ดาวน์โหลดงานนำเสนอ
งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ
1
นิติกรรมและสัญญา
2
ขอบเขตการบรรยาย นิติกรรม ประเภทของนิติกรรม สัญญา ประเภทของสัญญา
นิติกรรม ประเภทของนิติกรรม สัญญา ประเภทของสัญญา คำเสนอ - คำสนอง มัดจำ เบี้ยปรับ การเลิกสัญญา
3
นิติกรรม ป.พ.พ. มาตรา 149 “นิติกรรม หมายความว่า การใด ๆ อันทำลง โดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ”
4
สาระสำคัญของนิติกรรม
1. ต้องเป็นการกระทำของบุคคลโดยการแสดงเจตนา 2. ต้องเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย 3. ต้องเป็นการกระทำที่มุ่งประสงค์จะผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 4. ต้องเป็นการกระทำโดยสมัครใจ 5. ต้องมีวัตถุประสงค์ที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ
5
สรุปสาระสำคัญที่ต้องศึกษาเกี่ยวกับนิติกรรม
1. ลักษณะของนิติกรรม 2. ความสมบูรณ์ของนิติกรรม 3.ความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมและผลทางกฎหมาย
6
ลักษณะของนิติกรรม 1. นิติกรรมเกิดจากการแสดงเจตนา
2. ผลทางกฎหมายของการแสดงเจตนา 3. ต้องเป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้เกิดนิติสัมพันธ์กับบุคคล และทำให้มีการเคลื่อนไหวในสิทธิ ได้แก่ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ
7
1. นิติกรรมเป็นการแสดงเจตนา
การแสดงเจตนา หมายถึง การเผยความประสงค์ที่มีอยู่ในจิตใจของตนให้ออกมาสู่ภายนอก ซึ่งอาจกระทำโดย การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง การแสดงเจตนาโดยปริยาย การแสดงเจตนาโดยการนิ่ง
8
2. ผลทางกฎหมายของการแสดงเจตนา
การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งอยู่เฉพาะหน้า ให้ถือว่ามีผลนับ แต่ผู้รับการแสดงเจตนาได้ทราบการแสดงเจตนานั้น (มาตรา 168) การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า ให้ถือว่ามีผลนับแต่ ที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนานั้น (มาตรา 169) การแสดงเจตนา(ที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า) ที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสียไป แม้ภายหลังการแสดงเจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตาย หรือถูกศาลสั่งเป็นคนไร้/เสมือนไร้ความสามารถ (มาตรา 169 วรรค 2) การแสดงเจตนาที่กระทำต่อผู้เยาว์ หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้/เสมือนไร้ความสามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับการแสดงเจตนาได้ (มาตรา 170)
9
3. ต้องเป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้เกิดนิติสัมพันธ์กับบุคคล และทำให้มีการเคลื่อนไหวในสิทธิ
การก่อสิทธิ การเปลี่ยนแปลงสิทธิ การโอนสิทธิ การสงวนสิทธิ การระงับซึ่งสิทธิ
10
ความสมบูรณ์ของนิติกรรม
1. บุคคล มาตรา โมฆียะ 2. วัตถุประสงค์ มาตรา โมฆะ 3. แบบ มาตรา โมฆะ 4. เจตนา มาตรา 155 , โมฆะ มาตรา 157, 159, โมฆียะ
11
1. บุคคล เมื่อนิติกรรมเป็นการกระทำจึงต้องมี บุคคล เป็นผู้กระทำการดังกล่าว ต้องมีความรู้สึกนึกคิดในสิ่งที่ตนกระทำ กล่าวคือ มีความสามารถ ด้วย โดยต้องเป็น บุคคลในทางกฎหมาย ได้แก่ บุคคลธรรมดา และ นิติบุคคล การใดมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยความสามารถของบุคคล การนั้นเป็นโมฆียะ มาตรา 153 บุคคลธรรมดาที่มีความบกพร่องหรือหย่อนความสามารถ ได้แก่ ผู้เยาว์ คนวิกลจริตและคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ
12
2. วัตถุประสงค์ นิติกรรมทุกประเภทต้องมีวัตถุประสงค์เสมอ ซึ่งหมายถึง ประโยชน์สุดท้ายที่ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมปรารถนา มุ่งประสงค์จะให้เกิด มีขึ้น หรือเป็นไป การใดมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ มาตรา 150
13
(1) วัตถุประสงค์ “ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย”
- เป็นกรณีที่กฎหมายห้ามไว้โดยตรงว่ามิให้กระทำ - กฎหมายดังกล่าวต้องมีอยู่ในขณะที่ทำนิติกรรมด้วย (2) วัตถุประสงค์ “เป็นการพ้นวิสัย” คือ เป็นไปไม่ได้ เมื่อคู่กรณีได้แสดงเจตนาทำนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ที่เป็นไปไม่ได้มาตั้งแต่ ขณะทำนิติกรรมแล้ว เท่ากับว่าคู่กรณีตั้งใจไม่ให้นิติกรรมที่ทำนั้นบังเกิดผล ตามกฎหมายเลย (2) วัตถุประสงค์ “เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน ” - ประโยชน์สุดท้ายของนิติกรรมกระทบต่อความเป็นอยู่โดยสงบสุขและปลอดภัย และส่วนได้เสียของประชาชนเป็นส่วนรวม
14
3. แบบ พิธีกรรมที่กฎหมายกำหนดบังคับไว้ให้ผู้แสดงเจตนาต้องกระทำตาม หากไม่ปฏิบัติตามนิติกรรมจะตกเป็นโมฆะ การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ มาตรา 152
15
-- แบบของนิติกรรมตาม ป.พ.พ. แบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ --
1. ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ 2. จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ 3. ทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ 4. ทำเป็นหนังสือ หลักฐานเป็นหนังสือ ?
16
4. เจตนา ความประสงค์ในจิตใจของผู้กระทำนิติกรรม ซึ่งกฎหมายจะบังคับกับเจตนาของบุคคลก็ต่อเมื่อได้แสดงออกซึ่งเจตนานั้นออกมาภายนอก หากการแสดงเจตนาหรือการเปิดเผยซึ่งความประสงค์ในจิตใจ หากเกิดขึ้นโดยใจไม่สมัคร อาจมีผลต่อความสมบูรณ์แห่งนิติกรรมนั้น ๆ ได้
17
(1) การแสดงเจตนาซ่อนเร้น มาตรา 154
กลุ่มที่ 1 การแสดงเจตนาที่ไม่ตรงกับเจตนาภายใน ซึ่งมีผล ทางกฎหมายเหมือนกัน คือ เป็นโมฆะ (1) การแสดงเจตนาซ่อนเร้น มาตรา 154 “การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงเจตนาจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นเหตุให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น”
18
“การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ...”
(2) การแสดงเจตนาลวง มาตรา 155 วรรคหนึ่ง “การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ...”
