PISA: Programme for International Students Assessment

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "PISA: Programme for International Students Assessment"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 PISA: Programme for International Students Assessment
: การพัฒนาและการวัด PISA: Programme for International Students Assessment OECD: Organization for Economic Co-operation and Development

2 ประเด็นการสัมมนา ความเป็นมาและแนวทางการพัฒนา PISA

3 ที่มา: สสวท., 2559

4 ที่มา: สสวท., 2559

5 PISA ประเมินอะไรบ้าง PISA มุ่งวัดการรู้เรื่อง (literacy) 3 ด้าน คือ การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ วัดความรู้ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต มุ่งเน้นการวัดการรอบรู้ กระบวนการ ความเข้าใจเกี่ยวกับความคิดรวบยอดและความสามารถในการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายทั้ง 3 ด้านคือ การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนอายุ 15 ปี

6 วงจรการสอบ PISA ปี 2000 2003 2006 2009 2012 2015 2018 วิชาที่ประเมิน R M S แบบ สอบ ถาม 1.วิธีการเรียน 2. ความผูกพัน 3.พฤติ กรรม การอ่าน 2.เจตคติต่อคณิต 2.เจตคติต่อวิทย์ 1.กิจกรรมเกี่ยวกับอ่าน 2.กลวิธีที่ใช้ในการอ่าน 1.การแก้ปัญหา 2.โอกาสในการเรียนรู้คณิต การแก้ปัญหาแบบร่วมมือรวมพลัง อยู่ในขั้นพิจารณา

7

8 ประเทศอื่น ๆ มีการเตรียมความพร้อมเพื่อยกระดับคะแนน PISA กันอย่างไร

9

10

11

12

13

14

15 แล้วประเทศไทยทำอะไร????? กำหนดเป้าหมายคะแนนสอบ
จัดทำแนวข้อสอบ PISA-Like พัฒนาครูเกี่ยวกับ PISA พัฒนาการสอนที่สอดคล้อง PISA ปรับการสอบให้เป็นแนวPISA สพฐ. จัดทำกลยุทธ์ใช้การประเมินขับเคลื่อนการพัฒนาสมรรถนะ PISA

16 แนวการสอน/ พัฒนาสมรรถนะ PISA
Effective Teaching Active Learning Cognitive Activation Strategy Teacher Directed Instruction PBL, RBL, 5’E, 7’E STEM

17 ลักษณะของการสอนที่มีประสิทธิภาพ
การเตรียมการสอน (Preparation) การเตรียมการสอนตลอดแนว การจัดการเวลาในการจัดการเรียนการสอน ใช้ทรัพยากรการสอนให้เกิดประโยชน์ โปรแกรมหรือโครงกรส่งเสริมต่าง ๆ Formal programs การใช้ระบบพีเลี้ยง (learn from effective teachers; also Mentornet) วัสดุและงบประมาณ อื่น ๆ รู้สิ่งที่ผู้เรียนต้องเรียน Bloom’s Taxonomy Educational objectives สไตล์/ แบบการเรียนรู้ของผู้เรียน เทคนิคการแก้ปัญหา องค์ความรู้หรือทฤษฎีใหม่ ๆ ที่ใช้ในห้องเรียน การมอบหมายงาน สร้างภาพอนาคตว่าจะต้องทำอะไรต่อ อะไรเหมาะสมกับผู้เรียน อะไรเหมาะกับครู

18 วงจรสืบเสาะและสร้างความรู้ นร.ของครู ลงมือสอน
อะไรคือสิ่งที่ นร. จำเป็นต้องเรียนรู้ - นร.รู้อะไรแล้ว - หลักฐานการเรียนรู้มีอะไรบ้าง - นร.ต้องการรู้และทำอะไร - ครูจะสร้างให้ นร.รู้ได้อย่างไร อะไรคือสิ่งที่ครูจำเป็นต้องมี -ครูจะส่งเสริมสิ่งที่ นร.มีอยู่แล้วอย่างไร -ครูมีองค์ความรู้อะไรในการพัฒนาผู้เรียน -ครูต้องเรียนรู้อะไรในการพัฒนา นร. -หลักฐานการเรียนรู้ดูจากอะไร ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการสอน สิ่งที่ครูสอน/จัดการและที่ได้เรียนรู้ส่งผลต่อการเรียนรู้และความเป็นอยู่ของ นร เพียงใดและอย่างไร ออกแบบงานและประสบการณ์ ลงมือสอน

19 บริบทที่มีประสิทธิภาพในการสร้างเสริมโอกาสครูให้สามารถพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้เต็มที่
1. ขยายเวลาเพื่อให้โอกาสการเรียนรู้เกิดได้อย่างเต็มศักยภาพ 2. ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก การช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาสิ่งแทรกแซงในเฉพาะวิชาแกนหลัก ตัวแทรกแซงที่ส่งผลต่อผู้เรียนต่ำหรือไม่ส่งผลล้วนเกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญ 3. ความผูกพันต่อการเรียนรู้ของครูมีความจำเป็นในบางเรื่องไม่ใช่เฉพาะเริ่มต้น 4. การพูดคุยสนทนาที่ทาย 5. โอกาสในการมีส่วนร่วมในชุมชนวิชาชีพมีความสำคัญกว่าการปฏิบัติเพียงอย่างเดียว 6. นโยบายและการวิจัยพัฒนาต้องมีความสม่ำเสมอและครอบคลุม 7. ผู้บริหารต้องมีภาวะผู้นำเชิงรุก

20 เนื้อหาการพัฒนาการเรียนรู้ของครูในวิชาหลัก
1. บูรณาการด้วยลักษณะที่หลากหลาย • บูรณาการทฤษฎีและการปฏิบัติเพื่อใช้เป็นลักษณะหลักในการพัฒนา • บูรณาการความรู้ด้านเนื้อหา ข้อมูลจากการประเมิน และสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เข้าในบทเรียน 2. เชื่อมโยงระหว่างการสอนกับการเรียนรู้อย่างชัดเจน ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนมีความจำเป็นต่อการสร้างการเรียนรู้

21 3.ใช้การประเมินในการสอนเพื่อส่งเสริมให้ นร.เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
แสวงหาตัวเร่งเพื่อดึงผู้เรียนเข้ามามีส่วนร่วม (ongoing engagement) ระบุความต้องการการเรียนรู้ของ นร. ระบุความต้องการจำเป็นของผู้เรียนด้านความรู้ ทักษะจากผลการประเมิน สืบค้นหาการสอนที่มีปริทธิภาพที่สอดคล้องกับผู้เรียน 4. เน้นความยั่งยืน • ครูเข้าใจทฤษฎีที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างดี ทักษะการสืบค้น สืบเสาะของครูส่งผลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและช่วยให่สามารถกำหนดว่านั้นต่อไปจะสอนอย่างไร

