วัฒนธรรมทางการเมือง ผศ.ดร.ชาญชัย จิตรเหล่าอาพร ผศ.ดร.ชาญชัย จิตรเหล่าอาพร ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ประเด็น ความหมายของวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) ประเภทของวัฒนธรรมทางการเมืองของ Almond วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย (Democratic Political Culture) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบอำนาจนิยม (Authoritarian Political Culture) การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture)
ความหมายของวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) Almond and Powell (1966) ให้คำจำกัดความวัฒนธรรมทางการเมืองว่าเป็นเรื่องของ แบบอย่างของทัศนคติ (Attitudes) และความโน้มเอียง ซึ่งบุคคลในฐานะสมาชิกของระบบการเมืองมี ต่อการเมือง ทั้งนี้ความโน้มเอียงก็คือ ท่าที (Presuppositions) ที่จะมีการกระทำทางการเมืองแบบ ใดแบบหนึ่ง และทัศนคติก็อาจจะไม่แสดงออกชัดเจน แต่อาจแฝงอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกชน หรือกลุ่มคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับระบบการเมืองนั้น เพราะฉะนั้นวัฒนธรรมทางการเมืองจึงถือเป็นเครื่องมือ ชี้แนะแนวทางในการประพฤติปฏิบัติทางการเมืองแก่บุคคล โดยช่วยตีความสิ่งที่เป็นการเมืองสำหรับสังคม ส่วนรวม วัฒนธรรมทางการเมืองเปรียบเหมือนแผนที่ของค่านิยมและปทัสถานทางการเมืองที่แสดงถึงความ สอดคล้องของทั้งปัจเจกบุคคลและสถาบันหรือองค์กรทางการเมืองต่างๆ มีความสอดคล้องกันพอสมควร
ประเภทของวัฒนธรรมทางการเมืองของ Almond Almond & Verba (1963) ได้แบ่งประเภทของวัฒนธรรมการเมือง ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.แบบคับแคบ 2.แบบไพร่ฟ้า 3.แบบมีส่วนร่วม
1.วัฒนธรรมแบบคับแคบ (Parochial Political Culture) หมายถึง การที่คนในสังคมมีความโน้มเอียงต่อความรู้สึกต่อระบบการเมืองน้อยมาก กล่าวคือ บุคคลแทบ จะไม่มีความสัมพันธ์กับระบบการเมืองเลย เขาจะไม่คิดว่าการเมืองในระดับชาติจะกระทบเขาได้และเขาก็ ไม่หวังว่าระบบการเมืองระดับชาติจะตอบสนองความต้องการอะไรของเขา สังคมที่อาจมีวัฒนธรรมทาง การเมืองแบบคับแคบ ก็คือบรรดาสังคมเผ่าทั้งหลายในแอฟริกาหรือชาวเขาต่างๆ ซึ่งคนในแต่ละเผ่าอาจ ไม่ได้เชื่อมโยงกับระบบการเมืองระดับชาติเลย มีการรับรู้ที่แคบอยู่แต่ในเฉพาะกิจการของเผ่าตน วัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบมักจะปรากฏในสังคมที่ไม่มีการแบ่งแยกบทบาททางการเมืองออกจาก บทบาทอื่น กล่าวคือ การเป็นหัวหน้าเผ่า เป็นการผสมผสานบทบาทต่างๆ ทั้งในด้านการเมือง-เศรษฐกิจ- ศาสนาเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นความโน้มเอียงทางการเมืองของคนในสังคมจึงแยกไม่ออกจากความโน้มเอียง ทางสังคมและศาสนา
2.วัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟ้า (Subject Political Culture) หมายถึง เมื่อคนส่วนใหญ่ในสังคมรู้จักสถาบันทางการเมืองเฉพาะอย่าง และมีความรู้สึกต่อสถาบันทาง การเมืองเหล่านี้ ทั้งในแง่บวกหรือแง่ลบ อีกทั้งสามารถประเมินค่าว่าชอบธรรมหรือไม่ แต่เขาจะมี ความสัมพันธ์กับระบบการเมืองโดยทั่วไป และกับปัจจัยนำออกจากสถาบันเท่านั้น กล่าวคือ ผู้ที่อยู่ในฐานะ ผู้รอรับผลจากระบบการเมืองโดยที่ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในการเสนอความต้องการของตนต่อระบบ แม้เขาจะ เคารพเชื่อฟังระบบแต่ก็มองว่าเขาเองแทบจะไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อระบบ