19
(3) นิติกรรมอำพราง มาตรา 155 วรรคสอง
“ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่อ อำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมาย อันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ”
20
(4) การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิด มาตรา 156
(4) การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิด มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น”
21
“การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ”
กลุ่มที่ 2 การแสดงเจตนาโดยวิปริต เป็นการแสดงเจตนาที่ตรงกับเจตนาภายใน เพียงแต่เจตนาภายในนี้เกิดขึ้นในลักษณะที่ผิดปกติเพราะมีเหตุการณ์มาแทรกทำให้กระบวนการสร้างเจตนาแปรปรวนไป ผิดปกติไม่อยู่ในทางที่ควรจะเป็น (1) ความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินมาตรา 157 วรรคหนึ่ง “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ”
22
“การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ”
(2) การแสดงเจตนาโดยถูกกลฉ้อฉล มาตรา 159 วรรคหนึ่ง “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ”
23
“การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ”
(3) การแสดงเจตนาโดยถูกข่มขู่ มาตรา 164 วรรคหนึ่ง “การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ”
24
ความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมและผลทางกฎหมาย
โมฆะกรรม vs โมฆียะกรรม
25
โมฆะกรรม มาตรา 172 วรรคหนึ่ง
“โมฆะกรรมนั้นไม่อาจให้สัตยาบันแก่กันได้ และผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดจะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างก็ได้”
26
(1) ผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ บุคคลที่จะได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ หากนิติกรรมที่กล่าวอ้างว่าเป็นโมฆะ หรือไม่เป็นผล หรือกลับกัน (2) ถ้าจะต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้แห่ง ป.พ.พ. มาใช้บังคับ มาตรา 172 วรรค 2
27
(3) กรณีส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้น ย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น เว้นแต่จะพึงสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า หากว่าคู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะนั้นแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ มาตรา 173 (4) การใดเป็นโมฆะแต่เข้าลักษณะเป็นนิติกรรมอื่นที่ไม่เป็นโมฆะ ให้ถือตามนิติกรรมที่ไม่เป็นโมฆะ ถ้าสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า หากคู่กรณีได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆะแล้ว ก็คงจะได้ตั้งใจมาแต่แรกที่จะทำนิติกรรมอย่างอื่นอันไม่เป็นโมฆะนั้น มาตรา 174
28
โมฆียะกรรม มาตรา 176 วรรคหนึ่ง
“โมฆียะกรรมเมื่อบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก.....”
29
(1) “โมฆียะกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสีย ก็ได้ มาตรา 175
(1) “โมฆียะกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสีย ก็ได้ มาตรา 175 -- ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้เยาว์ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ผู้เยาว์จะบอกล้างก่อนที่ตนบรรลุนิติภาวะก็ได้ถ้าได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
30
-- บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ เมื่อบุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณี แต่คนเสมือนไร้ความสามารถจะบอกล้างก่อนที่ตนจะพ้นจากการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้ถ้าได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์
31
-- บุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะสำคัญผิด หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ -- บุคคลวิกลจริตในขณะที่จริตของบุคคลนั้น ไม่วิกลแล้ว -- ถ้าบุคคลผู้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะถึงแก่ความตายก่อนมีการบอกล้างโมฆียะกรรม ทายาทของบุคคลดังกล่าวอาจบอกล้างโมฆียะกรรมนั้นได้
32
(2) การบอกล้างต้องกระทำโดยการแสดงเจตนาต่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง จะบอกล้างต่อบุคคลอื่นไม่ได้ หากคู่กรณีนั้นตายต้องบอกล้างต่อทายาท หรือผู้รับประโยชน์จาก นิติกรรมนั้น (3) โมฆียกรรมเมื่อบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าเป็นโมฆะมา แต่เริ่มแรก และให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็นการพ้นวิสัยจะกลับคืนเช่นนั้นได้ ก็ให้ได้รับค่าเสียหายชดใช้ ให้แทน มาตรา 176 วรรคหนึ่ง
33
การให้สัตยาบัน มาตรา 177 “ถ้าบุคคลผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมตามมาตรา 175 ผู้หนึ่งผู้ใด ได้ให้สัตยาบันแก่โมฆียะกรรม ให้ถือว่าการนั้นเป็นอันสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก.....”
34
วิธีการบอกล้างหรือให้สัตยาบันโมฆียกรรม
มาตรา 178 “การบอกล้างหรือให้สัตยายันแก่โมฆียะกรรม ย่อมทำได้โดยการแสดงเจตนาแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลที่มีตัวกำหนดได้แน่นอน”
35
การบอกล้างต้องกระทำในระยะเวลา
มาตรา 181 “การบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะกรรม จะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลา ที่อาจให้สัตยาบันได้ หรือเมื่อพ้นเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะ”
36
