(Introduction to Soil Science)

Slides:



Advertisements
งานนำเสนอที่คล้ายกัน
3. Hinzberg test เป็นปฏิกิริยาของ Amines
Advertisements

สารกระตุ้นสมรรถภาพการผลิต
สารอนินทรีย์ (Inorganic substance)
C10H8 + 12O2  10CO2 + 4H2O The Types of Chemical Reaction
Protein Isolation and Amino acid sequencing
ชัยวัฒน์ เชื้อมั่ง เคมีไฟฟ้า.
ว เคมีพื้นฐาน พันธะเคมี
ความอุดมสมบูรณ์ของดินกับการเจริญเติบโตของพืช
หนังสือ หลักกสิกรรมหน้า 43-60
Proficiency testing 2009 Microbiology Chemical Environmental Physical Calibration.
ว เคมีพื้นฐาน พันธะเคมี
เกณฑ์การประเมิน ผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการชำนาญ การพิเศษ / เชี่ยวชาญ.
กิจกรรมทดสอบความชำนาญ ประจำปี 2559 อาหาร สิ่งแวดล้อม เคมี ฟิสิกส์ สอบเทียบ.
Page 1 PepsiCo Confidential Agro-Development fertilizer and nutrients management for potato production (best practice)
ปริมาณสารสัมพันธ์ Stoichiometry.
ปริมาณสารสัมพันธ์ Stoichiometry.
กิจกรรมทดสอบความชำนาญ ประจำปี 2560
5. ของแข็ง (Solid) ลักษณะทั่วไปของของแข็ง
ปฐพีศาสตร์ทั่วไป (General soil)
ปฐพีศาสตร์ทั่วไป (General soil)
Introduction to Electrochemistry
ปฐพีศาสตร์ทั่วไป (General soil)
Water and Water Activity I
กิจกรรมทดสอบความชำนาญ ประจำปี 2561
กรด-เบส Acid-Base.
บทที่ 12 โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
กิจกรรมทดสอบความชำนาญ ประจำปี 2561
การจัดการดินและปุ๋ยสำหรับผักสวนครัว
กิจกรรมทดสอบความชำนาญ ประจำปี 2560
ธาตุอาหารพืช (Plant Nutrient).
อินทรียวัตถุในดิน (Soil Organic Matter).
(Introduction to Soil Science)
กิจกรรมทดสอบความชำนาญ ประจำปี 2560
กิจกรรมทดสอบความชำนาญ ประจำปี 2561
กิจกรรมทดสอบความชำนาญ ประจำปี 2561
(Introduction to Soil Science)
รายการวัสดุอ้างอิง (RM) และตัวอย่างควบคุม (Qc sample) สำหรับห้องปฏิบัติการ NOTE: To change the image on this slide, select the picture and delete it.
การไทเทรตแบบตกตะกอน ดร.อัญชนา ปรีชาวรพันธ์.
อุตสาหกรรมการผลิตและ การใช้ประโยชน์จากโซเดียมคลอไรด์
ดร. อุษารัตน์ รัตนคำนวณ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
น้ำในดิน (Soil Water).
ประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 164/2560
กรด - เบส ครูกนกพร บุญนวน.
(Introduction to Soil Science)
การกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำข้อมูลพื้นฐาน
Soil Fertility and Plant Nutrition
การอบรมการใช้ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 1
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
132351/ Soil Fertility and Plant Nutrition
นางสาวเพ็ญศรี ท่องวิถี นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ
/ Soil Fertility and Plant Nutrition
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช
ชั่วโมงที่ 39 กรดนิวคลิอิก
“ เผชิญความตายอย่างสงบ ”
ผู้วิจัย ศิริมา เที่ยงสาย
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
กิจกรรมที่7 บทบาทของโลหะทองแดงในปฏิกิริยา
Lec Soil Fertility and Plant Nutrition
Lec Soil Fertility and Plant Nutrition
ตารางธาตุ.
สารละลายกรด-เบส.
122351/ Soil Fertility and Plant Nutrition
อ.ณัฐวัฒน์ ธนสารโชคพิบูลย์
อ.ณัฐวัฒน์ ธนสารโชคพิบูลย์
เลขออกซิเดชัน 5. ธาตุออกซิเจนในสารประกอบทั่วไปจะมีเลขออกซิเดชัน -2
กิจกรรมทดสอบความชำนาญ ประจำปี 2562
กิจกรรมทดสอบความชำนาญ ประจำปี 2560
นิยาม แรงลอยตัว คือ ผลต่างของแรงที่มาดันวัตถุ
กิจกรรมทดสอบความชำนาญ ประจำปี 2561
ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา
ใบสำเนางานนำเสนอ:

