Facies analysis
การศึกษาถึง facies และการลำดับชั้นหินเป็นวิธีการที่จะทำให้ทราบถึงสภาพแวดล้อยของการสะสมตัวของหินตะกอน ลักษณะทางกายภาพ ทางเคมีและทางชีวภาพของสภาพแวดล้อมนั้นๆ ถูกเก็บรักษาไว้ในหินตะกอนเหล่านี้ primary sedimentary feture มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากมักเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมนั้นๆ การเรียงลำดับชั้นหินจะเป็ตัวบอกการเปลี่ยนแปลงในแง่ของขนาดที่เปลี่ยนไปและเวลาที่ผ่านไป
The electrofacies concept จากการศึกษาที่ผ่ามาจะพบว่า log ต่างๆให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ส่วนประกอบทางแร่ ลักษณะเนื้อหิน ลักษณะโครงสร้างทางหินตะกอน log เพียงชนิดเดียวก็สามารถที่จะจำแนกชั้นหินออกได้อย่างง่ายดาย เช่น SP log หรือ Gamma ray log แต่หากต้องการความถูกต้องแม่นยำ การใช้ข้อมูลจาก log ทุกชนิดมีความจำเป็น
parameter ที่ใช้ในการกำหนด facies สามารถหาได้จาก logs และนำไปสู่การสร้างแผนที่แสดง facies ในพื้นที่ศึกษา ความชัดเจนและแม่นยำของแผนที่แสดง facies นี้ ขึ้นอยู่กับจำนวนข้อมูล log ที่ใช้และการกระจายตัวของข้อมูลให้ครอบคลุมพื้นที่ศึกษา
parameter หนึ่งซึ่งถูกละเลยในการศึกษาลักษณะทางธรณีวิทยาของหินโผล่คือของเหลวที่อยู่ในชั้นหิน เนื่องจากสังเกตได้ยากและในบางครั้งไม่มีความสำคัญพอ แต่ข้อมูลจาก log ข้อมูลเหล่านี้ปรากฏอยู่และเป็นข้อมูลที่ถูกนำมาใช้ในการกำหนดลักษณะของ elctrofacies แต่ละ electrofacies กำหนดโดยธรรมชาติของของเหลวที่อยู่ในชั้นหิน
ดังนั้นในหนึ่ง geological facies อาจพบได้หลาย electrofacies ซึ่งอาจเป็นข้อด้อยของการศึกษา แต่จุดประสงค์ของการทำ electrofacies คือการจำแนกชั้นหินต่างๆ ออกจากกันโดยอาศัยลักษณะที่เห็นเด่นชัดจาก log หลังจากนั้นอาศัยข้อมูลจาก log อื่นๆ ที่ของเหลวในชั้นหินไม่มีผลต่อ log มาศึกษาเพิ่มเติม ของเหลวที่อยู่ในชั้นหินต่างๆและชนิกของหินจะเป็นตัวบอกถึงสภาพแวดล้อมของการสะสมตัว
โดยการศึกษาจากลักษณะการเปลี่ยนแปลงของ log ทำให้สามารถบอกถึงลักษณะและสภาพแวดล้อมของการสะสมตัวของตะกอน จากลักษณะเฉพาะของ logs ในแต่ละสภาพแวดล้อม สามารถนำมาจำแนกเป็น electrofacies ได้
Electrofacies Analysis from Wireline Logs จุดประสงค์ของการวิเคราะห์ คือ การอธิบายถึงลักษณะของชั้นหินที่ถูกเจาะผ่าน ทำให้สามารถศึกษาถึงชั้นหินตามแนวดิ่ง ซึ่งอาจใช้ในการอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงตามแนวราบได้ ทำให้นำไปสู่การอธิบายถึง สภาพแวดล้อมของการสะสมตัวของชั้นหินในบริเวณนั้นได้
การศึกษาชั้นหินตะกอนจาก log ต่างๆ ได้จากการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของ log ทำให้สามารถบ่งบอกถึงชนิดของการสะสมตัวและสภาพแวดล้อมของการสะสมตัว ข้อมูลที่นิยมใช้ในการศึกษาอาจได้จาก SP log, Gamma ray log และ Resistivity log
การศึกษา electrofacies ทำได้ โดยอาศัยข้อมูลจาก log ต่างๆ นำมาแบ่งออกเป็นส่วนๆ แต่ละส่วนมีความหนา มากกว่าค่าเฉลี่ยของ vertical resoultion ของเครื่องมือ (ประมาณ 2 - 3 ฟุต หรือ 60 - 90 เซนติเมตร) ค่าที่อ่านสูงสุด ต่ำสุด ที่ได้ในแต่ละส่วน นำมา plot ลงใน rosettes diagram หรือ spider’s web เมื่อเชื่อมจุดต่างๆเข้าด้วยกัน จะได้ลักษณะเฉพาะของแต่ละส่วน แต่ละชั้นที่มีลักษณะและชนิดของหินที่แตกต่างกัน ก็จะได้รูปร่างของ rosettes diagram หรือ spider’s web ที่แตกต่างกัน