ประเภทของนิติกรรม 1. นิติกรรมฝ่ายเดียวและนิติกรรมหลายฝ่าย -- นิติกรรมฝ่ายเดียว เป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาและกระทำโดยบุคคล เพียงฝ่ายเดียว การกระทำนั้นก็มีผลเป็นิติกรรมได้เช่นกัน เช่น การทำพินัยกรรม การบอกเลิกสัญญา การปลดหนี้ การตั้งมูลนิธิ เป็นต้น นิติกรรมหลายฝ่ายหรือบางทีเรียกว่านิติกรรมสองฝ่าย นิติกรรมหลายฝ่าย ได้แก่ นิติกรรมที่เกิดขึ้นได้โดยการแสดงเจตนาตั้งแต่ ๒ ฝ่ายขึ้นไป แต่ละฝ่ายอาจเป็นบุคคลคนเดียวหรือหลายคนรวมเป็นฝ่ายเดียวก็ได้ ซึ่งนิติกรรมหลายฝ่ายนั้นตามกฎหมายก็คือสัญญานั่นเอง
37
ประเภทของนิติกรรม 2. นิติกรรมที่ต้องทำตามแบบและนิติกรรมที่ไม่ต้องทำตามแบบ -- นิติกรรมที่ต้องทำตามแบบ เป็นนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดแบบหรือวีการทำนิติกรรมนั้น เป็นพิเศษ มิฉะนั้นจะไม่เกิดผลทางกฎหมายและตกเป็นโมฆะ เช่น สัญญาซื้อขาอสังหาริมทรัพย์ -- นิติกรรมที่ไม่ต้องทำตามแบบ นิติกรรมที่ไม่ต้องทำตามแบบ เป็นนิติกรรมที่มีผลสมบูรณ์ ด้วย การแสดงเจตนาเท่านั้นและจะมีผลใช้บังคับทันทีที่มีการทำ นิติกรรมกัน เช่น สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ สัญญาจ้างแรงงาน เป็นต้น
38
ประเภทของนิติกรรม 3. นิติกรรมที่มีค่าตอบแทนและไม่มีค่าตอบแทน -- นิติกรรมที่มีค่าตอบแทน นิติกรรมมีค่าตอบแทน เป็นนิติกรรมที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายทำขึ้นแล้วก่อให้เกิดผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งกันและกัน ผลประโยชน์ที่เป็นค่าตอบแทนนั้นอาจเป็นตัวเงินอื่นใด หรือการชำระหนี้ก็ได้ เช่น สัญญา ซื้อขาย สัญญาเช่าทรัพย์ สัญญาเช่าซื้อ สัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างทำของ สัญญาให้ที่มีค่าภาระผูกพัน เป็นต้น -- นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน นิติกรรมไม่มีค่าตอบแทน เป็นนิติกรรมที่ให้เปล่าโดยไม่มีค่าตอบแทน หรือนิติกรรมที่ก่อหนี้หรือหน้าที่ให้แก่คู่สัญญาเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ไม่ได้ก่อหนี้หรือหน้าที่ให้แก่คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย เช่น สัญญาให้โดยเสน่หา สัญญายืมใช้คงรูป เป็นต้น
39
ประเภทของนิติกรรม -- นิติกรรมที่มีเงื่อนไขเงื่อนเวลา
4. นิติกรรมที่มีเงื่อนไขเงื่อนเวลาและนิติกรรมที่ไม่มีเงื่อนไขเงื่อนเวลา -- นิติกรรมที่มีเงื่อนไขเงื่อนเวลา เป็นนิติกรรมที่ทำขึ้นแล้วจะมีผลหรือสิ้นผลไปเมื่อเป็นไป ตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา ที่กำหนด เช่น ตกลงจะขายรถยนต์ต่อเมื่อผู้ขายจะเดินทางไปต่างประเทศ ดังนั้น เมื่อผู้ขายจะเดินทางไปต่างประเทศเมื่อใด ถือว่าเงื่อนไขที่ตกลงซื้อขายรถกันมี ผลสำเร็จแล้ว ผู้ขายต้องขายรถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อตามที่ตกลงไว้ เป็นต้น -- นิติกรรมที่ไม่มีเงื่อนไขเงื่อนเวลา เป็นนิติกรรมที่ทำขึ้นแล้วจะมีผลใช้บังคับทันทีที่ตกลงทำนิติกรรมกัน โดยไม่มีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลากำหนดไว้ในนิติกรรมนั้น เช่น คู่สัญญาตกลงซื้อรถยนต์กันโดยไม่มีกำหนดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใด ๆ ไว้สัญญาซื้อขายนั้นมีผลทันทีที่มีการตกลงซื้อขาย รถกัน เป็นต้น
40
ประเภทของนิติกรรม -- นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่
5. นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่ และนิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำ ตายแล้ว -- นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่ เป็นนิติกรรมที่ผู้ทำแสดงเจตนาประสงค์ให้เกิดผลระหว่างที่ผู้ทำ นิติกรรมยังมีชีวิตอยู่ เช่น สัญญาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ทำสัญญานั้นมีชีวิตอยู่ และมีผลใช้บังคับในขณะที่มีชีวิตอยู่นั้น -- นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำตายแล้ว เป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นขณะที่ผู้ทำมีชีวิตอยู่ แต่จะมีผลบังคับเมื่อผู้ทำตายไปแล้ว เช่น การทำพินัยกรรม การทำสัญญาประกันชีวิตเป็นต้น
41
สัญญา
42
ความหมายของสัญญา สัญญา คือ ข้อตกลงของบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปในการผูกพันตนเองให้ปฏิบัติตามข้อสัญญานั้น สัญญา คือ นิติกรรมสองฝ่ายหรือหลายฝ่ายที่เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาของบุคคลอันถูกต้องตรงกัน
43
สัญญาทุกสัญญาเป็นนิติกรรม แต่นิติกรรมไม่ทุกนิติกรรมที่เป็นสัญญา
สัญญาทุกสัญญาเป็นนิติกรรม แต่นิติกรรมไม่ทุกนิติกรรมที่เป็นสัญญา
44
สัญญาเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้อย่างหนึ่ง
บ่อเกิดแห่งหนี้ 4 ประการ 1. สัญญา 2. ละเมิด 3. จัดการงานนอกสั่ง 4. ลาภมิควรได้
45
ที่ว่า สัญญาเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ หมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายมีหนี้ที่จะต้องกระทำการหรืองดเว้นกระทำการหรือส่งมอบทรัพย์สินให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง ตามสัญญา
46
สาระสำคัญของสัญญา 4 ประการ
1. ต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป 2. ต้องมีการแสดงเจตนาเป็นคำเสนอคำสนองที่ถูกต้องตรงกัน 3. ต้องมีวัตถุประสงค์ของสัญญา 4. ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ในเรื่องนิติกรรม เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ
47
1. ต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป
นิติกรรมสองฝ่าย เช่น สัญญาซื้อขาย มีฝ่ายผู้ซื้อ และฝ่ายผู้ขาย นิติกรรมหลายฝ่าย เช่น สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน
48
2.ต้องมีการแสดงเจตนาเป็นคำเสนอคำสนองที่ถูกต้องตรงกัน
สัญญา
49
3.ต้องมีวัตถุประสงค์ของสัญญา
ความหมายของวัตถุประสงค์ของนิติกรรม วัตถุประสงค์ของนิติกรรม VS มูลเหตุชักจูงใจ วัตถุประสงค์จะต้องชอบด้วยกฎหมาย ไม่พ้นวิสัย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน มิฉะนั้นนิติกรรมสัญญานั้น จะตกเป็นโมฆะ