(Introduction to Soil Science) ปฐพีศาสตร์เบื้องต้น (Introduction to Soil Science) (361212) โดย ดร. นิวัติ อนงค์รักษ์

บทที่ 5 ดินกรด ดินด่าง และดินเกลือ (Acid Soils, Alkaline Soils and Salt Affected Soils)

ดินกรดและดินด่าง ดินกรด ดินด่าง และดินเกลือ คือดินที่มีปัญหาสมบัติทางเคมี เป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตของพืช เป็นปัญหาต่อการเพาะปลูก ดังนั้น การศึกษาเพื่อหาสาเหตุของปัญหา หาวิธีการแก้ไข ปรับปรุงดิน จะสามารถทำให้สมบัติทางเคมีของดินดีขึ้นและใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกได้ดีขึ้น

1. มาตรา (scale) ของ pH 1) สมบัติของน้ำบริสุทธิ์ - การแตกตัวน้อยมาก ทุกๆ 107 โมเลกุลจะมีการแตกตัวเพียง 1 โมเลกุล - มี [H+] = [OH-] หรือเท่ากับ 10-7 2) มาตราพีเอช (pH scale) คือ มาตราที่บ่งบอกเป็นตัวเลขและตัวเลขนั้นสัมพันธ์กับความเข้มข้นของ H+ ในสารละลายดิน ซึ่งได้จากสูตร pH = - log [H+] - [H+] = [OH-] ความเข้มข้นเท่ากับ 10-7 โมลาร์ ปฏิกิริยาดินเป็นกลาง - [H+] > [OH-] ความเข้มข้นมากกว่า 10-7 โมลาร์ ปฏิกิริยาดินเป็นกรด - [H+] < [OH-] ความเข้มข้นน้อยกว่า 10-7 โมลาร์ ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง

2. ปฏิกิริยาดิน (soil reaction) 1) ปฏิกิริยาดิน คือ ระดับขั้นของสภาพกรด หรือสภาพด่างของดิน ซึ่งแสดงด้วยค่า pH ของดิน 2) ข้อสังเกตในการบอกค่าปฏิกิริยาดิน - หากไม่ทราบค่า pH ที่แน่นอน อาจบอกเพียงว่าดินเป็นกรด หรือด่างปานกลาง ก็เป็นที่เข้าใจโดยทั่วกัน - ถ้ามีค่า pH 6.1-6.5 เป็นดินกรดเล็กน้อย แทนที่จะเรียกว่าดินกรด อ่อน เพราะดินกรดอ่อนและดินกรดแก่ มีความหมายเฉพาะตัว - กรดอ่อน เมื่อละลายน้ำจะปลดปล่อย H+ ออกมาเพียง บางส่วน - กรดแก่ เมื่อละลายน้ำจะปลดปล่อย H+ ออกมาทั้งหมด

ความสัมพันธ์ระหว่าง [H+], pH, [OH-] และ Kw 100 0 10-14 10-14 10-1 1 10-13 10-14 10-2 2 10-12 10-14 10-3 3 10-11 10-14 10-4 4 10-10 10-14 10-5 5 10-9 10-14 10-6 6 10-8 10-14 10-7 7 10-7 10-14 10-8 8 10-6 10-14 10-9 9 10-5 10-14 10-10 10 10-4 10-14 10-11 11 10-3 10-14 10-12 12 10-2 10-14 10-13 13 10-1 10-14 10-14 14 100 10-14

