Supply Chain Management

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "Supply Chain Management"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 Supply Chain Management

2 นับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ การดำเนินธุรกิจต่างๆ เกือบทุก สาขาได้หยุดชะงักหรือชะลอตัวลงหรือแม้กระทั่งปิดกิจการไป เนื่องจากกิจการส่วนใหญ่ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องทาง การเงิน ยอดขายลดลง ทำให้มีสินค้าคงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ เปลี่ยนแปลงไปทำให้ผู้ผลิตจำเป็นต้องหันมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ และกำหนดกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าและการแข่งขัน

3 การใช้กลยุทธ์เดิมๆ คือ การเร่งพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และ บริการให้มีความโดดเด่นและใช้กลยุทธ์ด้านราคาด้วยการลด ต้นทุนและตัดค่าใช้จ่ายลง แต่องค์กรทุกองกรค์ต่างใช้กลยุทธ์ที่ ไม่แตกต่างกันจนกระทั่งไม่ได้เกิดความได้เปรียบหรือเสียเปรียบ กันมากนัก แต่ในปัจจุบันมีแนวความคิดที่กำลังได้รับความสนใจ และให้ความสำคัญกันมากคือ การบริหารซัพพลายเชน (Supply Chain Management : SCM)

4 Supply Chain Management
ระบบที่จัดการการบริหารและเชื่อมโยงเครือข่ายตั้งแต่ suppliers, manufacturers, distributors เพื่อส่งมอบ สินค้าหรือบริการให้ลูกค้าโดยมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูล วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้าด้วยกัน เพื่อให้ การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ ตรงตามเวลาและความต้องการ

5 Supply Chain Illustration

6 Supply Chain for Denim Jeans

7 Supply Chain for Denim Jeans (cont.)

8 ขั้นตอนวิวัฒนาการไปสู่ระบบการจัดการซัพพลายเชน
การกำเนิดระบบการบริหารซัพพลายเชนกล่าวกันว่ามีต้นแบบมา จากการส่งลำเลียงเสบียงอาหารและอาวุธยุโธปกรณ์ตามระบบส่ง กำลังบำรุงของทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามที่ต้องการ ความมั่นใจว่าอาวุธและเสบียงอาหารจะต้องจัดส่งให้เพียงพอกับ ความต้องการและไปยังสถานที่ที่กำหนดอย่างถูกต้องตรงเวลา เพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด จึงจำเป็นต้องอาศัยการ วางแผนจัดลำดับก่อนหลังและรักษาประสิทธิภาพในการสื่อสารที่ รวดเร็วและแม่นยำ

9 ซึ่งต่อมาแนวความคิดดังกล่าวได้นำมาพัฒนาและดัดแปลงให้กับ ธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรมเพื่อมุ่งสร้างคุณค่าและความพึง พอใจแก่ลูกค้าด้วยต้นทุนที่ลดลง โดย Helen Peek และคณะได้ กล่าวถึงระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนบริหาร ซัพพลายเชน 4 ระยะ คือ

10 ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน (The Baseline Organization)
เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมที่ต้องการสร้างผล กำไรสูงสุดขององค์กร โดยเน้นความชำนาญในการทำงานของแต่ ละแผนก/ฝ่ายซึ่งองค์กรในรูปแบบนี้อาจไม่สามารถปรับแผนการ ผลิตและการจัดหาวัตถุดิบได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดของ ผู้บริโภคเนื่องจากแต่ละแผนก/ฝ่ายต่างทำงานเป็นอิสระต่อกันไม่ เกี่ยวกัน

11 ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน (The Functionally Integrated Company)
ในระยะนี้องค์กรจะเริ่มจัดตั้งเป็นบริษัท โดยในองค์กรได้มี การรวบรวมหน้าที่/ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือ คล้ายคลึงกันไว้ในกลุ่มงาน/ฝ่ายเดียวกัน ซึ่งจะไม่มีแบ่งแยก หน้าที่ความรับผิดชอบออกจากันอย่างเด็ดขาดเหมือนระยะแรก เช่น ฝ่ายจัดการวัตถุดิบมีหน้าที่จัดซื้อ จัดสรร ควบคุมการใช้ วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตอื่นๆ ฝ่ายการผลิตมีหน้าที่วางแผนการ ผลิต และควบคุมคุณภาพการผลิต และฝ่ายขายมีหน้าที่วางแผน การตลาดและขายสินค้า เป็นต้น

12 ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน (The Internally Integrated Company)
ในระยะนี้องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ของตนอย่างต่อเนื่องจากระยะที่ 2 โดยฝ่ายต่างๆ มีการ แลกเปลี่ยนข้อมูลกันทำให้มีการติดต่อประสานงานเชื่อมโนง ระหว่างฝ่ายงานมากขึ้น การทำงานจึงมีความต่อเนื่องกันเหมือน ห่วงโซ่ นอกจากนั้นกิจกรรมการผลิตบางอย่างยังสามารถที่จะใช้ ทรัพยากรร่วมกันภายในองค์กรได้ด้วย ซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุน การผลิตได้ในระดับหนึ่ง

13 เช่น ฝ่ายผลิตกับฝ่ายขายอาจต้องมีการออกสำรวจความ ต้องการของผู้บริโภคไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้ได้รับรู้ถึงพฤติกรรม และความต้องการของผู้บริโภคว่าขณะนี้มีความต้องการสินค้า ประเภทใด ลักษณะใด เพื่อที่จะได้มีการวางแผนการผลิตเพื่อให้ เกิดความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้บริโภค

14 ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน (The Externally Integrated Company)
ระยะนี้เป็นระยะที่บริษัทก้าวเข้าสู่รูปแบบการบริหารแบบซัพ พลายเชนอย่างเต็มตัว โดยบริษัทได้ปรับโครงสร้างการบริหารแบบ ซัพพลายเชนภายในบริษัทของตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว และเริ่มหันมา ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอก โดยเข้าไป ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการทำงาน เดียวกัน เพื่อควบคุมคุณภาพการผลิตวัตถุดิบ คุณลักษณะของวัตถุดิบ และวิธีการผลิตวัตถุดิบในโรงงานของซัพพลายเออร์

15 และในบางกรณีบริษัทผู้ผลิตอาจเปิดโอกาสซัพพลายเออร์เข้ามา เปิดสถานี หรือโรงงานย่อย เพื่อนำส่งวัตถุดิบให้กับริษัทได้อย่าง สะดวก รวดเร็วและประหยัดต้นทุน

16 การบริหารจัดการซัพพลายเชน
เป็นการจัดการที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคู่ค้าที่เกี่ยวข้อง ในซัพพลายเชนเราเป็นสำคัญ องค์กรที่มีความรู้ในการบริหาร จัดการดีควรต้องถ่ายทอดแนวคิดและวิธีการปรับปรุงระบบงาน และการประสานงานระหว่างองค์กรให้แก่องค์กรอื่นๆ ในซัพ พลายเชน การพัฒนาศักยภาพของซัพพลายเชนนั้น นอกจาก ระบบการประสานงานที่ดีภายในองค์กรแต่ละองค์กรแล้ว จะต้อง พิจารณาความสามารถในการประสานระบบงานระหว่างองค์กร ใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่