22 กล่องดำของการเรียนรู้ของครูและนักเรียน
โอกาสการเรียนรู้ในอาชีพ ผลลัพธ์ที่เกิดกับครู -การเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติ - ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ครูตีความหมาย ใช้ความเข้าใจและทักษะที่ครูมีอยู่ ผลการเรียนรู้ของ นร. เปลี่ยนแปลงทางบวก ไม่เปลี่ยน เปลี่ยนแปลงทางลบ นร.ตีความหมายและใช้ความเข้าใจและทักษะที่นร. มีอยู่ โอกาสการเรียนรู้ของนักเรียน

23

24

25

26

27 กลยุทธ์การสอนที่ใช้พัฒนาสมรรถนะของ นร.ตาม PISA
Active Learning ส่งเสริมผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของตนเอง นร. อภิปราย ทำงานกลุ่ม ทำงานร่วมกัน สะท้อนผล และการสนับสนุนกิจกรรมเหล่านี้ให้เป็นหลัก ใช้ ICT เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทั้งรายบุคคลและการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม Cognitive activation เป็นการใช้กิจกรรมท้าทาย นร.เพื่อกระตุ้นให้แสดงทักษะขั้นสูง เช่น การคิดวิจารณญาณ การแก้ปัญหา และการตัดสินใจ กลยุทธ์นี้ นอกจากกระตุ้น นร.ให้สร้างสรรค์และหาทางเลือกในการแก้ปัญหาแล้วยังทำให้ นร.สามารถสื่อสารกระบวนคิดและผลกับเพื่อและครู Teacher-directed instruction เป็นการสอนที่ครูมุ่งเสนอเนื้อหาและบทเรียนที่ชัดเจนแก่ผู้เรียน กำหนดเป้าหมายการเรียนอย่างชัดเจน สรุปบทเรียนที่เคยเรียนหรือซักถามสั้น ๆ ถามคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเป็นหลัก

28 การเรียนรู้เชิงรุกคืออะไร?
Active learning กิจกรรมที่นำ นร.เข้ามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมใด ๆ แทนการฟังการบรรยาย การจดบันทึกเพื่อช่วย นร.เกิดการเรียนรู้และใช้สื่ออุปกรณ์การเรียนต่าง ๆ นักเรียนอาจจะพูดหรือฟังคนอื่น เขียน อ่านและสะท้อนกลับเป็นรายบุคคล Collaborative learning เป็นเซตย่อยของ active learning ให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น Cooperative learning เซตย่อยของ collaborative learning ที่นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นภายใต้สถานการณ์หรือเงื่อนไขใด ๆ NETI, 1998

29 ทำไมต้องสอนแบบ Active Learning?
Confucius (400 BC): What I hear, I forget. What I see, I remember. What I do, I understand. Silberman (1996): What I hear and see, I remember a little. What I hear, see, and ask questions about or discuss with someone else, I begin to understand. What I hear, see, discuss and do, I acquire knowledge and skill. What I teach to another, I master. Silberman (Active Learning; 1996)

30 PASSIVE ACTIVE

31 การเรียนรู้แบบ Cooperative Learning
Team homework Team projects Student prepared tests Jigsaw Teams comprised of expert groups Pairs Testing Results seem positive

32 กลยุทธ์ของ Active Learning
นร.ทำโครงงาน อย่างน้อยโครงงานที่ทำเสร็จใน 1 สัปดาห์ นร.ใช้ ICT ในการทำงานโครงการ นร.ทำโครงงานคณิตศาสตร์ที่ใช้เวลาทำมากว่า 1 ชั่วโมง นร. ประเมินความก้าวหน้าของการทำโครงงาน นร.ทำงานกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน

33 Ask Students to... การจัด Active learning ให้สอดคล้องกับผู้เรียน
เสนอสารสนสนเทศ เสนอตัวอย่าง ที่หลากหลาย เสนอรายละเอียดที่เกี่ยวกับสารสนเทศ เชื่อมโยงตัวอย่างกับสารสนเทศ ใช้ความคิดรวบยอดที่เกี่ยวข้องในการทำความเข้า ทำนายผลที่จะตามมา สรุป

34 In-class Writing Assignments
Be specific — ask students to analyze – compare contrast – define describe – evaluate justify – prove summarize – synthesize Source: Fulwiler

35 Learning Partners Compare class notes Discuss an example
Solve a problem Critique each other’s writing Question partner about reading Recap lecture Develop questions for teacher Test each other

36 Ten Methods to Get Participation
Open Discussion – not simply “Are there any questions?” Response Cards – answers to posed questions on submitted index cards (more anonymity) Polling – a short survey that is passed out and tallied to focus discussion Subgroup Discussions – share and record information; develop questions and promote further consideration Learning Partners – work on tasks or discuss key questions with the student next to them Whips – go around group and obtain short answers to key questions Panels – small group of students may present views in front of entire class Fishbowl – discussion circle with remainder of class listening in. Games – Family Feud, Jeopardy, Millionaire Calling on the Next Speaker – student view sharing and calling on next student Silberman (Active Learning; 1996)

37

38

39

40

41

42 READ (for understanding)
An example of a cognitive strategy routine for mathematics instruction Solve It! - Math Problem Solving Processes and Strategies READ (for understanding) Say: Read the problem. If I don’t understand, read it again. Ask: Have I read and understood the problem? Check: For understanding as I solve the problem. PARAPHRASE (your own words) Say: Underline the important information. Put the problem in my own words. Ask: Have I underlined the important information? What is the question? What am I looking for? Check: That the information goes with the question. VISUALIZE (a picture or a diagram) Say: Make a drawing or a diagram. Show the relationships among the problem parts. Ask: Does the picture fit the problem? Did I show the relationships? Check: The picture against the problem information.

43 HYPOTHESIZE (a plan to solve the problem)
Say: Decide how many steps and operations are needed. Write the operation symbols (+, -, x, and /). Ask: If I …, what will I get? If I …, then what do I need to do next? How many steps are needed? Check: That the plan makes sense. ESTIMATE (predict the answer) Say: Round the numbers, do the problem in my head, and write the estimate. Ask: Did I round up and down? Did I write the estimate? Check: That I used the important information. COMPUTE (do the arithmetic) Say: Do the operations in the right order. Ask: How does my answer compare with my estimate? Does my answer make sense? Are the decimals or money signs in the right places? Check: That all the operations were done in the right order. CHECK (make sure everything is right) Say: Check the plan to make sure it is right. Check the computation. Ask: Have I checked every step? Have I checked the computation? Is my answer right? Check: That everything is right. If not, go back. Ask for help if I need it.

44

45 Source: OECD, 2012

46 Source: OECD, 2016

47 Source: OECD, 2016

48 What can schools do to promote good teaching practices?
Allow teachers time to develop teaching strategies Support teachers’ efforts to find the best teaching strategy Support school-embedded professional development and professional learning communities

49 การวัดและประเมินสมรรถนะนักเรียนของ PISA

50 ลักษณะการประเมิน 4 ไม่ถามเนื้อหาสาระตามหลักสูตร 1
2 เน้นวัดสมรรถนะด้านการอ่าน 3 เน้นการคิดวิเคราะห์หาคำอธิบาย เน้นข้อสอบที่นักเรียนต้องเขียนตอบ 4

51 ลักษณะแบบทดสอบ เลือกตอบ 1 2 เลือกตอบเชิงซ้อน 3
เขียนคำตอบสั้นๆ (สร้างคำตอบแบบปิด) 3 เขียนตอบแบบเปิด (สร้างคำตอบแบบเปิดหรืออิสระ) 4 นักเรียนจะไม่ได้คะแนนจากการลอกเนื้อเรื่องบางส่วนหรือลอกส่วนหนึ่งของคำถามมาตอบ !