ระดับของปฏิกิริยาดินซึ่งแสดงด้วยค่า pH ของดิน < 3.5 กรดรุนแรงมากที่สุด (ultra acid) 3.5-4.5 กรดรุนแรงมาก (extremely acid) 4.6-5.0 กรดจัดมาก (very strongly acid) 5.1-5.5 กรดจัด (strongly acid) 5.6-6.0 กรดปานกลาง (moderately acid) 6.1-6.5 กรดเล็กน้อย (slightly acid) 6.6-7.3 กลาง (neutral) 7.4-7.8 ด่างเล็กน้อย (slightly alkaline) 7.9-8.4 ด่างปานกลาง (moderately alkaline) 8.5-9.0 ด่างจัด (strongly alkaline) > 9.0 ด่างจัดมาก (very strongly alkaline)

3. การจำแนกสภาพกรดในดิน 1) การจำแนกตามการแตกตัวของ H+ - สภาพกรดจริง (active acidity) คือ ส่วนของ H+ ที่ถูกปลดปล่อย ออกมาอยู่ในสารละลายดิน แสดงความเป็นกรดที่แท้จริง เนื่องจาก pH แสดงถึงความเข้มข้นของกรดส่วนนี้เท่านั้น - สภาพกรดแฝง (potential acidity) คือ H+ แลกเปลี่ยนได้ (exchangeable H+) ซึ่งดูดซับอยู่ที่ผิวคอลลอยด์ดิน และเมื่อ เกิดปฏิกิริยาแลกเปลี่ยนแคตไอออน (cation exchange reaction) จะออกมาสู่สารละลายดิน H+ คอลลอยด์ดิน H+ H+ (กรดจริง) (กรดแฝง) H+

2) การจำแนกสภาพกรดแบบใหม่ (พ. ศ. 2530) 2) การจำแนกสภาพกรดแบบใหม่ (พ.ศ.2530) - สภาพกรดที่ตกค้าง (residual acidity) คือ สภาพกรดในดินซึ่งถูก สะเทินได้ด้วยปูนหรือวัสดุที่เป็นด่าง แต่เกลือที่ไม่มีสมบัติบัฟเฟอร์ (unbuffered salt solution) ไม่อาจทำปฏิกิริยาแลกเปลี่ยน ไอออนได้ - สภาพกรดซึ่งถูกแทนที่ได้ด้วยเกลือ (salt- replaceable acidity) คือ อะลูมินัม และไฮโดรเจนซึ่งดูดซับที่ผิวคอลลอยด์ดิน และถูกแทนที่ได้ ด้วยเกลือที่ไม่มีสมบัติบัฟเฟอร์ เช่น โพแทสเซียมคลอไรด์ หรือ โซเดียมคลอไรด์ - สภาพกรดทั้งหมด (total acidity) คือ กรดทั้งหมดที่มีอยู่ในดินนั้น สภาพกรดทั้งหมด = CEC ของดิน – เบส (base) ซึ่งแลกเปลี่ยนได้ หรือสภาพกรดทั้งหมด = สภาพกรดที่ตกค้าง + สภาพกรดซึ่งอาจถูก แทนที่ได้ด้วยเกลือ

3) การจำแนกสภาพกรดเปรียบเทียบข้อ 1 และ 2 - สภาพกรดที่ตกค้าง (residual acidity) คือ กรดแฝงส่วนใหญ่และรวม เอา Al3+ (แคตไอออน) ที่เปลี่ยนได้ด้วย - สภาพกรดซึ่งถูกแทนที่ได้ด้วยเกลือ (salt- replaceable acidity) คือ กรดจริงรวมกับกรดแฝงส่วนน้อย ซึ่งแทนที่ได้ด้วยเกลือที่ไม่มีสมบัติ บัฟเฟอร์

การจำแนกสภาพกรดในดิน

4. วิธีวัด pH ของดิน 1) วัดด้วยเครื่อง pH meter - เป็นเครื่องมือที่มีราคาแพง - มีความถูกต้องและมีความละเอียดสูง - เหมาะสำหรับการวัดในห้องปฏิบัติการ 2) วัดด้วยน้ำยาเปลี่ยนสี (indicator) - เป็นเครื่องมือที่มีราคาถูก (เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่อง pH meter) - มีความถูกต้องในระดับน่าพอใจ และวัดได้รวดเร็ว (ประมาณ 2 นาที) - สะดวก สามารถนำติดตัวไปใช้ในภาคสนามได้ดี

