคนอียิปต์ลงกลางทะเล

28The waters returned and covered the chariots and the horsemen; of all the host of Pharaoh that had followed them into the sea, not one of them remained. 28น้ำก็ท่วมพลรถและพลม้า คือพลโยธาทั้งหมดของฟาโรห์ซึ่งไล่ตามเขาเข้าไปในทะเล ไม่เหลือสักคนเดียว

29But the people of Israel walked on dry ground through the sea, the waters being a wall to them on their right hand and on their left. 29ฝ่ายชนชาติอิสราเอลเดินไปตามดินแห้งกลางท้องทะเล น้ำตั้งขึ้นเหมือนกำแพงสำหรับเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย

30Thus the LORD saved Israel that day from the hand of the Egyptians, and Israel saw the Egyptians dead on the seashore. 30ดังนี้ในวันนั้นพระเจ้าทรงโปรด ช่วยให้คนอิสราเอลรอดจากเงื้อมมือคนอียิปต์ อิสราเอลเห็นศพคนอียิปต์อยู่ที่ชายทะเล

31Israel saw the great power that the LORD used against the Egyptians, so the people feared the LORD, and they believed in the LORD and in his servant Moses.

31อิสราเอลเห็นกิจการใหญ่ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำแก่คนอียิปต์ ประชากรก็เกรงกลัวพระเจ้า เขาทั้งหลายเชื่อถือพระเจ้าและ เชื่อโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ด้วย

13But they soon forgot His works; they did not wait for His counsel

14But they had a wanton craving in the wilderness, and put God to the test in the desert; 14แต่ในถิ่นทุรกันดารนั้นท่านมีความอยากอย่างรุนแรง และได้ทดลองพระเจ้าในที่แห้งแล้ง

15He gave them what they asked, but sent a wasting disease among them

16When men in the camp were jealous of Moses and Aaron, the holy one of the LORD, 16เมื่อคนในค่ายริษยาโมเสส และอาโรน คนบริสุทธิ์ของพระเจ้า

17the earth opened and swallowed up Dathan, and covered the company of Abiram. 17พื้นแผ่นดินอ้าปากกลืนดาธาน และทับคณะอาบีรามเสีย

18Fire also broke out in their company; the flame burned up the wicked

19They made a calf in Horeb and worshiped a metal image

20They exchanged the glory of God for the image of an ox that eats grass. 20ท่านเอาพระสิริของพระเจ้าแลกกับ รูปของวัวที่กินหญ้า

21They forgot God, their Savior, who had done great things in Egypt, 21ท่านลืมพระเจ้า พระผู้ช่วยของท่าน ผู้ได้ทรงกระทำพระราชกิจใหญ่โตในอียิปต์

22wondrous works in the land of Ham, and awesome deeds by the Red Sea

23Therefore He said He would destroy them—had not Moses, His chosen one, stood in the breach before Him, to turn away His wrath from destroying them.

23เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสว่าจะทำลายท่านเสีย ดีแต่โมเสสผู้เลือกสรรของพระองค์ ได้มายืนเฝ้าทัดทานพระองค์ เพื่อหันพระพิโรธของพระองค์เสียจากการทำลาย

Matthew มัทธิว 6:25-26 25“Therefore I tell you, do not be anxious about your life, what you will eat or what you will drink, nor about your body, what you will put on. Is not life more than food, and the body more than clothing?

25“เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ

26Look at the birds of the air: they neither sow nor reap nor gather into barns, and yet your heavenly Father feeds them. Are you not of more value than they?

26จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ

Philippians ฟีลิปปี 2:14-15 14Do all things without grumbling or questioning, 14จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน

15that you may be blameless and innocent, children of God without blemish in the midst of a crooked and twisted generation, among whom you shine as lights in the world, 15เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ถูกติเตียน และไม่มีความผิด เป็น บุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า ในท่ามกลาง พงศ์พันธุ์ที่คดโกงและวิปลาส ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆในโลก

Philippians ฟีลิปปี 2:1-11 1So if there is any encouragement in Christ, any comfort from love, any participation in the Spirit, any affection and sympathy, 1เหตุฉะนั้นถ้าชีวิตในพระคริสต์อำนวยการเร้าใจประการใด ถ้ามีการหนุนใจประการใดในความรัก ถ้ามีส่วนประการใดกับพระวิญญาณ ถ้ามีการรักใคร่เอ็นดูและเห็นอกเห็นใจประการใด

2complete my joy by being of the same mind, having the same love, being in full accord and of one mind. 2ก็ขอให้ท่านทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยม ด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีใจรู้สึกและคิดพร้อมเพรียงกัน

3Do nothing from rivalry or conceit, but in humility count others more significant than yourselves. 3อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว

4Let each of you look not only to his own interests, but also to the interests of others. 4อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย

5Have this mind among yourselves, which is yours in Christ Jesus, 5ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์

6who, though he was in the form of God, did not count equality with God a thing to be grasped, 6ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ

7but made Himself nothing, taking the form of a servant, being born in the likeness of men. 7แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์

