การกำหนดปัญหาและ หัวข้องานวิจัย

Slides:



Advertisements
งานนำเสนอที่คล้ายกัน
CAI CAI WBI WBI.
Advertisements

Chapter 4: Special Probability Distributions and Densities
การแจกแจงความน่าจะเป็นของตัวแปรสุ่ม
อุทยานดอกไม้.
การทำตัวอักษรขึ้นต้นด้วย ตัวใหญ่ นางสาว ลลิตา เจริญผล
สถานที่ออกฝึก “ สาขาคณิตศาสตร์และสถิติ ” คณะวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร การฝึกประสบการณ์วิชาชีพ.
การใช้ โปรแกรม PowerPoint. เปิดโปรแกรม Power Point คลิกที่ปุ่ม Start > เลือก Programs > Microsoft Office > Microsoft Office Power Point.
นำเสนอ “นวัตกรรมดีเด่น” และ
การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI โดย อาจารย์วาสนา สังข์พุ่ม
1-2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ 1.
การวิจัยปฏิบัติการ ในชั้นเรียน
สรุปการดำเนินงาน ตามนโยบายสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการ
การคิด/หาหัวข้อวิจัย (วิทยานิพนธ์/การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง)
การวิเคราะห์เชิงปริมาณเบื้องต้น
สรุปผลการดำเนินงาน โครงการจัดการเรียนรู้ทางด้านสะเต็มศึกษา ปี ๒๕๕๘
การวิจัยในชั้นเรียน Classroom action Research
Information and Communication Technology Lab3 New
Chapter 9 โปรแกรมสำเร็จรูปกับการวิเคราะห์ข้อมูล
การสร้างเครื่องมือในการวิจัย (Instrument)
Important probability distribution of variable
ประเภทของสุ่มตัวอย่าง
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสถิติและโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ
Introduction to CRISP-DM
การประชุมผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา
การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI
วันนี้เรียนอะไร การออกแบบสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนคืออะไร ประเภทของสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หลักการออกแบบสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน.
Chapter 7 การสร้างร้านค้าบนเว็บ Edit
การจัดการผู้ป่วยรายกรณีเพื่อลดภาวะแทรกซ้อน ในผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง คลินิกโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ นางกรรณิการ์
ดร.จันทร์ ติยะวงศ์ คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
วิธีการคำนวณค่าระดับเสียงเฉลี่ย
Science For Elementary School Teachers I.
ดร.จันทร์ ติยะวงศ์ คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา
กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมการฝึกอบรมครู
แบบฟอร์มการบริหารโดยการควบคุมคุณภาพ (QCC) ดีเด่น ปี 2561
กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร กรมอนามัย
ครูสมนึก แสงศรีจันทร์
ของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน
Chapter 9 กฎหมายพาณิชย์ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส Edit
ผลงานประเภทวิจัยชั้นเรียน
ฉัตรชัย นิติภักดิ์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา
การนำเสนอผลงานการวิจัย
หากต้องการเริ่มต้นภาพนิ่ง บนเมนู การนำเสนอภาพนิ่ง คลิก ชมการนำเสนอ
Big Picture ความสำคัญและที่มา ความหมายของการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ วิชญ์ชัย ธรรมประดิษฐ์
สังกัด วิทยาลัยเทคโนโลยีสยามบริหารธุรกิจ (SBAC)
อาจารย์ ศิริรัตน์ หวังดี
การดำเนินงานกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน
Animal Health Science ( )
ยินดีต้อนรับนักเรียน!
กระบวนการเรียนการสอน
รายงานการใช้เอกสารประกอบการเรียน วิชาการพัฒนาบุคลิกภาพ
โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี
ลบกล่องข้อความนี้ก่อนใช้ภาพนิ่งนี้ในงานนำเสนอ
วิทยาลัยเทคโนโลยีพาณิชยการลานนา
เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับความหมายของ Meetings
วิทยาลัยเทคโนโลยีสยามบริหารธุรกิจ นนทบุรี
การร่ายรำเบื้องต้น.
Outlook ทำงานให้คุณ 5 วิธีในการทำให้ ออกจากระบบอย่างมีสไตล์
การเขียนรายงานการออกแบบสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
ผู้วิจัย : สุภาพร อภิพันธุ์
การส่งเสริมการจ้างยุวแรงงานและพัฒนาทักษะผู้ต้องขังที่จะพ้นโทษในรูปแบบกลไกประชารัฐ นโยบายเร่งด่วน (Agenda Based) : ส่งเสริมการจ้างยุวแรงงาน เป้าหมาย 10,230.
ลบกล่องข้อความนี้ก่อนใช้ภาพนิ่งนี้ในงานนำเสนอ
งานพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายใน โรงเรียนสตรีวัดอัปสรสวรรค์
การนำเสนอผลงานการวิจัยครั้งที่ ๘
อ.พรพนา ปัญญาสุข วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการเชียงใหม่ ผู้วิจัย
ลบกล่องข้อความนี้ก่อนใช้ภาพนิ่งนี้ในงานนำเสนอ
เขียนบทความวิจัยอย่างไร ในวารสารวิชาการนานาชาติ
บทที่ 2 ขอบเขตของการจัดการเชิงกลยุทธ์
การทำเหมืองข้อมูลด้วยโปรแกรม RapidMiner Studio
ใบสำเนางานนำเสนอ:

การกำหนดปัญหาและ หัวข้องานวิจัย รศ.อดิศักดิ์ พงษ์พูลผลศักดิ์ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

การกำหนดปัญหาและหัวข้องานวิจัย เพื่อให้ขอบข่ายของงานมีทิศทางที่ชัดเจนและสามารถกำหนดขอบเขตของการวิจัยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในขั้นนี้จะเป็นการบรรยายถึงความเป็นมาของปัญหาที่จะทำการวิจัย การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย การกำหนดสมมติฐานของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย ข้อตกลงเบื้องต้น ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ และคำนิยามศัพท์เฉพาะ

การเลือกปัญหาที่จะทำการวิจัย เป็นขั้นตอนแรกของงานวิจัยที่ผู้วิจัยจะต้องค้นหาหัวข้อเพื่อที่จะมาดำเนินการวิจัย โดยหลักการหาหัวข้อผู้วิจัยจะต้องเข้าใจเรื่องราวของปัญหาที่จะทำงานวิจัยนั้น ไม่ว่าโครงการวิจัยนั้นจะมาจากความประสงค์ของผู้วิจัยเองหรือถูกกำหนดให้ทำวิจัยในเรื่องนั้นๆ ผู้วิจัยจะต้องทราบปัญหา และเหตุผลของการวิจัย เมื่อผู้วิจัยเข้าใจประเด็นปัญหาแล้ว ผู้วิจัยจะต้องทราบถึงรายละเอียดประเด็นของปัญหานั้นๆ มีประเด็นใดที่จะต้องสืบค้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงประเด็นปัญหาที่ชัดเจนและมีหลักฐานยืนยันว่าเรื่องที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสำคัญ และสัมพันธ์ในการตอบคำถามที่ต้องการอย่างไร เพื่อนำมากำหนดขอบเขตของการศึกษาวิจัยแล้วนำมาเขียนเป็นคำถามในการวิจัย หลังจากเขียนเป็นคำถามในการวิจัยจึงกำหนดเป็นหัวข้อที่จะใช้สำหรับในการวิจัย โดยลักษณะของหัวข้อที่ทำการวิจัยควรมีลักษณะดังนี้

ลักษณะของหัวข้อที่ทำการวิจัยควรมีลักษณะดังนี้ ควรศึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่จะศึกษา ด้วย การอ่าน ค้นคว้าเอกสาร การฟังผู้อื่นพูด การวิจารณ์จากแหล่งต่าง ๆ มีความสนใจเป็นการส่วนตัว เป็นความสนใจหน่วยงานหรือบุคคลอื่น ถ้าเป็นการวิจัยในชั้นเรียนควรเป็นปัญหาที่เกิดจากการอ่าน ค้นคว้าเอกสาร การฟังผู้อื่นพูด การวิจารณ์จากแหล่งต่าง ๆที่เกิดจากการเรียนการสอน เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ถ้าเป็นการวิจัยในชั้นเรียนควรเป็นหัวข้อที่เกิดปัญหาในชั้นเรียน หรือนอกชั้นเรียนที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน

ลักษณะของหัวข้อที่ทำการวิจัยควรมีลักษณะดังนี้ หัวข้อที่สนใจต้องไม่ซ้ำกับผู้อื่น ถ้าซ้ำกับผู้อื่นต้องเปลี่ยนวิธีวิจัย ขอบเขตของปัญหาในการวิจัยต้องชัดเจน ภาษาที่ใช้เป็นภาษาวิชาการกะทัดรัดไม่ยืดยาวจนน่าเบื่อหน่าย การจัดลำดับประเด็นของปัญหาต้องต่อเนื่องกัน ประเด็นของการวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะการวิจัยในชั้นเรียนควรเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน

ตัวอย่างคำถามเชิงวิจัยและหัวข้อการวิจัย 1 คำถามในการวิจัย : นักเรียนเรียนได้ดีเพียงใด และเรียนอย่างไร หัวข้อการวิจัย : การศึกษาวิธีการเรียนของนักเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา จากคำถามการวิจัย นักเรียนเรียนได้ดีเพียงใด ความหมายที่ต้องการวัดคือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเรียนอย่างไร ความหมายที่ต้องการวัดคือวิธีการเรียนของนักเรียน ดังนั้นหัวข้อการวิจัยข้างต้น จึงเขียนหัวข้อวิจัยเป็น การศึกษาวิธีการเรียนของนักเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเพื่อจำกัดการวิจัยไม่ให้กว้างเกินไปในหัวข้อจึงกำหนดเป็นของนักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา เป็นต้น

ตัวอย่างคำถามเชิงวิจัยและหัวข้อการวิจัย 2 ตัวอย่างคำถามเชิงวิจัยและหัวข้อการวิจัย 2 คำถามในการวิจัย : ระดับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องเครื่องยนต์ดีเซลของนักศึกษาเป็นอย่างไร หัวข้อการวิจัย : การศึกษาระดับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องเครื่องยนต์ดีเซลของนักศึกษาระดับ ปวส. วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม จากคำถามการวิจัย ต้องการวัดความรู้พื้นฐานของนักศึกษาว่าอยู่ระดับใด หมายถึง นักศึกษามีระดับความรู้ระดับเก่ง ปานกลาง อ่อน เกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานของเครื่องยนต์ดีเซล ส่วนการจะวัดว่าระดับความรู้ของนักศึกษาก็จะวัดได้จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเรื่องเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งจะได้ตามเกณฑ์ว่านักศึกษาได้ผลการเรียนอยู่ในระดับใด

