ดาวน์โหลดงานนำเสนอ
งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ
1
ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดจาก การกระทำของผู้อื่น
โดย ผศ.ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2
ความรับผิดในการกระทำของบุคคลอื่น (Vicarious Liability)
หลักการของกฎหมายที่คุ้มครองผู้เสียหายให้ได้รับการชดเชยตามความเป็นจริง เนื่องจากการละเมิดมักเกิดจากการกระทำของบุคคลที่มีสถานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าผู้ต้องร่วมรับ ผิด ผู้กระทำละเมิดจึงมักมีความสามารถในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนน้อยกว่า ผู้เสียหายเสี่ยงไม่ได้ สินไหม กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้มีความสามารถทางเศรษฐกิจสูงกว่าเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบจ่ายค่าสินไหม ทดแทนแก่ผู้เสียหายไปก่อน เป็นการกำหนดความรับผิดที่บุคคลมิได้เป็นผู้ก่อความเสียหายเองแต่อย่างใด เป็นความรับผิดโดยไม่มีความผิด (Liability without Fault หรือ Strict Liability) แล้วผู้ร่วมรับผิดนั้นค่อยไปไล่เบี้ยเอาจากผู้กระทำละเมิดในภายหลังจากตนชดใช้สินไหมได้
3
ความรับผิดเพื่อละเมิดอันเกิดจากการกระทำของผู้อื่น
ประมวลแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดความรับผิดจากการกระทำของผู้อื่นดังนี้ ความรับผิดของนายจ้าง ตามมาตรา 425 ความรับผิดของตัวการ ตามมาตรา 427 ความรับผิดของบิดามารดาและผู้อนุบาล ตามมาตรา 429 ความรับผิดของครูบาอาจารย์นายจ้างและผู้ซึ่งรับดูแลผู้ไร้ความสามารถ มาตรา 430 *แต่ความรับผิดของผู้ว่าจ้างตามมาตรา 428 เป็นความรับผิดจากความเสียหายที่เกิดจาก ความบกพร่องของตน (การกระทำโดยตนเอง)
4
ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่น
มาตรา ผู้รับผิดซึ่งมิได้กระทำละเมิด ร่วมรับผิด ผู้ทำละเมิด 425 นายจ้าง ==> ลูกจ้าง 427 ตัวการ ตัวแทน 429 บิดามารดา / ผู้อนุบาล ผู้เยาว์ / ผู้วิกลจริต 430 ครูบาอาจารย์ / นายจ้าง / ผู้ดูแล บุคคลไร้ความสามารถ
5
การร่วมรับผิดของนายจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน
มาตรา 425 นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่ง ลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น องค์ประกอบสำคัญของมาตรา 425 1) ลูกจ้างทำละเมิดต่อผู้อื่น 2) มีความสัมพันธ์ในฐานะ นายจ้าง กับ ลูกจ้าง ขณะทำละเมิด 3) เป็นการกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง
6
มาตรา 427 ความรับผิดของตัวการในการกระทำของตัวแทน
มาตรา 427 ความรับผิดของตัวการในการกระทำของตัวแทน ม. 427 “บทบัญญัติในมาตราทั้งสองก่อนนั้น ท่านให้ใช้บังคับแก่ตัวการและ ตัวแทนด้วยโดยอนุโลม” หลักสำคัญของมาตรา 427 1) ตัวแทนทำละเมิดต่อผู้อื่น 2) เป็นตัวการ – ตัวแทนขณะทำละเมิด 3) กระทำละเมิดในกิจการของตัวการ ตัวการต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดซึ่งตัวแทนได้กระทำไปในทางการที่ทำแทน ตัวแทน คือ บุคคลที่มีอำนาจทำการแทนตัวการตามที่ตัวการมอบหมาย อาจจะโดยตรง โดยปริยาย หรือ เป็นตัวแทนเชิด หรือโดยการให้สัตยาบัน ก็ได้
7
บทบัญญัติเกี่ยวกับ ตัวแทน