8And being found in human form, He humbled himself by becoming obedient to the point of death, even death on a cross. 8และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน

9Therefore God has highly exalted Him and bestowed on Him the name that is above every name, 9เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์

10so that at the name of Jesus every knee should bow, in heaven and on earth and under the earth, 10เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู

11and every tongue confess that Jesus Christ is Lord, to the glory of God the Father. 11และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า   

24Then they despised the pleasant land, having no faith in His promise

25They murmured in their tents, and did not obey the voice of the LORD

26Therefore He raised His hand and swore to them that He would make them fall in the wilderness, 26เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงยกพระหัตถ์ ของพระองค์ปฏิญาณต่อท่าน ว่าจะทำให้ท่านล้มตายในถิ่นทุรกันดาร

27and would make their offspring fall among the nations, scattering them among the lands. 27และจะกระจายเชื้อสายของท่านไป ท่ามกลางประชาชาติ หว่านเขาไปทั่วประเทศทั้งหลาย

28Then they yoked themselves to the Baal of Peor, and ate sacrifices offered to the dead; 28แล้วท่านก็ไปติดพันอยู่กับบาอัลแห่งเมืองเพโอร์ และรับประทานเครื่องสัตวบูชา ที่บูชาพระตาย

29they provoked the LORD to anger with their deeds, and a plague broke out among them. 29ท่านยั่วเย้าพระองค์ให้ทรงกริ้วด้วยการกระทำของท่าน และโรคระบาดเกิดขึ้นท่ามกลางท่าน

30Then Phinehas stood up and intervened, and the plague was stayed

31And that was counted to him as righteousness from generation to generation forever. 31ที่เขาทำนั้นพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่เขา ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์สืบต่อไป เป็นนิตย์

32They angered Him at the waters of Meribah, and it went ill with Moses on their account, 32ท่านทำให้พระองค์กริ้วที่น้ำเมรีบาห์ เพราะเรื่องของท่านนี้ โมเสสก็พลอยเสียหายด้วย

33for they made his spirit bitter, and he spoke rashly with his lips

34They did not destroy the peoples, as the LORD commanded them, 34ท่านมิได้ทำลายชนชาติทั้งหลาย ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาท่านไว้

35but they mixed with the nations and learned to do as they did

36They served their idols, which became a snare to them

37They sacrificed their sons and their daughters to the demons; 37ท่านฆ่าบุตรชายและบุตรหญิงของท่าน ถวายเป็นเครื่องสักการบูชาแก่ปีศาจ

38they poured out innocent blood, the blood of their sons and daughters, whom they sacrificed to the idols of Canaan, and the land was polluted with blood.

38ท่านเทโลหิตผู้ไร้ผิดออกมา คือโลหิตบุตรชายบุตรหญิงของท่าน ผู้ซึ่งท่านได้ฆ่าเป็นเครื่องสักการบูชาแก่ รูปเคารพแห่งคานาอัน แผ่นดินก็มลทินไปด้วยโลหิต

39Thus they became unclean by their acts, and played the whore in their deeds. 39ท่านจึงเป็นคนไม่สะอาดด้วยการกระทำของท่าน และประพฤติเยี่ยงโสเภณีในการกระทำของท่าน

40Then the anger of the LORD was kindled against His people, and He abhorred His heritage; 40แล้วความกริ้วของพระเจ้า ก็พลุ่งขึ้นต่อ ประชากรของพระองค์ และพระองค์ทรงรังเกียจมรดกของพระองค์

41He gave them into the hand of the nations, so that those who hated them ruled over them. 41พระองค์ทรงมอบท่านไว้ในมือประชาชาติต่างๆ บรรดาผู้ที่เกลียดท่านจึงปกครองเหนือท่าน

42Their enemies oppressed them, and they were brought into subjection under their power. 42ศัตรูของท่านได้บีบบังคับท่าน และท่านตกไปอยู่ใต้อำนาจของเขา

43Many times He delivered them, but they were rebellious in their purposes and were brought low through their iniquity. 43พระองค์ทรงช่วยกู้ท่านหลายครั้ง แต่ท่านมักกบฏในจุดประสงค์ของท่าน และถูกเหยียดลงด้วยความบาปผิดของท่าน

44Nevertheless, He looked upon their distress, when He heard their cry

45For their sake He remembered His covenant, and relented according to the abundance of His steadfast love. 45เพื่อเห็นแก่ท่าน พระองค์ทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์ และกลับทรงกรุณาตามความรักมั่นคงอันอุดมของพระองค์

46He caused them to be pitied by all those who held them captive

47Save us, O LORD our God, and gather us from among the nations, that we may give thanks to your holy name and glory in your praise.

47ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด และขอทรงรวบรวมข้าพระองค์ทั้งหลาย จากท่ามกลางประชาชาติต่างๆ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะโมทนา ขอบพระคุณพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ และเริงโลดในการสรรเสริญพระองค์

48Blessed be the LORD, the God of Israel, from everlasting to everlasting! And let all the people say, “Amen!” Praise the LORD! 48จงถวายสาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล แต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล และขอประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า “อาเมน” จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด