งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

การเขียนโปรแกรมร่วมสมัย

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "การเขียนโปรแกรมร่วมสมัย"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 การเขียนโปรแกรมร่วมสมัย
ภาษาต่างๆที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม อ.กฤติเดช จินดาภัทร์

2 จุดประสงค์การเรียนรู้
เพื่อให้นักศึกษาสามารถทราบถึงภาษาโปแกรมแต่ละภาษาต่างๆในการเขียนโปรแกรม เพื่อให้นักศึกษาสามารถอธิบายถึงภาษาโปแกรมแต่ละภาษาต่างๆในการเขียนโปรแกรม

3 หัวข้อการเรียนรู้ 1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
2. ภาษาระดับกลาง (Medium Level Language) 3. ภาษาระดับสูง (High Level Language) 4.ตัวอย่างภาษาต่างๆ

4 ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์คือ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำคัญคือหากไม่มีภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากขาดชุดคำสั่งในการงาน คอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานได้จะต้องมีการเขียนโปรแกรมหรือซอร์ฟแวร์ เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานโปรแกรมต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นมานั้น จะต้องเขียนไปตามกฎเกณฑ์ของภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ 1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language) 2. ภาษาระดับกลาง (Medium Level Language) 3. ภาษาระดับสูง (High Level Language)

5 1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
ก่อนปีค.ศ.1952 มีภาษาคอมพิวเตอร์เพียงภาษาเดียวเท่านั้นคือ ภาษาเครื่อง (Machine Language) ซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำที่สุดเพราะใช้เลขฐานสองแทนข้อมูล และคำสั่งต่าง ๆ ทั้งหมดจะเป็นภาษาที่ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือหน่วยประมวลผลที่ใช้นั่นคือ แต่ละเครื่องก็จะมีรูปแบบของคำสั่งเฉพาะของตนเองซึ่งนักคำนวณและนักเขียนโปรแกรมในสมัยก่อนต้องรู้จักวิธีที่จะรวมตัวเลขเพื่อแทนคำสั่งต่าง ๆ ทำให้การเขียนโปรแกรมยุ่งยากมาก นักคอมพิวเตอร์จึงได้พัฒนาภาษาแอสเซมบลีขึ้นมาเพื่อให้สามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น ภาษาเครื่อง เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระดับต่ำที่สุด ซึ่งคอมพิวเตอร์เข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านตัวแปลภาษาเพราะเขียนคำสั่งและแทนข้อมูลด้วยเลขฐานสอง (Binary Code) ทั้งหมด ซึ่งเป็นการเขียนคำสั่งด้วยเลข 0 หรือ 1 ดังตัวอย่างคำสั่งภาษาเครื่อง ดังนี้

6 1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
ข้อดีของภาษาเครื่อง คือสามารถเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงานคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง และสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างรวดเร็ว    สรุป เป็นภาษาพื้นฐานที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ แต่ละคำสั่งประกอบขึ้นจากกลุ่มตัวเลข 0 และ 1 ซึ่งเป็นเลขฐานสอง

7 1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language) เป็นภาษาที่ใช้สัญลักษณ์ข้อความ แทนกลุ่มของตัวเลขฐานสอง เพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการจดจำมากขึ้น การทำงานของโปรแกรมจะต้องทำการแปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง โดยใช้ตัวแปลที่เรียกว่า แอสเซมเบลอร์ (Assembler)ซึ่งในปีค.ศ ได้มีการพัฒนาโปรแกรมภาษาระดับต่ำตัวใหม่ ชื่อภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language)

8 1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language) โดยที่ภาษาแอสเซมบลีใช้รหัสเป็นคำแทนคำสั่งภาษาเครื่อง ทำให้นักเขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น ถึงแม้ว่าการเขียนโปรแกรมจะยังไม่สะดวกเท่ากับการเขียนโปรแกรมภาษาอื่น ๆ ในสมัยนี้ แต่ถ้าเปรียบเทียบในสมัยนั้นก็ถือว่าเป็นการพัฒนาไปสู่ยุคของการเขียนโปรแกรมแบบใหม่ คือใช้สัญลักษณ์แทนเลข 0 และ 1 ของภาษาเครื่อง ซึ่งสัญลักษณ์ที่ใช้จะเป็นคำสั่งสั้น ๆ ที่จะได้ง่าย เรียกว่า นิมอนิกโคด (mnemonic code) เช่น

9 1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)