การวัดปฏิกิริยาดินด้วยน้ำยาเปลี่ยนสี

5. การเกิดและการปรับปรุงดินกรด 1) สาเหตุของการเกิดดินกรด - เกิดจากปฏิกิริยาแลกเปลี่ยนไอออน ระหว่าง H+ จากกรดคาร์บอนิกกับ เบสิกแคตไอออน (basic cation) แลกเปลี่ยนได้ในกระบวนการพัฒนา ของดิน - เกิดจากการทับถมของอินทรียสารในดิน เมื่ออินทรียสารเหล่านี้เน่า เปื่อยลง จะทำให้เกิดกรดอินทรีย์สะสมในดิน มีผลทำให้ดินเป็นกรด - เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การใส่ปุ๋ยอย่างไม่ถูกต้อง (ยูเรียหรือ แอมโมเนียม) - เกิดจากการเกิดดินกรดจัดหรือดินเปรี้ยวจัด เกิดจากการออกซิเดชัน ไฟไรต์ (FeS2) เป็นจาโรไซต์ (jarosite) เมื่อทำปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสจะ ได้ goethite (FeOOH) และกรดกำมะถัน ทำให้เกิดกรดในดินขึ้น

- การปรับปรุงดินกรดจัดเพื่อปลูกพืชไร่ หรือไม้ผลได้ เช่น การ 2) การปรับปรุงดินกรด คือ การปรับ pH ของดินให้สูงขึ้นจนมีสภาพใกล้เป็นกลาง โดยการใช้ปูนในอัตราที่เหมาะสม - ดินที่เป็นกรดจัดเพื่อปลูกข้าว ในสภาพน้ำขัง มีวิธีการปรับปรุงดินเพื่อ ลดกรดและความเป็นพิษของ Fe และ Al ดังนี้ - การชะละลายดิน ทำให้ pH สูงขึ้น เกลือของ Fe และ Al ลดลง - การใส่ปูน เป็นการเพิ่ม Ca และลดปริมาณ Al ที่เป็นพิษ - การขังน้ำ ดินกรดจัดเมื่ออยู่ในสภาพขังน้ำ pH จะสูงขึ้น - การใส่ MnO2 จะช่วยแก้ปัญหาความเป็นพิษของเหล็ก - การใส่ปุ๋ยฟอสเฟต - การปรับปรุงดินกรดจัดเพื่อปลูกพืชไร่ หรือไม้ผลได้ เช่น การ ปลูกไม้ผลโดยวิธียกร่อง หรือการใส่ปูนบริเวณที่ปลูก จะช่วยให้ ผลผลิตดีขึ้น

6. การเกิดด่างและการปลูกพืชในดินด่าง 1) การเกิดดินด่าง เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดดินที่เป็นด่าง เช่น หินปูน ดินประเภทนี้จะมีเบสิกแคตไอออนแลกเปลี่ยนได้สูง เกิดจากสาเหตุต่อไปนี้ - เกิดจากภาวะแห้งแล้ง ปริมาณฝนน้อย ไม่เพียงพอต่อการชะละลาย เกลือแคลเซียมและแมกนีเซียมคาร์บอเนต ทำให้เกิดการสะสม หินปูนในดิน - เกิดจากระดับน้ำใต้ดินสูง โดยแคลเซียมไบคาร์บอเนตที่ละลายอยู่ ในน้ำใต้ดิน จะเคลื่อนย้ายมาสะสมที่ผิวดิน และตกตะกอนเป็น แคลเซียมคาร์บอเนต

2) การปลูกพืชในดินด่าง. - ปัญหาต่อการปลูกพืช 2) การปลูกพืชในดินด่าง - ปัญหาต่อการปลูกพืช - ปัญหาการขาดธาตุอาหารบางธาตุ เช่น ฟอสฟอรัสและ แมงกานีส - มีการแตกระแหงของดิน เมื่อดินแห้ง - การระบายน้ำไม่ดี ดินมีลักษณะเหนียวมาก - แนวทางการจัดการ - เลือกพืชที่ชอบสภาพที่มีปูนมาก เช่น ในพื้นที่ชลประทาน การปลูกข้าวโพด ถั่วลิสง หรือข้าว จะให้ผลผลิตดี - การใช้สารละลายเกลือ ของเหล็กหรือสังกะสี หรือจุลธาตุ อาหารพวกคีเลตฉีดพ่นไปที่ใบและลำต้น เมื่อพืชแสดงการ ขาดจุลธาตุอาหาร - การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับการไถพรวน

7. pH ของดินกับระดับธาตุอาหารพืชในดินและกิจกรรมของจุลินทรีย์ดิน 1) ระดับ Ca, Mg และ K ดินที่เป็นกรดอย่างรุนแรง จะมีแคลเซียม แมกนีเซียมและโพแทสเซียมค่อนข้างต่ำ เพราะธาตุต่างๆ เหล่านี้จะถูกชะละลายออกไปจากดินได้ง่ายมาก 2) ระดับฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ - ดินเป็นกรดมากๆ จะส่งเสริมการตรึงฟอสเฟตให้อยู่ในรูปเหล็ก และอะลูมินัมฟอสเฟต ซึ่งยากแก่การใช้ประโยชน์ของพืช - ระดับ pH 6-7 นับว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างเหมาะสมสำหรับฟอสเฟต ในดินที่พืชจะนำไปใช้ประโยชน์

3) ระดับจุลธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ ระดับความเป็นประโยชน์ของจุลธาตุจะขึ้นกับระดับของ pH เป็นอย่างมาก - เหล็ก (Fe) จะละลายน้ำได้ง่ายเมื่อมีระดับ pH < 5 แต่ถ้า pH สูงๆ จะ เกิดปัญหาขาดธาตุเหล็ก - แมงกานีส (Mn) เหมือนเหล็ก เมื่อ pH ต่ำมากๆ อาจเกิดความเป็น พิษต่อพืชได้ แต่ถ้า pH > 6.5 อาจเกิดการขาดได้ - สังกะสี (Zn) จะละลายน้ำดีที่ pH < 5.0 แต่เมื่อ pH > 7.0 สังกะสีจะ เปลี่ยนจากไอออนบวกไปเป็นลบ ในรูป zincate ซึ่งละลายได้ยาก - ทองแดง (Cu) เหมือนสังกะสี แต่ไม่มีผลรุนแรงเหมือนจุลธาตุอื่นๆ - โบรอน (B) เหมือนสังกะสี แต่เมื่อพืชดูดดึงแคลเซียมจะทำให้มี ความต้องการโบรอนเพิ่มขึ้นด้วย - โมลิบดินัม (Mo) ในดินอยู่ในรูปไอออนลบ จะละลายสูงขึ้นเมื่อดิน pH สูง ดินเป็นกรดพืชตระกูลถั่วแสดงอาการขาดได้

ความสัมพันธ์ระหว่าง pH ของดินและความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหาร

4) กิจกรรมจุลินทรีย์ในดิน - แบคทีเรีย จะมีกิจกรรมสูงหรือทำงานเต็มประสิทธิภาพเมื่อ ปฏิกิริยาดินใกล้ๆ เป็นกลาง - รา จะทำงานได้ดีกว่าแบคทีเรียเมื่อ pH ของดินเป็นกรด - กิจกรรมจุลินทรีย์ดิน จะควบคุมระดับความเป็นประโยชน์ของ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และกำมะถัน ในอินทรียวัตถุ - การปลูกพืชตระกูลถั่ว ควรมีการใส่ปูนเพื่อยกระดับ pH ให้ เหมาะสมต่อกิจกรรมของจุลินทรีย์

8. การเจริญเติบโตของพืชกับระดับ pH ของดิน

ดินเกลือ ดินเกลือ คือ ดินที่มีเกลือซึ่งละลายง่าย (soluble salt) หรือโซเดียมแลกเปลี่ยนได้ปริมาณมากจนทำให้พืชมีการเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติอย่างเด่นชัด 1. การจำแนกดินเกลือ 1) ดินเค็ม คือ ดินที่ไม่ใช่ดินโซดิก ดินที่จัดว่าเป็นดินเค็มมีการนำไฟฟ้าของสารละลายซึ่งสกัดจากดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำมีค่าตั้ง แต่ 0.4 (ซีเม็น/เมตร) ขึ้นไป