มาตรา 821 บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วยอมให้บุคคลอีกคน หนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้น จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้ สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน มาตรา 822 ถ้าตัวแทนทำการอันใดเกินอำนาจตัวแทน แต่ทางปฏิบัติของตัวการ ทำให้บุคคลภายนอกมี มูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทนไซร้ ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตราก่อน นี้เป็นบทบังคับ แล้วแต่กรณี มาตรา 823 ถ้าตัวแทนกระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำนาจก็ดี หรือ ทำนอกทำเหนือขอบอำนาจ ก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการ เว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่า ตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่า ตนทำการโดยปราศจากอำนาจ หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ แต่ประมวลแพ่งและพาณิชย์ไทยได้บัญญัติ ม.427 ไว้โดยมิอาจสืบย้อนที่มาจากประมวลกฎหมาย ประเทศอื่นได้ จึงมีข้อสงสัยว่าหมายถึง ตัวแทน ในกรณีใดบ้าง
8
ข้อสังเกตของการปรับใช้มาตรา 427
ความรับผิดของตัวการในผลแห่งละเมิดที่ตัวแทนกระทำไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427 นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ตัวการตั้งตัวแทนให้ไปทำการติดต่อหรือมีความสัมพันธ์กับบุคคลที่ 3 โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นตัวการร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทน เมื่อโจทก์นำสืบ ไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกถ่านของจำเลยที่2 ได้ทำการติดต่อหรือมีความสัมพันธ์กับบุคคล ที่ 3 อันจะเข้าลักษณะเป็นตัวแทนแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วม รับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการตัวแทนตามที่โจทก์ฟ้อง (ฎีกาที่ 619/2507) มาตรา 427 ใช้กับตัวแทนโดยปริยาย รวมถึงตัวแทนเชิดด้วย การใช้ให้ขับรถไปทำกิจการผู้ใช้ ถือว่าผู้ถูกใช้เป็นตัวแทนโดยปริยาย เมื่อถูกใช้ขับไปชนผู้อื่น ผู้ใช้ต้องรับผิด ตามมาตรา 427 (ฎีกาที่ 260/2535, 1133/2516 (ป), 2977/2523)
9
ความเปลี่ยนแปลงของคำพิพากษาศาลฎีกาในการตีความมาตรา 427
กรณีตัวแทนโดยปริยาย แนวคำพิพากษาฎีกาเดิม ศาลเคยมองว่าการใช้หรือวานให้ทำในกิจการของผู้ใช้ ไม่ใช่ตัวแทน เพราะต้องมีนิติสัมพันธ์มอบอำนาจใช้ให้ไปทำกิจการกับบุคคลที่สาม แต่ต่อมาศาลเปลี่ยน แนวคำวินิจฉัยว่าเป็นตัวแทน เช่น ตัวการขับเรือไม่เป็นจึงได้ใช้ให้ตัวแทนขับเรือ โดยตัวการนั่งไปด้วยถือว่าเป็นตัวแทนโดยปริยาย (ฎีกาที่ 2385/2518) ตัวการได้ใช้ให้ตัวแทนขับรถยนต์ไปทำธุรกิจ โดยตัวการนั่งไปด้วยถือว่าเป็นตัวแทนโดยปริยาย (ฎีกาที่ 981/2532) กรณีที่บริษัทหรือสหกรณ์รถแท็กซี่ยอมให้ คนขับรถรถแท็กซี่ออกวิ่งรับขนคนโดยสารในนามของบริษัทหรือ สหกรณ์รถแท็กซี่ ทำละเมิดถือว่าคนขับรถรถแท็กซี่เป็นตัวแทนโดยปริยาย(ฎีกาที่3983/2533)
10
คำพิพากษาศาลฎีกาในการตีความมาตรา 427
คำพิพากษาฎีกาทั้ง 3 เรื่องข้างต้นเป็นการใช้ให้ผู้อื่นขับรถยนต์ไปในกิจการ หรือเพื่อ ประโยชน์ของผู้ใช้ จะถือได้ว่า ผู้ถูกใช้ให้ขับรถยนต์เป็นตัวแทนผู้ใช้ ต่างจากกรณีการใช้ให้ผู้อื่นยืมรถยนต์ไปใช้ในกิจการหรือเพื่อประโยชน์ของผู้ยืม ผู้ยืมจึงไม่ใช่ ตัวแทนของผู้ให้ยืม เมื่อยืมรถไปชนผู้อื่น ผู้ให้ยืมไม่ต้องรับผิดด้วย (ฎีกาที่ /2541) การใช้ให้ผู้อื่นขับรถหรือเรือ โดยผู้ใช้นั่งไปด้วย ถือว่าผู้ถูกใช้เป็นตัวแทนโดยปริยาย (ฎีกา ที่ 1627/2544, 3147/2532)
11
ความรับผิดของบิดามารดาและผู้อนุบาล ต่อ ผู้เยาว์และผู้วิกลจริต