50
4. ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ในเรื่องนิติกรรม มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ
อาทิ สำคัญผิดในตัวบุคคลผู้เป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม - หลักนิติกรรม มาตรา 156 ตกเป็นโมฆะ สำคัญผิดในตัวบุคคลผู้เป็นคู่สมรส - หลักในเรื่องครอบครัว มาตรา 1505 วรรคแรก ตกเป็นโมฆียะ
51
ประเภทของสัญญา 1. สัญญามีค่าตอบแทนกับสัญญาไม่มีค่าตอบแทน
2. สัญญาต่างตอบแทนกับสัญญาไม่ต่างตอบแทน 3. สัญญาประธานกับสัญญาอุปกรณ์ 4. เอกเทศสัญญากับสัญญาไม่มีชื่อ 5. สัญญาซึ่งมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญากับสัญญาที่เพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก 6. สัญญาสำเร็จรูปกับสัญญาที่มีการเจรจาทำสัญญา 7. สัญญาที่ต้องมีแบบกับสัญญาที่ไม่ต้องมีแบบ 8. สัญญาที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือกับสัญญาที่ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
52
1. สัญญามีค่าตอบแทนกับสัญญาไม่มีค่าตอบแทน
ประเภทของสัญญา 1. สัญญามีค่าตอบแทนกับสัญญาไม่มีค่าตอบแทน สัญญามีค่าตอบแทน - คู่สัญญาต่างได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการทำสัญญานั้น สัญญาไม่มีค่าตอบแทน - คู่สัญญาแต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการทำสัญญานั้น
53
สัญญามีค่าตอบแทน/ไม่มีค่าตอบแทน
สัญญามีค่าตอบแทน -สัญญาซื้อขาย -สัญญาแลกเปลี่ยน -สัญญาจ้างแรงงาน -สัญญากู้ยืมเงิน มีดอกเบี้ย สัญญาไม่มีค่าตอบแทน -สัญญาให้ -สัญญากู้ยืมเงิน ไม่มีดอกเบี้ย
54
2. สัญญาต่างตอบแทนกับสัญญาไม่ต่างตอบแทน
ลูกหนี้/ลูกหนี้ เจ้าหนี้/ลูกหนี้
55
สัญญาต่างตอบแทน สัญญาไม่ต่างตอบแทน จ่ายเงิน ผู้ซื้อ ผู้ขาย
ส่งมอบทรัพย์ และ โอนกรรมสิทธิ์ สัญญาต่างตอบแทน ผู้ฝาก ผู้รับฝาก ส่งมอบทรัพย์คืนให้ผู้ฝาก สัญญาไม่ต่างตอบแทน
56
สัญญาต่างตอบแทนย่อมเป็นสัญญามีค่าตอบแทนเสมอ
แต่สัญญามีค่าตอบแทนอาจไม่เป็นสัญญาต่างตอบแทนก็ได้ อาทิ สัญญากู้ยืมเงินมีดอกเบี้ย เป็นสัญญามีค่าตอบแทน แต่ไม่ใช่สัญญา ต่างตอบแทน
57
3. สัญญาประธานกับสัญญาอุปกรณ์
ความมีอยู่และความสิ้นไปของสัญญาอุปกรณ์ นอกจากขึ้นอยู่สัญญาอุปกรณ์เองแล้ว ยังขึ้นอยู่กับสัญญาประธานด้วย - สัญญาค้ำประกัน - สัญญาจำนอง - สัญญาจำนำ
58
สัญญากู้ยืมเงิน (สัญญาประธาน) ผู้กู้ ผู้ให้กู้ สัญญาค้ำประกัน (สัญญาอุปกรณ์) ผู้ค้ำประกัน
59
4. เอกเทศสัญญากับสัญญาไม่มีชื่อ
เอกเทศสัญญา - สัญญาที่กฎหมายระบุชื่อ ลักษณะ สิทธิหน้าที่ ไว้โดยเฉพาะในกฎหมาย สัญญาไม่มีชื่อ - สัญญาที่กฎหมายไม่ได้ระบุชื่อ ลักษณะ สิทธิหน้าที่ ไว้โดยเฉพาะในกฎหมาย (มิได้หมายความว่า สัญญาไม่มีชื่อจะไม่มีชื่อเรียกของสัญญาเสียทั้งหมด อาจจะมีชื่อเรียก หรือไม่มีชื่อเรียก หรือจะเรียกไม่เหมือนกันก็ได้ ตราบเท่าที่มีลักษณะเป็นสัญญา และไม่ขัดต่อกฎหมาย มีผลผูกพันคู่สัญญา)
60
ข้อยกเว้น : สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก
5. สัญญาซึ่งมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญากับสัญญาที่เพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก โดยหลักแล้ว สัญญาย่อมมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญา ข้อยกเว้น : สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก
61
บุคคลภายนอกต้องแสดงเจตนาขอรับเอาสิทธิก่อน จึงจะมีสิทธิตามสัญญา
สัญญาประกันชีวิต ผู้ทำประกัน (คู่สัญญา) ผู้รับประกัน (คู่สัญญา) ผู้รับผลประโยชน์ (บุคคลภายนอก) บุคคลภายนอกต้องแสดงเจตนาขอรับเอาสิทธิก่อน จึงจะมีสิทธิตามสัญญา
62
6. สัญญาสำเร็จรูปกับสัญญาที่มีการเจรจาทำสัญญา
สัญญาสำเร็จรูป : สัญญามาตรฐาน : สัญญามัดมือชก : Adhesion Contract
63
7. สัญญาที่ต้องมีแบบกับสัญญาที่ไม่ต้องมีแบบ
แบบคืออะไร .... มาตรา 152
64
8. สัญญาที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือกับสัญญาที่ไม่ต้อง มีหลักฐานเป็นหนังสือ
หลักฐานเป็นหนังสือคืออะไร ... แตกต่างอย่างไรจากแบบ
65
สาระสำคัญของกฎหมายลักษณะสัญญา
1. การก่อให้เกิดสัญญา มาตรา 2. ผลแห่งสัญญา มาตรา 3. สัญญาเพื่อประโยขน์ของบุคคลภายนอก มาตรา 4. มัดจำ มาตรา 5. เบี้ยบรับ มาตรา 6. เลิกสัญญา มาตรา 386 – 394
66
สัญญาเกิดจากคำเสนอและคำสนองที่ตรงกัน
การก่อให้เกิดสัญญา สัญญาเกิดจากคำเสนอและคำสนองที่ตรงกัน สัญญา คำเสนอ คำสนอง
67
ความหมายของคำเสนอ คำเสนอ คือการแสดงเจตนาของผู้ทำคำเสนอที่มีต่อบุคคล โดยเฉพาะเจาะจงหรือเป็นการแสดงเจตนาต่อสาธารณะเพื่อขอให้บุคคลอื่นเข้าทำสัญญาด้วย หรือที่อาจเรียกสั้น ๆ ว่า เป็นคำขอให้ ทำสัญญา
68
ลักษณะของคำเสนอ 1. คำเสนอเป็นการแสดงเจตนาของผู้ทำคำเสนอขอให้บุคคลอื่นทำสัญญาด้วย 2. คำเสนอจะเป็นการแสดงเจตนาต่อบุคคลเฉพาะเจาะจงหรือต่อสาธารณชนก็ได้ 3. คำเสนอจะต้องมีข้อความที่ชัดเจนแน่นอน 4. คำเสนอเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา
69
1. คำเสนอเป็นการแสดงเจตนาของผู้ทำคำเสนอขอให้บุคคลอื่นทำสัญญาด้วย
ตัวอย่าง ก. บอกกับ ข. ว่าประสงค์จะขายปากกาด้ามที่ใช้อยู่ให้ ข. ราคา 500 บาท เช่นนี้ เป็นการแสดงเจตนาของ ก. ผู้ทำคำเสนอ ขอให้ ข. ทำสัญญาด้วย แต่ถ้า ข. บอกกับ ค. ว่า ก. อยากขายปากกาของ ก. ค. จึงเขียนจดหมายตอบตกลงซื้อไปยัง ก. เช่นนี้ สัญญาซื้อขายปากกาไม่เกิดขึ้น เพราะ ก. ไม่ได้แสดงเจตนาขอให้ ค. ทำสัญญาด้วย
70
2. คำเสนอจะเป็นการแสดงเจตนาต่อบุคคลเฉพาะเจาะจงหรือต่อสาธารณชนก็ได้