52 ลักษณะของข้อคำถาม สถานการณ์หรือข้อสนเทศที่เป็นข้อมูลสำหรับการวัดในแต่ละข้อเป็นสถานการณ์ในชีวิตจริง ข้อคำถามเป็นแบบผสมระหว่างแบบเลือกตอบ (4 ตัวเลือกและตัวเลือกเชิงซ้อน) จากตัวเลือกที่กำหนด และแบบเขียนตอบ การให้คะแนนแบบเลือกตอบใช้แบบถูกได้คะแนนและเลือกตัวเลือกที่ผิดไม่ได้คะแนน ข้อสอบแบบเขียนตอบให้คะแนนตามเกณฑ์การให้คะแนน (scoring/ guidelines rubrics)

53 สถานการณ์หรือข้อสนเทศของข้อสอบ
ข้อมูลเพื่อใช้ในการตอบคำถาม (คัดลอกมาบางส่วน) โดยนำเสนอ เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ หรือการจัดประสบการณ์ที่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระของบทเรียน ตามสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร รวมทั้งมีความเชื่อมโยงกับความเป็นจริงของชีวิต และสังคม แหล่งที่มา: เอกสาร ตำรา วารสาร สื่อต่าง ๆ ที่มี คุณภาพ เชื่อถือได้ หรือเขียนขึ้นเอง

54 สถานการณ์หรือข้อสนเทศควรมีลักษณะ ดังนี้
เหตุการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลองที่ใกล้เคียง ความจริงความรู้ต่างๆ ที่มีผู้อื่นรวบรวมไว้แล้ว ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือประเด็น ที่สังคมให้ความสนใจ สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน สาระการ เรียนรู้ในหลักสูตร เรื่องสมมติที่สามารถนำมาวิเคราะห์ แก้ปัญหา ให้ความคิดเห็น หรือแสดงความรู้สึก

55 ข้อคำถามหรือปัญหา สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และสถานการณ์ที่กำหนด
เป็นส่วนของคำสั่งที่ระบุให้ทราบว่าต้องการให้ทำอะไร โดยทั่วไป ต้องการให้ตอบสนองโดยการคิดในเชิงวิทยาศาสตร์และนำความรู้ ทักษะต่างๆ ไปเพื่อใช้แก้ปัญหา คำถามส่วนใหญ่มีลักษณะปลายเปิดที่ให้ผู้เรียนมีอิสระทางความคิด และถ่ายทอดความรู้ในรูปแบบของการเขียนตอบได้ สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และสถานการณ์ที่กำหนด สื่อสารได้ชัดเจนและใช้ภาษาเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ อภิปราย แก้ปัญหา ตัดสินใจ ประเมินค่า และสร้างคำตอบได้อย่างสมเหตุผล เนื้อหาของคำถามมีความยุติธรรมสำหรับผู้เรียนทุกคน

56 ข้อสอบแบบเขียนตอบ การเตรียมข้อสอบแบบเขียนตอบควรมีแนวการตอบและเกณฑ์การให้คะแนนด้วย เพื่อให้ผู้ตรวจคำตอบสามารถตรวจได้สะดวกและให้คะแนนได้ตรงกัน - แนวการตอบ เป็นหลักการหรือแนวคิดที่เป็นไปได้ในการตอบคำถาม - เกณฑ์การให้คะแนน เป็นเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นสำหรับการให้คะแนนคำตอบโดยพิจารณาความถูกต้อง ครบถ้วนและความสมบูรณ์ของคำตอบเป็นสำคัญ

57 เกณฑ์การให้คะแนนข้อสอบแบบเขียนตอบ
1. เกณฑ์ให้คะแนนแบบภาพรวม (Holistic Scoring Guideline ) เป็นการให้คะแนน โดยดูภาพรวมที่แสดงถึงความเข้าใจ การเกิดแนวคิดหลัก กระบวนการที่ใช้ และการสื่อความหมายและแบ่งระดับคุณภาพของงานโดยเขียนอธิบายพฤติกรรมการแสดงออกในแต่ละระดับอย่างชัดเจน 2. เกณฑ์ให้คะแนนแบบแยกองค์ประกอบ (Analytic Scoring Guideline) เป็นการให้คะแนนผลงานโดยแยกองค์ประกอบของผลงานออกเป็นด้านต่างๆและอธิบายพฤติกรรมการแสดงออกในแต่ละ องค์ประกอบเป็นระดับ ข้อดี มีความเป็นปรนัยในการให้คะแนนมากขึ้นและสามารถกำหนดสัดส่วนของคะแนนตามความสำคัญได้

58 การรายงานผลของ PISA 1. คะแนนเฉลี่ย 2. ระดับสมรรถนะ คะแนนเฉลี่ย = 500
ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 100 2. ระดับสมรรถนะ การอ่าน ระดับ 1 - ระดับ 5 วิทยาศาสตร์ ระดับ 1 - ระดับ 6 คณิตศาสตร์ ระดับ 1 - ระดับ 6

59 การอ่านใน PISA ความรู้และทักษะที่จะเข้าใจเรื่องราวและสาระของสิ่งที่ได้อ่าน ตีความหรือแปลความหมายของข้อความที่ได้อ่าน และประเมิน คิดวิเคราะห์ ย้อนกลับไปถึงจุดมุ่งหมายของการเขียนได้ว่าต้องการส่งสารสาระอะไรให้ผู้อ่าน ประเมินว่านักเรียนได้พัฒนาศักยภาพในการอ่านของตนและสามารถใช้การอ่านให้เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมและความเป็นไปของสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่เพียงใด เน้น “การอ่านเพื่อการเรียนรู้” มากกว่าทักษะในการอ่านที่เกิดจาก  “การเรียนรู้เพื่อการอ่าน” ศึกษาว่านักเรียนจะสามารถรู้เรื่องที่ได้อ่าน สามารถขยายผลและคิดย้อนวิเคราะห์ ความหมายของข้อความที่ได้อ่าน เพื่อใช้ตามวัตถุประสงค์ของตนในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างกว้างขวางทั้งในโรงเรียนและในชีวิตจริงนอกโรงเรียน ความเข้าใจเรื่องราวสาระของเนื้อความ สามารถคิดพิจารณาถึงจุดมุ่งหมายของการเขียน สามารถนำสาระจากข้อเขียนไปใช้ในจุดมุ่งหมายของตน และทำให้สามารถมีส่วนร่วมในสังคมสมัยใหม่ที่มีความยุ่งยากซับซ้อนขึ้น ด้วยการสื่อสารจากข้อเขียน