มาตรา 429 “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำ ละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตน ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น” กฎหมายกำหนดให้บิดามารดาหรือผู้อนุบาลต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ผู้เยาว์หรือคนไร้ ความสามารถได้กระทำลงไป ในกรณีผู้เยาว์ บุคคลที่ต้องรับผิดเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดูอำนาจปกครองเป็นหลัก แม้บิดา มารดาไม่อยู่ ก็ต้องรับผิด รวมถึงบิดามารดาของบุตรบุญธรรมด้วย กรณีคนไร้ความสามารถ (คนวิกลจริตที่ศาลสั่ง) บุคคลที่ต้องรับผิดเป็นผู้อนุบาล แต่ถ้าเป็นคนวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หากเป็นผู้เยาว์ บุคคลที่ต้องรับผิดเป็น บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ถ้าบรรลุนิติภาวะแล้วต้องพิจารณาว่าเป็นผู้อนุบาลตามข้อเท็จจริง ตามมาตรา 29 คือบุคคลซึ่งดูแลคนวิกลจริตนั้น
12
ความรับผิดของบิดามารดาและผู้อนุบาล ต่อ ผู้เยาว์และผู้วิกลจริต
กรณีคนเสมือนไร้ความสามารถ ไม่เข้ามาตรา429 เพราะไม่ได้วิกลจริต บิดามารดาหรือผู้อนุบาลจะไม่ต้องร่วมรับผิด หากพิสูจน์หักล้างโดยพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความ ระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น คำว่า ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล หมายถึง ถ้าสามารถป้องกันความ เสียหายได้ต้องป้องกัน มิฉะนั้นเป็นการไม่ได้ความระมัดระวังตามสมควร เช่น ลูกแอบเอารถไปขับชนคน ถือว่าไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง(ฎีกาที่ 149/2526) ลูกเล่นปืนแค่ว่ากล่าวตักเตือน ไม่ได้เก็บให้ดี ถือว่าไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง(ฎีกาที่ 974/2508)
13
คำพิพากษาเกี่ยวกับความรับผิดของบิดามารดาและผู้อนุบาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10239/2546 ขณะเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 2 จดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แล้ว โดยมีข้อตกลงกันว่าให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจปกครองเพื่อจัดการดูแลบุตรผู้เยาว์ตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป การที่จำเลยที่ 3 ไปกระทำละเมิดต่อผู้อื่น จะนำ ป.พ.พ. มาตรา 429 มาปรับใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ ไม่ได้ หลังจากจดทะเบียนหย่าแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 แม้จำเลยที่ 2 ยังมี ชื่อในทะเบียนบ้านร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 และภายหลังเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้ไปเจรจาค่าเสียหายกับ โจทก์หรือไปดูแลจำเลยที่ 3 เป็นครั้งคราว พฤติการณ์เหล่านี้ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับดูแลจำเลย ที่ 3 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 430 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 3
14
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ถือว่าไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ถือว่าไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2535 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานละเมิดเพราะจำเลยที่ 2 ได้ขับรถของ โจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้รถของโจทก์พลิกคว่ำเสียหาย จำเลยที่ 2 มีความประพฤติไม่เรียบร้อย ขาดการ อบรมดูแลที่ดี จำเลยที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 2 ไม่ดูแลเอาใจใส่ ไม่ห้ามปรามในการเที่ยว เตร่จนดึกดื่น แม้แต่คืนเกิดเหตุก็ยังปล่อยให้ไปเที่ยวดื่มสุราในยามดึกและพาผู้หญิงไปนอนค้างที่โรงแรม แม้ เหตุละเมิดเกิดจากการขับรถโดยประมาทมิได้เกิดจากความประพฤติด้านอื่นของจำเลยที่ 2 อันจำเลยที่ 3 ที่ 4 จะต้องระมัดระวังดูแลก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 