17 1. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการระหว่างกลุ่ม suppliers (Supply-management interface capabilities)
เพื่อให้ระบบปฏิบัติการโดยรวมมีต้นทุนต่ำที่สุด มีระบบโล จิสติกส์ในการส่งผ่านวัตถุดิบ ผลิต และส่งมอบสินค้าที่มี ประสิทธิภาพและสามารถใช้ประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ใน การแข่งขันเชิงรุกเพื่อสร้างสรรค์ระบบการส่งมอบสินค้าที่รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น

18 2. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการให้สอดคล้องกับ ความต้องการของลูกค้า(Demand-management interface capabilities) เป็นระบบการบริหารจัดการเพื่อการให้บริการที่มีคุณภาพ และการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทั้งก่อน ระหว่าง และ ภายหลังการขาย เพื่อสร้างความได้เปรียบเพิ่มขึ้นในเชิงการแข่งขัน คุณภาพโลจิสติกส์ที่ต้องการคือ ความรวดเร็ว การมีสินค้าพร้อม จำหน่ายเมื่อลูกค้าต้องการ การส่งมอบสินค้าที่สมบูรณ์สอดคล้อง ตามความต้องการของลูกค้าและการมีระบบสื่อสารที่ลูกค้าสามารถ

19 เข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือสอบถามและร้องเรียนกับทางบริษัท ได้สะดวก ศักยภาพในการบริการยังหมายถึง ความสามารถใน การให้บริการที่ยืดหยุ่นมากขึ้นในแง่ของการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ซื้อในเรื่องของปริมาร สถานที่ ชนิด ได้ในระยะเวลากระชั้นมาก ขึ้น ตลอดจนความสามารถในการผลิตและส่งมอบสินค้าใน ปริมาณมากด้วยความรวดเร็วได้เมื่อเกิดความต้องการสินค้า แบบไม่คาดหมายขึ้น

20 3. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการสารสนเทศ (Information management capabilities)

21 แข่งในท้องถิ่นเสมอ ประเด็นที่ต้องพิจารณาในการพัฒนาระบบ การสื่อสารได้แก่ ระดับเทคโนโลยี เช่น hardware, software การออกแบบและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระดับการใช้ ประโยชน์ในข้อมูลร่วมกัน ข้อมูลในระดับปฏิบัติการ ข้อมูลด้าน ยุทธ์ศาสตร์ ข้อมูลทางการเงิน หรือข้อมูลในระดับเทคนิค และ ความสามารถในการเชื่อมต่อของระบบ เช่น ความรวดเร็วในการ ส่งผ่านข้อมูล ความรวดเร็วในการดำเนินการเมื่อได้รับข้อมูล และการจัดวางรูปแบบข้อมูลที่สามารถนำไปใช้งานต่อเนื่องได้ ทันที

22 ปัญหาของการจัดการซัพพลายเชน
การจัดการซัพพลายเชนให้ประสบความสำเร็จเป็นสิ่งที่ทุก องค์กรต้องการ อย่างไรก็ตามในบางครั้งการจัดการซัพพลายเชน อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้ 1. ปัญหาจากการพยากรณ์ การพยากรณ์ความต้องการสินค้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากใน การจัดการซัพพลายเชน ซึ่งการพยากรณ์ที่ผิดพลาดมีส่วนสำคัญ ที่ทำให้การวางแผนการผลิตผิดพลาด และอาจจะทำให้ผู้ผลิตมี สินค้าไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้าที่เกิดขึ้น

23 2. ปัญหาในกระบวนการผลิต ปัญหาที่เกิดจากกระบวนการผลิตอาจจะทำให้ไม่สามารถ ผลิตสินค้าได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ เช่น เครื่องจักรเสียทำให้ต้อง เสียเวลาส่วนหนึ่งในการซ่อมและปรับตั้งเครื่องจักร 3. ปัญหาด้านคุณภาพ ปัญหาด้านคุณภาพอาจจะส่งผลให้กระบวนการผลิตต้อง หยุดชะงัก และทำให้ไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ ตามที่กำหนดไว้ นอกจากนั้นระบบการขนส่งที่ไม่มีคุณภาพ สามารถส่งผลกระทบต่อผู้ที่อยู่ในโซ่อุปทานได้เช่นกัน

24 4. ปัญหาในการส่งมอบสินค้า การส่งมอบที่ล่าช้าเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เรื่องของวัตถุดิบ งาน ระหว่างทำ และสินค้าสำเร็จรูป เช่น ซัพพลายเออร์ส่งมอบ วัตถุดิบล่าช้า ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามตารางการ ผลิตที่กำหนดไว้ นอกจากนั้น ในระหว่างกระบวนการผลิต การส่ง ต่องานระหว่างทำที่ล่าช้าตามไปด้วยในกรณีที่ไม่สามารถปรับ ตารางการผลิตได้ทัน ยิ่งไปกว่านั้น การส่งมอบสินค้าสำเร็จรูปให้ ลูกค้าล่าช้าจะส่งผลกระทบต่อระดับการให้บริการลูกค้าและ ความสามารถในการแข่งขันของกิจการ

25 5. ปัญหาด้านสารสนเทศ สารสนเทศที่ผิดพลาดมีผลกระทบต่อการจัดการโซ่ อุปทาน ซึ่งทำให้การผลิตและการส่งมอบสินค้าผิดไปจากที่ กำหนดไว้ ความผิดพลาดในสารสนเทศที่เกิดขึ้นมีหลายประการ เช่น ความผิดพลาดในการสั่งซื้อวัตถุดิบ การกำหนดตารางการ ผลิต การควบคุมสินค้าคงคลัง การขนส่ง ฯลฯ

26 6. ปัญหาจากลูกค้า ปัญหาที่เกิดจากลูกค้าเป็นความไม่แน่นอนอย่างหนึ่งของ โซ่อุปทาน เช่น ลูกค้ายกเลิกคำสั่ง ในบางครั้งผู้ผลิตได้ทำการ ผลิตสินค้าไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่ได้รับการยกเลิกคำสั่งซื้อจากลูกค้า ในเวลาต่อมา จึงทำให้เกิดต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง ส่วนนั้นไว้ ตัวอย่างปัญหาของการจัดการโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น

27 Bullwhip Effect คือปัญหาที่เกิดจากความแปรปรวนเล็กน้อยของความ ต้องการถูกนำมาขยาย เมื่อส่งข้อมูลกลับต้นทาง

28 Supply Chain Operations Reference Model (SCOR) แบบจำลองวิเคราะห์กระบวนการซัพพลายเชน โดยใช้รหัสมาตรฐานอ้างอิงกลุ่มกระบวนการ

29 วัตถุประสงค์ของแบบจำลองวิเคราะห์ SCOR
เป็นการรวบรวมกระบวนการมาตรฐานในโซ่อุปทาน 5 ส่วน คือ การวางแผน การจัดหาแหล่งวัตถุดิบ สินค้าและบริการ การ ผลิต การจัดส่งและส่งมอบ การส่งคืนสินค้าจากลูกค้า กระบวนการมาตรฐานจะถูกแบ่งในลักษณะเป็นกลุ่ม ซึ่งใช้ อธิบายความสัมพันธ์ภายในโซ่อุปทานได้ ในอุตสาหกรรม ที่ ต่างกันหรือเป็นอุตสาหกรรมคนละประเภทกัน ก็สามารถที่จะ เชื่อมต่อกันได้หรือสามารถแสดงความสัมพันธ์กันได้ภายใต้ แบบจำลองโซ่อุปทาน และสามารถที่จะนำแบบจำลองโซ่อุปทาน นี้มาอธิบายและเป็นพื้นฐานในการพัฒนาและปรับปรุงโซ่อุปทาน