10 1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
เป็นภาษาที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจคำสั่งได้ง่ายแต่มนุษย์เข้าใจได้ยาก ใช้เวลาในการศึกษาและเขียนโปรแกรมนานภาษาระดับต่ำสามารถติดต่อกับฮาร์ดแวร์ได้ดีทำให้ทำงานได้เร็ว ซึ่งภาษาระดับต่ำมีอยู่ 2 ภาษาคือ 1.1 ภาษาเครื่อง (Machine Language) 1.2 ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language)

11 2. ภาษาระดับกลาง (Medium Level Language)
เป็นภาษาที่ทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก เพราะมีลักษณะเป็นภาษาแบบโครงสร้าง ทำความเข้าใจได้ เหมือนกับภาษาระดับสูง แต่ทำงานได้รวดเร็วเหมือนกับภาษาระดับต่ำ สามารถใช้บนเครื่องที่มีความเร็วต่างกัน โดยไม่ต้องดัดแปลง ภาษาระดับกลาง ได้นำข้อดีของภาษาระดับต่ำ และระดับสูงมาพัฒนาเป็นภาษาระดับกลาง ดังนั้นภาษาระดับกลาง จึงเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ตัวอย่างของภาษาระดับกลางได้ภาษาซี เป็นต้น

12 2. ภาษาระดับกลาง (Medium Level Language)

13 2. ภาษาระดับกลาง (Medium Level Language)

14 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์คือ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำคัญคือหากไม่มีภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากขาดชุดคำสั่งในการงาน คอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานได้จะต้องมีการเขียนโปรแกรมหรือซอร์ฟแวร์ เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานโปรแกรมต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นมานั้น จะต้องเขียนไปตามกฎเกณฑ์ของภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ 1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language) 2. ภาษาระดับกลาง (Medium Level Language) 3. ภาษาระดับสูง (High Level Language)

15 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
ภาษาระดับสูง เป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น และการนำไปประยุกต์ใช้งาน สามารถทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันได้ โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาระดับสูง จำเป็นต้องมีตัวแปลภาษาเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ โดยโปรแกรมแปลภาษามี 2 ประเภท คือ คอมไพเลอร์ (compiler)จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อน แล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้นอินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป

16 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
คอมไพเลอร์ (compiler)

17 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
คอมไพเลอร์ (compiler)

18 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter)

19 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter)

20 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
ชนิด ข้อดี ข้อเสีย คอมไพเลอร์ -ทำงานได้เร็ว เนื่องจากทำการแปลผลทีเดียว แล้วจึงทำงานตามคำสั่งของโปรแกรมในภายหลัง -เมื่อทำการแปลผลแล้ว  ในครั้งต่อไปไม่จำเป็นต้องทำการแปลผลใหม่อีก เนื่องจากภาษาเครื่องที่แปลได้จะถูกเก็บไว้ที่หน่วยความจำ สามารถเรียกใช้งานได้ทันที เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นกับโปรแกรมจะตรวจสอบหาข้อผิดพลาดได้ยาก เพราะทำการแปลผลทีเดียวทั้งโปรแกรม อินเตอร์พรีเตอร์ หาข้อผิดพลาดของโปรแกรมได้ง่าย เนื่องจากทำการแปลผลทีละบรรทัด -เนื่องจากทำงานทีละบรรทัดดังนั้นจึงสั่งให้โปรแกรมทำงานตามคำสั่งเฉพาะจุดที่ต้องการได้ -ไม่เสียเวลารอการแปลโปรแกรมเป็นเวลานาน ช้า เนื่องจากที่ทำงานทีละบรรทัด

21 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
อินเตอร์พรีเตอร์ คอมไพเลอร์ 1. แปลภาษาทีละคำสั่ง และทำตามคำสั่งนั้นทันที 2. การทำงานในลักษณะวนทำงานซ้ำ ๆ จะทำงานช้า เพราะจะต้องแปลทีละคำสั่งทีละรอบ 3. ใช้เนื้อที่ในหน่วยความจำน้อย 4. เมื่อพบข้อผิดพลาดต้องแก้ไขทีละคำสั่ง ถึงจะทำงานต่อได้ 5. ใช้กับภาษา พีเอชพี (PHP) เอพีแอล (APL) เบสิก (BASIC) เป็นต้น 1. แปลโปรแกรมต้นฉบับให้เสร็จก่อน ค่อยทำตามคำสั่งในโปรแกรม 2. การทำงานลักษณะวนทำงานซ้ำ ๆ จะทำงานเร็ว เพราะจะเอาออปเจ็กโปรแกรมที่ผ่านการคอมไพล์แล้วไปใช้ 3. ใช้เนื้อที่ในหน่วยความจำมาก 4. เมื่อพบข้อผิดพลาดจะแสดงข้อผิดพลาดครั้งเดียวหลังคอมไพล์เสร็จสิ้น และสามารถเข้าไปแก้ไขโปรแกรมครั้งเดียวได้เลย 5. ใช้กับภาษาซี (C)  ซีชาร์ฟ(C#) โคบอล (COBOL)  เป็นต้น

22 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
ภาษาฟอร์แทรน (Fortran Language) FORTRAN ย่อมาจาก FORmula TRANslator เป็นภาษาระดับสูงภาษาแรกที่ได้มีการใช้อย่างแพร่หลาย เป็นภาษาที่ใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ และไมโครคอมพิวเตอร์ เหมาะกับงานคำนวณทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่มีการคำนวณมาก ๆ มีฟังก์ชันการคำนวณให้ผู้ใช้เลือกใช้ได้มาก เหมาะกับนักวิจัย นักสถิติ หรือวิศวกรข้อดี คือ คำสั่งส่วนใหญ่จะง่ายและสั้น โปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นบนเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งจะสามารถนำไปแก้ไขและใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์อีกประเภทหนึ่งได้ ข้อเสีย คือ ไม่เหมาะกับงานทางธุรกิจที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับงานทางด้านการรับข้อมูลเข้า (Input) และข้อมูลออก (Output) ที่ต้องสร้างรายงานมากๆ หรืองานที่ต้องการเก็บข้อมูลเป็นไฟล์

23 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)

24 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)

25 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
ภาษาโคบอล (Cobol Language) COBOL ย่อมาจาก Common Business – Oriented Language เนื่องจากภาษาฟอร์แทรนมีข้อจำกัด คือ ไม่เหมาะกับงานธุรกิจ ที่ต้องมีการออกรายงานมากๆ ภาษาโคบอลจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เหมาะกับงานธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลมาก ๆ เช่น งานธนาคาร หรือใช้สำหรับออกรายงานที่ซับซ้อนที่ต้องการความสวยงามข้อดีของภาษาโคบอล คือ ไม่ขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถเขียนโปรแกรมเพื่อใช้งานได้ทั้งบนไมโครคอมพิวเตอร์ โดยอาจต้องแก้ไขโปรแกรมเพียงเล็กน้อย และยังสามารถจัดการเกี่ยวกับข้อมูลเข้า/ออก ได้ง่าย มีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ ทำให้เป็นภาษาที่อ่านและเข้าใจได้ง่าย และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการเขียนโปรแกรม ส่วนข้อเสีย คือ มีความยาวในการเขียนโปรแกรมค่อนข้างมาก และเยิ่นเย้อ ไม่เหมาะกับการคำนวณที่ซับซ้อน

26 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
วิชวลเบสิก (Visual Basic) BASIC ย่อมาจาก Beginner’s All-purpose Symbolic Instruction Code ภาษาเบสิคถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการสอนนักศึกษา ปัจจุบันได้ขยายการใช้งานไปสู่งานทางธุรกิจอีกด้วย ภาษาเบสิคนิยมใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์และมินิคอมพิวเตอร์ สามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายและรวดเร็วกว่าภาษาอื่น เหมาะกับงานธุรกิจขนาดเล็ก และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรมลักษณะการทำงานของภาษาเบสิค เป็นแบบโต้ตอบ (Interactive) คือ ผู้ใช้สามารถ ติดต่อสื่อสารกับเครื่องได้ระหว่างที่มีการเขียนโปรแกรม และรันโปรแกรม ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถพิมพ์โปรแกรมเข้าเครื่อง และแก้ไขข้อผิดพลาดได้ทันที เมื่อพบข้อผิดพลาด ข้อดีของภาษานี้คือ ง่ายต่อการเรียนรู้และสามารถใช้งานได้บนเครื่องทุกระดับ และยังสามารถถูกเขียนขึ้นเพื่อใช้ทำงานได้หลายประเภท ข้อเสีย คือ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เกื้อหนุนต่อการเขียนโปรแกรมอย่างมีโครงสร้างที่ดี จึงไม่เหมาะในการพัฒนาโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจากมีความเร็วในการประมวลผลค่อนข้างช้า

27 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)