3.วัฒนธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วม (Participant Political Culture) หมายถึง เมื่อคนในสังคมมีความรู้สึก เกี่ยวกับระบบการเมืองและส่วนต่างๆ ของมันมาก จะเป็นทางบวก หรือทางลบก็ได้ และมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าไปมีบทบาททางการเมือง
ข้อค้นพบเพิ่มเติม ในสภาพความเป็นจริง ไม่มีสังคมใดที่จะมีวัฒนธรรมทางการเมืองเหมือนกันกับตัวแบบข้างต้นไปเสียทีเดียว หรือวัฒนธรรมการเมืองอย่างเดียวกันทั่วสังคม สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าคือ การมีวัฒนธรรมการเมืองแบบ ผสมต่างๆ ดังนี้ 1.วัฒนธรรมการเมืองแบบคับแคบผสมแบบไพร่ฟ้า (Parochial-Subject) 2.วัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ผสมแบบมีส่วนร่วม (Subject-Participant) 3.วัฒนธรรมการเมืองแบบคับแคบผสมแบบมีส่วนร่วม (Parochial-Participant)
1.วัฒนธรรมการเมืองแบบคับแคบผสมแบบไพร่ฟ้า (Parochial-Subject) มีลักษณะประชาชนพลเมืองกำลังเริ่มผูกพันน้อยลงกับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบของท้องถิ่น ตนเอง และเริ่มมีความจงรักภักดีมากขึ้นต่อสถาบันทางการเมืองการปกครองของส่วนกลาง แต่ความสำนึก ว่าตนเองเป็นพลังทางการเมืองหนึ่ง ยังคงมีน้อย กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือมีการยอมรับนับถือและปล่อยให้ อภิสิทธิ์ชนทางชนชั้นทางการเมืองทำการปกครองไปโดยตนไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย วัฒนธรรมทางการเมือง แบบนี้คือ แบบที่ปรากฏมากในช่วงแรกๆ ของการรวมท้องถิ่นต่างๆ เป็นอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สมัยโบราณ.
2.วัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ผสมแบบมีส่วนร่วม (Subject-Participant) มีลักษณะประชาชนพลเมืองจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พวกที่มีความเข้าใจถึงบทบาททางการปัจจัย การนำเข้ามากและมีความไวต่อสถาบันทางการเมืองทุกชนิด และมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมทาง การเมือง กับอีกพวก คือยังคงยอมรับในอำนาจของอภิสิทธิ์ชนทางการเมืองและมีความเฉื่อยชาทาง การเมือง วัฒนธรรมทางการเมืองแบบนี้ปรากฏในในยุโรปตะวันตก เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี ใน ศตวรรษที่ 19
3.วัฒนธรรมการเมืองแบบคับแคบผสมแบบมีส่วนร่วม (Parochial-Participant) มีลักษณะที่พบได้ในประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่แต่เดิมอำนาจของรัฐบาลกลางอ่อน มีท้องถิ่นต่างๆ ที่มีวัฒนธรรมแบบคับแคบดำรงอยู่มาก เมื่อจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสมัยใหม่ ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม จึงเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรมใหม่กับวัฒนธรรมเก่าที่คับ แคบ ปัญหาในกรณีนี้มิใช่แต่ปัญหาการสร้างกระบวนการในการที่ประชาชนจะเข้าร่วมทางการเมืองเท่านั้น หากแต่รวมถึงปัญหาในการสร้างโครงสร้างด้านปัจจัยนำออกหรือด้านการปกครองควบคู่กันไปด้วย
ข้อสังเกต ระดับของวัฒนธรรมทางการเมือง วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้าผสมแบบมีส่วนร่วม วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า วัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบผสมไพร่ฟ้า วัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบผสมมีส่วนร่วม