3 ที่ 4 ไม่เอาใจใส่ดูแลความประพฤติด้านอื่นของจำเลยที่ 2 ก็ แสดงว่าไม่เอาใจใส่ดูแลว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่นั้นจะไปขับรถโดยประมาทอันเป็นความ ประพฤติอย่างหนึ่งหรือไม่ จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดของจำเลยที่ 2 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2548 โจทก์เป็นบิดาของ ป. โจทก์ยอมให้ ป. ซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อายุ 16 ปี และ ยังไม่มีใบอนุญาตขับรถ ขับรถยนต์ซึ่งเป็นยานพาหนะออกไปตามถนนสาธารณะ เป็นการเสี่ยงที่จะเกิด อุบัติเหตุได้ง่าย ถือว่าโจทก์มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลบุตรผู้เยาว์ โจทก์จึงต้องร่วมกับ ป. รับผิดในผลที่ ป. ทำละเมิดต่อจำเลยด้วย
15
ฎีกาที่ถือว่าได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2540 จำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ใช้ไม้เป็นอาวุธทำร้ายร่างกายโจทก์ถูกที่บริเวณตาขวา เป็น เหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 1 มีอายุ 14 ปีเศษ มีความรู้ผิดชอบพอสมควร เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีนิสัยเกเรชอบรังแกผู้อื่นมาก่อน ย่อมเป็นการยากที่จะให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาใช้ความระมัดระวัง ควบคุมดูแลจำเลยที่ 1 ตลอดเวลา ทั้งตามพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ใช้ไม้ขว้างทำร้ายร่างกายโจทก์เป็นการกระทำลับ หลังจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่อาจคาดคิดหรือควรคิดได้ว่าจำเลยที่ 1 จะกระทำเช่นนั้น ต่อโจทก์จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีโอกาสปฏิบัติเป็นอย่างอื่นได้ดีกว่านี้แล้ว ถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ใช้ความ ระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8138/2555 ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มีอายุ 19 ปีเศษ ใกล้บรรลุนิติภาวะ แม้จะยังเป็น ผู้เยาว์และต้องอยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาตามกฎหมายก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ก็ทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองไม่เป็นภาระแก่บิดามารดา การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ขับ รถจักรยานยนต์ก็เนื่องมาจากต้องใช้เป็นพาหนะในการเดินทางไปทำงาน ทั้งจำเลยที่ 1 ได้รับใบอนุญาตขับ รถจักรยานยนต์ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีวุฒิภาวะพอสมควรที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะไว้วางใจจำเลยที่ 1 ใน การดำรงชีวิตในสังคมที่จะไม่ก่อความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้อื่น นอกจากนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยขับ รถจักรยานยนต์ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น หรือเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนอยู่เสมอ อันจะทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ควรต้องทักท้วงหรือห้ามปรามมิให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์อีกจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ เช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ใช้ความระมัดระวังดูแลจำเลยที่ 1 ตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นแล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์
16
การร่วมรับผิดของนายจ้างที่ควบคุมบุคคลผู้ไร้ความสามารถ