30 SCOR : Basic Management Processes
Plan-Source-Make-Deliver-Return

31 การบริหารจัดการโลจิสติกส์แบบบูรณาการ
Internal or External การวิเคราะห์กระบวนการโซ่อุปทาน Internal or External การวางแผน การผลิต การจัดซื้อ การจัดส่งสินค้า การรับคืน การรับคืน

32 SCOR : Basic Management Processes
SCOR Model ประกอบด้วยชนิดของกระบวนการ การจัดการพื้นฐาน 5 กระบวนการ คือ การวางแผน (Plan) การจัดหาแหล่งวัตถุดิบ สินค้าและบริการ (Source) การผลิต (Make) การจัดส่งและส่งมอบ (Delivery) การส่งคืนสินค้าจากลูกค้า (Return)

33 SCOR : Basic Management Processes
SCOR Model ได้กำหนดสัญลักษณ์ที่เป็นมาตรฐานสำหรับ การใช้งาน คือ ใช้ P แทนชนิดกระบวนการ Plan S แทน Source M แทน Make D แทน Delivery R แทน Return E แทน Enable

34 SCOR : Basic Management Processes
P การวางแผน Plan Suppliers ซัพพลายเออร์ Customer ลูกค้า/ผู้บริโภค วัตถุดิบ S Source การผลิต M Make การจัดส่ง D Deliver การส่งกลับ R Return การส่งกลับ R Return กระบวนการที่ทำให้เกิดขึ้นหรือโครงสร้างพื้นฐาน E (Enable process หรือ Infrastructure)

35 SCOR : Basic Management Processes
P การวางแผน Plan Suppliers ซัพพลายเออร์ Customer ลูกค้า/ผู้บริโภค Execution วัตถุดิบ S Source การผลิต M Make การจัดส่ง D Deliver การส่งกลับ R Return การส่งกลับ R Return กระบวนการที่ทำให้เกิดขึ้นหรือโครงสร้างพื้นฐาน E (Enable process หรือ Infrastructure)

36 Planning Processes P การวางแผน Plan
กระบวนการในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการที่คาดการณ์ไว้โดยการวางแผนนั้นต้องสามารถทำให้เกิดความสมดุลระหว่างทรัพยากรและความต้องการโดยรวมในช่วงเวลาหนึ่งๆ ได้ รวมทั้งสามารถกระจายทรัพยากรให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละสมาชิกในโซ่อุปทานได้

37 การดำเนินงาน (Execution)
Execution Processes การดำเนินงาน (Execution) กิจกรรมที่จะถูกกระตุ้นหรือสั่งการจากแผนหรือความต้องการที่แท้จริงซึ่งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะของผลิตภัณฑ์ในโซ่อุปทานรวมถึงการจัดตารางการผลิตและลำดับขั้นตอนในการผลิต การแปรสภาพวัตถุดิบ การบริหารและการเคลื่อนย้านผลิตภัณฑ์ (Transportation)

38 Enable Processes กระบวนการที่ทำให้เกิดขึ้นหรือโครงสร้างพื้นฐาน
(Enable process หรือ Infrastructure) กิจกรรมการจัดเตรียม กฎข้อบังคับในการดำเนินงานหรือประกอบธุรกิจและการจัดการข้อมูลสารสนเทศและความสัมพันธ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการวางแผน และกระบวนการผลิตภัณฑ์

39 SCOR : Plan Processes ขอบเขตของการวางแผน (Plan) ครอบคลุมถึงการวางแผน
อุปสงค์และอุปทานและการวางแผน ได้แก่ การสร้างสมดุลของทรัพยากร แผนการจัดตั้ง/การ ติดต่อสื่อสารสำหรับโซ่อุปทานทั้งหมด รวมถึง กระบวนการต่างๆ

40 กฎระเบียบในการจัดการทางธุรกิจ การวัดสมรรถนะ
โซ่อุปทาน การเก็บข้อมูล ระดับสินค้าคงคลังสินทรัพย์ทุน การขนส่งการวางแผนโครงสร้าง และความต้องการ และ ความสอดคล้องกับกฎข้อบังคับต่างๆ ทางธุรกิจ การปรับปรุงการวางแผนของหน่วยงานต่างๆ ภายในโซ่ อุปทาน

41 SCOR : Source Processes
ขอบเขตของกระบวนการการจัดหาวัตถุดิบ สินค้าและบริหาร (Source) ครอบคลุมการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตไว้ล่วงหน้า (Make-to-Stock) ผลิตตามคำสั่ง (Make-to-Order) และ ผลิตตามการออกแบบทางวิศวกรรม (Engineer-to-Order) ได้แก่ การจัดตารางการจัดส่ง, การรับ, การตรวจสอบและการ เคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์และการอนุมัติการจ่ายเงินให้กับผู้ จัดส่งวัตถุดิบ

42 การบ่งชี้และเลือกแหล่งวัตถุดิบ
การจัดการกฎข้อบังคับทางธุรกิจการประเมินสมรรถนะ ของผู้จัดส่งวัตถุดิบและการเก็บรักษาข้อมูล การจัดการสินค้าคงคลัง สินทรัพย์ทุน ผลิตภัณฑ์ใหม่ การ สร้างโครงข่ายผู้จัดส่งวัตถุดิบ ความต้องการของการ นำเข้า/ส่งออกและข้อตกลงของผู้จัดส่งวัตถุดิบ

43 SCOR : Make Processes ขอบเขตของกระบวนการผลิต (Make) ครอบคลุมถึงการผลิต เพื่อจัดเก็บ ผลิตตามสั่ง และผลิตตามการออกแบบทางวิศวกรรม ประกอบด้วย การจัดตารางกิจกรรมการผลิต การออกแบบ ผลิตและ ทดสอบบรรจุผลิตภัณฑ์ ผลสุดท้ายทางวิศวกรรมสำหรับผลิตภัณฑ์ตามคำสั่งซื้อ การจัดการเกี่ยวกับกำระเบียบของโรงงาน สมรรถนะใน การผลิต

44 SCOR : Deliver Processes
กระบวนการจัดการกับคำขอจากลูกค้า เส้นทางการจัดส่ง การจัดการคลังสินค้าตั้งแต่การรับ และจ่ายสินค้า การรับหรือรับรองสินค้า ณ สถานที่ของลูกค้า การจัดการและกฎของการส่งมอบ

45 SCOR : Return Processes
ขอบเขตของการส่งคืนสินค้าจากลูกค้า (Return) ครอบคลุมถึง การส่งคืนของวัตถุดิบ (กลับไปยังผู้จัดส่ง) และการรับผลิตภัณฑ์ สำเร็จรูปคืน (มาจากลูกค้า) รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีตำหนิ, ผลิตภัณฑ์ที่เป็นวัสดุสิ้นเปลือง (MRO) และผลิตภัณฑ์ส่วนเกิน

46 ขั้นตอนการส่งคืนผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
ขั้นตอนการคืนผลิตภัณฑ์สิ้นเปลือง ขั้นตอนการส่งคืนผลิตภัณฑ์ส่วนเกิน การจัดการกฎระเบียบในการส่งคืน