28 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
ภาษาปาสคาล (PASCAL) ในช่วงปี ค.ศ นักวิทยาศาสตร์ชาวสวิสชื่อ Niklaus Wirth ได้พัฒนาภาษาปาสคาลสำหรับการสอนการเชียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ให้กับนักศึกษา โดยได้ตั้งชื่อภาษานี้ตามชื่อของนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Blaise Pascal ผู้ซึ่งพัฒนาเครื่องคำนวณในยุคแรก ปัจจุบันภาษาปาสคาลถูกนำมาพัฒนาให้ใช้ได้ทั้งบยนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์และมินิคอมพิวเตอร์ และต่อมาบริษัทบอร์แลนด์ ได้พัฒนาเทอร์โบปาสคาล (Turbo Pascal) ขึ้นให้เป็นภาษาในรูปแบบของโปรแกรมเชิงวัตถุ

29 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)

30 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
HTML คือ ภาษาหลักที่ใช้ในการเขียนเว็บเพจ โดยใช้ Tag ในการกำหนดการแสดงผล HTML ย่อมาจากคำว่า Hypertext Markup Language โดย Hypertext หมายถึง ข้อความที่เชื่อมต่อกันผ่านลิ้ง (Hyperlink) Markup language หมายถึงภาษาที่ใช้ Tag ในการกำหนดการแสดงผลสิ่งต่างๆที่แสดงอยู่บนเว็บเพจ ดังนั้น HTML จึงหมายถึง ภาษาที่ใช้ Tag ในการกำหนดการแสดงผลเว็บเพจที่ต่างก็เชื่อมถึงกันใน Hyperspace ผ่าน Hyperlink นั่นเอง

31 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
PHP ย่อมาจาก PHP Hypertext Preprocessor แต่เดิมย่อมาจาก Personal Home Page Tools PHP คือภาษาคอมพิวเตอร์จำพวก scripting language ภาษาจำพวกนี้คำสั่งต่างๆจะเก็บอยู่ในไฟล์ที่เรียกว่า script และเวลาใช้งานต้องอาศัยตัวแปรชุดคำสั่ง ตัวอย่างของภาษาสคริปก็เช่น JavaScript , Perl เป็นต้น ลักษณะของ PHP ที่แตกต่างจากภาษาสคริปต์แบบอื่นๆ คือ PHP ได้รับการพัฒนาและออกแบบมา เพื่อใช้งานในการสร้างเอกสารแบบ HTML โดยสามารถสอดแทรกหรือแก้ไขเนื้อหาได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นจึงกล่าวว่า PHP เป็นภาษาที่เรียกว่า server-side หรือ HTML-embedded scripting language นั้นคือในทุกๆ ครั้งก่อนที่เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งให้บริการเป็น Web server จะส่งหน้าเว็บเพจที่เขียนด้วย PHP ให้เรา มันจะทำการประมวลผลตามคำสั่งที่มีอยู่ให้เสร็จเสียก่อน แล้วจึงค่อยส่งผลลัพธ์ที่ได้ให้เรา ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็คือเว็บเพจที่เราเห็นนั่นเอง ถือได้ว่า PHP เป็นเครื่องมือที่สำคัญชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถสร้าง Dynamic Web pages (เว็บเพจที่มีการโต้ตอบกับผู้ใช้) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีลูกเล่นมากขึ้น

32 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)
     PHP เป็นผลงานที่เติบโตมาจากกลุ่มของนักพัฒนาในเชิงเปิดเผยรหัสต้นฉบับ หรือ OpenSource ดังนั้น PHP จึงมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับ Apache Web server ระบบปฏิบัติอย่างเช่น Linuxหรือ FreeBSD เป็นต้น ในปัจจุบัน PHP สามารถใช้ร่วมกับ Web Server หลายๆตัวบนระบบปฏิบัติการอย่างเช่น Windows 95/98/NT เป็นต้น ลักษณะเด่นของ PHP      1.ใช้ได้ฟรี      2.PHP เป็นโปร แกรมวิ่งข้าง Sever ดังนั้นขีดความสามารถไม่จำกัด      3.Conlatfun นั่นคือPHP วิ่งบนเครื่อง UNIX,Linux,Windows ได้หมด      4.เรียนรู้ง่าย เนืองจาก PHP ฝั่งเข้าไปใน HTML และใช้โครงสร้างและไวยากรณ์ภาษาง่ายๆ      5.เร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมือใช้กับ Apach Xerve เพราะไม่ต้องใช้โปรแกรมจากภายนอก      6.ใช้ร่วมกับ XML ได้ทันที      7.ใช้กับระบบแฟ้มข้อมูลได้      8.ใช้กับข้อมูลตัวอักษรได้อย่างมีประสิทธิภาพ      9.ใช้กับโครงสร้างข้อมูล แบบ Scalar,Array,Associative array      10.ใช้กับการประมวลผลภาพได้

33 3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)

34 A&Q Thank You !


ดาวน์โหลด ppt การเขียนโปรแกรมร่วมสมัย

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google