มาตรา 430 “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่น ซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วครั้งคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ใน ความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร” หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อละเมิดของผู้มีหน้าที่รับดูแล 1) เป็นผู้ดูแลผู้ไร้ความสามารถ 2) ผู้ไร้ความสามารถกระทำละเมิด 3) ผู้ดูแลมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลผู้มีหน้าที่ดูแลควบคุม (บุคคลที่ต้องรับผิดตามมาตรา 430) 1) ครูบาอาจารย์ นายจ้าง ผู้ควบคุมผู้ไร้ความสามารถหรือ 2) หมายถึงผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถที่ศาลจะสั่งหรือไม่ก็ได้
17
การปรับใช้มาตรา 430 ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วครั้งคราวก็ดี ผู้มีหน้าที่ดูแลจะต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด ซึ่ง เขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ใน ความดูแลของตนก็ต่อเมื่อผู้เสียหาย พิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถ ต้องมีหน้าที่ดูแล ดังนั้นครูสอน พิเศษหรืออาจารย์ที่ไม่มีหน้าที่ดูแลโดยตรงจึงไม่ต้องรับผิด มีผลต่อการคิดคำนวณความเสี่ยง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12979/2558 เจ้าพนักงานตำรวจนำตัวผู้เยาว์ส่งสถานพินิจฯ เป็นหน้าที่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดไว้ไม่มีเจตนารับดูแลผู้เยาว์ เมื่อผู้เยาว์หลบหนีไปทำ ละเมิด เจ้าพนักงานตำรวจไม่ต้องรับผิดเพราะไม่อยู่ในบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 430 ส่วนสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ ไม่ต้องรับผิดเพราะเป็นเพียงความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้ ทำละเมิดโดยตรงที่หน่วยงานของรัฐจะต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง
18
ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์นั้นมีหน้าที่ดูแลนักเรียนผู้เยาว์ด้วย หากนักเรียนผู้เยาว์ไปทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหาย กับผู้ใดในระหว่างอยู่ในความดูแลของครูบาอาจารย์และปรากฏว่าครูบาอาจารย์นั้นมิได้ใช้ความระมัดระวัง ตามสมควร ครูบาอาจารย์นั้นย่อมต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 356/2511 เช้าวันเกิดเหตุ ครูได้เก็บเอาไม้กระบอกพลุที่เด็กนักเรียนเล่นมาทำลาย และห้ามไม่ให้เล่นต่อไปตอนหยุดพักกลางวันนักเรียนคนหนึ่งได้เล่นกระบอกพลุที่นอกห้องเรียนไปโดน นัยน์ตานักเรียนอีกคนหนึ่งบอดพฤติการณ์เช่นนี้ครูได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วเหตุที่เกิดละเมิด เป็นการนอกเหนืออำนาจและวิสัยที่ครูจะดูแลให้ปลอดภัยได้ครูจึงไม่ต้องรับผิด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1488/2515 จำเลยที่ 3 ครูใหญ่ ได้ให้ อ. ครูรองคอยควบคุมดูแลนักเรียนซึ่ง รวมทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ได้เล่นบันไดโหนอย่างผาดโผน อ.เห็นก็ห้ามปรามจำเลยที่ 1 พอขาดคำบันไดก็ล้มทับโจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้น (เรื่องนี้ฟ้องครูใหญ่ ไม่ได้ฟ้องครูรอง)
19