ตัวอย่างคำถามเชิงวิจัยและหัวข้อการวิจัย 3 ตัวอย่างคำถามเชิงวิจัยและหัวข้อการวิจัย 3 คำถามในการวิจัย : จะทำอย่างไรให้นักเรียนเรียนวิชา..................... ได้ดี หัวข้อการวิจัย : การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน จากคำถามการวิจัย จะทำอย่างไร หมายถึง เป็นเทคนิคการสอน ก็คือวิธีการสอนซึ่งอาจจะเป็น การสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน การใช้แบบจำลองในการสอน การใช้ปัญหาปลายเปิด หรือการใช้สื่อ เช่น CAI เป็นต้น และสำหรับการวัดว่าการใช้เทคนิคการสอนต่างๆที่กล่าวมาแล้วจะดีหรือไม่ดีจะวัดด้วยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนั้น หัวข้อวิจัย ที่ควรจะตั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นดังนี้

ตัวอย่าง 3 (ต่อ) การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน นักเรียนเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ได้ดี ความหมายที่ต้องการวัด คือ วิธีการสอนในรูปแบบการคิดของนักเรียน การพัฒนาบทเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องสถิติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือชั้นใดชั้นหนึ่งก็ได้ที่เกิดปัญหาทางการเรียนการสอนในวิชานั้น ๆ การพัฒนารูปแบบการเรียนโดยใช้แบบจำลองสถานการณ์จริง วิชาโลหะวิทยา สำหรับนักศึกษาระดับ ปวส. ชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยอาชีวะไผ่เงินวิทยา การศึกษาวิธีการสอนแบบแก้ปัญหาปลายเปิด กรณีศึกษาวิชากรรมวิธีการผลิต เรื่อง ระบบการผลิต การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยในการสอนวิชาสถิติและการวิจัย เรื่อง เทคนิคการสุ่มตัวอย่าง สำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา

ตัวอย่างคำถามเชิงวิจัยและหัวข้อการวิจัย 4 ตัวอย่างคำถามเชิงวิจัยและหัวข้อการวิจัย 4 คำถามในการวิจัย : อะไรจะมีผลทำให้นักศึกษาสาขาช่างเทคนิคการผลิต ระดับปวส. 2 เรียนได้ดีขึ้น หัวข้อการวิจัย : ปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาช่างเทคนิคการผลิต ระดับปวส. 2 วิทยาลัยเทคนิคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จากคำถามการวิจัย อะไรจะมีผลจะหมายถึงปัจจัยที่มีผล เรียนดีขึ้นความหมายที่ต้องการวัดคือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เมื่อผนวกหัวข้อวิจัยเบื้องต้นจะได้เป็น ปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และปัญหานี้เกิดขึ้นกับนักศึกษาสาขาช่างเทคนิคการผลิต ระดับปวส. 2 ดังนั้นหัวข้อการวิจัยข้างต้นจึงเขียนหัวข้อวิจัยเป็น ปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาช่างเทคนิคการผลิต ระดับปวส. 2 วิทยาลัยเทคนิคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

ตัวอย่างประเด็นที่สามารถศึกษา จุดแข็งและจุดอ่อนของการสอนหลายๆด้าน การทดลองในห้องปฏิบัติการ การใช้เหตุผลเชิงตัวแบบต่างๆในการแก้ปัญหาโมเดล การใช้ทฤษฎีต่างๆ ไปประยุกต์เพื่อแก้ปัญหา อาทิเช่น การใช้ทฤษฎีระบบเพื่อนำไปพัฒนาห้องเรียนเสมือนจริงแบบจำลองสถานการณ์ร่วมกับการฝึกปฏิบัติจริง เปรียบเทียบรูปแบบต่างๆของการเรียนการสอน เช่น วิธีการสอนแบบเดิมกับวิธีการสอนแบบบูรณาการ การใช้วิธีคิดของนักเรียนมาพัฒนาการสอนของครู ความสามารถในการสร้างองค์ความรู้เองของนักเรียน โดยการใช้เกมส์และคำถาม

ในการเขียนรายงานในเรื่องความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ควรแนะปัญหาที่กำลังค้นคว้า เป็นการท้าวภูมิหลังความเป็นมา มีการจัดลำดับให้ชัดเจนของเรื่องราว แหล่งกำเนิด ผู้ค้นพบ การสืบทอดของปัญหา ที่มาของการวิจัย โดยใช้เหตุและผลมาสนับสนุนความคิดต่าง ๆ เหล่านั้น เพื่อชี้แนะให้เห็นความจำเป็นและความสำคัญของการทำวิจัย และการเขียนต้องบรรยายถึงความจำเป็นในการศึกษา การเขียนควรเขียนจากหลักการนำเข้าสู่เรื่องเฉพาะแล้วดำเนินเรื่องไปถึงเรื่องทั่ว ๆ ไป มองให้เห็นคำตอบจากงานวิจัย บรรยายให้เห็นประโยชน์ และคุณค่าของงานวิจัยจนต้องมีการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ ที่สำคัญผู้วิจัยควรหาหลักฐานในการยืนยันแหล่งกำเนิดของผู้ค้นพบมาสนับสนุนข้อมูลทุกขั้นตอนถ้าความเป็นมาของการวิจัยที่เขียนขึ้นมา มาจากการศึกษาหรือบทความ ที่จะใช้สนับสนุนความเป็นมาของการวิจัยมีน้ำหนักขึ้นผู้วิจัยต้องมีการที่อ้างอิง และเรื่องที่จะอ้างอิงควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยเท่านั้น

ตัวอย่างการเขียนความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย ตัวอย่างที่ 1 เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน โดย นางสาววิยดา ขุนพรหม

ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ช่วยพัฒนากระบวนการคิดของคน ให้รู้จักคิด คิดเป็น คิดอย่างมีเหตุผล มีระบบขั้นตอนในการคิด และยังช่วยสร้างเสริมคุณลักษณะที่สำคัญ มีความจำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น ความเป็นผู้มีเหตุผล มีลักษณะนิสัยละเอียด สุขุม รอบคอบ ช่างสังเกต มีไหวพริบ ปฏิภาณที่ดี อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานในการศึกษาวิทยาการสาขาอื่นต่อไป [1] การศึกษาคณิตศาสตร์ นอกจากจะมีบทบาทสำคัญต่อวงการศึกษา ในด้านที่ช่วยพัฒนาความคิดของผู้เรียน ให้เป็นคนคิดอย่างมีเหตุผลแล้ว คณิตศาสตร์ยังมีความสำคัญต่อโลกในวิทยาการทุกแขนง เช่น ด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนเป็นพื้นฐานสำหรับการค้นคว้าวิจัยทุกประเภทและได้ชื่อว่าเป็นเครื่องนำทางสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องอาศัยหลักการใหม่ ๆ ทางคณิตศาสตร์อย่างขาดไม่ได้ [2]

ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) แต่จากการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ที่ผ่านมาปรากฏว่า ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ดังจะเห็นได้จากเมื่อปี พ.ศ.2541 มีการศึกษาวิจัยนานาชาติเพื่อประเมินผลการศึกษาวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ซ้ำเป็นครั้งที่สอง (ครั้งแรกประเมินเมื่อปี พ.ศ. 2538) โดยประเมินนักเรียนในระดับเกรด 8 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2) มีชื่อว่า TIMSS (Third International Math and Science Study) ผลการประเมิน พบว่า ประเทศสิงคโปร์ เป็นประเทศที่มีคะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีคะแนนเฉลี่ยเป็น 604 คะแนน ซึ่งสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยนานาชาติซึ่งเท่ากับ 487 คะแนน ขณะที่ไทยมีคะแนนเฉลี่ยเป็น 467 ต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยนานาชาติ และมีคะแนนจัดเป็นลำดับที่ 27 จากผู้เข้าประเมินทั้งหมด 38 ประเทศ ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ [3]

ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) และจากการวัดและการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในระดับชาติ (Nation Test) พ.ศ. 2546 ซึ่งมีการทดสอบนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ประถมศึกษาปีที่ 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า นักเรียนไทยส่วนใหญ่ทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ไม่ถึงครึ่ง นอกจากนี้ผลการสอนวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาหลักประกอบการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาพบว่าคะแนนเฉลี่ยวิชาคณิตศาสตร์ในระดับต่ำประมาณร้อยละ 25 ของคะแนนเต็ม [4] ดังนั้น จึงถือเป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องหาวิธีการต่างๆ มาใช้ในการจัดสภาพการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดคุณภาพสูงสุดทางการศึกษา ซึ่งโดยส่วนใหญ่การสอนของครูมักใช้วิธีสอนแบบบรรยาย คือ เป็นผู้พูดเพียงผู้เดียวและถามนักเรียนบ้างเป็นครั้งคราว การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนยังคงเน้นที่ครูเป็นสำคัญ นักเรียนไม่ค่อยมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนมากนัก

ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) จึงเป็นการยากที่จะทำให้นักเรียนทุกคนบรรลุจุดประสงค์ของการเรียนการสอนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพราะนักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล การเรียนรู้ของนักเรียนจะบังเกิดผลหรือล้มเหลวย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการเรียนการสอนเป็นส่วนสำคัญ ครูควรใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ ที่จะให้นักเรียนได้รู้ถึงปัญหา และความต้องการ [5] จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 หมวดที่ 4 ได้ระบุแนวการจัดการศึกษาไว้ว่า จะต้องจัดขึ้นอย่างหลากหลายตามความต้องการของผู้เรียน โดยเชื่อว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด [6] สุมาลี คุ้มชัยสกุล อ้างใน สุรางค์ สุขรอด [6] ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของกิจกรรม ตั้งแต่เริ่มต้นกิจกรรมจนกิจกรรมสิ้นสุดลง และในการมีส่วนร่วมนั้นผู้เรียนเป็นผู้มีบทบาทในการคิดหลากหลายรูปแบบ ทั้งในการคิดเชิงเหตุผล คิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ

ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) วิจารณญาณ ซึ่ง Gail Burrill [7] ได้อธิบายการคิดและการให้เหตุผลของนักเรียนไว้ว่า การให้เหตุผลเกี่ยวกับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง เกิดจากการที่นักเรียนได้กระทำอะไรระหว่างที่เขาทำกิจกรรมนั้น เมื่อใดก็ตามที่นักเรียนกำลังตัดสินใจว่าจะเลือกใช้วิธีไหน จะปรับวิธีการต่างๆอย่างไร หรือจะประสมประสานความรู้ที่มี อยู่แล้วจากประสบการณ์เดิมอย่างไร นั่นหมายความว่าเด็กกำลัง คิดและให้เหตุผล ครูจะได้รู้ว่านักเรียนกำลัง อธิบาย คาดเดา อธิบายรูปแบบ ให้ความคิดเห็น หรือสื่อ ความหมายในข้อวิเคราะห์ของเขา แผนสำหรับบทเรียนในอนาคต ก็ควรที่จะพยายามหาทางหลายๆทางที่ให้นักเรียนได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และไปให้เหนือกว่าขั้นการใช้ทักษะและกระบวนการ พยายามส่งเสริมให้นักเรียนบรรลุถึงเป้าหมายของคำว่า มาตรฐาน คือการคิดและการให้เหตุผลอย่างคณิตศาสตร์ จะเห็นได้ว่าการคิด และการให้เหตุผลของนักเรียนมีประโยชน์มากที่จะบ่งบอกถึงความรู้ความเข้าใจของผู้เรียน สอดคล้องกับ Al Cuoco [8] ได้กล่าวว่า  เรายอมรับกันว่าการเรียนรู้และเข้าใจคณิตศาสตร์นั้นมีได้หลายวิธี เรากำลังฟังจากนักเรียนของเรา และพยายามปรับสิ่งที่เราได้รับฟังนั้นไปสู่วิธีสอนใหม่ เราทำให้คณิตศาสตร์เปิดกว้างสำหรับนักเรียนที่ไม่สามารถเรียนได้ในอดีต เพียงเพราะพวกเขาไม่สามารถเรียนรู้โดยการฟัง หรือการอธิบายเท่านั้น ให้สามารถเรียนได้

ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) และจากรายงานการวิจัยของ Jean E. Hallagan [9] ได้ ค้นพบแนวทางการสอนที่จะส่งเสริมการพัฒนาองค์ความรู้ของครูและแสดงให้เห็นรูปแบบหรือการแปลความหมายของนักเรียนเรื่องพีชคณิต ที่เกี่ยวกับสมบัติของการเท่ากัน โดยการสร้างห้องสมุดงานของนักเรียนขึ้น ซึ่งห้องสมุดนี้จะรวบรวมงานที่นักเรียนได้เขียนอธิบายแนวความคิด ในการแก้ปัญหา ทำให้ผู้สอนรู้ว่านักเรียนคิดอย่างไร นักเรียนแต่ละคนจะเขียนไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับ ความเข้าใจ และพื้นฐานความรู้ของนักเรียนแต่ละคน และจากแนวความคิดนี้ พบว่าในประเทศไทยยังไม่มีการสอนในลักษณะนี้ โดยส่วนใหญ่การสอนยังใช้คู่มือครูที่ผลิตขึ้นจาก สสวท. และใช้กันทั่วประเทศ ซึ่งครูจะยึดแนวทางนี้ในการสอนเป็นมาตรฐานเดียวกัน และต่อมาในปี 2544 ได้มีการปรับปรุงการเรียนการสอนแนวใหม่โดยครูไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือจากเล่มเดียวกันเป็นมาตรฐาน ครูแต่ละคนจะสามารถกำหนดแบบเรียนเองได้ ซึ่งนับว่าได้เกิดการพัฒนา ให้เกิดความหลากหลาย แต่ความหลากหลายดังกล่าว ส่วนใหญ่ครูก็จะสอนตามคู่มือครูเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่ดลใจนักเรียนในการเรียนรู้ ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในขณะเรียน

ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 1 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) การใช้แนวคิดของ Jean E. Hallagan ในการเรียนการสอน ผู้วิจัยคิดว่าน่าจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาการเรียนการสอนของครูได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทเรียนเรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เนื่องจากเนื้อหานี้ นักเรียนมีแนวคิด วิธีการในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย แตกต่างกันไป ที่สำคัญวิชาสถิติ เป็นวิชาหนึ่งที่พบว่า นักเรียนไม่สนใจที่จะเรียนและบ่นว่ายากหรือเข้าใจว่ายาก สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการเรียนการสอนยังขาดการปูพื้นฐานในระดับมัธยมศึกษาให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อการประกอบวิชาชีพได้ ดังนั้น ถ้าครูนำเอาแนวความคิดและความเข้าใจของนักเรียนนี้มาวิเคราะห์ และหาแนวทางสร้างความเข้าใจจากแนวคิดของนักเรียน มาสร้างเป็นบทเรียนตามความเข้าใจของนักเรียนไปใช้เป็นเครื่องมือในการสอนครั้งต่อไป ก็จะทำให้นักเรียนมีความสนใจ และมีความเข้าใจในเรื่องที่เรียนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้นด้วย ผู้วิจัยมีแนวคิดที่จะทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน ขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนต่อไป

ตัวอย่างที่ 2 เรื่อง กลยุทธการสอนความน่าจะเป็นโดยใช้การ แก้ปัญหาปลายเปิดสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โดย นางสาวจิราพร กุลฉันท์วิทย์

ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ในปัจจุบันที่โลกมีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคม เป็นยุคของโลกไร้พรมแดน และในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปได้นั้นต้องอาศัยวิชาคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานที่สำคัญและเป็นวิชาที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนาน ดังจะเห็นได้จากการสร้างพีระมิดในยุคอียิปต์โบราณ จนไปถึงการสร้างยานอวกาศในยุคปัจจุบัน ล้วนต้องอาศัยวิชาคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น จนมีคำกล่าวว่า “คณิตศาสตร์เป็นราชินีของวิทยาศาสตร์” (Mathematics is the Queen of Science))สิริพร ทิพย์คง, 2545) ซึ่งสอดคล้องกับ สุวัฒนา อุทัยรัตน์ (2531 อ้างใน(ไพบูลย์ สุทธิ, 2544) กล่าวว่า “วิชาหนึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นรากฐานและเป็นแกนสำคัญของความเจริญก้าวหน้าก็คือ วิชาคณิตศาสตร์” ซึ่ง(ปรีชา เนาว์เย็นผล 2544)ได้เสนอแนะคิดไว้ว่า คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ฝึกกระบวนการคิด ฝึกการแก้ปัญหา ช่วยพัฒนาศักยภาพของแต่ละบุคคลให้เป็นคนที่สมบูรณ์ ช่วยเสริมสร้างความมีเหตุผล ความเป็นคนช่างคิด ช่างริเริ่มสร้างสรรค์ มีระบบระเบียบในการคิด มีการวางแผนในการทำงาน เป็นวิชาที่สามารถในการแก้ปัญหาของผู้เรียน

ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมานี้นักคณิตศาสตร์ศึกษาได้เน้นการให้ความสำคัญกับบทบาทของการแก้ปัญหาในหลักสูตรคณิตศาสตร์ การพัฒนาความก้าวหน้าและทักษะในการแก้ปัญหาของนักเรียนเป็นอย่างสูง (สิริพร ทิพย์คง, 2543) โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา จากการนำเสนอใน (“ระเบียบวาระการดำเนินงาน” (Agenda for Action เมื่อ ค.ศ.1980 โดยสภาครูคณิตศาสตร์แห่งชาติ National Council of Teachers of Mathematics (NCTM) การแก้ปัญหาถูกยกเป็นประเด็นสำคัญของหลักสูตรคณิตศาสตร์และเป็นเป้าหมายพื้นฐานของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ โดยระบุไว้ในมาตรฐานหลักสูตรและการประเมินผล วิชาคณิตศาสตร์เป็นมาตรฐานแรกตั้งแต่ระดับอนุบาล ถึงเกรด 8 โดยระบุไว้ว่าการเรียนคณิตศาสตร์ควรเน้นการแก้ปัญหาจากการจัดประสบการณ์ที่หลากหลาย ให้นักเรียนได้ใช้วิธีสืบสวนและประยุกต์เพื่อให้นักเรียนสามารถใช้การแก้ปัญหาในการเข้าสู่การสำรวจศึกษา(investigation) พัฒนาและประยุกต์ยุทธวิธีในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ขยายความและอธิบายความหมายของผลลัพธ์ของปัญหาเริ่มต้น

ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) เริ่มต้น โดยเฉพาะในระดับเกรด 5-8 เพิ่มเติมให้นักเรียนสามารถสร้างรูปทั่วไปของคำตอบได้ (NCTM, 1989 ซึ่งสอดคล้องกับความคิดของ Bell (1978)ได้กล่าวไว้ว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาถือว่าเป็นเป้าหมายเบื้องต้นของการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาศักยภาพในการวิเคราะห์ และประยุกต์ศักยภาพเหล่านั้นไปสู่สถานการณ์ใหม่ ช่วยให้รู้ข้อเท็จจริง ทักษะ มโนมติ และหลักการต่างๆ โดยการแสดงการประยุกต์ใช้ในสาขาคณิตศาสตร์และที่สัมพันธ์กับสาขาอื่นๆ ตลอดจนสามารถที่จะถ่ายโยงความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ไปสู่การแก้ปัญหะการหนึ่งของการสอนการรู้คิดไว้ว่า จะต้องเน้นที่กระบวนการของการเรียนรู้มิใช่ผลลัพธ์ จึงนับได้ว่าสอดคล้องกับความมุ่งหมายของหลักสูตรดังกล่าว เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Swanson (1990)ที่ได้ให้ข้อสรุปไว้ว่า การรู้คิดมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการแก้ปัญหามากกว่าความถนัด หรือเชาวน์ปัญญาทั่วไป

ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) Wilson และคณะ (1993) มีแนวคิดว่ามีการแก้ปัญหาเป็นวิธีหนึ่งของการสอน สามารถนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมเพื่อแนะนำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ข้อเท็จจริงของพื้นฐานมโนมติ และกระบวนการเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านบทเรียนการแก้ปัญหาซึ่งใช้ปัญหาเป็นศูนย์กลาง ให้นักเรียนสำรวจศึกษาและค้นพบด้วยตัวเอง ปัญหาที่มีความเหมาะสมกับกิจกรรมในลักษณะนี้คือ ปัญหาปลายเปิด (open-ended problem) ซึ่งเป็นปัญหาที่มีคำตอบเปิดกว้าง มีคำตอบที่ถูกต้องหลายคำตอบ หรือมีแนวคิด วิธีการหาคำตอบของปัญหาได้หลายวิธี

ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ในการสัมมนาคณะผู้แทนด้านคณิตศาสตร์ศึกษาระหว่างประเทศญี่ปุ่น และประเทศสหรัฐอเมริกาที่ฮอนโนลูลู ในปี ค.ศ.1986 ในหัวข้อเกี่ยวกับการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ งานวิจัยของญี่ปุ่นเกี่ยวกับการสอนแบบปลายเปิด (open-ended approach) ซึ่งเป็นการสอนที่ใช้ปัญหาปลายเปิดเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมการเรียนการสอน มีผลการวิจัยชี้ว่ามีศักยภาพในการพัฒนาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ เป็นงานวิจัยที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษและเป็นจุดสำคัญของความร่วมมือทางการวิจัยของทั้งสองประเทศในเวลาต่อมา (Becker and Shimada, 1997) ในปัจจุบันมีการใช้ปัญหาปลายเปิดในการสอนคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในประเทศญี่ปุ่น

ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) โดยนักคณิตศาสตร์ชาวญี่ปุ่นนำมาใช้เพื่อต้องการประเมินการประเมินการคิดระดับสูงในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียน (Becker, 1990) ซึ่งสอดคล้องกับปรีชา เนาว์เย็นผล (2544)กล่าวว่าการแก้ปัญหาปลายเปิดจะทำให้นักเรียนมีประสบการณ์ในการเรียนรู้บางประการที่แปลกใหม่แตกต่างไปจากเดิม จากการที่มีคำตอบเปิดกว้างแม้ว่าจะมีผู้หาคำตอบของปัญหาได้แล้ว นักเรียนคนอื่นก็ยังมีโอกาสหาคำตอบอื่นๆ ได้อีกรวมทั้งการท้าทายให้มีการแสวงหาวิธีการใหม่ในการหาคำตอบ เป็นความใหม่ในกระบวนการของการหาคำตอบของปัญหาซึ่งต้องบูรณาการความรู้ที่มีมาก่อน ทักษะ และวิธีการคิดเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนสร้างปัญหาขึ้นเองที่มีความเกี่ยวเนื่องกับปัญหาเริ่มต้น และขยายปัญหาจากปัญหาเดิม

ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) เดิม Becker (1999) เชื่อว่าการสอนโดยใช้ปัญหาปลายเปิดมีศักยภาพสูงในการส่งเสริมการคิดเชิงคณิตศาสตร์ซึ่งนักเรียนจะค้นหาด้วยความสนใจ ในขณะเดียวกันจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจคณิตศาสตร์จากการสำรวจศึกษาได้ดีขึ้น การสอนแบบปลายเปิดมีศักยภาพในการผลักดันนักเรียนเข้าสู่หัวใจของกระบวนการเรียนรู้ ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยการลงมือปฏิบัติ ซึ่งน่าจะช่วยลดทอนช่องว่างระหว่างการสอนจริงในชั้นเรียนกับมุมมองของหลักสูตร

ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ในหลักสูตรคณิตศาสตร์ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของเมืองไทยที่มุ่งเน้นให้นักเรียนคิดอย่างมีเหตุผลนั้น จำเป็นการส่งเสริมในด้านการคิด การแก้ปัญหา ร่วมกิจกรรมและร่วมรับผิดชอบด้วยตนเองให้มากขึ้น แต่เท่าที่ผ่านมาการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอยู่ในระดับที่ไม่น่าพึงพอใจ พบว่าเนื้อหาวิชาที่เกิดปัญหาอย่างมากในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 วิชา ค.016 ได้แก่เรื่องการหาจำนวนวิธีการเรียงสับเปลี่ยนและการจัดหมู่ของสิ่งของ และบททวินาม ซึ่งเป็นส่วนในเรื่องความน่าจะเป็น เพราะธรรมชาติของเนื้อหาในเรื่องความน่าจะเป็นมีลักษณะเป็นนามธรรม และสื่อความหมายโดยการใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ (มยุรี, 2545)

ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) และจากการที่ผู้วิจัยได้ทำการสำรวจข้อมูลการเรียนการสอนในเรื่องความน่าจะเป็นในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยการสอบถามจากนักเรียน และอาจารย์ผู้สอนในหลายๆ โรงเรียน พบว่าการเรียนการสอนส่วนใหญ่ยังเป็นการบรรยายอยู่ หรือสอนสูตรในการคำนวณและยกตัวอย่าง อีกทั้งเน้นการเสนอตัวอย่างที่ยาก ซับซ้อน และเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับนักเรียน เพื่อจุดประสงค์ในการสอบแข่งขันเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา นักเรียนส่วนใหญ่จึงไม่ชอบเรียนในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีกฎหรือสูตรตายตัว คำตอบที่คิดได้มักไม่ตรงกับคำตอบหรือเฉลย จึงเกิดการเบื่อหน่ายในการเรียน และเมื่อเจอกับโจทย์ปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ หรือพยายามประยุกต์ความคิดของตนให้ใช้ได้กับสูตรซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่สูตร อีกประการหนึ่งคือนักเรียนไม่ทราบว่าถึงประโยชน์ในการเรียนเรื่องความน่าจะเป็น จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเรื่องนี้พบว่านักเรียนไม่ต่ำกว่าครึ่งห้องได้คะแนนต่ำกว่ามาตรฐาน และเป็นที่น่าแปลกใจว่านักเรียนที่เคยได้คะแนนสูงในวิชาคณิตศาสตร์เรื่องอื่นๆ กลับได้คะแนนน้อยลงในการเรียนเรื่องความน่าจะเป็น

ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) จากเหตุผลและหลักการดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะนำกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิดเข้าไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องความน่าจะเป็นในระดับช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาที่ 4-6) ลักษณะของกิจกรรมจะใช้ปัญหาเป็นศูนย์กลาง โดยนำเสนอในรูปปัญหาปลายเปิดที่มีความเชื่อมโยงกับเนื้อหากับกิจกรรมการเรียนการสอน และให้ความสำคัญกับการอภิปรายร่วมกันของนักเรียนเพื่อกำหนดแนวทางหาวิธีการแก้ปัญหา ทำให้เกิดแนวคิดที่หลากหลาย และแปลกใหม่ จะนำมาซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ที่ดีในวิชาคณิตศาสตร์เรื่องความน่าจะเป็นได้

ตัวอย่างที่ 3 เรื่อง การสร้างแผนการสอนเรื่องการแจกแจงความ น่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทาง คณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอน โดย นางสาวสุทธิรัตน์ สุขสวัสดิ์

ตัวอย่างที่ 3 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 3 ความสำคัญและที่มาของปัญหาวิจัย (ต่อ) สังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระบบการศึกษาจึงเป็นการเตรียมคนสำหรับสังคมในอนาคต จะต้องเป็นการเตรียมคนให้เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ รู้จักคิดวิเคราะห์ให้เหตุผลและแก้ปัญหาได้ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการศึกษาชาติที่มีเป้าหมายของการจัดการศึกษาคือ “การพัฒนาคน และคุณภาพของคน” ให้เป็นผู้ที่มีปัญญารู้จักเหตุและผล รู้จักแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาดรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและหลากหลาย มีความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งยังมุ่งพัฒนาพฤติกรรมทางสังคมที่ดีงามทั้งในการทำงานและการอยู่ร่วมกัน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2540 : 1-2) การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพคน ส่งผลถึงการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สุดาพร ลักษณียนาวิน) ในการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์

พรรณทิพย์ ม้ามณี( 2520 : 21 ) กล่าวว่า “การสอนคณิตศาสตร์ถ้าจะให้มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงสอนให้แก้ปัญหาได้โดยอัตโนมัติเท่านั้น ยังต้องคำนึงถึงการสร้างประสบการณ์อีกว่าประสบการณ์ใดจะนำไปสู่การปฎิบัติได้เหมาะสมกว่ากัน ”นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่วิชาที่มีความสำคัญอย่างเช่นวิชาคณิตศาสตร์ต้องพบกับปัญหาในด้านการเรียนการสอนโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับมัธยมศึกษา ผลการศึกษาค้นคว้าและผลการวิจัยของนักการศึกษาหลายท่านเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงปัญหาเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า การเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษามีปัจจัยที่เป็นปัญหาอยู่ 4 ประการคือ ผู้สอนผู้เรียน หลักสูตรและสภาพแวดล้อม ( ชัยศักดิ์ ลีลาจรัสกุล . 2543 : 1 ) แต่ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งคือ ครูผู้สอน เนื่องจากครูไม่มีสื่อในการสอน ขาดประสบการณ์ และไม่มีเทคนิคการสอนใหม่ ๆ ครูยังคงใช้วิธีการสอนด้วยการอธิบายบนกระดานดำ เพราะครูเปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่างนักเรียนกับวิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนจะเข้าใจได้มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับครูผู้รับผิดชอบดังที่

นิดา สะเพียรชัย ( 2520 : 43 ) กล่าวว่า ผู้ที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในอันที่จะทำให้การเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียนบรรลุเป้าหมายโดยสมบูรณ์ก็คือ ครูผู้สอน และกลยุทธในการสอนยุพิน พิพิธกุล(2524:490–493) ได้ให้แนวความคิดที่ว่าในฐานะที่เป็นครูคณิตศาสตร์ควรมีสมรรถภาพทางวิชาการ สมรรถภาพด้านหลักสูตร สมรรถภาพด้านการดำเนินการสอน สมรรถภาพด้านมนุษย์สัมพันธ์ และสมรรถภาพด้านเจตคติต่อวิชาชีพ เปรื่อง กุมุท (2513 : 17) ได้ให้ทัศนะว่า การสอนที่ดีมีประสิทธิภาพ คือการสอนที่ได้ผสมความมุ่งหมายที่ตั้งไว้ก่อน ส่วนการสอนที่ไม่มีประสิทธิภาพ คือ สอนแล้วไม่ได้ผลสมความมุ่งหมายที่ตั้งไว้หรือไม่มีความมุ่งหมาย หรือมีแต่ไม่ชัดเจน การสอนจะดีขึ้นอยู่กับการตั้งจุดมุ่งหมายที่แน่นอนและวัดผลได้ของผู้สอนจากสภาพปัญหาของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ทำให้ครูและนักคณิตศาสตร์ศึกษาหลายท่าน ได้พยายามศึกษาและค้นคว้าเพื่อแก้ปัญหาในการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนการสอน ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดและค้นพบด้วยตนเองบ้าง (ยุพิน พิพิธกุล.2530 : 4) ซึ่งจะทำให้นักเรียนไม่เบื่อหน่ายต่อการเรียน การนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการเรียนเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ผู้เรียนได้ข้อสรุปในบทเรียนต่าง ๆ ได้เร็วยิ่งขึ้น

สมาคมครูคณิตสาสตร์สหรัฐอเมริกา(National Coucil of Teacher of Mathematics:NCTM) ได้วางมาตรฐานของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายให้นักเรียนคน้ พบ โดยการสร้าง การวาด การวัด สำรวจ และตั้งข้อคาดเดา (Conjecturing) การสืบเสาะเพื่อตรวจสอบการตั้งข้อคาดเดา (NCTM . 1989 : 112–115) ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะทำให้นักเรียนเป็นผู้มีความรอบรู้ทางคณิตศาสตร์ (Mathematically Literate) คือเป็นผู้ที่มีความสามารถในการสำรวจ ตั้งข้อคาดเดา ให้เหตุผลที่สมเหตุสมผล และเลือกใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้นักเรียนมีจินตนาการ และพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง และจะส่งผลให้นักเรียนเป็นผู้มีพลังทางคณิตศาสตร์(Mathematics Power )( NCTM .1989 : 112 – 115)