60 สมรรถนะการอ่าน ค้นสาระ ตีความ (Interpretation) สมรรถนะการอ่าน
(Retrieving information) ตีความ (Interpretation) สมรรถนะการอ่าน วิเคราะห์ และประเมิน (Reflection and Evaluation)

61 การวิเคราะห์ และประเมิน
นิยาม การอ่าน ความรู้และทักษะที่จะเข้าใจเรื่องราวและสาระของสิ่งที่ได้อ่าน คิดวิเคราะห์ แปลความ ตีความ ประเมินสาระที่ได้อ่านและสะท้อนออกมาเป็นความคิดของตน การค้นสาระ ค้นหาหรือสรุปสาระสำคัญจากเรื่องที่อ่าน ตีความหรือแปลความจากเรื่องที่อ่าน วิเคราะห์เนื้อหาหรือข้อความที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งต่างๆ การตีความ วิเคราะห์รูปแบบการนำเสนอของข้อความ ประเมินและให้ความเห็นหรือโต้แย้งด้วย มุมมองของตนเองต่อบทความที่อ่าน การวิเคราะห์ และประเมิน

62 สถานการณ์ในการอ่าน ส่วนตัว สังคม อาชีพ การศึกษา

63 การรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy)
 บทความต่อเนื่อง Continuous texts  บทความไม่ ต่อเนื่อง Non-continuous texts รูปแบบของสื่อที่อ่าน  ค้นสาระ Retrieving information  ตีความ Interpreting texts  วิเคราะห์และประเมิน Reflection and evaluating of texts สมรรถนะที่มุ่งวัด

64 ลักษณะของบทความ บทความโฆษณา บทความเชิง พรรณนาสั้นๆ บทความ เชิงอธิบาย
รู้จุดประสงค์หลักของป้ายประกาศ รู้ถึงสาระสำคัญ รู้สาระในส่วนต่างๆ ของเรื่อง สามารถระบุกลยุทธ์ที่ใช้ในการจูงใจ บทความเชิง พรรณนาสั้นๆ รู้ใจความสำคัญของเรื่อง บอกตำแหน่งของสาระสำคัญในเรื่อง บทความ เชิงอธิบาย รู้แนวคิดของเรื่อง เชื่อมโยงเนื้อเรื่องกับภาพประกอบ การวิเคราะห์ข้อมูลที่แสดงในรูปแบบต่างๆ สรุปข้อมูล

65 บทความสั้นๆ เชิงเล่นสำนวน
ลักษณะของบทความ บทความสั้นๆ เชิงเล่นสำนวน รู้จุดประสงค์ของการเริ่มเรื่องด้วยการใช้ คำถามเชิงเล่นสำนวน รู้ว่าคำอุทานในเรื่องต้องการสื่อถึงอะไร เข้าใจความคิดของผู้เขียน รู้จุดประสงค์ของการเขียน รู้ว่าใครคือผู้เขียน เชื่อมโยงประโยคหรือย่อหน้าสุดท้ายกับลำดับ เหตุการณ์ในเนื้อเรื่อง บทความยาว บทละครสั้นๆ อธิบายลักษณะหรือพฤติกรรมของตัวละคร เข้าใจบทบาทของตัวละคร เข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนบทละครต้องการสื่อสาร

66 บทวิจารณ์ 2 บทที่แตกต่างกัน
ลักษณะของบทความ รู้ว่าบทวิจารณ์ทั้งสองแตกต่างกัน อย่างไร แสดงความคิดเห็นสนับสนุนฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง พร้อมอธิบายเหตุผล บทวิจารณ์ 2 บทที่แตกต่างกัน รู้ลำดับเหตุการณ์ในนิทาน รู้สาระสำคัญของนิทาน เข้าใจการแสดงออกของตัวละคร เชื่อมโยงสาระสำคัญกับเนื้อเรื่องใน นิทาน นิทานสั้นๆ

67 สมรรถนะทางการอ่าน Level 4 Level 3 Level 2 Level 1 ระดับ 5 ระดับ 2
นักเรียนแสดงความเข้าใจ สามารถแปลความตีความ อ้างอิงหรือเชื่อมโยงสาระที่ได้อ่านกับภารกิจของตน และสามารถวิเคราะห์และประเมินการเขียนอย่างวิพากษ์วิจารณ์ สามารถคาดการณ์หรือสร้างสมมติฐาน ดึงเอาความรู้มาสร้างเป็นแนวคิดของตนได้ Level 5 Level 4 Level 3 ระดับ 2 นักเรียนแสดงว่ามีความชำนาญในการอ่านในระดับพื้นฐานคือ สามารถอ่านและบอกสาระได้ต่อเมื่อข้อความที่อ่านค่อนข้างเด่นชัดตรงไปตรงมา Level 2 ระดับ 1 นักเรียนสามารถจัดการกับการอ่านได้ในภารกิจอย่างง่าย เชื่อมโยงข้อเขียนที่ได้อ่านกับสิ่งที่เกี่ยวข้องได้ต่ำ ไม่สามารถอ้างอิงหรือเปรียบเทียบได้ถ้าต้องมีการคิดวิเคราะห์เพิ่มเติม Level 1 Below Level 1

68 ตัวอย่างข้อสอบ: การค้นสาระ
ตึกสูง ตึกสูง” เป็นบทความจากนิตยสารของนอร์เวย์ ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2006 คำถาม: ขณะที่บทความนี้ตีพิมพ์ใน นิตยสาร ตึกใดในรูปที่ 2 สร้างเสร็จแล้วและสูงที่สุด …………………………… คำถาม: เรดิสัน SAS พลาซ่าในเมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ สูงเพียง 117 เมตร ทำไมจึงนำตึกนี้มาใส่ในรูปที่ 2 ……………………………

69 ตัวอย่างข้อสอบ: การค้นสาระ
คำถาม: จากสถานีรถไฟใต้ดินสถานีใด ที่นักเรียนสามารถขึ้นทั้งรถเมล์ระหว่างเมืองและรถไฟระหว่างเมืองได้ …………………………………… คำถาม: บางสถานี เช่น สถานีสุดตะวันตก สถานีสวนสัตว์ และสถานีอิสรภาพ มีการแรเงาสีเทาล้อมรอบสถานี การแรเงาแสดงว่าสถานีเหล่านี้คืออะไร …………………………………………

70 ตัวอย่างข้อสอบ: การตีความ
ป้ายประกาศในซุปเปอร์มาเก็ต การแจ้งเตือนการแพ้ถั่วลิสง ขนมปังกรอบไส้ครีมมะนาว วันที่แจ้งเตือน : 4 กุมภาพันธ์ ชื่อผู้ผลิต: บริษัท ไฟน์ฟู้ดส์ จำกัด ข้อมูลผลิตภัณฑ์: ขนมปังกรอบไส้ครีมมะนาว 125 กรัม (ควรบริโภคก่อน 18 มิถุนายน และ ควรบริโภคก่อน 1 กรกฎาคม) รายละเอียด: ขนมปังกรอบบางอย่างในรุ่นการผลิตเหล่านี้ อาจมีชิ้นส่วนของถั่วลิสงผสมอยู่ แต่ไม่แจ้งไว้ในรายการส่วนผสม คนที่แพ้ถั่วไม่ควรรับประทานขนมปังกรอบนี้ การปฏิบัติของผู้บริโภค : ถ้าท่านซื้อขนมปังกรอบนี้ไป ท่านสามารถนำมาคืน ณ ที่ที่ท่านซื้อ เพื่อรับเงินคืนได้เต็มจำนวน หรือโทรสอบถาม ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คำถาม: จุดประสงค์ของป้ายประกาศนี้คืออะไร 1. เพื่อโฆษณาขนมปังกรอบไส้ครีมมะนาว 2. เพื่อบอกประชาชนว่าขนมปังกรอบผลิตเมื่อใด 3. เพื่อเตือนประชาชนเกี่ยวกับขนมปังกรอบ 4. เพื่ออธิบายว่าจะซื้อขนมปังกรอบไส้ครีม มะนาวได้ที่ไหน