ดำ บอกกับ ขาว ว่าประสงค์จะขายรถยนต์คันที่ใช้อยู่ในราคา 2 แสนบาทให้กับ ขาว – เป็นการแสดงเจตนาต่อบุคคลเฉพาะเจาะจง A บอกกับ B C D E F G H I J K L M N O และทุกคนที่อยู่ในห้องบรรยายนี้ว่าประสงค์จะขายรถยนต์คันที่ใช้อยู่ในราคา แสนบาทให้ - เป็นการแสดงเจตนาต่อสาธารณ คำเสนอ ของ ดำ กับ A ย่อมมีผลเป็นคำเสนอแล้ว ทั้ง 2 กรณี
71
3. คำเสนอจะต้องมีข้อความที่ชัดเจนแน่นอน
คำเสนอ ต้องมีข้อความที่ชัดเจน แน่นอน ถึงขนาดที่ว่าหากผู้รับ คำเสนอได้แสดงเจตนาตกลงสนองรับโดยไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงใด ๆ แล้ว สัญญาจะเกิดขึ้นทันที หากการแสดงเจตนายังมีข้อความที่ไม่ชัด ไม่แน่นอน - ก็จะเป็นเพียงคำเชิญชวน หรือคำเชื้อเชิญให้ทำสัญญาเท่านั้น
72
4. คำเสนอเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา
คำเสนอ เป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่อาจเกิดขึ้นได้จากการแสดงเจตนาของบุคคลแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่จะมีผลต่อเมื่อมีผู้รับการแสดงเจตนา
73
ผลของคำเสนอ คำเสนอ เป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่อาจเกิดขึ้นได้จากการแสดงเจตนาของบุคคลแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่จะมีผลต่อเมื่อมีผู้รับการแสดงเจตนา
74
การถอนคำเสนอ 1. กรณีคำเสนออันระบุระยะเวลาให้ทำคำสนองไว้ (เมื่อระบุระยะเวลาให้ทำคำสนองไว้ ก็ไม่สามารถถอนคำเสนอได้จนกว่าจะพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ – มาตรา 354)
75
2. กรณีคำเสนออันมิได้ระบุระยะเวลาให้ทำคำสนองไว้
2.1 กรณีทำคำเสนอแก่บุคคลผู้อยู่เฉพาะหน้า - ผู้เสนอสามารถถอนคำเสนอได้ทุกเมื่อก่อนที่ผู้รับคำเสนอจะสนองรับ คำเสนอนั้น มาตรา 356 2.2 กรณีทำคำเสนอแก่บุคคลผู้อยู่ห่างโดยระยะทาง ห้ามถอนคำเสนอภายในเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนอง มาตรา 355
76
การสิ้นความผูกพันของคำเสนอ
นอกจากการสิ้นความผูกพันของคำเสนอ ด้วยการบอกถอน คำเสนอแล้ว คำเสนอยังอาจสิ้นความผูกพันไปได้ ด้วยเหตุ ดังนี้ 1. ผู้รับคำเสนอได้บอกปัดคำเสนอ 2. ผู้รับคำเสนอไม่ได้สนองรับคำเสนอภายในเวลาที่คำเสนอหรือกฎหมายกำหนดไว้ 3. ผู้รับคำเสนอรู้ว่าผู้ทำคำเสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ
77
การสิ้นความผูกพันของคำเสนอ
1. ผู้รับคำเสนอได้บอกปัดคำเสนอ (มาตรา 357) คำเสนอคือการแสดงเจตนาขอให้บุคคลอื่นเข้าทำสัญญาด้วย เมื่อบุคคลอื่นนั้นได้แสดงเจตนาบอกปัดคำเสนอ ย่อมทำให้คำเสนอสิ้นความผูกพัน
78
การบอกปัดคำเสนอ 1. บอกปัดโดยสิ้นเชิง
2. บอกปัดโดยมีข้อแก้ไข เพิ่มเติม จำกัด (มาตรา 359 วรรคสอง)
79
การสิ้นความผูกพันของคำเสนอ
2. ผู้รับคำเสนอไม่ได้สนองรับคำเสนอภายในเวลาที่คำเสนอหรือกฎหมายกำหนดไว้ 3. ผู้รับคำเสนอรู้ว่าผู้ทำคำเสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ
80
การไม่ปฏิบัติตามความผูกพันของคำเสนอ
หากผู้ทำคำเสนอไม่ปฏิบัติตามความผูกพันนั้น ผลแยกเป็น 2 กรณี 1. กรณีที่ผู้รับคำเสนอ ไม่ประสงค์จะทำคำสนอง 2. กรณีที่ผู้รับคำเสนอ ประสงค์จะทำคำสนอง
81
ตัวอย่าง การซื้อสินค้าประเภทอุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ ดังนั้น สัญญาซื้อขายระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทาง จะเกิดขึ้นเมื่อคำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ เมื่อ ก มีใบเสนอราคา แสดงว่าได้ทำคำเสนอไปยังผู้รับคำเสนอแล้ว การที่ ข มีใบสั่งซื้อกลับไปยัง ก โดยมีสาระสำคัญตรงกันไม่ว่าจะเป็นชนิด รุ่น หรือราคาสินค้า ที่ ก เสนอมา คงมีแต่รายละเอียดที่ ข กำหนดไว้ในใบสั่งซื้อว่าวางบิลได้ในเวลาใด แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญอันจะถือว่าเป็นคำเสนอขึ้นมาใหม่ ถือว่าเป็นคำสนองถูกต้องตรงคำเสนอของ ก ก่อให้เกิดสัญญาซื้อขายมีผลบังคับโดยสมบูรณ์ ตั้งแต่ใบสั่งซื้อของ ข ไปถึง ก แล้ว การที่พนักงานของ ก ติดต่อไปยัง ข ขอให้ยืนยันการสั่งซื้อเป็นเพียงวิธีในการทำธุรกิจที่จะลดความเสี่ยงและให้บริการแก่ลูกค้า ข จึงไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธที่จะยอมรับสินค้าและไม่ยอมชำระราคาได้
82
คำสนอง ความหมายของคำสนอง
คำสนองคือ การแสดงเจตนาตอบตกลงทำสัญญาตามคำเสนอของผู้รับคำเสนอ
83
ลักษณะของคำสนอง คำสนองเป็นการแสดงเจตนาตอบตกลงทำสัญญาของผู้รับคำเสนอ
ผู้รับคำเสนอ อาจเป็นบุคคลเฉพาะเจาะจง หรือบุคคลโดยทั่วไป 2. คำสนองเป็นการแสดงเจตนาตอบตกลงทำสัญญาที่ไม่มีข้อเพิ่มเติม ข้อจำกัดหรือข้อแก้ไขอย่างอื่น 3. คำสนองต้องเป็นการแสดงเจตนาตอบตกลงภายในเวลาที่คำเสนอหรือกฎหมายกำหนดไว้ 4. คำสนองเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่ต้องมีผู้ทำคำเสนอเป็นผู้รับซึ่งการแสดงเจตนา
84
คำสนองกลายเป็นคำเสนอ
- คำสนองมาถึงล่าช้า (คำสนองล่วงเวลา) - คำสนองมีข้อเพิ่มเติม ข้อแก้ไข ข้อจำกัด
85
ผลก็คือ สัญญาเกิดขึ้น
ผลของคำสนอง เสนอ - สนอง ถูกต้องตรงกัน ผลก็คือ สัญญาเกิดขึ้น
86
ตัวอย่าง ก เสนอราคาจ้างเหมาดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณอาคารที่พักข้าราชการ และ ข มีหนังสือถึง ก ตอบตกลงสนองรับราคาตามรายละเอียดและเงื่อนไขการจ้างที่ ก เสนอ และให้ไปลงนามสัญญา พร้อมทั้งให้หาหลักประกันมาค้ำประกันด้วย แสดงว่า ข และ ก มีเจตนาว่าสัญญาอันมุ่งจะทำต่อกันนั้นต้องทำเป็นหนังสือ แต่ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะทำเป็นหนังสือ มีเหตุการณ์จำเป็น ก และ ข จึงตกลงให้ส่งพนักงานของ ก เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ก่อน ดังนี้ เท่ากับว่า ก และ ข ได้ตกลงกันใหม่ โดยผ่อนผันไม่ต้องทำหนังสือต่อไปเป็นการชั่วคราว เมื่อสัญญาดังกล่าวไม่มีกำหนดบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ จึงถือได้ว่า ก และ ข มีสัญญาต่อกันแล้ว
87
อย่างไรถือว่าคำเสนอ คำสนองถูกต้องตรงกัน ในทางปฏิบัติไม่ใช่เรื่องง่าย ?