การเรียนการสอนในวิชาสถิติและความน่าจะเป็น ก็เป็นส่วนหนึ่งของคณิตศาสตร์ที่มักจะ พบปัญหาเช่นเดียวกัน จึงมีผู้ที่จะพยายามหาวิธีการสอนหลาย ๆ แบบมาช่วยในการอธิบาย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ วิธีหนึ่งที่สามารถช่วยได้คือการจำลองแบบหรือแบบจำลองสถานการณ์(simulation) แบบจำลองสถานการณ์ที่เป็นความหมายของการเรียนการสอน คือ การที่ผู้เรียนสามารถนำเอาความสามารถที่มีอยู่มาใช้กับกระบวนการหรือการประยุกต์หลักการ ภายใต้สถานการณ์เงื่อนไขที่เป็นจริง โดยเฉพาะการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบจำลองสถานการณ์ (Computer Based Simulation : CBS) จะช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน ช่วยให้นักเรียนมีความชำนาญและเชี่ยวชาญในการกระบวนการและการใช้ทักษะกระบวนการคิดขั้นสูงได้ (Reigeluth and Schwartz, 1989 : 9)โดยปกติการสอนความน่าจะเป็นและสถิติ เจ.เอ็ช.มิลทันและเจ.ซี.อานัลด (J.S. Milton and J.C.Arnold) กล่าวว่าควรจะสอนตามที่ใช้กับข้อมูลสถานการณ์จริงของโลก อย่างไรก็ตาม ปัญหาจำนวนมากมายที่พบในสถานการณ์เหมาะแก่การปฏิบัติไม่สามารถแก้ได้ดว้ ยวิธีการวิเคราะห์ อย่างน้อยที่สุดการสร้างแบบตัวอย่างและการจำลองสามารถจัดเตรียมให้เข้าไปถึงความเข้าใจ

สำหรับระบบที่ซับซ้อนได้ การจำลองแบบอาจเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมที่จะช่วยให้กระบวนการที่ซับซ้อน ถูกวิเคราะห์ออกมาภายใต้สถานการณ์ที่ซับซ้อนต่างๆ ปัจจุบันได้มีโปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติ ช่วยในการคำนวณได้มาก เช่น โปรแกรมSPSS/PC+ โปรแกรม MINITAB โปรแกรม SAS และโปรแกรม S-PLUS 2000 เป็นต้น ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้จะมีส่วนช่วยในด้านเนื้อหาให้นักศึกษาเข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้เป็นอย่างดี จากการศึกษางานวิจัยของ สุดา กุนยศยิ่ง : 2543 เรื่อง การศึกษาการแจกแจงความน่าจะเป็นโดยใช้เมเปิล (Maple) จำลองสถานการณ์ เพื่อสร้างความสนใจเกี่ยวกับแนวคิดการแจกแจงความน่าจะเป็นและสถิติ กล่าวว่า การจำลองเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างมากในการเรียนความน่าจะเป็นและสถิติ เป็นสิ่งดึงดูดใจที่จะให้นักเรียนเรียนรู้ ความชำนาญที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะในวิชาที่เรียนแต่นักเรียนสามารถเรียนได้ตามสัญชาตญาณ และเกิดความคิดอย่างถี่ถ้วน จากการจำลองข้อมูลการแจกแจงความน่าของปัวส์ซองกับพารามิเตอร์หลายค่านักเรียนสามารถแปลความหมายและค่าคลาดเคลื่อนมาตรฐานและสามารถแสดงสูตรของการแจกแจงนั้นได้ รวมทั้งตรวจดูกราฟการแจกแจงความน่าจะเป็นแบบปวั ส์ซองเปรียบเทียบสำหรับค่าพารามิเตอร์ที่แตกต่างกันผลการวิจัยเรื่อง

กระบวนการจำลองการคำนวณและการแก้ปัญหาความน่าจะเป็นแบบมีเงื่อนไขเออเนสโต ซานเชส กาเบรียล ยาเนส คาเนล (Ernesto Sanchez , Gabriel Yanez Canal : 2003)กล่าวว่า สามารถใช้ซอฟแวร์ Fathom. มาเป็นเครื่องมือช่วยอธิบายความน่าจะเป็นของการสร้างตัวเลขสุ่ม และการคำนวณข้อมูล พวกเขาเห็นประโยชน์ของเครื่องมือที่จะสร้างสถานการณ์ของการจำลองการสุ่ม ในความคิดของ Fischbein:1977 ตัวแปรที่สร้างขึ้นสามารถจะเป็นตัวแสดงกระบวนการของการสอนที่ดี รวมทั้งซอฟแวร์จะช่วยกระตุ้นความสนใจ และความคงทนทางการเรียนของผู้เรียนได้ดีกว่าการสอนวิชาความน่าจะเป็นแบบในอดีต

ในงานวิจัยเรื่อง การประเมินผลการใช้เทคโนโลยีสำหรับสอนวิชาสถิติ ( Ginger Holmes Rowell :2004) กล่าวว่ารายงานการใช้เทคโนโลยีในห้องการสอนสถิติถูกใช้ในห้องเรียนมา 25 ปีแล้ว รวมถึงการนำการใช้เทคโนโลยี Java Applet สำหรับการจำลองและการทำให้มองเห็นมโนความคิดในวิชาความน่าจะเป็นและสถิติ สามารถแสดงโดยการดาวน์โหลดทางอินเตอร์เน็ต และโปรแกรมซอฟแวร์เกี่ยวกับสถิติจำนวนมากมาย สามารถคำนวณวิเคราะห์ทดสอบค่าทางสถิติ และค่า P –Values พื้นฐาน จากการประเมินความต้องการของครูสถิติพบว่าเทคโนโลยีมีผลในการให้คำแนะนำในวิชาเหล่านี้ได้ Andrej Blejec (2001)กล่าวว่าคอมพิวเตอร์สามารถช่วยเป็นตัวจำลองสำหรับเป็นเครื่องช่วยแนะนำแนวทางในการสอนสถิติ เป็นการผสมระหว่างการนำเสนอผลลัพธ์แบบกราฟฟิค จากการจำลองข้อมูลเอง และนำไปสู่การจำลองโดยใช้คอมพิวเตอร์ สามารถช่วยให้สาธิตการสอนได้ชัดเจนมากกว่าการสอนปกติโดยทั่วไป (VlatkaHlupic:1998)

รูปแบบการจำลองสามารถใช้ในอุตสาหกรรม สาธารณสุข เครือข่ายการสื่อสารได้มีการสำรวจโปรแกรมในวงการวิชาการ และอุตสาหกรรมพบว่า ชนิดของการสำรวจโปรแกรมการจำลองจะใช้ในระดับเริ่มต้น (Coutinho :2001) ได้วิจัยการจัดการสอนในโรงเรียนประเทศฝรั่งเศสพบว่าเด็กอายุ 14 -15 ปี จะมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับรูปแบบของการสุ่มตัวอย่างน้อยมาก เมื่อติดตามถึงปัญหา ในการศึกษาเรื่องการประมาณค่าความน่าจะเป็นที่จะใช้พารามิเตอร์เป็นเครื่องมือสำหรับการดำเนินการทดสอบความถูกต้อง ซึ่งปราศจากความรู้พื้นฐานในการวัด โดยใช้การจำลองจากสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือรัศมีของวงกลม แต่ไม่ใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน

สภาพการเรียนการสอนวิชาความน่าจะเป็นและสถิติเบื้องต้น ที่ผ่านมายังถือว่าไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากธรรมชาติเนื้อหาวิชามีลักษณะเป็นนามธรรม สื่อความหมายโดยใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ จึงเป็นการยากต่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจเนื้อหาได้อย่างชัดเจน “การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติช่วยจำลองสถานการณ์” จึงถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายดังกล่าวเป็นอย่างดีเพราะสามารถแก้ปัญหาระบบวิธีการสอนที่นักเรียนเพียงนั่งฟังบรรยายในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะสร้างแผนการสอนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาและปฏิบัติกิจกรรม การจำลองสามารถช่วยให้ผู้เรียนมองกราฟการแจกแจง ได้เข้าใจฟังก์ชันการแจกแจงชนิดต่างๆได้ดียิ่งขึ้นเพื่อส่งเสริมความสามารถในการเรียนของนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฎเทพสตรี ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนวิชาความน่าจะเป็นและสถิติเบื้องต้น โดยเฉพาะเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องให้บรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตรอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด

การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยนับว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญของการวิจัย เพราะวัตถุประสงค์ของการวิจัยจะเป็นตัวกำหนดแนวทางหรือทิศทางของการทำวิจัย ทำให้คาดคะเนถึงผลลัพธ์ที่จะได้รับจากการวิจัย และสามารถพิจารณา ถึงตัวแปร ข้อมูล ประชากร ตัวอย่าง ที่จะใช้ในการทำวิจัย การกำหนดวัตถุประสงค์จะเป็นการเจาะจงถึงหลักการและวิธีการที่มองถึงความมุ่งหมายของการวิจัย แสดงให้เห็นถึงขอบเขตที่จะหาคำตอบ การกำหนดวัตถุประสงค์จะกำหนดให้สอดคล้องกับเรื่องที่ต้องศึกษา ความชัดเจนกับปัญหาที่ต้องการศึกษา ควรมีลำดับตามความสำคัญของการวิจัยและ สามารถบอกรายละเอียดที่จะทำการวิจัยได้

การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย (ต่อ) การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 1 เรื่อง ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับการนิเทศภายในวิทยาลัยอาชีวศึกษาในกรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับการนิเทศภายในวิทยาลัยอาชีวศึกษาในกรุงเทพมหานคร เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับการนิเทศภายในวิทยาลัยอาชีวศึกษา จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการสอน

การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย (ต่อ) การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 คำถามในการวิจัย : นักเรียนเรียนได้ดีเพียงใด และเรียนอย่างไร หัวข้อการวิจัย : การศึกษาวิธีการเรียนของนักเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาหาวิธีการเรียนของนักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา เพื่อศึกษาหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดยวิธีการเรียนจากการจดบันทึกกับวิธีการเรียนโดยการฟังอย่างเดียวโดยไม่จดบันทึก

การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย (ต่อ) การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 3 เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน โดย นางสาววิยดา ขุนพรหม วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อพัฒนาบทเรียน เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน กับการสอนปกติ

การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย (ต่อ) การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 4 เรื่อง กลยุทธการสอนความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิดสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โดย นางสาวจิราพร กุลฉันท์วิทย์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย สร้างแผนการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) หาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในเรื่องความน่าจะเป็นของ นักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 )ระหว่างกลุ่มที่ทำ กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด กับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ

การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย (ต่อ) การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 5 เรื่อง การสร้างแผนการสอนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอน โดย นางสาวสุทธิรัตน์ สุขสวัสดิ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อสร้างแผนการสอนเรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอนและหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการสอนที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้ และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้และแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างกลุ่มที่เรียนโดยใช้โปรแกรม สำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติกับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ

สมมุติฐานการวิจัย ข้อความหรือข้อสมมุติเพื่อใช้เป็นแนวทางการคะเนคำตอบ โดยคำตอบที่คาดคะเนอาจมาจากความรู้ ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัย หรือความคิดในเรื่องที่ทำการค้นคว้าวิจัย สมมุติฐานที่ตั้งขึ้นมาอาจเป็นจริงหรือเป็นเท็จก็ได้ การที่จะให้สรุปว่าเป็นจริงหรือเท็จ ผู้วิจัยจะต้องตรวจสอบด้วยการเก็บรวบรวมขึ้นมาตรวจสอบ ถ้าข้อมูลที่เก็บรวบรวมขึ้นมาสอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นมาก็จะยอมรับสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นมา แต่ถ้าข้อมูลที่เก็บรวบรวมขึ้นมาไม่สอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นมาก็จะปฏิเสธสมมุติฐาน