71 ตัวอย่างข้อสอบ: การวิเคราะห์และประเมิน
การแปรงฟันของคุณ ฟันของเราสะอาดมากขึ้นและมากขึ้นเมื่อเรายิ่งแปรงนานขึ้นและแรงขึ้นใช่หรือไม่? นักวิจัยชาวอังกฤษบอกว่าไม่ใช่ เขาได้ทดลองหลายๆ ทางเลือก และท้ายที่สุดก็พบวิธีที่สมบูรณ์แบบในการแปรงฟัน การแปรงฟัน 2 นาทีโดยไม่แปรงฟันแรงจนเกินไปให้ผลที่ดีที่สุด ถ้าคุณแปรงฟันแรงคุณกำลังทำร้ายเคลือบฟันและเหงือกโดยไม่ได้ขจัดเศษอาหารหรือคราบหินปูน เบนท์ ฮันเซน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแปรงฟัน กล่าวว่าวิธีจับแปรงสีฟันที่ดีก็คือจับให้เหมือนจับปากกา “เริ่มจากมุมหนึ่ง และแปรงไปตามฟันจนหมดแถว” เธอบอกว่า “อย่าลืมลิ้นของคุณด้วย! มันสามารถสะสมแบคทีเรียได้มากทีเดียว ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก” คำถาม: ทำไมในเรื่องจึงกล่าวถึง ปากกา 1. เพื่อช่วยให้เราเข้าใจว่าควรจับแปรงสีฟันอย่างไร 2. เพราะเราเริ่มจากมุมหนึ่งเหมือนกันทั้งปากกาและแปรงสีฟัน 3. เพื่อแสดงว่าเราสามารถแปรงฟันได้หลายๆ วิธี 4. เพราะเราควรแปรงฟันอย่างจริงจังเช่นเดียวกับการเขียน

72 การบันทึกสถิติความสูงของบอลลูนอากาศร้อน
นักบินชาวอินเดีย วิเจย์พัต สิงหาเนีย ได้ทำลายสถิติความสูงของบอลลูนอากาศร้อน ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ เขาเป็นบุคคลแรกที่พาบอลลูนลอยไปถึง 21,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เส้นใย: ไนลอน ช่องตามยาวสามารถเปิดให้อากาศ ร้อนออกได้ เพื่อลดความสูง การเติมอากาศ: 2.5 ชั่วโมง ขนาด: 453,000 m3 (ขนาดปกติของบอลลูนอากาศร้อนปกติ 481 m3) น้ำหนัก: 1,800 kg ความสูง: 49 m ขนาดปกติของบอลลูนอากาศร้อนทั่วไป บอลลูนมุ่งหน้าออกทะเล ในตอนแรก เมื่อปะทะกับกระแสลมแรงจึงถูกพัดกลับมาอยู่เหนือแผ่นดินอีกครั้ง สถิติระดับความสูงที่บันทึกได้: 21,000 ม. ออกซิเจน: เพียง 4% ของระดับพื้นดิน อุณหภูมิ: –95 °C สถิติเดิม: 19,800 m เครื่องบินจัมโบ้เจ็ท: 10,000 m จุดที่ลงจอดโดยประมาณ นิวเดลี 483 km มุมไบ กระเช้า: สูง: 2.7 m กว้าง: 1.3 m ห้องโดยสารเป็นแบบปิดและปรับความดัน มีหน้าต่างเป็นฉนวน วิเจย์พัต สิงหาเนีย สวมชุดอวกาศระหว่างการเดินทาง สร้างด้วยอลูมิเนียมเช่นเดียวกับเครื่องบิน

73 ตัวอย่างข้อสอบ: การวิเคราะห์และประเมิน
บอลลูน คำถาม: การนำภาพเครื่องบินจัมโบ้เจ็ทมาใส่ไว้ในเนื้อเรื่องมีจุดประสงค์อะไร …………………………………………………………………………………………

74 การรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematical Literacy)
สมรรถนะของการเข้าใจบทบาทของคณิตศาสตร์ที่มีต่อโลก ตัดสินใจในประเด็นต่างๆ บนพื้นฐานของคณิตศาสตร์ คิดปัญหาในโลกที่อยู่ในสถานการณ์ต่างๆ ออกมาในรูปของปัญหาคณิตศาสตร์ และแก้ปัญหาเชิงคณิตศาสตร์ นิยาม คณิตศาสตร์

75 สมรรถนะทางคณิตศาสตร์
การกำหนดปัญหาทางคณิตศาสตร์ ระบุตัวแปรหรือประเด็นที่สำคัญจากสถานการณ์ในโลกจริง รับรู้ถึงโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ในปัญหาหรือสถานการณ์ ทำปัญหาหรือ สถาณการณ์ให้อยู่ในรูปอย่างง่าย หรือแปลงโมเดลทางคณิตศาสตร์ การนำ กระบวนการ ทางคณิตศาสตร์ ไปใช้ เลือกและใช้กลยุทธ์ในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์หาวิธีที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา ประยุกต์ใช้ข้อเท็จจริง กฎ ขั้นตอนและโครงสร้าง ในการแก้ปัญหา การแปลผลลัพท์ทางคณิตศาสตร์ นำผลที่ได้จากการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในชีวิตจริง ประเมินความเหมาะสมของวิธีแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ในบริบทของความเป็นจริง ระบุและวิจารณ์ข้อจำกัดของรูปแบบที่ใช้ในการแก้ปัญหา

76 สมรรถนะคณิตศาสตร์ เนื้อหาคณิตศาสตร์ Change and relationships
1. การทำใหม่ Reproduction 2. การเชื่อมโยง Connections 3. การสะท้อนและการ สื่อสาร Reflection & Communication สมรรถนะคณิตศาสตร์ ปริมาณ Quantity ปริภูมิและรูปทรงสามมิติ Space and shape 3. การเปลี่ยนแปลงและ ความสัมพันธ์ Change and relationships 4. ความไม่แน่นอน Uncertainty เนื้อหาคณิตศาสตร์ 80 60 40 20 100 อินโดนีเซีย ไทย ค่าเฉลี่ย OECD ญี่ปุ่น จีน - ไทเป มาเก๊า ฮ่องกง เกาหลี ฟินแลนด์ ระดับ 1 ต่ำกว่าระดับ 1 ระดับ 2 ระดับ 3 ระดับ 4 ระดับ 5 ระดับ 6 % นักเรียน 0.2