88
สัญญาไม่เกิดขึ้น หากไม่ได้ตกลงกันในข้อที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเป็นสาระสำคัญ (มาตรา 366 วรรคแรก)
89
แต่หากสัญญาข้อนั้นไม่ใช่ข้อที่เป็นสาระสำคัญ ถึงหากจะไม่ทำความตกลงในข้อนี้สัญญาก็จะได้ทำขึ้นอยู่เช่นเดิม ถือว่าข้อที่ได้ตกลงกันไว้แล้วย่อมเป็นอันสมบูรณ์ (มาตรา 367)
90
คำเสนอ คำสนองถูกต้องตรงกันหมดแล้ว แต่บางครั้งสัญญายังไม่เกิด
1. กรณีที่กฎหมายกำหนดให้สัญญาจะบริบูรณ์ต่อเมื่อกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง 2. กรณีที่มีข้อตกลงให้สัญญาต้องทำเป็นหนังสือ (มาตรา 366 วรรคสอง)
91
ผลของสัญญา เมื่อสัญญาเกิดแล้ว คู่สัญญาก็มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญา แต่หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกัน และเป็นสัญญาต่างตอบแทน คู่สัญญาอีกฝ่ายจะเรียกให้ปฏิบัติตามได้เพียงใด ต้องดูเป็นกรณี
92
ผลของสัญญาต่างตอบแทน
กรณีปกติ (ไม่ปฏิบัติตามสัญญา) - เรียกให้ปฏิบัติตามสัญญา และเรียกค่าเสียหาย (หากเสียหาย) แต่ต้องไม่ลืมที่จะชำระหนี้ตอบแทนกลับ - หรือบอกเลิกสัญญา และเรียกค่าเสียหายได้ (หากเสียหาย)
93
ผลของสัญญาต่างตอบแทน
กรณีไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาได้ เพราะการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย โดยไม่อาจโทษคู่สัญญา ฝ่ายใดได้ - หากเป็นการโอนทรัพย์เฉพาะสิ่ง มาตรา 370 การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้
94
ผลของสัญญาต่างตอบแทน
ต้องมิใช่ความผิดของลูกหนี้ เจ้าหนี้ (ในตัวทรัพย์หรือคนที่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์คนใหม่) ต้องรับบาปเคราะห์โดย - ยังคงต้องชำระหนี้ในส่วนของตนอยู่ และ - ไม่มีสิทธิเรียกให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งชำระหนี้ตอบแทน
95
ผลของสัญญาต่างตอบแทน
กรณีเป็นความผิดของลูกหนี้ ผลคือ ไม่ตกเป็นบาปเคราะห์ของเจ้าหนี้ - เจ้าหนี้มีสิทธิไม่ชำระหนี้ ตามมาตรา 369 - เจ้าหนี้มีสิทธิเลิกสัญญา ตามหลักทั่วไป ตามมาตรา 389 และหากได้ชำระหนี้ในส่วนของตนไปแล้วก็มีสิทธิเรียกสิ่งที่ชะระไปคืนได้ ตามหลักเกณฑ์ในเรื่องผลของการเลิกสัญญา เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 218
96
ผลของสัญญาต่างตอบแทน
- หากเป็นการโอนทรัพย์เฉพาะสิ่งที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขบังคับก่อน มาตรา 371 - วรรค 1 ตัวทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาที่ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขบังคับก่อน สูญหายหรือถูกทำลายไปทั้งหมด ความสูญหายหรือถูกทำลายเกิดขึ้นในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ ย่อมไม่ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ เพราะเจ้าหนี้ยังไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ในขณะเกิดภัยพิบัติ
97
ตัวอย่าง ก เช่าที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารตึกแถว โดยได้ผลประโยชน์จากการจำหน่ายสิทธิการเช่า ส่วน ข ได้กรรมสิทธิ์ในอาคารและค่าเช่าตามที่ตกลงกัน จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน หลังจากทำสัญญาเช่า ข ส่งมอบพื้นที่ให้แก่ ก แล้ว ตั้งแต่ ปี ๒๕๔๐ ทางราชการได้ประกาศผังเมือง มีผลให้ไม่สามารถปลูกสร้างอาคารได้ ถือได้ว่า ก และ ข ต่างไม่สามารถปฏิบัติการชำระหนี้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสัญญาเช่าได้ การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ซึ่ง ข ไม่ต้องรับผิด ก ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนผิดสัญญา สัญญาเช่าที่ดินระหว่าง ก และ ข เป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีหนี้ที่ต้องชำระแก่กัน เมื่อเป็นอันพ้นวิสัยโดยจะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมิได้ เมื่อ ก บอกเลิกสัญญาแล้ว สัญญาจึงเลิกกัน คู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา ๓๙๑ วรรคหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องชำระหนี้ตอบแทนกัน
98
ผลของสัญญาต่างตอบแทน
- วรรค 2 ตัวทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญา เสียหาย คือ ยังมีตัวทรัพย์อยู่แต่ไม่อยู่ในสภาพเดิม ความสูญหายหรือถูกทำลายเกิดขึ้นในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ ความเสียหายที่เกิดขึ้นโทษเจ้าหนี้ไม่ได้ (เจ้าหนี้ในตัวทรัพย์) ผลคือ เมื่อเงื่อนไขสำเร็จในเวลาต่อมาย่อมไม่ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ เพราะเจ้าหนี้ ยังไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ในขณะเกิดภัยพิบัติ แต่ตกเป็นของลูกหนี้ เพราะยังคงเป็นเจ้าของทรัพย์อยู่ในขณะนั้น เมื่อเงื่อนไขสำเร็จในเวลาต่อมา กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ ย่อมโอนไปยังเจ้าหนี้ - เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้และขอลดค่าตอบแทนในส่วนที่ตนต้องชำระลงตามสัดส่วนความเสียหาย - เจ้าหนี้มีสิทธิบอกเลิกสัญญา
99
ผลของสัญญาต่างตอบแทน
หากมิได้โอนทรัพย์เฉพาะสิ่ง การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยตกเป็นพับแก่ลูกหนี้ - ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้ มาตรา 219 - ลูกหนี้ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตอบแทน ดังนั้น เจ้าหนี้ไม่จำเป็นต้องชำระหนี้ตอบแทน มาตรา 372 วรรค 1
100
ผลของสัญญาต่างตอบแทน
หากมิได้โอนทรัพย์เฉพาะสิ่ง การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยที่เป็นความผิดของเจ้าหนี้ - ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้ มาตรา 219 - ลูกหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตอบแทน แต่อาจได้/ไม่ได้เต็มจำนวน
101
ผลของสัญญาต่างตอบแทน
ความตกลงล่วงหน้าเป็นข้อความยกเว้นมิให้ลูกหนี้ต้องรับผิดเพื่อกลฉ้อฉล หรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน เป็นโมฆะ มาตรา 373
102
สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก
1. มีการทำสัญญาระหว่างคู่สัญญา 2. คู่สัญญาตกลงให้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก หรือให้ “ผล” ของสัญญาตกแก่บุคคลภายนอก 3. บุคลภายนอกมีสิทธิเลือกที่จะรับผลของสัญญาหรือไม่ก็ได้ ผล - หากต้องการจะรับผลของสัญญาจะต้องแสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์ และคู่สัญญาจะตกลงเพื่อเปลี่ยนแปลงสิทธินั้นอีกไม่ได้ - คู่สัญญามีหน้าที่ต้องชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก หากไม่ชำระบุคคลภายนอกฟ้อง เรียกให้ชำระได้โดยตรง - คู่สัญญามีหน้าที่ต้องชำระหนี้อาจไม่ยอมชำระหนี้ได้ถ้ามีข้อต่อสู้อันเกิดจาก มูลของสัญญา
103