ทัศนะของ Almond &Verba (1963) มองว่า วัฒนธรรมการเมืองที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประชาธิปไตยมากที่สุด คือวัฒนธรรมการเมืองแบบ ผสม หรือ ที่เรียกว่า Civic Culture ซึ่งเป็นอัตราส่วนการผสมผสานของวัฒนธรรมการเมือง คือ คับ แคบ : ไพร่ฟ้า : มีส่วนร่วม ในอัตราส่วน 10 : 30 : 60 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เน้นให้ประชาชนส่วนใหญ่มี วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม และมีประชาชนอีกกลุ่มมีความสนใจการเมืองการปกครองแบบไพร่ ฟ้า ซึ่งจะสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมในอนาคตได้ ขณะเดียวกันยังคงยอมรับว่าในสังคมยังมีคนอีกกลุ่มที่เป็นคนส่วนน้อยที่ไม่สนใจประเด็นใดๆ ในทาง การเมือง
Pye and Verba (1965:529-550) ได้สรุปให้เห็นว่า วัฒนธรรมทางการเมืองนั้นส่งผลกระทบต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยไว้หลายประการ กล่าวคือ ประการแรก ความรู้สึกถึงอัตลักษณ์ของชนชาติ (National Identity) ซึ่งหากประชาชนกลุ่มต่างๆ ขาดความรู้สึก ความผูกพัน ความสำนึกถึงความสำคัญของรัฐชาติร่วมกันแล้ว ก็ย่อมนำไปสู่ปัญหาทางการเมืองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกแยกหรือความล่มสลายของรัฐชาติ ประการที่สอง ความรู้สึกผูกพันกับเพื่อนร่วมชาติและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นความสัมพันธ์ใน แนวนอน อันสะท้อนถึงพื้นฐานของการสร้างความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ประการที่สาม ความรู้ ความเข้าใจ และความคาดหวังเกี่ยวกับบทบาท และผลกระทบของรัฐบาลต่อวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และสังคมของประเทศ ซึ่งการที่ประชาชนในประเทศไม่ให้ความสนใจต่อการทำงานของรัฐบาลย่อม สะท้อนให้เห็นว่า วัฒนธรรมทางการเมืองของชนชาตินั้นอยู่ในแบบที่เรียกว่าคับแคบ อันส่งผลให้การปกครองมี แนวโน้มในแบบเผด็จการหรืออำนาจนิยมได้ แต่ถ้าประชาชนในฐานะพลเมืองเล็งเห็นว่า สิ่งที่ตนคาดหวังจากรัฐบาล นั้นไม่สามารถบรรลุผลได้ก็ย่อมนำไปสู่ปัญหาที่เรียกว่า การดื้อแพ่ง (Civil Disobedience) ขึ้นตามมาได้เช่นกัน เพราะถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการตอบโต้รัฐบาล
Pye and Verba (1965:529-550) ประการที่สี่ ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกต่อกระบวนการตัดสินใจเพื่อกำหนดนโยบายทางการเมือง ตลอดจนการประเมินบทบาทของตนเองต่อนโยบาย ซึ่งภายใต้กระบวนการนโยบายแบบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนต้องสามารถเข้ามีส่วนร่วมคิด รับรู้ แสดงหรือเสนอต่อสาธารณะได้ ประการสุดท้าย รูปแบบของการแสดงออกทางการเมือง ควรอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมทั้งในแง่ อุดมการณ์ (Ideological Style) และในแง่การยึดบรรทัดฐานประเพณีที่พึงปฏิบัติกันมา (Pragmatic Style) ซึ่งหมดอาจนำไปสู่ความแตกแยกและความขัดแย้งในทางการเมืองได้ เพราะฉะนั้นจากข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า วัฒนธรรมทางการเมืองนั้นมีผลต่อการสร้างประชาธิปไตยให้ มั่นคงได้ ซึ่งรวมไปถึงเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลด้วย เนื่องจากวัฒนธรรมคือความโน้มเอียงที่เป็น รากฐานของการประพฤติและปฏิบัติของประชาชนในสังคม
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย (Democratic Political Culture) 1)ปัจเจกบุคคลนิยม (Individualism) 2)เสรีภาพ (Liberty or Freedom) 3)เหตุผล (Reason) 4)ความเสมอภาค (Equality) 5)ขันติธรรม (Toleration) อดทนต่อความคิดเห็นของผู้อื่น 6)ฉันทานุมัติ (Consent) และ 7)รัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism)