77 เนื้อหาคณิตศาสตร์ (mathematical content)
1. ปริมาณ (quantity) การบอกปริมาณ ขนาด แบบรูปของจำนวน การใช้จำนวน การนับ การวัด จำนวนและการดำเนินการ 2. มิติและรูปทรง (space+shape) แบบรูป ตัวแบบ ความสัมพันธ์ระหว่างรูปกับภาพในความคิด เช่น แผนที่เมืองกับเมืองจริง 3. การเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ (change + relation) การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิต กระแสลม/น้ำ หุ้น ฟังก์ชั่น สมการ อสมการ 4. ความไม่แน่นอน (uncertainty) สถิติและความน่าจะเป็น (ผลการเลือกตั้ง การพยากรณ์ การล้มละลายทางเศรษฐกิจ) การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ การนำเสนอ ความน่าจะเป็นและการอ้างอิง 5. จำนวน (numbers) พีชคณิต (algebra) เรขาคณิต (geometry)

78 กระบวนการและสมรรถนะทางคณิตศาสตร์
การคิดและการใช้เหตุผล การตั้งคำถาม รู้คำตอบ ความแตกต่างของข้อความทางคณิต ข้อจำกัดของคณิตศาสตร์ การสร้างข้อโต้แย้ง การพิสูจน์ ติดตาม+ประเมินข้อโต้แย้ง ความรู้สึกถึงความจริง การสื่อสาร การสร้างตัวแบบ การตั้งและแก้ปัญหา การตั้งคำถาม การสร้างปัญหา การนิยามปัญหา การแก้ปัญหา การแสดงเครื่องหมายแทน การแปลรหัส การเข้ารหัส การแปลความ ตีความ การบอกความแตกต่างเครื่องหมายคณิต ความสัมพันธ์ระหว่างการแสดงเครื่องหมายแทน การเลือกและการเปลี่ยนระหว่างรูปแบบ การใช้สัญลักษณ์ ภาษาและการดำเนินการ การแปลรหัส ตีความสัญลักษณ์ ภาษาคณิต เชื่องโยงภาษาคณิตกับภาษาธรรมดา ประโยค พจน์ การแก้สมการโดยใช้ตัวแปร การใช้ตัวช่วยและเครื่องมือ

79 การวัดการรู้คณิตศาสตร์ใช้การคิดให้เป็นคณิตศาสตร์ (Mathematising)
สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการวัด 1. เกี่ยวกับบุคคล (personal) 2. เกี่ยวการศึกษา (educational) 3. เกี่ยวกับอาชีพ (occupational) 4. เกี่ยวกับสาธารณะ (public) 5. เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (scientific) การวัดการรู้คณิตศาสตร์ใช้การคิดให้เป็นคณิตศาสตร์ (Mathematising)

80

81

82 ตัวอย่างข้อสอบ: การกำหนดปัญหาทางคณิตศาสตร์
คอนเสิร์ตร็อค สนามรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 100 เมตร คูณ 50 เมตร ถูกจองไว้สำหรับแสดงคอนเสิร์ตร็อค บัตรคอนเสิร์ตขายได้หมดและสนามเต็มไปด้วยแฟนเพลงที่ยืนดู การประมาณจำนวนผู้เข้าชมคอนเสิร์ตที่มีจำนวนใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดเป็นเท่าใด

83 ตัวอย่างข้อสอบ: การแปลผลลัพธ์ทางคณิตศาสตร์
ขยะ ในการทำการบ้านเรื่องสิ่งแวดล้อม นักเรียนได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ระยะเวลาการสลายตัวของขยะชนิดต่างๆ ที่ประชาชนทิ้งได้ดังนี้ ชนิดของขยะ ระยะเวลาการสลายตัว เปลือกกล้วย 1-3 ปี เปลือกส้ม กล่องกระดาษแข็ง 0.5 ปี หมากฝรั่ง 20-25 ปี หนังสือพิมพ์ 2-3 วัน ถ้วยพลาสติก มากกว่า 100 ปี คำถาม นักเรียนคนหนึ่งคิดที่จะแสดงข้อมูลเหล่านี้เป็นกราฟแท่ง จงให้เหตุผลมาหนึ่งข้อว่า ทำไมกราฟแท่งจึงไม่เหมาะสมในการแสดงข้อมูลเหล่านี้ ………………………………………………………………………………………………………

84 ตัวอย่างข้อสอบ: ปริภูมิและรูปทรงสามมิติ
ลูกเต๋า ทางซ้ายมือมีภาพของลูกเต๋าสองลูก ลูกเต๋า คือ ลูกบาศก์ที่มีจำนวนจุดอยู่บนด้านทั้งหก ซึ่งเป็นไปตามกฎ คือ ผลบวกของจำนวนจุดที่อยู่บนหน้าตรงข้ามเท่ากับเจ็ดเสมอ คำถาม ทางด้านขวา จะมีลูกเต๋าสามลูกวางซ้อนกันอยู่ ลูกเต๋าลูกที่ 1 มองเห็น มี 4 จุดอยู่ด้านบน จงหาว่า บนหน้าลูกเต๋าที่ขนานกับแนวนอนห้าด้าน ซึ่งท่านมองไม่เห็น (ด้านล่าง ของลูกเต๋าลูกที่ 1 ด้านบนและล่างของลูกเต๋าลูกที่ 2 และลูกที่ 3) มีจำนวนจุด รวมกันทั้งหมดกี่จุด ลูกที่ 1 ลูกที่ 2 ลูกที่ 3

85 ตัวอย่างข้อสอบ: ปริมาณ
เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงระดับการปล่อยก๊าซ จากปี 1990 ถึง 1998 +11% -35% +10% +13% +15% -4% -16% +8% สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ญี่ปุ่น แคนาดา ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป เยอรมันนี เนเธอร์แลนด์ การปล่อยก๊าซในปี 1990 (CO2 ล้านตัน) การปล่อยก๊าซในปี 1998 (CO2 ล้านตัน) การลดระดับ CO2 นักวิทยาศาสตร์หลายคน กลัวว่าการเพิ่มของก๊าซ CO2 ในชั้นบรรยากาศของเราทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง แผนภูมิด้านข้างแสดงระดับการปล่อยก๊าซ CO2 ในปี 1990 (แท่งไม่มีสี) ในประเทศ (หรือภูมิภาค) ต่างๆ และระดับการปล่อยก๊าซ CO2 ในปี 1998 (แท่งทึบ) และเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงระดับการปล่อยก๊าซ ระหว่างปี 1990 และ 1998 (แสดงด้วยลูกศร และตัวเลขเป็น %) คำถาม: ในแผนภูมิอ่านได้ว่า การเพิ่มระดับการปล่อยก๊าซ CO2 ในสหรัฐอเมริกา จากปี 1990 ถึง 1998 เป็น 11% จงแสดงการคำนวณว่าได้ 11% มาอย่างไร ………………………………………………………………….