ผู้รับดูแล ผู้รับดูแล คือ ต้องมีความใกล้ชิดดูแลอบรมสั่งสอนผู้เยาว์ด้วย บิดานอกกฎหมายก็ถือเป็นผู้ดูแล ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ถ้าได้ดูแล ผู้เยาว์อยู่ก็ถือว่าเป็นผู้ดูแลเช่นกัน ดังนั้น หากผู้เยาว์ไปทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ใดในระหว่างอยู่ในความดูแลของผู้รับดูแล และปรากฏว่าผู้รับดูแลนั้นมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร ผู้รับดูแลนั้นย่อมต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2076/2518 หลานอายุ 13 ปีมาพักเรียนหนังสืออยู่กับตายายๆ เป็นผู้ดูแลต้องรับผิดฐานละเมิดร่วมกับ หลานตาม มาตรา 430 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3744/2537 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์เป็นบุตรของจำเลยร่วมและเป็นน้องชายของจำเลยที่ 2 จำเลยร่วม ต้องย้ายภูมิลำเนาไปประกอบอาชีพในที่ต่าง ๆ หลายแห่งบ่อย ๆ จึงได้ส่งจำเลยที่ 1 ไปอยู่กับจำเลยที่ 2 เพื่อให้เรียนหนังสือตั้งแต่จำเลยที่ 1 ยังมีอายุประมาณ10 ปี ตลอดมาเป็นเวลา 8-9 ปีแล้ว จำเลยร่วมส่งเสียให้เล่าเรียนโดยให้เบิกเงินจากจำเลยที่ 2 ทั้งหลังเกิดเหตุเมื่อมี การตกลงชดใช้ค่าเสียหายที่สถานีตำรวจก็ได้ระบุในข้อตกลงว่า จำเลยที่ 2เป็นผู้ปกครองของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ อยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์โดยจำเลยที่ 2 ไม่ใช้ความระมัดระวังดูแลจำเลยที่ 1 ตามสมควรจึง ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 430 โดยจำเลยที่ 2 หาจำต้องเป็น ผู้ปกครองของจำเลยที่ 1 ตามกฎหมายไม่
20
ถ้าไม่ใช่ผู้รับดูแลก็ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2535 จำเลยที่ 2 เป็นเพียงเจ้าของหอพักที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์เช่าอยู่ และเป็น ผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปเพื่อกิจธุระของตนเท่านั้นถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลผู้รับดูแลจำเลย ที่ 1 ไว้ และจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 430 เพราะ เจ้าของหอพักมีหน้าที่เพียงดำเนินกิจการหอพักและควบคุมการเข้าพักในหอพักเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10239/2546 ขณะเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 2 จดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แล้ว โดยมี ข้อตกลงกันว่าให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 2 จึงไม่มี อำนาจปกครองเพื่อจัดการดูแลบุตรผู้เยาว์ตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป การที่จำเลยที่ 3 ไปกระทำละเมิดต่อผู้อื่น จะนำ ป.พ.พ. มาตรา 429 มาปรับใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ ไม่ได้ หลังจากจดทะเบียนหย่าแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 แม้จำเลยที่ 2 ยังมีชื่อในทะเบียน บ้านร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 และภายหลังเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้ไปเจรจาค่าเสียหายกับโจทก์หรือไปดูแลจำเลยที่ 3 เป็นครั้งคราว พฤติการณ์เหล่านี้ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับดูแลจำเลยที่ 3 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 430 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 3
21
ข้อสังเกตเกี่ยวกับภาระการพิสูจน์
ความรับผิดของนายจ้างตามม.430ไม่จำเป็นต้องเป็นการกระทำละเมิดในทางการที่จ้างเหมือนดัง ม.425 แต่การกระทำละเมิดจะเกิดเวลาใดก็ได้ ตราบใดที่ลูกจ้างผู้เยาว์/ผู้วิกลจริต ยังอยู่ในความดูแลของนายจ้าง หากไปทำละเมิดแล้วนายจ้างก็ต้องรับผิดด้วย หากลูกจ้างผู้ไร้ความสามารถยังอยู่ในความดูแลของนายจ้างแล้วการทำละเมิดเกิดขึ้นในทางการที่จ้าง กรณีนี้นายจ้างก็ต้องรับผิดทั้งตามมาตรา 425 และมาตรา 430 (ทนายโจทก์เลือกวิธีพิสูจน์ที่ง่ายแก่ตนกว่า) 425ผู้เสียหายนำสืบ“ในทางการที่จ้าง” 430 