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบอำนาจนิยม (Authoritarian Political Culture) 1)ต่อต้านลัทธิเสรีนิยม (Anti-Liberalism) เพราะทำให้ขาดเอกภาพทางสังคมเนื่องจากมีบทบาท ปัจเจกบุคคลมากเกินไป 2)ต่อต้านลัทธิสังคมนิยม (Anti-Socialism) ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่ข้อหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาคือสังคมนิยมทำให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้น 3)สังคมเป็นอินทรียภาพ (Organicism) มองสังคมเป็นสิ่งมีชีวิต 4)รัฐนิยม (Statism) 5)ชาตินิยม (Nationalism) 6)ผู้นำ (Leader) และ 7)บรรษัทนิยม (Corporatism) รัฐตั้งบรรษัทขึ้นมาเพื่อดูแลกิจกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยมี ตัวแทน 3 กลุ่ม คือ นายจ้าง ลูกจ้าง และตัวแทนฝ่ายรัฐ
การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture)
การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) Almond and Powell (1966:64) ได้ให้ความหมาย การกล่อมเกลาทางการเมือง ไว้ว่าเป็นการ นำมาซึ่งวัฒนธรรมทางการเมืองแก่ประชาชนในระบบการเมือง โดยเป็นกระบวนการสร้างและการถ่ายทอด วัฒนธรรมทางการเมือง การกล่อมเกลาทางการเมืองจากคนรุ่นไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง หรือทำให้เกิดการถ่ายทอด วัฒนธรรมทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งของระบบการเมือง ที่ได้รับจากประสบการณ์ทางการเมืองที่ แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะช่วยรักษาวัฒนธรรมทางการเมืองเดิมเอาไว้ หรือนำมาซึ่งความ เปลี่ยนแปลงไปจากวัฒนธรรมทางการเมืองเดิม หรือก่อให้เกิดการก่อตัวของวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ ขึ้นมาก็ได้ Easton and Dennis (1969:7) อธิบายว่า การกล่อมเกลาทางการเมือง เป็นวิธีการที่สังคมส่งผ่าน ความโน้มเอียงทางการเมือง อันได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ ปทัสถาน และค่านิยม จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่มีกระบวนการถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ สมาชิกใหม่ของระบบการเมืองซึ่งได้แก่ เด็กๆ ก็จะต้องแสวงหา รูปแบบความโน้มเอียงเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา อันจะย่อมมีผลกระทบต่อความมั่นคง ของระบบการเมือง
การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) ดังนั้นการล่อมเกลาทางการเมือง ก็คือ กระบวนการถ่ายทด กล่อมเกลา และส่งผ่านความคิดทางการเมือง จากบุคคลรุ่นหนึ่งไปยังบุคคลอีกรุ่นหนึ่งผ่านทางสถาบันทางสังคมต่างๆ ในสังคม ซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นๆ เกิดความรู้ ทัศนคติ ปทัสถาน และค่านิยมที่เกี่ยวกับระบบการเมืองตามสิ่งที่ได้รับมาจากกระบวนการเรียนรู้ ทางการเมือง ทั้งนี้สามารถกล่าวได้ว่า การที่พลเมืองในแต่ละสังคมจะมีวัฒนธรรมทางการเมืองในลักษณะ ใดนั้น ต่างก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากกระบวนการเรียนรู้ทางการเมือง หรือการถ่ายทอดวัฒนธรรมทาง การเมือง ซึ่งมีสถาบันทางสังคมต่างๆ ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดวัฒนธรรมทางการเมือง เช่น ครอบครัว โรงเรียน ความสัมพันธ์ทางสังคม สถาบันต่างๆ ศาสนา และสื่อมวลชน เป็นต้น
การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture)
การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) 1.องค์กร (Organization) ได้แก่ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ระบบราชการ สหภาพแรงงาน และโรงเรียน เป็นต้น โครงสร้างในการรวมตัวค่อนข้างจะเป็นทางการ องค์กรนั้นอาจไม่ได้อยู่ในโครงสร้าง ของระบบการเมืองก็ได้ เช่น โรงเรียน แต่ก็สามารถทำหน้าที่ในฐานะช่องทางสื่อสารทางการเมืองที่สำคัญได้ (ได้แก่ การเรียนรู้ทางการเมือง) องค์กรแม้จะมีโครงสร้างคล้ายกัน แต่ก็อาจมีศักยภาพในการสื่อสารต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ใช้ และรูปแบบของระบบการเมือง
การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) 2.กลุ่ม (Group) กลุ่มจะต่างจากองค์กรในฐานะที่มีความมั่นคง ความเป็นสถาบัน และความร่วมมือ น้อยกว่า แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการสื่อสาร ดังที่ผู้เชี่ยวชาญบางท่านได้ชี้ให้เห็นว่า การสื่อสารไม่ได้ผ่าน จากสื่อมวลชนไปยังประชาชนโดยตรง แต่จะผ่านจากบุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่า ผู้นำความคิดเห็นไปยังอีกบุคคล หนึ่งในลักษณะเผชิญหน้ากัน พฤติกรรมดังกล่าวมาปรากฏในกลุ่มครอบครัว กลุ่มเพื่อน เป็นต้น ลักษณะ การสื่อสารแบบนี้เรียกว่า “การสื่อสารสองขั้นตอน” (Two-Step Flow of Communication) การที่ต้องมีกลุ่มก็เพราะช่องทางในการสื่อสารที่เป็นทางการ (องค์การ) ไม่สามารถรวบรวม และวิเคราะห์ ข่าวสารได้อย่างเพียงพอ จึงจำเป็นต้องอาศัยกลุ่มช่วย แต่กลุ่มก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเสมอไปสำหรับระบบ การเมือง เพราะกลุ่มจะทำหน้าที่ในการสื่อสารทางการเมืองน้อยมาก และไม่ต่อเนื่อง ผู้นำในระบบการเมือง แบบปิดนิยมใช้องค์การและสื่อมวลชนเป็นเครื่องมือในการควบคุมประชาชนมากกว่าช่องทางอื่นๆ ในขณะ ที่ผู้นำในระบบการเมืองแบบเปิดและมีความคิดแบบพหุนิยม (Pluralism) สูง จะให้ความสำคัญกับ กลุ่มมาก เพื่ออาศัยเป็นช่องทางในการสื่อสารทางการเมือง
การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) 3.สื่อมวลชน (Mass Media) สื่อมวลชนจะทำหน้าที่รายงานข่าวสารหรือ เหตุการณ์ต่างๆ ให้คนใน ระบบการเมืองได้รับรู้ ในทางปฏิบัติแล้วคนที่จะพึ่งสื่อมวลชนก็เฉพาะข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น เช่น การรณรงค์ เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะช่องทางการสื่อสารอื่นๆก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ดังนั้น สื่อมวลชน จะเป็นเพียงตัวเชื่อมระหว่างบุคคล กลุ่ม และรัฐบาล เพื่อให้ได้มาซึ่งข่าวสารต่างๆ เช่นการแถลงนโยบายที่ สำคัญของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนก็ได้ถูกนำมาใช้ในวิถีทางการเมืองมาก เช่น หนังสือพิมพ์ จะ เป็นตัวชี้ให้ผู้ปกครองหรือรัฐบาลรู้ว่า ปัญหาใดเป็นปัญหาที่สำคัญ โดยดูจากการพาดหัวข่าวซึ่งเท่ากับเป็น การสะท้อนให้เห็นมติมหาชน นอกจากนั้นยังกระตุ้นให้ประชาชนรู้ว่า เขาควรจะให้ความสนใจประชาชนใน เรื่องใด ซึ่งมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของตน การให้ข่าวต่อสื่อมวลชนของนักการเมืองก็อาจเป็นการทดสอบ ปฏิกิริยาของมติมหาชนก่อนที่จะมีการเสนอนโยบายอย่างเป็นทางการ จึงอาจกล่าวได้ว่าสื่อมวลชนใน ฐานะช่องทางสื่อสารทางการเมืองได้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อวิถีชีวิตทางการเมืองของส่วนรวม แต่ การจะให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ สื่อมวลชนจำเป็นต้องประสานความร่วมมือ หรือเชื่อมโยงกับ ช่องทางอื่นๆ ด้วย เช่นองค์การ
การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) 4.ช่องทางพิเศษ (Special Channel) ได้แก่ การแสดงออกต่างๆ ของประชาชน เช่น การเดินขบวน ประท้วงซึ่งถือว่าเป็นช่องทางพิเศษในการสื่อสาร เพื่อเรียกร้องและรวบรวมผลประโยชน์ของประชาชนเข้า ด้วยกัน ให้ผู้ปกครองหรือรัฐบาลได้รับรู้ความต้องการ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์พิเศษเพียงครั้ง คราวไม่คงทนถาวร แต่ก็อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของระบบการเมือง และวิถีทาง การเมืองของประชาชน
การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) ตัวแทน (Agent) ที่ทำหน้าที่ในกระบวนการกล่อมเกลาทางการเมือง 1.ครอบครัว ในทุกสังคมการขัดเกลาขั้นปฐมภูมิจะเกิดขึ้นในครอบครัว เครือญาติ ในขั้นนี้เด็กจะเริ่มเรียนรู้ ถูกผิดตามความหมายของวัฒนธรรมนั้น รวมทั้งเรียนรู้วัฒนธรรมบางประการที่เป็นแบบแผนในการแสดง บทบาทที่เหมาะสมสำหรับวัยและเพศของตน การกล่อมเกลาทางการเมืองที่แจ้งชัด เกิดขึ้นน้อยมาก แต่ แนวการวิเคราะห์ทางจิตวิทยาจะเน้นว่าครอบครัวมีความสำคัญมาก เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่บุคคลได้ เรียนจากครอบครัวจะได้รับการถ่ายเทไปสู่บทบาททางการเมืองต่อไป เพราะการเรียนรู้ทางปฐมภูมิเป็นการ เรียนรู้ที่สนิทสนม เป็นการเรียนรู้ที่ฝังรากลึกมากกว่าการเรียนรู้จากทุติยภูมิ ซึ่งเป็นกลุ่มที่บุคคลมี ความสัมพันธ์ด้วยแต่เฉพาะในบทบาทหนึ่งอีกทั้งขาดความต่อเนื่องไม่เป็นประจำด้วย
การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) 2.กลุ่มเพื่อน กลุ่มเพื่อน เป็นกลุ่มคนที่มีฐานะเท่าเทียมกันและมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นต่อกัน เป็น ตัวแทนการกล่อมเกลาทางสังคมขั้นปฐมภูมิ ที่มีความสำคัญตั้งแต่วัยรุ่นขึ้นไปและมีอิทธิพลตลอดชีวิต ใน ด้านการเมือง กลุ่มเพื่อนจะให้บทเรียนทางการเมืองขั้นต้นแก่บุคคล อีกทั้งยังสามารถเตรียมบุคคลให้พร้อม ที่จะรับประสบการณ์ที่มีความเป็นการเมืองโดยเฉพาะได้ เช่นการหล่อหลอมให้เขามีความรู้สึกว่าเขาเป็นคน จำพวกใด ชาติพันธุ์ใด นับถือศาสนาใด เป็นต้น 3.สถาบันการศึกษา สถาบันการศึกษาหรือโรงเรียน เป็นตัวแทนในการกล่อมเกลาที่เป็นทางการ เป็นการ กลุ่มเกลาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างปฐมภูมิกับทุติยภูมิ สถาบันการศึกษาทำหน้าที่กล่อมเกลาทางการเมือง 3 ทางคือ 1) โดยการจำลองรูปแบบสังคมการเมือง 2) ในทางตรง โดยการสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ และ บทเรียนต่างๆ 3) ในทางอ้อม เป็นการเรียนรู้ผ่านวิถีปฏิบัติภายในสถาบันการศึกา เช่น การเคารพกฎเกณฑ์ ต่างๆ เป็นต้น
การกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) กับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) 4.สื่อมวลชน ในสังคมสมัยใหม่ สื่อมวลชนได้เข้ามามีบทบาทในการกล่อมเกลาทางการเมืองมากขึ้น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เป็นตัวการทำให้การสื่อสารเกี่ยวกับเหตุการณ์และปรากฏการณ์ทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นจากรัฐบาลถึงประชาชนหรือจากกลุ่มคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง หรือแม้แต่มุมหนึ่งของโลกถึงอีกมุม หนึ่งเป็นได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น 5.สถาบันทางการเมือง และองค์กรการเมืองต่างๆ ทั้งนี้สถาบันทางการเมืองต่างๆ เช่น รัฐบาล รัฐสภา พรรคการเมือง ถือเป็นตัวแทนในการกล่อมเกลาทางการเมืองที่เป็นทางการ และมีลักษณะทุติยภูมิ มีส่วน เกี่ยวข้องในการทำหน้าที่กล่อมเกลาทางการเมืองประชาชนพลเมืองโดยตรง และมีส่วนเชื่อมสัมพันธ์กับการ สร้างให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมทางการเมืองด้วย