การจำแนกประเภทของดินเกลือ Sodium adsorption ratio (SAR) การนำไฟฟ้า (ซีเม็น/เมตร) Sodium adsorption ratio (SAR) ดินธรรมดา < 0.4 < 13 ดินเค็ม ≥ 0.4 ดินโซดิก ≥ 13 ดินเค็มโซดิก

2) ดินโซดิก คือ ดินที่มิใช่ดินเค็มดิน ดินที่จัดว่าเป็นดินโซดิกเมื่อสารละลายซึ่งสกัดจากดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำ sodium adsorption ratio (SAR) ตั้งแต่ 13 ขึ้นไป มีปริมาณของโซเดียมที่แลกเปลี่ยนได้สูงมีผลทำให้ - การเจริญเติบโตของพืชลดลง - โครงสร้างดินมีสภาพเลวลง 3) ดินเค็มโซดิก คือ ดินซึ่งมีทั้งเกลือที่ละลายง่ายและโซเดียมแลกเปลี่ยนได้สูงจนทำให้การเจริญเติบโตของพืชทั่วไปลดลงมาก มีค่าการนำไฟฟ้าตั้งแต่ 0.4 ซีเม็น/เมตร และ SAR ตั้งแต่ 13 ขึ้นไป

2. ดินเค็ม 1) ระดับความเค็มของดิน พืชทั่วไปจะเจริญเติบโตได้น้อยลง เมื่อความเค็มของดินเพิ่มขึ้น เฉพาะพืชทนเค็มเท่านั้นที่จะเจริญเติบโตได้ดีในดินเค็ม 2) สาเหตุของการเกิดดินเค็ม ดินธรรมดาได้รับเกลือที่ละลายง่าย มากกว่าอัตราการชะละลายออกไป เกิดการสะสมของเกลือมากขึ้นเรื่อยๆ และค่าการนำไฟฟ้าสูงจนถึง 4 เดซิซีเม็น/เมตร หรือมากกว่า โดยเกลือที่สะสมในดินมาจาก - เกลือทะเล เมื่อน้ำทะเลท่วมถึงหรือถูกลมพัดมาสะสม - เกลือจากการสลายของหินและแร่

ระดับความเค็มของดินและอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของพืช การนำไฟฟ้า (เดซิซีเม็น/เมตร) ระดับความเค็ม อิทธิพลต่อพืช 0 - 2 ไม่เค็ม ไม่กระทบกระเทือนต่อพืช 2 - < 4 พืชที่ไวต่อความเค็มมีการเจริญเติบโตลดลงบ้าง ≥ 4 เค็ม - 4 - 8 เค็มปานกลาง จำกัดการเจริญเติบโตของพืชหลายชนิด > 8 - 16 เค็มมาก พืชทนเค็มเท่านั้นที่เจริญเติบโตได้ดี > 16 เค็มมากที่สุด พืชทนเค็มบางชนิดเท่านั้นที่เจริญเติบโตได้ดี

- ดินเค็ม จัดในหน้าแล้งจะมีคราบเกลือสีขาวปรากฏที่ผิวดิน - การเคลื่อนย้ายเกลือ จากดินชั้นล่างมาสะสมบนผิวดินในดินที่มีระดับน้ำ ใต้ดินสูง - เกลือจากน้ำชลประทาน คือ น้ำชลประทานคุณภาพต่ำที่มีค่าการนำไฟฟ้า สูง และค่า SAR สูง 3) ลักษณะสำคัญของดินเค็ม - ดินเค็ม มีลักษณะทั่วไปเหมือนดินธรรมดา แต่มีเกลือที่ละลายง่ายอยู่ สูงกว่าปกติเท่านั้น โดยการวัดค่าการนำไฟฟ้าจะช่วยให้ทราบว่าเป็น ดินเค็มหรือไม่ - ดินเค็ม จัดในหน้าแล้งจะมีคราบเกลือสีขาวปรากฏที่ผิวดิน - บริเวณที่ไม่มีพืชขึ้นอยู่เลย หรือขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ หรือมีคราบเกลือ ปรากฏ