86 ตัวอย่างข้อสอบ: ความไม่แน่นอนและข้อมูล
งานวัด ร้านเล่นเกมในงานวัดร้านหนึ่ง มีการเล่นเกมที่เริ่มด้วยหมุนวงล้อ ถ้าวงล้อหยุดที่เลขคู่ ผู้เล่นจะได้หยิบ ลูกหินในถุง วงล้อและลูกหินที่อยู่ในถุง แสดงในรูปข้างล่างนี้ 1 4 10 8 6 2 คำถาม: ผู้เล่นจะได้รับรางวัลเมื่อเขาหยิบได้ลูกหินสีดำ สมพรเล่นเกม 1 ครั้ง ความเป็นไปได้ที่สมพรจะได้รับรางวัลเป็นอย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับรางวัล เป็นไปได้น้อยมากที่จะได้รับรางวัล เป็นไปได้ที่จะได้รับและไม่ได้รับรางวัลเท่ากัน เป็นไปได้มากที่จะได้รับรางวัล ได้รับรางวัลแน่นอน

87 ตัวอย่างข้อสอบ

88

89

90

91

92

93

94 ตัวอย่างข้อสอบ: การจมหรือลอย
พิจารณารูปต่อไปนี้ วัตถุ x น้ำ

95 ตัวอย่างข้อสอบ: การจมหรือลอย
ถ้าตัดวัตถุ x ซึ่งมีเนื้อสม่ำเสมอออกเป็น 2 ส่วนและนำไปลอยในน้ำจะได้ผลดังรูปใด 1. ก. ก. ก. ข. ข. ข. ค. ค. ง.

96 จงอธิบาย? ตัวอย่างข้อสอบ: การจมหรือลอย
ถ้าตัดวัตถุ x ออกเป็น 2 ส่วน และนำไปลอยน้ำจะได้ผลดังรูปใด 2. ก. ข. ค. ง. จงอธิบาย?

97 ตัวอย่างข้อสอบ: การจมหรือลอย
ถ้าตัดวัตถุ x ออกเป็น 2 ส่วน และนำไปลอยสารละลายชนิดอื่นจะได้ผลดังรูปใด 3. ก. ข. ค. ง. จงอธิบาย?

98 มีวิธีการทดสอบได้อย่างไร?
ตัวอย่างข้อสอบ: การจมหรือลอย ถ้าตัดวัตถุ x ออกเป็น 2 ส่วน และนำไป ลอยในของเหลว y จะได้ผลเป็นอย่างไร 4. จงอธิบาย ถ้าต้องการทดสอบว่าวัตถุ x มีเนื้อเดียวกัน ตลอดทั้งก้อนหรือไม่ 5. มีวิธีการทดสอบได้อย่างไร?

99 ตัวอย่างข้อสอบ: การจมหรือลอย
อัตราส่วนของปริมาตรส่วนที่จมต่อ ปริมาตรรวมของวัตถุ x เป็นอย่างไร 6. ก. ค. ง. ข.

100 การรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientific literacy)
นิยาม ความสามารถในการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การระบุปัญหา การตั้งคำถาม และการสร้าง ข้อสรุปจากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจ และตัดสินใจเกี่ยวกับโลกธรรมชาติ และการ เปลี่ยนแปลงโลกธรรมชาติที่เกิดจากกิจกรรม ของมนุษย์

101 การรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy)
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 1. ความรู้วิทยาศาสตร์ • ระบบกายภาพ • ระบบสิ่งมีชีวิต • ระบบโลกและอากาศ • ระบบเทคโนโลยี 2. ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ สมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ บริบท 1. การระบุประเด็นทาง วิทยาศาสตร์ 2. การอธิบายปรากฏการณ์ ในเชิงวิทยาศาสตร์ 3. การใช้ประจักษ์พยาน ทางวิทยาศาสตร์ สถานการณ์ในชีวิตที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เจตคติ ตอบสนองต่อวิทยาศาสตร์อย่าง 1. สนใจ 2. สนับสนุน 3. รับผิดชอบ

102

103

104

105 บริบทการรู้วิทยาศาสตร์
การประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มี 3 เรื่อง 1. วิทยาศาสตร์ในชีวิตและสุขภาพ 2. วิทยาศาสตร์โลกและสิ่งแวดล้อม 3. วิทยาศาสตร์เทคคโนโลยี

106

107

108

109

110

111 ตัวอย่างข้อสอบ: การระบุประเด็นทางวิทยาศาสตร์
เสื้อผ้า จงอ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม บทความเกี่ยวกับเสื้อผ้า นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคณะหนึ่ง ได้พัฒนาผ้า “ฉลาด” เพื่อที่จะช่วยให้เด็กพิการสามารถสื่อสารด้วย “คำพูด” ได้ เด็กใส่เสื้อกั๊กที่ทำด้วยเส้นใยพิเศษนำไฟฟ้าได้และเชื่อมต่อไปยังเครื่องสังเคราะห์เสียง จะสามารถทำให้ผู้อื่นเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อสาร โดยการแตะลงบนผ้าที่มีความไวต่อการสัมผัสเท่านั้น วัสดุนี้ทำด้วยผ้าธรรมดาและเคลือบรูพรุนด้วยเส้นใยที่มีคาร์บอนสอดไส้อยู่ จึงสามารถนำไฟฟ้าได้ เมื่อมีแรงกดลงบนผ้า สัญญาณแบบต่างๆ จะถูกส่งไปตามเส้นใยและไปแปลงสัญญาณ ชิพคอมพิวเตอร์จะอ่านได้ว่าส่วนใดของผ้าถูกแตะแล้วก็จะไปทำให้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งอยู่ทำงาน เครื่องมือดังกล่าวมีขนาดไม่เกินกว่ากล่องไม้ขีด 2 กล่องเท่านั้น “ส่วนที่ฉลาด ก็คือ วิธีการทอและการส่งสัญญาณผ่านทางเส้นใย เราสามารถทอเส้นใยนี้ให้กลมกลืนเข้าไปในลายผ้าซึ่งทำให้เราไม่สามารถมองเห็นมัน” นักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งกล่าว ผ้านี้สามารถซัก บิด หรือหุ้มห่อสิ่งต่างๆ โดยไม่เกิดความเสียหาย และนักวิทยาศาสตร์ยังกล่าวด้วยว่าผ้านี้สามารถผลิตเป็นจำนวนมากได้ในราคาถูก

112 ตัวอย่างข้อสอบ: การระบุประเด็นทางวิทยาศาสตร์
(ต่อ) เสื้อผ้า คำถาม: คำกล่าวอ้างดังต่อไปนี้ สามารถทดสอบในห้องปฏิบัติการได้หรือไม่ จงเขียนวงกลมล้อมรอบคำว่า “ได้” หรือ “ไม่ได้” ในแต่ละข้อ ผ้า สามารถ สามารถทดสอบในห้อง ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ซักได้โดยไม่เกิดความเสียหาย ได้ / ไม่ได้ ห่อหุ้มสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่เกิดความเสียหาย บิดได้โดยไม่เกิดความเสียหาย ผลิตเป็นจำนวนมากได้ในราคาถูก