47 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐานของ Supply Chain
Customer Focus สมรรถนะหลัก ตัวชี้วัด ความน่าเชื่อถือ (Reliability) ประสิทธิภาพในการส่งมอบ (Delivery Performance) อัตราการเติมเต็ม (Fill Rates) การรับคำสั่งซื้อแบบสมบูรณ์ (Perfect Order Fulfillment)

48 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐานของ Supply Chain
Customer Focus สมรรถนะหลัก ตัวชี้วัด การตอบสนอง (Reliability) เวลานำในการรับคำสั่งซื้อ (Order Fulfillment Lead Times) ความยืดหยุ่น (Flexibility) เวลาการตอบสนองโซ่อุปสงค์ (Demand Chain Response Times) ความยืดหยุ่นในการส่งมอบ (Delivery Flexibility)

49 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐานของ Supply Chain
Customer Focus สมรรถนะหลัก ตัวชี้วัด ต้นทุน (Cost) ต้นทุนการจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management Cost) ต้นทุนของสินค้าที่ขาย (Cost of Goods Sold) ผลผลิตที่มีการเพิ่มคุณค่า (Value-Added Productivity) ต้นทุนของการคืนและการประกันสินค้า

50 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐานของ Supply Chain
Customer Focus สมรรถนะหลัก ตัวชี้วัด ทรัพย์สิน (Asset) รอบเวลาของวงจรปิดเงินสด (Cash to Cash Cycle Time) วันของสินค้าคงคลัง (Inventory Days of Supply) การหมุนเวียนของทรัพย์สิน (Asset Turns)

51 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐาน
ตัวอย่างตัวชี้วัดสมรรถนะหลัก ใน SCOR Model สำหรับโซ่อุปทาน สมรรถนะในการจัดส่ง Delivery performance สามารถวัดได้ในรูปแบบของวันและเวลาที่จัดส่งจริงเปรียบเทียบกับวันที่กำหนดถึงลูกค้า

52 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐาน
สมรรถนะในการเติมเต็ม คำสั่งซื้อ Fill rate เป็นตัวชี้วัดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสมรรถนะของการจัดส่ง ซึ่งเวลานำของการเติมเต็มคำสั่งซื้อจะนับจากวันเวลาเฉลี่ยของวันเวลาที่คำสั่งซื้อเกิดขึ้นจนถึงวันและเวลาที่ลูกค้าได้รับสินค้าครบตามคำสั่งซื้อ

53 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐาน
ตัววัดสมรรถนะการ เติมเต็มคำสั่ง ซื้อสมบูรณ์ Perfect order fulfillment มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสมรรถนะการจัดส่งเช่นกันแต่เป็นเกณฑ์การวัดที่เข้มข้นกล่าวคือ เป็นตัววัดซึ่งจะวัดการส่งเสริมและผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตรงตามเวลา สถานที่ และในจำนวนครบถ้วนตามคำสั่งซื้อ

54 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐาน
ตัววัดสมรรถนะการตอบสนองของ โซ่อุปทาน Order fulfillment lead time ความหมายของโซ่อุปทานที่จะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคตโซ่อุปทานจะต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงภายในเวลาอันรวดเร็วเพื่อให้แน่ใจถึงความสามารถในการแข่งขัน

55 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐาน
ตัววัดสมรรถนะการความยืดหยุ่นของ การผลิต Supply Chain Response Time วัดการตอบสนองของโซ่อุปทานเกี่ยวกับความยืดหยุ่นในกระบวนการผลิต แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ ความยืดหยุ่นต่อความต้องการลดหรือเพิ่มการผลิตในเวลาหนึ่งๆ

56 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐาน
ตัววัดสมรรถนะต้นทุนการจัดการโซ่อุปทาน Total SCM cost Cost of Goods Sold Warranty cost or returns processing cost เนื่องจากต้นทุนการจัดการโซ่อุปทานต่อรายได้ทั้งหมดขององค์กรถ้าสามารถควบคุมได้ดีจะมีผลต่อความสามารถในการทำกำไรขององค์กรนั้นๆ ตัววัดสมรรถนะนี้จึงมีความสำคัญต่อการบริหารโซ่อุปทานและองค์กรในเชิงกลยุทธ์

57 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐาน
ตัววัดสมรรถนะรอบเวลาของวงจรปิดเงินสด Cash-to-Cash cycle time เวลาที่ใช้โดยเฉลี่ยของเงินที่ใช้ในการสั่งซื้อวัตถุดิบจนกระทั่งเงินนั้นไหลกลับมาสู่บริษัทในรูปของรายได้ ตัวชี้วัดรอบเวลาของวงจรเงินสดประกอบด้วยผลรวมของ 3 องค์ประกอบ คือ จำนวนวันของสินค้าคงคลังบวกจำนวนวันของการขาย ลบด้วยคาบเวลาของการจ่ายเงินสำหรับค่าวัตถุดิบ

58 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐาน
ตัววัดสมรรถนะจำนวนวันของสินค้าคงคลัง Inventory days of supply ตัวชี้วัดที่ใช้วัดว่าจำนวนสินค้าคงคลังถูกผลิตขึ้นมาหรือซื้อเข้ามาแล้วสามารถขายไปให้กับลูกค้าได้เร็วเพียงไรการเพิ่มของจำนวนวันของสินค้าคงคลังชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลัง ซึ่งรวมถึงการขายที่ช้าลงและ/หรือคาบเวลาการผลิตที่ยาวนานขึ้น

59 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐาน
ตัววัดสมรรถนะจำนวนรอบของสินทรัพย์ Asset turns ตัวชี้วัดของกิจกรรมทางด้านการเงิน หมายถึงจำนวนรายได้หารด้วยจำนวนทรัพย์สินทั้งหมดจำนวนรอบของสินทรัพย์จะเป็นตัววัดประสิทธิผลของบริษัทในการดำเนินงานต่อสินทรัพย์ทั้งหมด

60 SCOR : ตัวชี้วัดพื้นฐาน
ตัวชี้วัดสมรรถนะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการบูรณา การโซ่อุปทาน โดยสนับสนุนการสื่อสารซึ่งกันและกัน ระหว่างสมาชิกในโซ่อุปทาน เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับประสานงานกันระหว่าง สมาชิกในโซ่อุปทานทั้งหมด

61 เทคโนโลยีสารสนเทศในซัพพลายเชน
เทคโนโลยีช่วยในการจัดการซัพพลายเชน การจัดระบบซัพ พลายเชนให้มีประสิทธิภาพนั้น กล่าวกันว่ามีองค์ประกอบที่ สำคัญไม่ว่าจะเป็นการจัดการในเรื่องความต้องการของผู้บริโภคที่ มีต่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ (Demand management) ให้ ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่หน่วย ที่เป็นต้นทางวัตถุดิบถึงขั้นสุดท้ายของกระบวนการจัดการระบบ ซัพพลายเชน การจัดหาสินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อ ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ

62 และความสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่าง ต่อเนื่อง ไม่ขาดตลาดและที่สำคัญไปกว่านั้น คือการนำ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technology) โดยเฉพาะ ทางด้านไอที ฮาร์แวร์ และซอฟแวร์ มาเป็นเครื่องมือช่วยในการ จัดการให้ระบบซัพพลายเชนมีความต่อเนื่องไม่ติดขัด ด้วยการ นำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาเชื่อมต่อกัน ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วและถูกต้องในการจัดเก็บและส่งข้อมูลไปยังหน่วยงาน ต่างๆ ในระบบห่วงโซ่อุปทาน โดยปัจจุบันเทคโนโลยีที่นิยมใช้ใน ระบบซัพพลายเชนได้แก่

63 ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business)
ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) หรือในบางครั้งเรียกว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) เป็นการใช้เครื่องมือ อิเล็กทรอนิกส์ในกระบวนการทางธุรกิจและการดำเนินงาน ระหว่างธุรกิจกับธุรกิจและระหว่างบุคคลกับธุรกิจ ในธุรกิจ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) จะมีการทำธุรกรรมผ่านสื่อต่างๆ ทางอิเล็กส์ทรอนิกส์ เช่น การสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต การ โอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ

64 ธุรกิจที่อยู่ในโซ่อุปทานส่วนใหญ่จะมีการดำเนินธุรกิจ อิเล็กทรอนิกส์กับซัพพลายเออร์และลูกค้าประโยชน์ที่ได้รับจาก การทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์มีหลายประการ เช่น เกิดการประหยัดต้นทุน เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยี แทนแรงงานคน ซึ่งทำให้ราคาของสินค้าลดลง ลดการใช้คนกลางในการดำเนินธุรกิจ เช่น ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ผู้ให้บริการ ฯลฯ ลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นระหว่างโซ่อุปทาน ทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากสารสนเทศมากขึ้น

65 การใช้บาร์โค้ด (Barcode)
บาร์โค้ดหรือรหัสแท่ง เป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในรูปของแท่งบาร์ โดยจะประกอบไปด้วยบาร์ที่มีสีเข้มและช่องว่างสีอ่อน ซึ่งบาร์ เหล่านี้จะเป็นตัวแทนของตัวเลขและตัวอักษร สามารถอ่านได้ ด้วยเครื่อง Scanner บาร์โค้ดจึงทำหน้าที่ในการจัดเก็บ ข้อมูลต่างๆ ของสินค้า อาทิ หมายเลขของสินค้า ครั้งที่ทำการ ผลิต เลขหมายเรียงลำดับกล่องเพื่อการขนส่ง ปริมาณสินค้าที่ ผลิต รวมถึงตำแหน่งผู้รับสินค้า เป็นต้น เพื่อให้สามารถควบคุม

66 การหมุนเวียนของสินค้าโดยรวดเร็วขึ้นไม่ว่าจะเป็นการรับ การ จัดเก็บและการจ่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับว่ามี ประโยชน์อย่างมากในปัจจุบันและที่สำคัญการติดบาร์โค้ดถือเป็น ส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้เกิดการจัดการซัพพลายเชน ลด ระยะเวลาและความซ้ำซ้อนในการทำงาน ปัจจุบันรหัสสากร (EAN Thailand) สภาอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทยเป็นสถาบันที่ควบคุม ดูแลและส่งเสริมการใช้ระบบ มาตรฐาน ECC : UCC (ย่อมาจาก European Article Number : Uniform Code Council)

67 ในประเทศไทย ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวถือเป็นมาตรฐานสากลที่ทุก อุตสาหกรรมของนานาประเทศนิยมใช้กัน โดยหมายเลขบาร์โค้ด จะไม่ซ้ำซ้อนกัน เพื่อให้สามารถอ้างอิงกลับมายังสินค้าหรือ บริการนั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง

68 Barcode

69 การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDI : Electronic Data Interchange)
เป็นเทคโนโลยีอีกประการหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการ จัดการซัพพลายเชน เป็นระบบถ่ายทอดข่าวสารข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งในรูปสัญญาณ อิเล็กทรอนิกส์ โดยรูปแบบข่าวสารข้อมูลนั้นจะมีการจัดรูปแบบ และมีความเป็นมาตรฐานเดียวกันตามที่ได้ตกลงกันไว้ เรียกว่า EDI Message ผ่านเครือข่ายการสื่อสาร (Telecommuni- cation Network) ทำให้เพิ่มความถูกต้องและรวดเร็วในการ ทำงาน

70 ทั้งผู้ส่งและผู้รับข้อมูลต่างก็สามารถเข้าถึง EDI message ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูลเข้า เครื่องคอมพิวเตอร์หรือพิมพ์ข้อมูลการสั่งซื้อออกมาเป็นเอกสาร ทำให้ประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งเอกสาร ลด ปัญหาการสูญหายและความผิดพลาดเนื่องจากมีระบบฐานข้อมูล ที่ถูกต้อง

71 การใช้ซอฟแวร์ Application SCM
การนำซอฟแวร์มาพัฒนาและประยุกต์ใช้งานในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น Enterprise Resource Planning (ERP) เป็น ซอฟแวร์ที่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้งหมด ทำหน้าที่ ประสานงานหลักๆ ในด้านต่างๆ เช่น การเงิน การผลิต และการ จัดคลังสินค้า Advance Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการ ผลิตและจัดตารางเวลาโรงงานการผลิต ใช้เงื่อนไขข้อจำกัดและ กฎเกณฑ์ทางธุรกิจในการปรับตารางให้ดีที่สุด

72 Inventory Planning วางแผนคลังสินค้าที่จำเป็นในแต่ละ จุดเพื่อกระจายการจัดส่ง เพื่อให้ตรงตามความต้องการของตลาด Customer Asset Management ใช้สำหรับจัดระบบการ สื่อสารโต้ตอบกับลูกค้ารวมทั้งระบบขายอัตโนมัติและการ ให้บริการลูกค้า เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันผู้ผลิตระบบ ERP หลักๆ มีอยู่ 5 รายด้วยกัน คือ SAP, ORACLE, Peoplesoft, J.D. Edwards และ Baan

73

74 อย่างไรก็ตามความร่วมมือกันบริหารงานในระดับซัพพลาย เชนคงต้องมีกลไกให้มีการร่วมคิดร่วมพัฒนาระหว่างองค์กร อย่างต่อเนื่อง ความเข้าใจและการผลักดันของผู้บริหารระดับสูง ของทุกองค์กรมีความสำคัญยิ่ง การจัดตั้งทีมงานร่วม (cross- functional team) ที่จะประกอบด้วยผู้ที่มีความรู้ความสามารถ จากทุกองค์กรในซัพพลายเชนมาร่วมกันวางแผนหาจุดอ่อน และ พัฒนาระบบโลจิสติกส์ในภาพรวม จะช่วยสร้างความร่วมมือ ระหว่างกันได้รวดเร็วและเป็นรูปธรรม ความแตกต่างกันระหว่าง องค์กรทั้งในเรื่องวัฒนธรรม แนวความคิด ขนาดองค์กร

75 แนวทางการปฏิบัติงาน และเทคโนโลยี จะได้มีการปรับให้ สอดคล้องกันมากขึ้นตามลำดับ เพราะเรามีเป้าหมายเดียวกันคือ ความสามารถในการแข่งขันและความพึงพอใจของลูกค้าเรา นั่นเอง

