ความแตกต่าง ระหว่าง คนจนกับคนรวย
ชีวิตหนึ่งนั้นแสนสั้น และ มีเพื่อนได้น้อยมาก
วันหนึ่ง มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวย วางแผนพาลูกชายไปชนบท เพื่อเรียนรู้ชีวิตคนจน พวกเขาคลุกคลีอยู่กับครอบครัวที่ว่ากันว่าจนแสนจนเป็นเวลาสองวันสองคืน จึงได้ลาจากมา
ระหว่างเดินทางกลับ เศรษฐีก็ถามลูกว่า “ทริปนี้ของเรา เป็นอย่างไรบ้าง?” ระหว่างเดินทางกลับ เศรษฐีก็ถามลูกว่า “ทริปนี้ของเรา เป็นอย่างไรบ้าง?” “มันยอดมากครับพ่อ”ลูกยืนยัน “เห็นไหมลูก ว่าคนยากคนจนเขาต้องอยู่กันอย่างไร” พ่อรุกเร้าด้วยสมคะเน “ แน่นอนครับพ่อ..ชัดมาก”ลูกตอบ “ ถ้าเช่นนั้น อธิบายให้พ่อฟังหน่อยว่าลูกได้เรียนรู้อะไรบ้างจากทริปคนจนนี้” เศรษฐีถามอย่างดีใจ
ลูกชายเริ่มบรรยายว่า” ผมเห็นพวกเขามีหมาสี่ตัว แต่เรามีตัวเดียว บ้านเรามีสระน้ำกว้างถึงกลางสวน พวกเขามีธารน้ำใสไกลสุดตา สวนบ้านเราประดับด้วยตะเกียงนำเข้าสิบกว่าดวง ส่วนราตรีของพวกเขากลับมีดาวพราวพร่าง เต็มผืนฟ้า”
ลานนั่งเล่นในสวนของเรา ลาดปูไปจนถึงขอบสนามหน้าบ้าน ส่วนพวกเขาจะนั่งนอนเล่นตรงไหน ก็ได้ทั่วไปหมด พ่อกับผมมีที่ดินผืนหนึ่งให้อยู่อาศัยแต่เขากลับมีท้องทุ่งกว้างใหญ่สุดสายตา
เราต้องมีคนรับใช้ไว้คอยบริการ แต่พวกเขากับให้บริการกันเอง เราต้องจับจ่ายซื้อหาอาหาร แต่พวกเขากลับเพาะปลูกและเก็บกินเองได้ เราต้องมีกำแพงล้อมตัวไว้ป้องกัน แต่เขากลับป้องกันด้วยเพื่อนๆที่ รายล้อมบ้าน"
ผู้เป็นพ่อ ฟังแล้วก็เงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตา แล้วจบว่า “ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า เราจนขนาดไหน !”
คุณเห็นด้วยกับผมไหมครับว่า “แว่นตาชีวิต”นี่ช่างเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ยิ่ง คิดดูสิครับว่า โลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด ถ้าเราทุกคนเปลี่ยนมาเป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามี แทนที่จะดิ้นรนไขว่คว้า เพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา
ขอจงพอใจในแต่ละสิ่งที่คุณมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนๆของคุณ โปรดส่งสารนี้ต่อไปให้เขาเหล่านั้นได้ปรับแว่นตา และทัศนะวิสัยในชีวิตของตนต่อไปด้วย
โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง ชีวิตหนึ่ง..นั้นแสนสั้นและมีเพื่อนได้น้อยมาก
ด้วยรัก และ นับถือยิ่ง