113 ตัวอย่างข้อสอบ: การใช้ประจักษ์พยานทางวิทยาศาสตร์
วิวัฒนาการ ปัจจุบันม้าส่วนใหญ่จะดูเพรียวลมและสามารถวิ่งได้เร็ว นักวิทยาศาสตร์ได้พบฟอสซิลโครงกระดูกของสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกับม้า พวกเขาคิดว่าฟอสซิลเหล่านั้นเป็นบรรพบุรุษของม้าในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยังสามารถตรวจสอบช่วงเวลาที่ฟอสซิลเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ได้ด้วย ตารางข้างล่างนี้ แสดงข้อสนเทศของฟอสซิลสามชนิดและม้าในยุคปัจจุบัน ชื่อ ไฮราโคเธเรียม เมโซฮิปปุส เมอรี่ฮิปปุส อีควุส (ม้าในปัจจุบัน) รูปร่าง ภายนอก (มาตราส่วนเดียวกัน) ช่วงเวลาที่มีชีวิต 55 ถึง 50 ล้านปีก่อน 39 ถึง 31 ล้านปีก่อน 19 ถึง 11 ล้านปีก่อน 2 ล้านปีก่อนถึงปัจจุบัน โครงกระดูก ของขา (มาตราส่วนเดียวกัน)

114 ตัวอย่างข้อสอบ: การใช้ประจักษ์พยานทางวิทยาศาสตร์
วิวัฒนาการ (ต่อ) คำถาม: ข้อสนเทศใดในตารางที่แสดงว่า ม้าในยุคปัจจุบันมีวิวัฒนาการมาจากซากฟอสซิลทั้งสามชนิด ในตาราง จงอธิบาย ……………………………………………………………………………………………………….

115 ตัวอย่างข้อสอบ: ระบบเทคโนโลยี
การผลิตพลังงานจากลม คนจำนวนมากเชื่อว่าลมสามารถเป็นแหล่งของพลังงานทดแทนน้ำมันและถ่านหินซึ่งเป็นแหล่งผลิต กระแสไฟฟ้าในรูปกังหันลมที่ใช้ลมหมุนใบพัด การหมุนนี้ทำให้พลังงานไฟฟ้าเกิดขึ้นโดยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ถูกหมุนด้วยกังหันลม คำถาม: กราฟข้างล่างนี้ แสดงความเร็วลมเฉลี่ยตลอดปีในสี่บริเวณต่างกัน กราฟรูปใดชี้บอกบริเวณที่เหมาะสมในการตั้งเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังลม ม.ค. 1. ความเร็วลม ธ.ค. 2. 4. 3.

116 ตัวอย่างข้อสอบ: กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ลิปมัน ตารางข้างล่างนี้ แสดงส่วนผสมที่แตกต่างกันสองสูตร ของเครื่องสำอางที่นักเรียนสามารถทำเองได้ ลิปสติกจะแข็งกว่าลิปมันซึ่งอ่อนและเป็นมันกว่า ลิปมัน ส่วนผสม : น้ำมันละหุ่ง 5 กรัม ไขผึ้ง 0.2 กรัม ไขมันปาล์ม 0.2 กรัม สีผสมอาหาร 1 ช้อนชา สารแต่งรสชาติ 1 หยด วิธีทำ : อุ่นน้ำมันและไขในภาชนะที่แช่อยู่ในน้ำร้อน จนผสมเข้ากันดี จึงเติมสีผสมอาหารและสารแต่งรสชาติ แล้วคนให้เข้ากัน ลิปสติก ไขผึ้ง 1 กรัม ไขมันปาล์ม 1 กรัม คำถาม: ในการทำลิปมันและลิปสติก น้ำมันและไขถูกผสมเข้าด้วยกัน แล้วเติมสีผสมอาหารและสารแต่งรสชาติลิปสติกที่ทำจากส่วนผสมนี้จะแข็งและใช้ยาก นักเรียนจะเปลี่ยนสัดส่วนของส่วนผสมอย่างไรเพื่อทำให้ลิปสติกอ่อนลงกว่าเดิม ………………………………………………………………………………………………………………………

117 ตัวอย่างข้อสอบ: กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
กันแดด มีนาและดนัย สงสัยว่าผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดใดจะปกป้องผิวของพวกเขาได้ดีที่สุด ผลิตภัณฑ์กันแดดมีค่าการปกป้องแสงแดด (SPF) ที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดดูดกลืนรังสีอัลตราไวโอเลตซึ่งเป็นส่วนประกอบของแสงแดดได้ดีเพียงใด ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF สูงจะปกป้องผิวได้นานกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF ต่ำ มีนาคิดหาวิธีเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดต่างๆ เธอและดนัยจึงได้รวบรวมสิ่งต่อไปนี้ แผ่นพลาสติกใสที่ไม่ดูดกลืนแสงแดดสองแผ่น กระดาษไวแสงหนึ่งแผ่น น้ำมันแร่ (M) และครีมที่มีส่วนประกอบของซิงค์ออกไซด์ (ZnO) และสารกันแดดสี่ชนิด ใช้ชื่อ S1 S2 S3 และ S4 มีนาและดนัยใช้น้ำมันแร่เพราะว่ามันยอมให้แสงแดดส่วนใหญ่ผ่านไปได้ และใช้ซิงค์ออกไซด์เพราะกันแสงแดดได้เกือบสมบูรณ์ ดนัยหยดสารชนิดละหนึ่งหยดลงภายในวงกลมที่เขียนไว้บนแผ่นพลาสติกแผ่นหนึ่ง แล้วใช้แผ่นพลาสติกแผ่นที่สองวางทับด้านบน ใช้หนังสือเล่มใหญ่ๆ กดทับบนแผ่นพลาสติกทั้งสอง จากนั้น มีนาวางแผ่นพลาสติกทั้งสองบนกระดาษไวแสง กระดาษไวแสงมีสมบัติเปลี่ยนสีจากเทาเข้มเป็นสีขาว (หรือสีเทาอ่อนมากๆ) ขึ้นอยู่กับว่ามันจะถูกแสงแดดนานเท่าใด สุดท้ายดนัยนำแผ่นที่ซ้อนกันทุกแผ่นไปไว้ในบริเวณที่ถูกแสงแดด

118 ตัวอย่างข้อสอบ: กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
กันแดด คำถาม: กระดาษไวแสงที่มีสีเทาเข้ม จะจางลงเป็นสีเทาอ่อนเมื่อถูกแสงแดดเล็กน้อย และเป็นสีขาวเมื่อถูกแสงแดดมากๆ แผนผังใดที่แสดงแบบรูปที่อาจเกิดขึ้นได้จากการทดลอง จงอธิบายด้วยว่าทำไมนักเรียนจึงเลือกข้อนั้น คำตอบ: …………….. คำอธิบาย:……………………………………………………………………………………… …………………………………

119

120

121

122

123

124

125

126


ดาวน์โหลด ppt PISA: Programme for International Students Assessment

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google