76 THE MINOR GROUP

77 หากเอ่ยถึง “เดอะ ไมเนอร์ กรุ๊ป” คงต้องยกให้เป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร ที่เป็นเจ้าของร้านอาหารกว่า 700 แห่ง และโรงแรมกว่า 2,400 ห้อง นอกจากนี้ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแฟชั่นกว่า 20 แบรนด์

78 ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย วันนี้ไมเนอร์ กรุ๊ป
ยังได้ขยายธุรกิจหลักออกไปสู่ต่างประเทศด้วย ทั้งการลงทุนเองและซื้อกิจการใหม่ เพื่อขับดันธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็ว

79 Supply Chain Management
นายวิลเลียม อี. ไฮเนคกี้ “การทำธุรกิจโอกาสมีอยู่ทุกที่ แต่ต้องสร้างการแข่งขัน และหาโอกาสที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่มองว่า ทำอะไรก็ได้ เพราะมันไม่ง่ายอย่างที่คิด”

80 ก่อนจะเป็น เดอะ ไมเนอร์ กรุ๊ป
เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2520 จากการทำธุรกิจเทรดดิ้ง ขายอุตสาหกรรม หลังจาก นั้น นายวิลลเลียม อี. ไฮเนคกี้ ผู้ก่อตั้งและประธานของเดอะ ไมเนอร์ กรุ๊ป ได้ขยายเข้าสู่ธุรกิจฟาสต์ฟูดในปี 2551 เริ่มจากเชนร้านไอศครีมชื่อ ศาลา โฟร์โมสต์ มิสเตอร์โดนัท และพิซซ่า ฮัท พร้อมกับการผลิตสินค้าอุตสาหก กรมและการส่งออก และธุรกิจโรงแรม

81 แต่มาโด่งดังและประสบความสำเร็จสูงสุดจากการเปิดตัวแฟรนไชส์ ร้านพิซซ่า ฮัท แห่งแรกที่พัทยา เมื่อประมาณ ปีก่อน จากนั้นมากิจการ เติบโตอย่างรวดเร็วโดยสามารถขายเครือข่ายได้มากกว่า 100 แห่ง และ กลายเป็นที่รู้จักในวงกว่งเมื่อ ไทรคอน เรสเทอรองต์ อินเตอร์เนชั่นแนล เจ้าของแฟรนไชส์จากอเมริกาไม่ยอมต่อสัญญาแฟรนไชส์ จนเกิดเป็นคดี ความประวัติศาสตร์ขึ้น ในที่สุด

82 และสุดท้าย ไมเนอร์ กรุ๊ป เป็นผ่ายชนะคดี และกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้ง ใหญ่ ซึ่งหลังจากนั้น ไมเนอร์ กรุ๊ป ได้หันมาสร้างแบรนด์ของตัวเองภายใต้ชื่อ “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” และกลายเป็นแบรนด์ไทยที่สามารถเป็นผู้นำตลาด ได้ในเวลาอันรวดเร็ว นอกเหนือจาก เดอะ พิซซ่า คอมปะนี แล้ววันนี้ภายใต้ เดอะ ไมเนอร์ กรุ๊ป แล้วยังเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดแบรนด์ดัง เช่น แดรี่ควีน, ซิซซ์ เล่อร์, สเวนเซ่นส์, เบอร์เกอร์คิง ซึ่งเมื่อนับจำนวนร้านอาหารหรือช่องทางการ ขายในกลุ่มธุรกิจฟาสต์ฟูดทุกแบรนด์รวมกันแล้วมีมากกว่า 700 แห่ง

83 ในปัจจุบันธุรกิจอาหารถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่ทำรายได้ให้กับกลุ่ม มากกว่า 50% จากรายได้รวมทั้งกลุ่มซึ่งมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยไม เนอร์ กรุ๊ป ตั้งเป้าขยายจำนวนร้านอาหารให้ได้มากกว่า 1,200 แห่งทั่วโลก ภายในปี 2553 โดยจะใช้วิธีการเข้าซื้อกิจการ เป็นกลยุทธ์หลักในการเติบโต แบบก้าวกระโดด ภายใต้แนวคิด “เทกโอเวอร์ปีละ 2 กิจการและขายแฟรน ไชส์ทุกแบรนด์”

84 ด้านธุรกิจโรงแรมซึ่งดำเนินงานภายใต้ บมจ
ด้านธุรกิจโรงแรมซึ่งดำเนินงานภายใต้ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ณ วันนี้ถือหุ้นในโรงแรมเครือรีเจ้นท์ และแมริออท มีโรงแรมในสังกัดหลากหลายแบรนด์ เช่น โฟร์ซีซัน, อนันตรา, รอยัล การ์เด้น, แมริออท และในเครือไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล ทั้งในไทยและต่างประเทศ ล่าสุดได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทเอเลวาน่า แอฟริกาฯ “เอเลวาน่า” ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านแหล่งท่องเที่ยวเชิงซาฟารีในทวีปแอฟริกา และเป็นเจ้าของและบริหารที่พักหลายแห่ง

85 และก่อนหน้านั้นได้ประกาศเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Kempinski Hotel & Resort เพื่อต่อยอดธุรกิจโรงแรมออกไปยัง ภูมิภาคยุโรปและเอเชีย โดยวางแผนจะชูโรงแรมอนันตารา ซึ่ง เป็นแบรนด์ที่ไมเนอร์สร้างขึ้นเองเป็นตัวนำในการรุกตลาด ด้านธุรกิจโรงแรมนี้สามารถทำรายได้มากกว่า 30% และไม เนอร์ยังได้ขยายฐานเข้าไปในอินเดียและตะวันออกกลาง รวมทั้งมัลดีฟ อีกด้วย

86 การลงทุนในด้านอื่นๆ ไมเนอร์ กรุ๊ป ยังได้ลงทุนในโรงงานเสริมธุรกิจอาหาร คือลงทุนใน โรงงานผลิตชีส ที่ประกอบด้วย บจก.ไมเนอร์ แดรี่ฯ และบจก.ไมเนอร์ ชีสฯ เพื่อป้อนวัตถุดิบให้กับธุรกิจอาหารและส่งออกไปต่างประเทศด้วย ทำให้ สามารถควบคุมต้นทุนการผลิต ซึ่งนับเป็นแฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดรายแรกที่ ลงทุนสร้างโรงงานเพื่อต่อยอดธุรกิจให้ครบไลน์ และถือว่าโรงงานดังกล่าวถือ เป็นจุดแข็งของไมเนอร์ ในการขยายฐานด้านธุรกิจอาหาร

87

88 Food services

89 Hotel and Plaza Entertainmet

90 และสุดท้าย ไมเนอร์ กรุ๊ปยังทำธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค ภายใต้ชื่อ บมจ.ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งจัดเป็นบริษัทชั้นนำรายหนึ่งของวงการ โดยนำ สินค้าที่นำเข้ามาทำตลาดล้วนเป็นแบรนด์เนมมีชื่อ ด้านธุรกิจค้าปลีกสินค้า แฟชั่น จะมีแบรนด์ เอสปรี, บอสสินี, ทิมเบอร์แลนด์, ชาลร์ส แอนด์ คีท,กระ เป๋าทูมี่ ธุรกิจเครื่องสำอางค์ก็มีแบรนด์เรด เอิร์ธ, ลาเนจ, บลูม และ สแมชบ๊อกซ์ ธุรกิจหนังสือและสื่อการศึกษา ได้แก่ ไทม์ไลฟ์, เวิรล์ดบุ๊ค, อินเตอร์ แอคทีฟ ซาวน์บุ๊ค และคิดส์ ฟอร์ คิดส์ ธุรกิจการบิน ได้แก่ เซสน่า