วิธีการตั้งสมมุติฐานมีดังนี้ ต้องมีความชัดเจนและเฉพาะเจาะจง และสอดคล้องกับเรื่องที่ทำวิจัย ควรหลีกเลี่ยงคำที่มีความหมายกว้างเกินไป ซึ่งยากต่อการทดสอบ สมมุติฐานต้องทดสอบได้ สมมุติฐานไม่ควรมีขอบเขตที่กว้างเกินไป สมมุติฐานจะต้องสอดคล้องกับความจริงที่ปรากฏอยู่ในเรื่องที่ดีกว่า ภาษาต้องง่ายชัดเจน สำหรับคนทั่วไป เขียนให้เห็นความสัมพันธ์ของตัวแปรในสิ่งที่ศึกษาวิจัย สมมุติฐานไม่ควรเขียนขึ้นภายหลังจากการศึกษาโดยเฉพาะเมื่อรู้ลักษณะของข้อมูล สมมุติฐานควรจะเป็นสิ่งที่ใช้ในการสังเคราะห์ความคิดเกี่ยวกับปัญหาเกี่ยวกับงานวิจัย

ประโยชน์ของสมมุติฐานทางวิจัย สามารถเลือกตัวแปรที่ศึกษาได้ว่ามีตัวแปรอะไร เลือกข้อมูลที่จะนำมาศึกษาได้ตรงประเด็น ช่วยจำกัดขอบเขตของการวิจัยได้ชัดเจนขึ้น สามารถออกแบบงานวิจัยได้อย่างเหมาะสม สามารถให้ทราบได้ว่าจะใช้กลุ่มตัวอย่างอย่างไร ทราบถึงวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ทราบถึงตัวสถิติอะไรที่จะนำมาทดสอบ

ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย ตัวอย่างที่ 1 เรื่อง ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับการนิเทศภายในวิทยาลัยอาชีวศึกษาในกรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับการนิเทศภายในวิทยาลัยอาชีวศึกษาในกรุงเทพมหานคร เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับการนิเทศภายในวิทยาลัยอาชีวศึกษา จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการสอน สมมุติฐาน เพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการสอนต่างกันจะมีผลทำให้ความคิดเห็นของ ผู้บริหารและครูเกี่ยวกับการนิเทศภายในวิทยาลัยอาชีวศึกษาต่างกัน

ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 คำถามในการวิจัย : นักเรียนเรียนได้ดีเพียงใด และเรียนอย่างไร หัวข้อการวิจัย : การศึกษาวิธีการเรียนของนักเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาหาวิธีการเรียนของนักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา เพื่อศึกษาหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดยวิธีการเรียนจากการจดบันทึกกับวิธีเรียนโดยการฟังอย่างเดียวโดยไม่จดบันทึก สมมุติฐาน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดยวิธีการเรียนจากการจดบันทึกกับวิธีเรียน โดยการฟังอย่างเดียวโดยไม่จดบันทึกแตกต่างกัน

ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 3 เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน โดยนางสาววิยดา ขุนพรหม วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อพัฒนาบทเรียน เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน กับการสอนปกติ สมมติฐานของการวิจัย บทเรียนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียนมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 60/60 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาตอนปลายที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน มี คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าการสอนปกติ

ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 4 เรื่อง กลยุทธการสอนความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิดสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โดย นางสาวจิราพร กุลฉันท์วิทย์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย สร้างแผนการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) หาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในเรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) ระหว่างกลุ่มที่ทำ กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด กับกลุ่ม ที่เรียนแบบปกติ

ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) สมมติฐานของการวิจัย แผนการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 นักเรียนที่เรียนในกลุ่มที่ใช้การเรียนการสอนโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิดมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในเกณฑ์ดี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ในเรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนช่วงชั้นที่4(ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6)ระหว่างกลุ่มที่ใช้การเรียนการสอนโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด กับกลุ่มที่เรียนแบบปกติมีผลไม่แตกต่างกัน

ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 5 เรื่อง การสร้างแผนการสอนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอน โดย นางสาวสุทธิรัตน์ สุขสวัสดิ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อสร้างแผนการสอนเรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอนและหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการสอนที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้ และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างกลุ่มที่เรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติกับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ

ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง สมมุติฐานการวิจัย (ต่อ) สมมติฐานของการวิจัย แผนการสอนเรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 และประสิทธิผลในการเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ต้องมีค่าไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติอยู่ในเกณฑ์ดี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนระหว่างกลุ่มที่เรียนด้วยแผนการสอนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติกับกลุ่มที่เรียนแบบปกติแตกต่างกัน

ขอบเขต และข้อจำกัดของงานวิจัย ขอบเขตของการวิจัยนั้น เป็นการกำหนดข้อจำกัดที่แน่ชัดว่า ผู้วิจัยจะทำการวิจัยในขอบเขตที่กว้าง และลึกซึ้งเพียงใด มีอะไรบ้างถ้ามีความสัมพันธ์กัน ขอบเขต และข้อจำกัดของการวิจัยมีลักษณะแตกต่างกันดังนี้

ขอบเขตการวิจัย (Delimitation) การกำหนดขอบเขตการวิจัย เพื่อให้งานวิจัยของผู้ทำวิจัยเป็นไป ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ตั้งไว้ผู้ทำวิจัยจะต้องกำหนด ขอบเขตการวิจัยคือ กำหนดขนาดและลักษณะของตัวอย่างประชากร ชนิดของเครื่องมือรวมทั้งลักษณะและขอบเขตของเนื้อหาในเครื่องมือที่ใช้สำหรับงานวิจัย การกำหนดขอบเขตเรื่องที่ศึกษาว่ามีตัวแปรอะไรบ้าง

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 1. หัวข้อที่ทำวิจัย เรื่อง “องค์ประกอบของการปฏิบัติงานที่มีผลต่อความพึงพอใจของหัวหน้าคณะวิชาช่างอุตสาหกรรม วิทยาลัยเทคนิคภาคกลาง” ขอบเขตของการวิจัย ประชากร คือ หัวหน้าคณะวิชาช่างอุตสาหกรรมวิทยาลัยเทคนิคภาคกลาง ตัวอย่าง คือ หัวหน้าคณะวิชาช่างอุตสาหกรรมวิทยาลัยเทคนิคภาคกลาง ที่สุ่มเลือกมาได้ ตัวแปรต้น คือ องค์ประกอบของการปฏิบัติงาน ตัวแปรตาม คือ ความพึงพอใจของหัวหน้าฯ

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 คำถามในการวิจัย : นักเรียนเรียนได้ดีเพียงใด และเรียนอย่างไร หัวข้อการวิจัย : การศึกษาวิธีการเรียนของนักเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาหาวิธีการเรียนของนักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา เพื่อศึกษาหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดยวิธีการเรียนจากการจดบันทึกกับวิธีเรียนโดยการฟังอย่างเดียวโดยไม่จดบันทึก ขอบเขตของการวิจัย ประชากร คือ นักเรียนโรงเรียนตรังวิทยา ตัวแปรต้น คือ องค์ประกอบของการปฏิบัติงาน ตัวแปรตาม คือ ความพึงพอใจของหัวหน้าฯ

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 3 เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน โดยนางสาววิยดา ขุนพรหม วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อพัฒนาบทเรียน เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน กับการสอนปกติ

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ขอบเขตของการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2549 ของโรงเรียนวังชมภูวิทยาคม จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวนทั้งสิ้น 210 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2549 ของโรงเรียนวังชมพูวิทยาคม จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 2 ห้องเรียน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) โดยการจับสลากเลือก 2 ห้องเรียน จาก ทั้งหมด 5 ห้องเรียน ซึ่งทางโรงเรียนได้จัดนักเรียนที่มีความสามารถในการเรียน สูง ปานกลาง และต่ำ คละกันในแต่ละห้อง โดยใช้คะแนนเฉลี่ยทุกวิชาในชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 3

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) เนื้อหาเรื่อง สถิติ ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้ ได้แก่ เรื่อง การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งประกอบด้วย - การสร้างตารางแจกแจงความถี่ - ฮิสโทแกรม-แผนภาพต้นใบ - การหาเปอร์เซนไทล์ของข้อมูล - ค่าเฉลี่ยเลขคณิต - ค่าเฉลี่ยเลขคณิตที่แจกแจงความถี่แล้ว - มัธยฐานและฐานนิยม - การวัดการกระจายของข้อมูล

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวแปรที่ศึกษา ประกอบด้วย 3.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ วิธีสอน 2 รูปแบบ คือ 1. การสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน 2. การสอนปกติ 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 4 เรื่อง กลยุทธการสอนความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิดสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โดย นางสาวจิราพร กุลฉันท์วิทย์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย สร้างแผนการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) หาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในเรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) ระหว่างกลุ่มที่กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด กับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ขอบเขตของการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนช่วงชั้นที่ 4(ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม สังกัดกรมสามัญศึกษา กรุงเทพมหานคร ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2548 จำนวน 69 คน ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง ดำเนินการทดลอง ใช้เวลาจำนวน 17 คาบเรียน คาบละ 50 นาที โดยทำการทดสอบก่อนเรียน 1 คาบ ดำเนินการเรียนการสอน 15 คาบ และทำการทดสอบหลังเรียน 1 คาบ เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ความน่าจะเป็น ในรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) ตามหลักสูตรการศึกษาพื้นฐาน พุทธศักราช 2544

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวแปรที่ศึกษา คือ การศึกษาตัวแปรต้นและตัวแปรตาม ดังนี้ 4.1 ตัวแปรต้น (ตัวแปรอิสระ) ได้แก่ แผนการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด แผนการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็นแบบปกติ 4.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม การประเมินสภาพจริงเรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่อการเรียนคณิตศาสตร์เรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 5 เรื่อง การสร้างแผนการสอนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอน โดย นางสาวสุทธิรัตน์ สุขสวัสดิ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อสร้างแผนการสอนเรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอนและหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการสอนที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้ และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างกลุ่มที่เรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติกับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ขอบเขตของการวิจัย ในการศึกษาครั้งนี้เป็นการสร้างแผนการสอนเรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอนวิชาความน่าจะเป็นและสถิติเบื้องต้นหลักสูตรมหาวิทยาลัยราชภัฏ และได้กำหนดขอบเขตของการวิจัยไว้ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรที่ใช้ศึกษา คือนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎ 41 แห่ง ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนเรียนวิชาความน่าจะเป็นและสถิติเบื้องต้น 1.2 กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาปกติระดับปริญญาตรี หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต โปรแกรมเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฎเทพสตรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนเรียนวิชาความน่าจะเป็นและสถิติเบื้องต้น ซึ่งได้มาด้วยการเลือกแบบเจาะจง ( Purposive Sampling ) จำนวน 50 คนจากนักศึกษาที่มีพื้นฐานความรู้ทางสถิติไม่แตกต่างกันและการแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมจะใช้วิธีการสุ่มนักศึกษาห้องเรียนละ 25 คน