มัดจำ มาตรา 377 “เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ท่านให้ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว อนึ่งมัดจำนี้ย่อมเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย”
104
มัดจำเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำขึ้น
มาตรา 456 วรรคสอง “สัญญาจะขายหรือจะซื้อ ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้อง รับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”
105
มัดจำเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา
มาตรา 378 “มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านให้เป็นไป ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ (1) ให้ส่งคืน หรือจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนใน เมื่อชำระหนี้ (2) ให้ริบ ถ้าฝ่ายที่วางมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ (3) ให้ส่งคืน ถ้าฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้”
106
มาตรการในการบังคับให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามสัญญา
ลักษณะของมัดจำ เป็นการประกันว่าทำสัญญาจริง เป็นการประกันว่าจะปฏิบัติตามสัญญา ไม่ใช่การชำระหนี้ล่วงหน้า หากไม่ปฏิบัติตามสัญญา ฝ่ายรับมัดจำสามารถริบได้ ต้องเป็นสิ่งที่คู่สัญญา “ส่งมอบ” ให้ไว้แก่กันเมื่อเข้าทำสัญญา สิ่งที่ส่งมอบ ต้องเป็น “เงิน” หรือ “สิ่งมีค่าอย่างอื่น” (ต้องมีค่าในตัวเอง และ สามารถใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้)
107
มาตรการในการบังคับให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามสัญญา
ผลทางกฎหมายของมัดจำ - กรณีมีการชำระหนี้ ให้ส่งคืนหรือ จัดเป็นการใช้เงินบางส่วน - กรณีไม่มีการชำระหนี้ ให้ริบถ้าเป็นความผิดของฝ่ายที่วางมัดจำ ให้ส่งคืนถ้าเป็นความผิดของฝ่ายที่รับมัดจำ
108
เบี้ยปรับ มาตรา 379 “ถ้าลูกหนี้สัญญาแก่เจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ ชำระหนี้ก็ดี หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรก็ดี เมื่อลูกหนี้ผิดนัดก็ให้ริบ เบี้ยปรับ”
109
มาตรการในการบังคับให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามสัญญา
ลักษณะของเบี้ยปรับ - เป็นค่าสินไหมทดแทนที่คู่สัญญาได้กำหนดไว้ล่วงหน้า - อาจมีการส่งมอบแก่กันหรือไม่ก็ได้ - อาจกำหนดไว้เป็นเงินจำนวนหนึ่ง หรือเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนก็ได้
110
มาตรการในการบังคับให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามสัญญา
- เบี้ยปรับมี 2 กรณี คือ กรณีลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ (หากเรียกเบี้ยปรับ ก็ไม่อาจเรียกให้อีกฝ่ายปฏิบัติการชำระหนี้ ตามสัญญาได้ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) กรณีลูกหนี้ชำระหนี้ไม่ถูกต้องตามควร (ไม่ตัดสิทธิที่จะเรียกให้อีกฝ่ายชำระหนี้ให้ถูกต้อง ตามสัญญา)
111
มาตรการในการบังคับให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามสัญญา
เบี้ยปรับห้ามสูงเกินส่วน หากฝ่าฝืน ศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับได้
112
ผลทางกฎหมายของเบี้ยปรับกรณีกำหนดเบี้ยปรับเป็นเงิน
สิทธิของเจ้าหนี้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ (มาตรา 380) 1. เรียกเอาเบี้ยปรับแทนการชำระหนี้ (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) 2. เรียกเอาเบี้ยปรับในฐานเป็นจำนวนน้อยที่สุด แห่งค่าเสียหาย (ในกรณีที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้) สิทธิของเจ้าหนี้เมื่อลูกหนี้ชำระหนี้ไม่ถูกต้องสมควร (มาตรา 381) เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้และเรียกเอาเบี้ยปรับได้อีกด้วย (เรียกให้ทั้งสองอย่าง)*** แต่จะเรียกเอา เบี้ยปรับได้ก็ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้ว่าจะเอาเบี้ยปรับในเวลารับชำระหนี้ เรียกเอาเบี้ยปรับในฐานเป็นจำนวนน้อยที่สุดแห่งค่าเสียหาย (ในกรณีที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้) (มาตรา 380 วรรค 2 ประกอบมาตรา 381 วรรค2)
113
ผลทางกฎหมายของเบี้ยปรับกรณีกำหนดเบี้ยปรับเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น
สิทธิของเจ้าหนี้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ (มาตรา 380 ประกอบมาตรา 382) เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับหรือการชำระหนี้ตามสัญญา (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) ** ถ้าเจ้าหนี้เรียกเอาเบี้ยปรับแล้ว เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิเรียก ค่าทดแทนโดยพิสูจน์ค่าเสียหายยิ่งกว่าเบี้ยปรับ (มาตรา 382) *** ถ้าเจ้าหนี้เรียกให้ชำระหนี้ตามสัญญา แล้วมีสิทธิ เรียกค่าสินไหมทดแทน เจ้าหนี้เรียกเอาเบี้ยปรับในฐาน เป็นจำนวนน้อยที่สุดแห่งค่าเสียหายไม่ได้ เพราะวัตถุแห่งหนี้ต่างกัน (ค่าเสียหายเป็นเงินแต่เบี้ยปรับเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น) สิทธิของเจ้าหนี้เมื่อลูกหนี้ชำระหนี้ไม่ถูกต้องสมควร (มาตรา 381 ประกอบมาตรา 382) เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้และเรียกเอาเบี้ยปรับ ได้อีกด้วย (เรียกได้ทั้งสองอย่าง) แต่เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิเรียก ค่าทดแทน โดยพิสูจน์ค่าเสียหายยิ่งกว่าเบี้ยปรับ (มาตรา 382) *** ทั้งนี้จะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ก็ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้ว่าจะเอาเบี้ยปรับในเวลารับชำระหนี้
114
ตารางเปรียบเทียบระหว่างมัดจำและเบี้ยปรับ
ประเด็น มัดจำ เบี้ยปรับ 1. วัตถุประสงค์ เป็นการวางเพื่อเป็นหลักฐานและเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา เป็นการกำหนดค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนล่วงหน้า 2. เวลาในการส่งมอบ ต้องส่งมอบในขณะทำสัญญาเท่านั้น ส่งมอบในขณะทำสัญญาหรือไม่ก็ได้ 3. สิ่งที่ส่งมอบ เงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นที่มีค่าในตัวเอง เงินหรือการชำระหนี้อย่างอื่นก็ได้ 4. การปรับลด ศาลไม่สามารถปรับลดได้ตาม ป.พ.พ. แต่ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม มาตรา 7 ให้อำนาจศาลปรับลดมัดจำได้ หากสูงเกินส่วน ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจปรับลดได้
115
ตารางเปรียบเทียบระหว่างเบี้ยปรับและค่าเสียหาย
ประเด็น เบี้ยปรับ ค่าเสียหาย ความมุ่งหมาย การกำหนดค่าเสียหายล่วงหน้า การกำหนดเมื่อมีความเสียหายแล้ว 2. การกำหนด กำหนดตามหลักเสรีภาพ ศาลกำหนด 3. ลักษณะ เป็นเงินหรือการชำระหนี้อย่างอื่นก็ได้ เป็นเงินเท่านั้น 4. จำนวน แน่นอน ไม่แน่นอน 5. การพิสูจน์ ไม่ต้องพิสูจน์ ต้องพิสูจน์ 6. การปรับลด ศาลลดได้ แต่งดไม่ได้ ศาลลดและงดไม่ได้ (เพราะไม่มีให้ลดและงดได้)