91 นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจรับจ้างผลิต คือ โรงงานนวศรี แมนูแฟคเจอริ่ง ซึ่งมีลูกค้าหลัก 5 รายใหญ่ เช่น ยูนิลีเวอร์, เอส.ซี. จอห์นสัน แอนด์ ซัน, คอลเกต-ปาล์มโอลีฟและไลอ้อนเป็นโรงงานที่ได้รับรางวัลพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลกในด้านคุณภาพจากบริษัท เอส.ซี. จอห์นสัน แอนด์ ซันฯ ส่วนรายได้ของกลุ่ม ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่นนั้น มาจากธุรกิจค้าปลีกเป็นหลัก ได้แก่ เครื่องสำอางค์ สินค้าแฟชั่น คิดเป็น 52% ของรายได้, กลุ่มรับจ้างผลิต คิดเป็น 42% และอีก 6% เป็นธุรกิจอื่นๆ

92

93 สินค้าในกลุ่มไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น

94 สรุปเส้นทาง เดอะ ไมเนอร์ กรุ๊ป
2518 ตั้งมิสเตอร์โดนัท แฟรนไชส์ร้านอาหารจานด่วนแห่งแรกขึ้นในไทย 2522 เปิดและปิดมิสเตอร์โดนัทในมาเลเซีย 2523 เปิดพิซซ่า ฮัท แห่งแรกในพัทยา 2529 เปิดร้านไอศครีมสเวนเซ่นส์แห่งแรก 2532 เริ่มบริการส่งพิซซ่า ฮัท ถึงบ้าน

95 2533 นำบริษัท เดอะ พิซซ่า จำกัด จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
2534 เปิดภัตตาคารซิซซ์เลอร์แห่งแรก 2535 ตั้งโรงงานผลิตเนยเพื่อป้อนให้กับพิซซ่า ฮัท และเปิดโรงงานไอศกรีม เพื่อป้อนให้กับสเวนเซ่นส์ 2536 บริษัท เดอะ พิซซ่า จำกัด เปิดสาขาที่ 100 2537 เริ่มแนะนำบริการโทรศัพท์เบอร์เดียวสั่งพิซซ่าทั่วทุกแห่ง

96 2538 เปิดแดรี่ควีน แห่งแรก
2540 เปิดร้านอาหารสาขาที่ 200 ในนามบริษัท เดอะ พิซซ่า จำกัด (มหาชน) 2542 เปิดตัวชิคเก้น ทรีท และเบอร์เกอร์คิง เกิดกรณีพิพาทเรื่องสิทธิ์ในการขายพิซซ่า ฮัท กับไทรคอน และในปีเดียวกันนี้ ได้ประกาศสร้างพิซซ่าแบรนด์ใหม่ในชื่อของ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี 2544 ยุติข้อพิพาท และหันมาสร้างแบรนด์เดอะ พิซซ่า คอมปะนี อย่างมุ่งมั่น

97 ดังนั้นกล่าวได้ว่าวันนี้ เดอะ ไมเนอร์ กรุ๊ป สามารถสร้าง แบรนด์ตัวเองขึ้นมา จากดั้งเดิมที่ซื้อแฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดเข้ามา บริหารต่อมาก็กลายเป็น “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” และด้านธุรกิจ โรงแรมก็สร้างแบรนด์ “อนันตารา” ขึ้นและประสบความสำเร็จ ทั้งสองแบรนด์ของกลุ่ม ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และยังมี เป้าหมายจะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบใหญ่ในเอเชีย-แปซิฟิก เช่นเดียวกับกลุ่มองค์กรธุรกิจชั้นนำรายอื่นของไทย

98 SCM กับเดอะ ไมเนอร์ กรุ๊ป
ซัพพลายเชนเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความได้เปรียบในการ แข่งขันในโลกการค้ายุคใหม่ซึ่งด้วยศักยภาพของอินเทอร์เน็ตที่ เชื่อมโยงเครือข่ายหรือห่วงโซ่ซัพพลายเชนในรูปแบบของ e- Supply Chain เข้าเป็นทีมเดียวกันอยู่ภายใต้ระบบและ ฐานข้อมูลเดียวกันแบบเรียลไทม์ (Real Time) สามารถทำงาน ร่วมกันได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ความใหญ่เล็กขององค์กรจะไม่เป็น ปัญหาในการแข่งขันทางการค้า

99 โดยระบบที่ เดอะ ไมเนอร์ กรุ๊ป นำมาใช้ในการจัดการซัพ พลายเชน จะประกอบไปด้วยระบบหลักๆ 4 อย่างคือ
ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ระบบ POS (Point of Sale) ระบบ Barcode ระบบ CRM (Customer Relationship Management)

100 ระบบ ERP เป็นเทคโนโลยีบริหารกระบวนการธุรกิจโดยเฉพาะการ เชื่อมโยง SCM โดยเน้นการบูรณาการกระบวนการหลักของ ธุรกิจเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกรรมประจำวัน และยัง สนับสนุนกระบวนการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ด้วยการใช้ สารสนเทศระหว่างพนักงานขายและฝ่ายปฏิบัติงาน ซึ่ง สารสนเทศหลักประกอบด้วย ประวัติการขาย การจัดส่ง สถานะ คำสั่งซื้อ เป็นต้น โดยสารสนเทศดังกล่าวจะช่วยให้ระบบ CRM สามารถคาดการณ์ความต้องการลูกค้าและการวางแผนกิจกรรม

101 ส่งเสริมการขายซึ่งระบบ ERP ที่ไมเนอร์ กรุ๊ป เลือกนำมาใช้คือ โปรแกรม Oralcle ซึ่งเป็นโปรแกรมที่รวบรวมงานหลักต่างๆ ได้แก่ การจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชี และการ บริหารงานบุคคล เข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงกัน อย่าง Real-Time ผ่านการเชื่อมต่อกับเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)

102 Business Stretegy & Process Business Intelligence
Business Value Business Stretegy & Process Business Services Knowledge Management Suppliers Customer SCM ERP CRM Business Intelligence Enablement Services Web & IT Integration Technology Value

103 ระบบ POS และระบบ Barcode

104 โดยสินค้านั้นจะใช้ Barcode เพื่อเก็บข้อมูลรายละเอียด สินค้า เพราะจะทำให้บริษัททราบถึงข้อมูลรายละเอียดสินค้าผ่าน รหัสใน Barcode

105 เซิร์ฟเวอร์ที่สำนักงานใหญ่
สาขาต่างๆ เซิร์ฟเวอร์ที่สำนักงานใหญ่ Vendor Vender รายย่อย ศูนย์กระจายสินค้า

106 ศูนย์กระจายสินค้าของไมเนอร์จะมี 2 แบบ คือ
(1) เป็นของไมเนอร์เอง (2) ใช้บริการศูนย์กระจายสินค้าของ subcontract เพื่อ สะดวกแก่การขนส่งสินค้าไปยังสาขาทั่วประเทศ โดยส่วนการจัดการด้านโลจิสติกส์และการจัดการสินค้า คงเหลือที่ไมเนอร์ กรุ๊ป ได้จ้าง subcontract เป็นผู้ดูแล ได้ ครอบคลุมถึงการควบคุมและคำนวณปริมาณการสั่งซื้อและการ จัดเก็บให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมอีกด้วย