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา การแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่อง 7 แบบ 2.1 การแจกแจงแบบยูนิฟอร์ม ( Uniform Distribution ) 2.2 การแจกแจงแบบเบอร์นูลี ( Bernoulli Distribution ) 2.3 การแจกแจงแบบทวินาม ( Binomial Distribution ) 2.4 การแจกแจงไฮเปอร์จีออเมตริก ( Hypergeometric Distribution ) 2.5 การแจกแจงแบบทวินามนิเสธ ( Negative binomial Distribution ) 2.6 การแจกแจงแบบเรขาคณิต ( geometric Distribution ) 2.7 การแจกแจงแบบปัวซอง ( Poisson Distribution )

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 โดยกลุ่ม ตัวอย่างแต่ละกลุ่มใช้เวลา 16 คาบ คาบละ 60 นาที โดยทดสอบก่อน เรียน ( Pretest ) จำนวน 3 คาบ ดำเนินการสอนแผนที่ 1 ถึง 7 จำนวน 10 คาบ และทดสอบหลังเรียน ( Posttest ) จำนวน 3 คาบ

ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่าง ขอบเขตการวิจัย (ต่อ) ตัวแปรที่ศึกษา 4.1 ตัวแปรต้น แผนการสอนเรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติ แผนการสอนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องแบบปกติ 4.2 ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่อง ของนักศึกษาทั้ง 2 กลุ่ม แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักศึกษาทั้ง 2 กลุ่ม ผลการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ เรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่อง ของนักศึกษาทั้ง 2 กลุ่ม

ข้อจำกัดของการวิจัย (Limitation) เป็นข้อตกลงเบื้องต้นของการทำวิจัย ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้แต่มิได้กำหนดไว้ในการทดลอง หรือเป็นเรื่องที่ไม่อาจควบคุมได้ในงานวิจัย เช่น ข้อมูล แหล่งข้อมูล วิธีการที่ผู้วิจัยไม่สามารถควบคุมได้ในการวิจัย ทำให้การศึกษานั้นไม่สำเร็จตามจุดมุ่งหมาย ซึ่งในการศึกษาวิจัยแต่ละเรื่องผู้วิจัยจะต้องทราบข้อจำกัดในการวิจัยในเรื่องนั้นมีอะไรบ้าง ก็ให้กำหนดข้อจำกัดในเรื่องนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนของงานวิจัย และควรชี้ให้เห็นถึงประเด็นปัญหาของงานวิจัยที่เป็นความเชื่อเบื้องต้น และเป็นที่ยอมรับกันโดยไม่ต้องพิสูจน์ ไม่ควรตกลงเกินขอบเขตที่ควรจะตกลงได้ เช่น ตกลงไว้ก่อนว่า เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีความเชื่อถือได้โดยปกติ ซึ่งขาดข้อพิสูจน์ หรือในงานวิจัยบางเรื่องอาจขาดเหตุผลที่ให้เชื่อในข้อตกลง

ข้อจำกัดของการวิจัย (ต่อ) ข้อจำกัดของการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 1 เรื่อง กลยุทธการสอนความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิดสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โดย นางสาวจิราพร กุลฉันท์วิทย์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย สร้างแผนการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) หาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในเรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4(ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) ระหว่างกลุ่มที่กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด กับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ

ข้อจำกัดของการวิจัย (ต่อ) ข้อจำกัดของการวิจัย (ต่อ) ข้อตกลงเบื้องต้น ผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน เป็นตัวแทนที่บ่งชี้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน และผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนนี้ได้มาโดยมีหลักการวัดผลและเกณฑ์การให้คะแนนอย่างยุติธรรม ฉะนั้นผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่นำมาใช้ในการวิจัยครั้งนี้จึงถือว่าเชื่อถือได้ ผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน ที่ได้จากการทดลองของกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ถือว่าเป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ตรงกับสภาพความเป็นจริงของผู้เรียน ข้อจำกัดของการวิจัย งานวิจัยนี้ถูกจำกัดเฉพาะนักเรียนระดับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม สังกัดกรมสามัญศึกษา กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัย ถูกจำกัดด้วยความความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน ผลการวิจัย ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขและเวลา ในขณะที่งานวิจัยได้ถูกกระทำ

ข้อจำกัดของการวิจัย (ต่อ) ข้อจำกัดของการวิจัย (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 เรื่อง การสร้างแผนการสอนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอน โดย นางสาวสุทธิรัตน์ สุขสวัสดิ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อสร้างแผนการสอนเรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอนและหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการสอนที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้ และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างกลุ่มที่เรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติกับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ

ข้อจำกัดของการวิจัย (ต่อ) ข้อจำกัดของการวิจัย (ต่อ) ข้อตกลงเบื้องต้น ผลการเรียนวิชาความน่าจะเป็นและสถิติเบื้องต้นเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องของนักเรียน เป็นตัวแทนที่บ่งชี้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน และผลการเรียนวิชาความน่าจะเป็นและสถิติเบื้องต้นของนักเรียนนี้ได้มาโดยมีหลักการวัดผลและเกณฑ์การให้คะแนนอย่างยุติธรรมและคะแนนผลสัมฤทธิ์ที่ได้เกิดจากผลการเรียนโดยการทดลองจากนักเรียนที่ตรงกับสภาพความเป็นจริงของผู้เรียน ข้อจำกัดของการวิจัย งานวิจัยนี้ถูกจำกัดเฉพาะนักศึกษาระดับปริญญาตรี โปรแกรมเทคโนโลยีสารสนเทศคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ผลการวิจัย ถูกจำกัดด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน ผลการวิจัย ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขและเวลาในขณะที่ดำเนินการวิจัย

แนวการเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ การเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ คือ การเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการนำผลการวิจัยไปใช้ และเป็นประโยชน์ต่อตนเอง สถาบัน หน่วยงาน ทั้งทางตรง และทางอ้อม โดยคำนึงถึงว่ามีใครบ้างที่จะได้รับประโยชน์ดังกล่าว มากน้อยเพียงใด มีข้อจำกัดหรือไม่ มีเงื่อนไขข้อกำหนดที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษอย่างไร

แนวการเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ (ต่อ) แนวการเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ (ต่อ) ตัวอย่างที่ 1 เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน โดยนางสาววิยดา ขุนพรหม วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อพัฒนาบทเรียน เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน กับการสอนปกติ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ คาดว่าผลการศึกษาจะเป็นประโยชน์ต่อครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ จะนำวิธี รูปแบบการคิดของ นักเรียนไปใช้ในการพัฒนาการสอนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่อไป

แนวการเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ (ต่อ) แนวการเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 เรื่อง กลยุทธการสอนความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิดสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โดย นางสาวจิราพร กุลฉันท์วิทย์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย สร้างแผนการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) หาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในเรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4(ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) ระหว่างกลุ่มที่กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด กับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ

แนวการเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ (ต่อ) แนวการเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ (ต่อ) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ แผนการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) สามารถทำให้เกิดดังนี้ ได้วิธีการสอนแนวใหม่โดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิดในการสอนคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น นักเรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ที่ดีในการเรียนคณิตศาสตร์ เป็นแนวทางให้ครูผู้สอนศึกษา นำไปปรับปรุงการสอนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องความน่าจะเป็น โดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิดในการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องความน่าจะเป็น เป็นแนวทางในการนำการแก้ปัญหาปลายเปิดไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องอื่นๆ ต่อไป เป็นแนวทางในการวิจัยด้านกลยุทธการสอนในระดับชั้นอื่นๆ ต่อไป

แนวการเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ (ต่อ) แนวการเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ (ต่อ) ตัวอย่างที่ 3 เรื่อง การสร้างแผนการสอนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอน โดย นางสาวสุทธิรัตน์ สุขสวัสดิ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อสร้างแผนการสอนเรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอนและหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการสอนที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้ และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างกลุ่มที่เรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติกับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ

แนวการเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ (ต่อ) แนวการเขียนประโยชน์ที่จะได้รับ (ต่อ) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการสอน เรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติช่วยในการสอน การสอนเรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติจะช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้น ผลจากการสอนเรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอนจะช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนดีขึ้นกว่าการสอนแบบปกติ ผู้เรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ และเกิดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีในการเรียน

แนวการเขียนคำนิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัย นิยามศัพท์ คือ คำศัพท์ที่ต้องการคำอธิบาย และสื่อความหมายระหว่างผู้ทำวิจัย และผู้อ่านให้มีความหมายตรงกัน โดยเฉพาะคำที่มีความหมายหลากหลาย ปรกติแล้วนิยามศัพท์จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การใช้นิยามเชิงแนวความคิด (Conceptual Definition) และ การให้นิยามเชิงหน้าหน้าที่เฉพาะ (Functional Definition) การให้นิยามเชิงแนวความคิด เป็นการให้ความหมายของคำศัพท์เกี่ยวกับแนวความคิดเชิงวิชาการ การให้นิยามศัพท์เชิงหน้าที่เฉพาะ เป็นการให้ความหมายของคำศัพท์ เกี่ยวกับวิธีการที่จะเสนอแนวความคิดไปใช้ในเรื่องราวเฉพาะในรายวิชา

การให้ความหมายของคำศัพท์ในเชิงปฏิบัติการควรถือเกณฑ์ดังนี้ ให้บุคคลอื่น ๆ รู้ความหมายของค่าเท่ากับผู้วิจัย คำที่ใช้ต้องมีความหมายแน่นอน และตรวจสอบได้ ต้องต่างจากคำอื่น ๆ อย่างเด่นชัด และไม่ซ้ำซ้อน ต้องสอดคล้องกับเรื่องที่ทำการวิจัย ต้องครอบคลุมสภาวะ และเงื่อนไขของวิชาการทำการวิจัย คัดเลือกเพียงคำหลัก ๆ และเป็นสามัญโดยเฉพาะ สำหรับคำที่มีความหมายอ่างควรระบุให้ชัดเจน เพื่อความเข้าใจร่วมกัน อย่าใช้ศัพท์ขาดที่ต้องแปลความอีก

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่างที่ 1 เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน โดยนางสาววิยดา ขุนพรหม วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อพัฒนาบทเรียน เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน กับการสอนปกติ