พิสูจน์ว่านายจ้างไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ เกี่ยวกับความรับผิดของบุคคลตามบทบัญญัติตามมาตรา 429 กับมาตรา 430 นั้น แตกต่างกัน มาตรา 429 เป็นหน้าที่ของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลต้องพิสูจน์ได้ว่า ตนได้ใช้ความระมัดระวังตามควรแก่ หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่พ้นความผิด มาตรา 430 เป็นหน้าที่ผู้เสียหายจะต้องพิสูจน์ว่าผู้ดูแลผู้ไร้ความสามารถไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตาม สมควร ผู้มีหน้าที่ควบคุมจึงต้องรับผิด
22
การไล่เบี้ย มาตรา 431 “ ในกรณีที่กล่าวมาในสองมาตราก่อนนั้น ท่านให้นำบทบัญญัติแห่ง มาตรา 426 มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม” กรณีที่บิดามารดา ผู้อนุบาล (มาตรา 429) หรือครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลผู้รับดูแล (มาตรา 430) ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายไปแล้ว มาตรา 431 นี้เปิดโอกาสให้บุคคล เหล่านั้นใช้สิทธิไล่เบี้ยบุคคลผู้ไร้ความสามารถ ซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดนั้นได้ ในทำนองเดียวกับที่นายจ้างไล่ เบี้ยลูกจ้างได้นั่นเอง
23
สิทธิในการไล่เบี้ยของผู้ร่วมรับผิด
มาตรา 426 “นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ ทำนั้น ชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น” การที่นายจ้างจะไล่เบี้ยเอาจากลูกจ้างได้นั้น คงไล่เบี้ยได้เฉพาะค่าสินไหมทดแทนที่นายจ้างต้องรับ ผิดใช้ให้แก่ผู้เสียหายจากผลที่ลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง แต่ถ้าเป็นค่าเสียหายอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่ผล โดยตรงจากการกระทำละเมิด นายจ้างจะไล่เบี้ยไม่ได้ เช่น ค่าฤชาธรรมเนียมในการขึ้นศาล ค่าทนายความ ต่อสู้คดีของนายจ้าง ฯลฯ ข้อสังเกต ผู้ร่วมรับผิดมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ตนได้ใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายไป จะเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันผิด นัดคือวันละเมิดไม่ได้ สิทธิไล่เบี้ยจากลูกจ้างตามมาตรา 426 นั้นนายจ้างต้องได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกไป แล้ว หากนายจ้างยังไม่ใช้สินไหมก็ยังไม่มีสิทธิไล่เบี้ยจากลูกจ้าง (ฎีกาที่ 3373/2545)
24
ผู้ร่วมรับผิดสิทธิในการไล่เบี้ยจากผู้กระทำละเมิด
ผู้ร่วมรับผิดที่กล่าวถึงไปไม่ใช่ผู้ร่วมก่อความเสียหาย กฎหมายจึงไม่ได้บัญญัติให้บุคคลเหล่านี้ต้องรับผิด อย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา296 ที่ให้รับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน ดังนั้นเมื่อบุคคลเหล่านั้นจ่ายค่าสินไหมทดแทน ไปเท่าไหร่ก็สามารถไล่เบี้ยคืนจากผู้ทำละเมิดได้เท่านั้น ผู้ร่วมรับผิดไล่เบี้ยได้เฉพาะค่าสินไหมทดแทนที่ใช้แก่ผู้เสียหายไปแล้ว รวมถึงดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดจนถึง วันที่ผู้ร่วมรับผิดได้ชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายมิใช่ค่าสินไหมทดแทนจึงไล่เบี้ยไม่ได้ แต่ถ้าศาลพิพากษาให้ผู้ร่วมรับผิดต้องร่วม จ่ายค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนาย ผู้ร่วมรับผิดมีสิทธิไล่เบี้ยผู้ทำละเมิดได้เพียงครึ่งเดียว ในกรณีที่ผู้ร่วมรับผิดทวงถามแล้วผู้ทำละเมิดไม่ยอมชำระถือว่าผู้ทำละเมิดผิดนัด ผู้ร่วมรับผิดเรียกดอกเบี้ย ระหว่างผิดนัดได้ ร้อยละ7.5 จนกว่าจะชำระเสร็จ (เป็นการเข้ารับช่วงสิทธิจากผู้เสียหาย)
งานนำเสนอที่คล้ายกัน
© 2025 SlidePlayer.in.th Inc.
All rights reserved.