116
การเลิกสัญญา มาตรา 386 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำด้วยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง”
117
การเลิกสัญญา เป็นกรณีที่คู่สัญญาไม่ต้องการผูกพันกันอีกต่อไปแล้ว และต้องการกลับคืนสู่ฐานะเดิม คู่กรณีที่ต้องการเลิกสัญญาจะต้องมีสาเหตุ หากมิได้มีการตกลงกันในสัญญา ก็ต้องมีเหตุตามที่กฎหมายกำหนด
118
วิธีการเลิกสัญญามี 3 วิธี
1. คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันที่จะเลิกสัญญา 2. คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งประสงค์จะเลิกสัญญาจึงทำ “คำเสนอ” ไปยังอีกฝ่าย ซึ่งถ้าอีกฝ่านเห็นพ้องต้องกันก็ “สนองรับตอบกลับมา” 3. การบอกเลิกสัญญาโดยคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว
119
ข้อสัญญา การเลิกสัญญา
3.1 คู่สัญญาที่จะบอกเลิกสัญญาต้อง “มีสิทธิ” โดยมีที่มาจาก ข้อสัญญา - มีการระบุไว้ในสัญญาว่า หากมีการผิดสัญญา ให้อีกฝ่ายมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาได้
120
บททั่วไป : คู่สัญญาอีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตามสัญญา
การเลิกสัญญา บทบัญญัติของกฎหมาย บททั่วไป : คู่สัญญาอีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตามสัญญา - กรณีไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการชำระหนี้ไว้ (ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า) - กรณีได้กำหนดระยะเวลาในการชำระหนี้ (ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า)
121
ตัวอย่าง แม้จะมีข้อสัญญากำหนดไว้ให้เลิกสัญญาได้กรณีใดบ้าง หากมีกรณีที่ไม่ตรงตามข้อสัญญา แต่กลับตรงตามบทบัญญัติของกฎหมาย ก็สามารถเลิกสัญญาได้ เมื่อ ก มิได้ก่อสร้างฝ้าเพดานให้ถูกต้องตามข้อตกลง ซึ่งเป็นเรื่องที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ รวมถึงการชำระหนี้ไม่ถูกต้องตามสัญญาด้วย ทั้งกรณีไม่เป็นเรื่องผลของการผิดนัด ทำให้เจ้าหนี้ไม่ได้รับประโยชน์จากการชำระหนี้ เมื่อ ข บอกกล่าวให้ ก ก่อสร้างฝ้าเพดานให้ถูกต้องภายในกำหนด ๑ เดือน อันเป็นระยะเวลาพอสมควร แต่ ก ไม่ก่อสร้างให้ถูกต้อง ข จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ และไม่จำต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการจะซื้อจะขายที่ว่า หาก ข จะเลิกสัญญา ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๖ เดือน เพราะเป็นการเลิกสัญญาโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย มิใช่การเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาดังกล่าว
122
การเลิกสัญญา - หากเป็นกรณีที่การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย ก็ต้องเป็นกรณีที่โทษฝ่ายลูกหนี้ได้ เจ้าหนี้จึงจะมีสิทธิบอกเลิกสัญญา
123
บทเฉพาะ การเลิกสัญญา เช่น สัญญาเช่าทรัพย์สิน
- กรณีผู้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญา - กรณีผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญา
124
ตัวอย่าง ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญา โดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การเลิกสัญญาเช่นนั้นทำด้วยการแสดงเจตนาแก่ฝ่ายหนึ่ง เมื่อสัญญาเช่าบ้านไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุให้ผู้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกก่อนสัญญาเช่าถึงกำหนดโดยข้อสัญญาได้ จึงต้องอาศัยสิทธิการบอกเลิกโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงยุติแล้วว่า ผู้ให้เช่ามิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาแม้ผู้เช่าจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเช่า พร้อมกับทำหนังสือแจ้งให้ทราบ ก็มิใช่การบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะผู้เช่าไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ให้เช่ายอมตกลงเลิกสัญญาเช่าด้วย ผู้เช่าจึงไม่อาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าแต่เพียงฝ่ายเดียว สัญญาเช่ายังมีผลผูกพันคู่สัญญา ผู้ให้เช่าจึงไม่จำต้องคืนเงินอันเป็นค่าเช่าล่วงหน้า ส่วนที่เหลือให้แก่ผู้เช่า
125
ผลของการเลิกสัญญา ผลของการเลิกสัญญา
คู่สัญญาแต่ละฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะเดิม - คู่สัญญาได้สิ่งใดจากอีกฝ่ายหนึ่งเนื่องจากการเข้าทำสัญญาต้องคืนให้แก่กัน - กรณีที่ต้องคืนเงินให้บวกดอกเบี้ยเข้าไปด้วย คิดตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้ - ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้น การชดใช้คืน ให้คืนด้วยเงินตามควรแห่งการนั้น เรียกค่าสินไหมทดแทนได้ หากเกิดความเสียหาย
126
ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม ตามพ.ร.บ. ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540
ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมที่ได้ตกลงกันหลังจากวันที่ 15 พ.ค. 2541 ที่มีองค์ประกอบดังต่อไปนี้จึงจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้ เป็นข้อตกลง ความตกลง ความยินยอม ประกาศ หรือคำแจ้งความเพื่อยกเว้นความผิด มิได้จำกัดเฉพาะข้อสัญญาที่ทำโดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเท่านั้น มีลักษณะที่มีผลให้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ โดยทำให้อีกฝ่ายรับภาระ เกินกว่าที่บุคคลทั่วไปพึงคาดหมายได้ตามปกติ การได้เปรียบเสียเปรียบมีลักษณะเกินสมควร การได้เปรียบเสียเปรียบให้พิเคราะห์ถึง ความสุจริต อำนาจต่อรอง ฐานะทางเศรษฐกิจ ความรู้ความเข้าใจ ความสันทัดจัดเจน ความคาดหมาย แนวทางที่เคยปฏิบัติ ทางเลือกอย่างอื่น รวมทั้งทางได้เสียทุกอย่างของคู่สัญญาตามสภาพที่เป็นจริง ปกติประเพณีของสัญญาชนิดนั้น เวลาและสถานที่ในการทำสัญญาหรือในการปฏิบัติตามสัญญา การรับภาระที่หนักกว่ามากของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
127
ผลของสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
โดยหลัก ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมยังคงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย แต่ศาลมีอำนาจจะสั่งปรับลด และบังคับให้ตามข้อตกลงที่ศาลพิจารณาเห็นว่าเป็นธรรมและสมควรแก่กรณี เฉพาะในข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ข้อสัญญาบางประเภทที่กฎหมายถือว่าคู่สัญญาไม่สามารถนำมาใช้บังคับได้เลย เนื่องจากตกเป็นโมฆะตามกฎหมายนี้ เช่น ความตกลงหรือความยินยอมของผู้เสียหายในคดีละเมิด ซึ่งมีลักษณะต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
128
จบการบรรยาย ? ตอบข้อซักถาม ?
งานนำเสนอที่คล้ายกัน
© 2025 SlidePlayer.in.th Inc.
All rights reserved.