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) นิยามศัพท์เฉพาะ รูปแบบการคิดของนักเรียน หมายถึง พฤติกรรมภายในที่เกิดจากกระบวนการทำงานของสมองในการรวบรวม จัดระบบข้อมูลและประสบการณ์ต่าง ๆ อันจะนำไปสู่รูปร่าง หรือมโนภาพที่เป็นเรื่องราวขึ้นในใจ สื่อออกมาโดยการเขียนอธิบายหาคำตอบของปัญหาที่กำหนดให้ การสอนโดยใช้รูปแบบการคิดของนักเรียน หมายถึง การรวบรวม และนำรูปแบบการคิดของนักเรียน ที่นักเรียนสื่อออกมาโดยการเขียนอธิบาย มาวิเคราะห์ ว่านักเรียนคิดสอดคล้องกับการคิดแบบใด จากนั้นนำรูปแบบที่ได้ ไปพัฒนาบทเรียนขึ้นใหม่เพื่อนำไปใช้สอนต่อไป

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) การสอนปกติ หมายถึง การสอนที่ครูผู้สอน สอนตามคู่มือครูที่สร้างขึ้นโดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ในเนื้อหาเรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 3.1. ครูแจ้งจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมก่อนทุกครั้งที่จะดำเนินการสอน 3.2. นำเข้าสู่บทเรียนด้วยการสนทนา อภิปราย ซักถาม เพื่อสร้างสถานการณ์เร้า ความสนใจและทบทวนความรู้พื้นฐานของนักเรียน

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) 3.3. ดำเนินการสอนโดยการอธิบาย ถาม – ตอบ สาธิต บรรยาย ลงมือปฏิบัติ เล่น เกม ให้สอดคล้องกับเนื้อหานั้น ๆ 3.4. ให้นักเรียนสรุปด้วยตนเอง หรือครูผู้สอน หรือ ทั้งครูผู้สอนและนักเรียน ช่วยกันสร้าง แล้วให้นักเรียนทำโจทย์ปัญหาร่วมกันในกลุ่มที่จัดไว้ 3.5. ประเมินผลด้วยการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน จากข้อ 3 จากแบบฝึกหัด ครูตรวจและแก้ไขข้อบกพร่องของนักเรียน ทำแบบทดสอบย่อยตาม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ถ้าไม่ผ่านจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้ซ่อม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมนั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สถิติ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่างที่ 2 เรื่อง กลยุทธการสอนความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิดสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โดย นางสาวจิราพร กุลฉันท์วิทย์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย สร้างแผนการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็นโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) หาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การประเมินสภาพจริง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในเรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4(ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) ระหว่างกลุ่มที่กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด กับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย ปัญหาปลายเปิด หมายถึง ลักษณะปัญหาจะแสดงถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้ ไม่มีขั้นตอนการคิด, ไม่กำหนดรูปแบบทางคณิตศาสตร์, สามารถเกี่ยวข้องกับชีวิตจริง, ต้องใช้ความน่าจะเป็น และความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา เราสามารถจำแนกประเภทของคำถามปลายเปิดออกเป็น 3 หมวดดังนี้ คือ 1.1 ปัญหาปลายเปิดที่มีคำตอบชัดเจน 1.2 ปัญหาปลายเปิดแบบที่เน้นวิธีการ 1.3 ปัญหาปลายเปิดที่มีการกำหนดเงื่อนไข

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ขั้นตอนในวิธีการแก้ปัญหาปลายเปิด ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 2.1 คำถามปลายเปิด (รวมถึงข้อมูลสนับสนุน) 2.2 การวิเคราะห์ข้อมูลและวางแผนในการแก้ปัญหา 2.3 ตัดสินใจแลกเปลี่ยนความคิด 2.4 รวบรวมวิธีการและข้อเสนอแนะเพื่อกำหนดรูปแบบสำหรับปัญหาที่ เกิดขึ้นใหม่ จากคำถามตั้งต้น 2.5 สรุปการแก้ปัญหา, วิธีการ และกฎที่ถูกตั้งขึ้นโดยผู้แก้ปัญหา

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) นักเรียนในกลุ่มการทดลอง หมายถึง นักเรียนช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม สังกัดกรมสามัญศึกษา กรุงเทพมหานคร กลยุทธการสอน หมายถึง ยุทธวิธีที่นักเรียนนำมาเป็นแนวทางหรือกระบวนการที่ใช้ในการหาคำตอบของปัญหา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถทางด้านสติปัญญาของนักเรียนนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 ( ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6)หลังจากที่เรียนเรื่องความน่าจะเป็น ได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่อง ความน่าจะเป็น ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ หมายถึง ความปรารถนาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี มีความทะเยอทะยานสูง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขัดขวาง พยายามหาวิธีการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาอันจะนำตนไปสู่ความสำเร็จ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เรียนเรื่องความน่าจะเป็น การประเมินสภาพจริง หมายถึง กระบวนการวัดและสังเกตผลอย่างเป็นระบบ เป็นวิธีการประเมินความสามารถทางด้านต่างๆ ของผู้เรียน โดยมุ่งประเมินจากผลงานที่ปฏิบัติจริงมากกว่าผลการทดสอบด้านข้อสอบเพียงอย่างเดียว

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่างที่ 5 เรื่อง การสร้างแผนการสอนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอน โดย นางสาวสุทธิรัตน์ สุขสวัสดิ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อสร้างแผนการสอนเรื่องแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอนและหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการสอนที่สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้ และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมการเรียนรู้และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างกลุ่มที่เรียนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติกับกลุ่มที่เรียนแบบปกติ

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติ หมายถึงโปรแกรมสำเร็จรูป MINITAB และโปรแกรมสำเร็จรูป Microsoft excel สามารถสร้างตัวเลขสุ่มเพื่อจำลองข้อมูลของการแจกแจงความน่าจะเป็นโดยการใช้การจำลองสถานการณ์ (Simulation) บนคอมพิวเตอร์ แสดงรูปกราฟการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่อง ทำให้นักเรียนสามารถสืบเสาะ ค้นหา คาดเดา สรุปหาเหตุผลด้วยตนเองเข้าใจฟังก์ชันการแจกแจง และลักษณะกราฟการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องชนิดต่าง ๆได้

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) การสอนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอน หมายถึง กระบวนการเรียนการสอนเพื่อใช้ประกอบการสอนวิชาความน่าจะเป็นและสถิติเบื้องต้น เรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่อง โดยการแบ่งลักษณะของกิจกรรมประกอบด้วย 3 ลักษณะคือขั้นนำ เป็นกิจกรรมที่อาจารย์ดำเนินการสอนเป็นขั้นการสอนเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาต่าง ๆ โดยศึกษาจาก Powerpoint ประกอบคำบรรยายขั้นสอน เป็นกิจกรรมที่นักศึกษาร่วมกันศึกษาเนื้อหา การจำลองสถานการณ์จากใบความรู้และปฏิบัติเป็นกลุ่มย่อย เพื่อแสดงความคิดเห็นและวิธีการต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบฝึกปฏิบัติระหว่างเรียนขั้นสรุป ร่วมกันสรุปเป็นกลุ่มย่อยและเป็นกิจกรรมการเรียนรู้รายบุคคล

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) เพื่อทบทวนความรู้ที่ได้ศึกษาจากแบบฝึกปฏิบัติระหว่างเรียน ซึ่งมีลักษณะเป็นใบงานรายบุคคลกลุ่มทดลองจะเรียนด้วยแผนการสอนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอน ซึ่งประกอบด้วย 1. เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมสำเร็จรูป MINITAB และ Microsoft Excel 2. แผนการสอนเป็นแผนการดำเนินการจัดกิจกรรมการจำลองสถานการณ์บนคอมพิวเตอร์เรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่อง โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตสาสตร์และสถิติมาช่วยในการสอน ประกอบด้วย สาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการสอน สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ การวัดผลและการประเมินผล 3. แบบฝึกปฏิบัติและแบบทดสอบประจำหน่วยสำหรับนักศึกษาฝึกทำเพื่อวัดความเข้าใจในบทเรียนในแต่ละเนื้อหา

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) การสอนแบบปกติ หมายถึง การสอนที่ยึดแนวการสอนตามคู่มือครู ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้ ขั้นนำ เป็นการสนทนา ซักถาม และทบทวนความรู้พื้นฐานให้นักศึกษา ขั้นสอน ครูสอนเนื้อหาโดยการอธิบาย ซักถาม และสาธิตประกอบเนื้อหาแล้วให้นักศึกษาทำแบบฝึกหัด ขั้นสรุป ครูและนักเรียนช่วยกันสรุป นักศึกษา หมายถึง นักศึกษาระดับปริญญาตรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 คณะวิทยาศาสตร์โปรแกรมเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฎเทพสตรี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในด้านความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้และความสามารถของนักศึกษาในการเรียนรู้วิชาความน่าจะเป็นและสถิติเบื้องต้น เรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่อง ที่ได้เป็นคะแนนจากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่อง ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ประสิทธิภาพของการใช้การจำลองแบบการสอน หมายถึง คุณภาพของการเรียนที่ใช้การจำลองแบบการสอนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์และสถิติช่วยในการสอน ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 70 /70 กล่าวคือ ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบในการจำลองแบบการสอนทั้งหมด ต่อร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียนของนักศึกษาทั้งหมด ประสิทธิภาพของการจำลองแบบการสอนแทนด้วย E1/E2 เมื่อ ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบในการจำลองแบบการสอนทั้งหมด ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์รวม (E2) หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียนทั้งหมดของการจำลองแบบการสอน การยอมรับประสิทธิภาพของการใช้การจำลองแบบการสอนเรื่องการแจกแจงความ น่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่อง คือประสิทธิภาพของชุดการเรียนใกล้เคียงกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ หรือต่ำกว่าเกณฑ์ได้ไม่เกิน 2.5 %

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ประสิทธิผล หมายถึง ความสำเร็จหรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เป็นความสามารถในการบรรลุเป้าหมาย โดยการทดสอบความแตกต่างของคะแนนจากการสอบก่อนเรียน(Pretest) และทดสอบหลังเรียน (Posttest) หากผลการเปรียบเทียบพบว่าผู้เรียนได้คะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แสดงว่าบทเรียนนั้นทำให้ผู้เรียนเกิดประสิทธิผลทางการเรียน โดยค่าที่ได้ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จึงถือว่าอยู่ในเกณฑ์ พฤติกรรมการเรียนรู้ หมายถึง พฤติกรรมการเรียนของนักศึกษาที่แสดงออกในด้านนิสัยในการทำงานทักษะการเรียน ทักษะทางสังคม บันทึกข้อมูลจากการสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทางการเรียนเรื่องการแจกแจงความน่าจะเป็นชนิดไม่ต่อเนื่อง วัดได้ด้วยแบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น

ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) ตัวอย่าง การเขียนคำนิยามศัพท์ (ต่อ) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การแสดงออกตามทฤษฎีของ McClellan โดยแบ่งลักษณะและคุณสมบัติของผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนออกเป็น 5 ด้าน คือด้านความทะเยอทะยานทางการเรียน ด้านความกระตือรือร้นทางการเรียน ด้านความรับผิดชอบต่อตนเองทางการเรียน ด้านการพึ่งตนเองทางการเรียน ด้านการวางแผนทางการเรียน วัดได้ด้วยแบบสอบถามวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น

The End