4) การใช้ประโยชน์จากดินเค็มเพื่อการเพาะปลูก - ในดินที่มีความเค็มต่ำ ควรพิจารณาเลือกปลูกพืชที่ทนเค็ม หา มาตราการมิให้ความเค็มเพิ่มขึ้น - ในดินที่มีความเค็มปานกลางขึ้นไป ต้องหามาตราการดำเนินการ ปรับปรุงดินเค็มให้มีความเหมาะสมแก่การใช้ประโยชน์ในระยะยาว - วิธีการให้น้ำที่เหมาะสม เพื่อลดความเข้มข้นของเกลือบริเวณเขตราก พืชให้ต่ำลง - ควรให้น้ำครั้งละไม่มาก แต่บ่อยครั้งขึ้น - การให้น้ำแบบหยด (drip หรือ trickle irrigation) จะทำให้ ความเข้มข้นของเกลือต่ำในขอบเขตที่กว้างและลึกมากกว่า การให้น้ำแบบฉีดฝอย (sprinklers)

- การให้น้ำตามร่องข้างสันร่อง ควรปลูกพืชบริเวณข้างร่องไม่ - การให้น้ำตามร่องข้างสันร่อง ควรปลูกพืชบริเวณข้างร่องไม่ ควรปลูกกลางร่องเพราะเกลือในดินจะถูกละลายแล้ว เคลื่อนย้ายมาสะสมกลางร่อง 5) วิธีปรับปรุงดินเค็ม คือ การชะละลายเกลือส่วนเกินออกไป เพื่อให้ดินมีการนำไฟฟ้าต่ำลงจนสู่ภาวะปกติ การล้างดินด้วยการขังน้ำ เป็นวิธีที่ใช้ได้ดี ลงทุนต่ำ โดยมีขั้นตอนดังนี้ - ปรับปรุงดินให้มีการแทรกซึม และซาบซึมน้ำดีขึ้น เช่นการใส่อินทรีย สาร ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ร่วมกับการไถพรวน - วางแผนปรับพื้นที่ และคูระบายน้ำ - จัดหาแหล่งน้ำขนาดพอเหมาะ ไว้ในพื้นที่เพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดปี - ขังน้ำ โดยใช้น้ำที่มีคุณภาพดี - ปลูกข้าว พันธุ์ทนเค็ม - ปลูกพืชบำรุงดิน เช่น โสนคางคก โสนอินเดีย เป็นต้น

6) วิธีป้องกันมิให้ดินกลายมาเป็นดินเค็มอีก - ใช้น้ำชลประทานที่มีคุณภาพดี เพิ่มน้ำสำหรับการชะเกลือให้ระบาย ออกไป - บำรุงดินโดยการเพิ่มอินทรียวัตถุ เพื่อให้ดินมีการระบายน้ำดีขึ้น - ควรปลูกพืชหมุนเวียน บำรุงดิน

3. ดินเค็มโซดิกและดินโซดิก 1) สาเหตุของการเกิดดินเค็มโซดิกและดินโซดิก - การเพิ่มเกลือที่ละลายง่ายในดิน - การเพิ่มโซเดียมแลกเปลี่ยนได้ในดิน - เมื่อปริมาณน้ำในดินลดลง แต่ปริมาณเกลือยังเท่าเดิม ความ เข้มข้นของเกลือในสารละลายดินก็เพิ่มสูงขึ้น - เกลือในดินที่ละลายยาก เช่น เกลือแคลเซียมซัลเฟต และ แมกนีซีเซียมคาร์บอเนต ไม่อาจคงอยู่ในสารละลายได้ จึง ตกตะกอน - เมื่อแคลเซียมและแมกนีเซียมตกตะกอน ลงไป ใน สารละลายดิน จึงมีสัดส่วนของโซเดียมไอออนสูงกว่า ไอออนอื่นๆ