107 นอกจากนั้นศูนย์กระจายสินค้าจะจัดเตรียมสินค้าส่งไปยัง สาขาที่สั่งออเดอร์ ซึ่งปัญหาของการจัดการสินค้าคงเหลือและ วัตถุดิบของไมเนอร์ที่กำลังประสบอยู่ขณะนี้คือ ทุกเดือนไมเนอร์ จะมีการจัดโปรโมชั่นต่างๆ ทำให้ไมเนอร์ต้องมีการคำนวณสินค้า คงเหลือเพื่อให้สอดคล้องและสามารถรองรับกับยอดขายที่อาจจะ เกิดขึ้นจากการทำโปรโมชั่นดังกล่าว เช่น ร้านไอศครีมสเวนเซ่นส์ มี 15 รสชาติ มีอยู่ 2 รสชาติที่ต้องเปลี่ยนทุกเดือน และต้อง ปรับสต๊อกสินค้าตามโปรโมชั่นของแต่ละแบรนด์

108 เช่น โปรโมชั่นไอศกรีมผสมมะม่วงอกร่องทอง มะม่วงที่ผลิต มาลอตท้ายจะบริหารอย่างไรเพื่อไม่ให้ค้างเหลืออยู่ที่คลัง ทำให้ บริษัทต้องพิจารณาว่าจะต้องสั่งวัตถุดิบเท่าไหร่ ถึงจะป้องกัน ความเสี่ยงดังกล่าวได้ โดยในเบื้องต้นบริษัทได้นำ KPI มาวัด เพื่อสร้างมาตรฐาน เหล่านี้จึงทำให้ต้นทุนในซัพพลายเชน ลักษณะนี้สูง เพราะต้องควบคุมตั้งแต่การส่งผ่านข้อมูลต่างๆ, ต้นทุนในการปฏิบัติ, การคาดการณ์ล่วงหน้า, ช่วง lead time จากกระบวนการเริ่มต้นจนถึงการส่งมอบสินค้ายาวเกินไปหรือไม่

109 การสั่งซื้อผิดพลาดทำให้ต้องเก็บสต๊อกไว้มากเกินไปและจะทำ อย่างไรให้เกิดความสัมพันธ์กันมากที่สุด ระหว่างผู้ผลิตจนถึง ปลายทาง

110 ระบบ CRM เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่งที่องค์กรนำมาใช้เพื่อ บริหารความสัมพันธ์ของลูกค้ากับองค์กรตลอดวงจรชีวิตการเป็น ลูกค้า ได้แก่ การตลาด การขาย การให้บริการ และการสนับสนุน โดยใช้ทรัพยากรด้านสารสนเทศ กระบวนการ เทคโนโลยี และ บุคลากร โดยเน้นการสร้างประสานสัมพันธ์กับลูกค้า หรือ demain chain management ผ่านการจัดโปรแกรม เพื่อจูงใจลูกค้า เช่น การสะสมคะแนน การให้บริการตอบคำถาม (call center) การให้สิทธิประโยชน์ หรือส่วนลดต่างๆ เป็น ต้น

111 โดยจากเป้าหมายที่ต้องการให้ลูกค้าที่มาซื้อสินค้าและมาใช้ บริการได้รับความสะดวก รวดเร็ว และได้รับความพึงพอใจใน การใช้บริการมากที่สุดทำให้บริษัทได้ขยายสาขาของร้านค้าเพ่อ ให้ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้ามากที่สุด รวมถึงการจัดตกแต่งร้าน ในสาขาต่างๆ ที่แตกต่างกันตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละ พื้นที่ เช่น ถ้าเป็นสาขาที่อยู่ในเขตกรุงเทพ บริษัทจะตกแต่งให้ดู หรูหราและทันสมัยมากกว่าร้านที่อยู่ตามต่างจังหวัดเพราะถ้าใน ต่างจังหวัดมีการตกแต่งร้านให้หรูหราเกินไปจะทำให้ลูกค้าไม่ กล้าเข้ามาใช้บริการ เป็นต้น

112 ในส่วนของทำเลที่ตั้งส่วนใหญ่จะอยู่ในศูนย์การค้าและแหล่ง ธุรกิจต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าสะดวกแก่การมาใช้บริการ รวมถึงมีการ ให้บริการจัดส่งถึงบ้าน (Delivery) โดยผ่านเบอร์ เบอร์เดียวได้ทั้งพิซซ่าและไอศครีมสเวนเซ่นส์ ซึ่งเมื่อพนักงาน รับโทรศัพท์ เขาจะถามเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าเพื่อนำเบอร์ โทรศัพท์นั้นมาเป็น ID Number ของท่าน และเมื่อเขาคีย์ เบอร์โทรศัพท์ลงไป ข้อมูลต่างๆ และประวัติการสั่งซื้อของลูกค้า ก็จะปรากฏบนจอและเขาก็สามารถจะเสนอขายหรือรับ Order ของลูกค้าได้ ทั้งนี้ประวัติล่าสุดที่ท่านสั่งมีอะไรบ้าง

113 พนักงานก็จะบอกลูกค้าได้ เผื่อลูกค้าจะสั่งแบบเดิม และเมื่อ ลูกค้าสั่งเสร็จ พนักงานก็จะทำการ cross-sell สินค้าใน บริษัทให้ลูกค้าทราบทันที เช่น ขณะนี้เรามีไอศครีมสเวนเซ่นส์ กำลังลดราคา หากสั่งพร้อมพิซซ่านี้ จะได้ส่วนลด 30 บาท ทันที เป็นต้น ส่วนของการให้บริการในร้านไมเนอร์ได้นำ PDA มาใช้ใน การจดบันทึกรายการอาหารที่ลูกค้าสั่ง ทำให้บริษัทสามารถนำ ข้อมูลที่ได้มาจัดอันดับอาหารที่ลูกค้าสั่งบ่อยๆ เพื่อจัดสต๊อกสิน ค้าให้พอกับความต้องการของลูกค้า

114 เครือข่ายคอมพิวเตอร์
ซัพพลายเออร์ องค์กร ลูกค้า EDI แลกเปลี่ยนข้อมูล เครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต EDI แลกเปลี่ยนข้อมูล การดำเนินการ ส่วนหลัง การดำเนินการ ส่วนหน้า ซัพพลายเชน SCM Supply Chain Management การสร้างความสัมพันธ์ CRM Customer Relation Management

115 การจัดการห่วงโซ่อุปทานเป็นกระบวนการจัดซื้อวัตถุดิบ การ ผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปจนกระทั่งส่งสินค้าจนถึงผู้บริโภค ทุก กระบวนการของระบบงานที่ทำต่อเนื่องกันและมีประสิทธิภาพ สูงสุดซึ่งเป็นการทำงานระหว่างองค์การที่เน้นกิจกรรมหลักๆ ที่ ทำให้ลูกค้าพึงพอใจสูงสุด โดยการบริหารกระบวนการ SCM ให้ ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนและ ความร่วมมือกันของทุกฝ่าย

116 Q & A


ดาวน์โหลด ppt Supply Chain Management

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google