- โซเดียมไอออนจะเข้าแทนที่ แคลเซียมและแมกนีเซียมที่ผิวของคอลลอยด์ดิน ปริมาณของโซเดียมแลกเปลี่ยนได้ในดิน จึงสูงขึ้นทีละน้อยจนกลายเป็นดินโซดิก - การลดความเค็มของดิน เกิดจากการชะเกลือที่ละลายง่ายในดินออกไป เช่น จากฝน หรือการกระทำของมนุษย์ โดยที่น้ำที่ชะดินนี้ มีแคลเซียมและ/หรือแมกนีเซียมต่ำ จะมีผลเพียงลดความเค็มของดินเท่านั้น โซเดียมที่แลกเปลี่ยนที่ได้ยังคงมีปริมาณสูง ถ้าไม่มีการชะเกลือที่ละลายได้ออกไป ดินจะยังมีเกลือที่ละลายง่ายอยู่มาก ซึ่งเรียกว่าดินเค็มโซดิก - การเพิ่ม pH ของดิน เป็นกระบวนการทางเคมีของดินโซดิกที่ทำให้ pH ของดินนั้นค่อยๆ เพิ่มขึ้น การที่ดินมี NaOH และ Na2CO3 เพิ่มขึ้นเช่นนี้จึงมีปฏิกิริยาดินเป็นด่าง pH ของดินบนอาจสูงถึง 8.5 ได้ ดินโซดิกจึงเป็นดินที่มี pH สูงหรือเป็นด่างจัด

2) ลักษณะที่สำคัญของดินโซดิก 2) ลักษณะที่สำคัญของดินโซดิก - ดินโซดิก เป็นดินที่มี nitric horizon ซึ่งหมายถึงดินชั้น B ที่มีการ สะสมแร่ดินเหนียวซิลิเกตซึ่งถูกชะลงมาจากดินชั้นบน (A) โดยมี ลักษณะสำคัญ 2 ประการคือ - โครงสร้างแบบแท่งหัวตัด (prismatic structure) หรือ แท่งหัวมน (columnar structure) - โซเดียมแลกเปลี่ยนได้สูง จึงมีค่า SAR สูง - สรุปลักษณะของดินโซดิก - มี SAR สูง - ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง - มี nitric horizon - ดินมีสมบัติทางกายภาพเลว

3) การใช้ประโยชน์จากดินโซดิก หรือดินเค็มโซดิกเพื่อการเพาะปลูก - ถ้าดินมีปัญหาไม่มาก ควรเลือกปลูกพืชที่ทนเค็ม หรือทนต่อ โซเดียม - ถ้าดินมีปัญหาอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ขึ้นไป ควรปรับปรุงดินนั้นให้ เหมาะแก่การใช้ประโยชน์ระยะยาว 4) วิธีปรับปรุงดินโซดิกและดินเค็มโซดิก - การปรับปรุงดินโซดิก คือ การลดโซเดียมแลกเปลี่ยนได้ให้ต่ำลงสู่ ระดับปกติ - การปรับปรุงดินเค็มโซดิก คือ การลดทั้งเกลือที่ละลายง่ายและ โซเดียมแลกเปลี่ยนได้ทั้งสองอย่าง หลังจากนั้นก็ปรับปรุงสมบัติ ทางกายภาพของดินด้วย

- วิธีการปรับปรุง. - แทนที่โซเดียมแลกเปลี่ยนได้ ด้วยแคลเซียม - วิธีการปรับปรุง - แทนที่โซเดียมแลกเปลี่ยนได้ ด้วยแคลเซียม - ชะเกลือโซเดียม ออกไปจากบริเวณนั้น - ปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน

5) การป้องกันมิให้เป็นดินโซดิก คือ การละเว้นการปฏิบัติใดๆ ซึ่งจะเพิ่มโซเดียมแลกเปลี่ยนได้ในดินโดยมีวิธีการดังนี้ - ใช้น้ำชลประทาน ที่มีคุณภาพดี - หากน้ำชลประทานมีโซเดียมสูง แคลเซียมต่ำ ต้องเติมยิปซัมเพื่อ ปรับให้มีสัดส่วนของแคลเซียมในน้ำสูงขึ้น - ปลูกพืชหมุนเวียน และมีพืชบำรุงดินในระบบ - ปลูกไม้ยืนต้น ไว้สองข้างคูคลองระบายน้ำ เพื่อลดระดับน้ำใต้ดิน

จบการสอนบทที่ 5 ดอยอินทนนท์