เอลนิโญ (El Nino) เอลนิโญ (El Nino) มาจากภาษาสเปญ ที่แปลว่า "เด็กชาย" ชาวเปรูอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งอยู่ติดกับชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใกล้ๆเส้นศูนย์สูตร.

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "เอลนิโญ (El Nino) เอลนิโญ (El Nino) มาจากภาษาสเปญ ที่แปลว่า "เด็กชาย" ชาวเปรูอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งอยู่ติดกับชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใกล้ๆเส้นศูนย์สูตร."— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1

2 เอลนิโญ (El Nino) เอลนิโญ (El Nino) มาจากภาษาสเปญ ที่แปลว่า "เด็กชาย" ชาวเปรูอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งอยู่ติดกับชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใกล้ๆเส้นศูนย์สูตร

3

4

5

6

7

8

9

10 ปรากฏการณ์เอลนิโญ เกิดจากการเปลี่ยนทิศทางของ ลมสินค้าหรือลมที่พัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือและลม ที่พัดจากทิศตะวันออกเฉียงใต้พัดเข้าหาแนวเส้นศูนย์สูตร ในมหาสมุทรแปซิฟิกเปลี่ยนทิศทาง ทำให้กระแสน้ำอุ่น ไหลย้อนกลับตามกระแส ส่งผลให้บริเวณที่เคยมีกระแสแห้งแล้งและมีอากาศ หนาวเย็นมาก่อนกลับมีฝนตกชุกกว่าเดิมและมีสภาพ อบอุ่นขึ้น

11 ปรากฏการณ์เอลนิโญ เกิดจากพื้นโลกรับความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ไม่เท่ากัน บริเวณเส้นศูนย์สูตรจะรับความร้อนมากกว่าขั้วโลกเหนือและใต้มากมาย น้ำทะเลและอากาศจะเป็นตัวพาความร้อนออกจากเส้นศูนย์สูตรไปยังขั้วโลกทั้งสอง น้ำทะเลที่ผิวมหาสมุทรจะร้อนขึ้นจนระเหยกลายเป็นไอขึ้นไป น้ำอุ่นข้างล่างผิวน้ำและใกล้เคียงจะเข้ามาและกลายเป็นไออีก เป็นเหตุให้มีการไหลทดแทนของน้ำและอากาศจากที่เย็นกว่าไปสู่ที่อุ่นกว่า

12 ลักษณะนี้ทำให้มีลมพัดจากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกมาหาแนวเส้นศูนย์สูตรทางแปซิฟิกตะวันตก

13 ลมสินค้าได้พัดน้ำให้ไหลตามมาด้วย จากการสำรวจทาง ดาวเทียมพบว่า น้ำทะเลแถวอินโดนีเซียมีระดับสูงกว่าทางฝั่ง เปรูประมาณครึ่งเมตร ซึ่งทางฝั่งเปรูนั้น เมื่อน้ำทะเลชั้นบนที่ ร้อนได้ไหลมาทางตะวันตกตามแรงลมแล้ว น้ำทะเลด้านล่างซึ่ง เย็นกว่าก็จะลอยขึ้นมาแทนที่ หอบเอาแพลงตอนซึ่งเป็นอาหาร ปลาลอยขึ้นมาด้วย ทำให้ท้องทะเลย่านนี้มีปลาเล็กปลาใหญ่ชุก ชุม

14 ส่วนทางแปซิฟิกตะวันตกนั้น เมื่อมีน้ำอุ่นที่ถูกลมพัดพามา สะสมไว้จนเป็นแอ่งใหญ่ จึงมีเมฆมากฝนตกชุก อากาศบริเวณ นี้จึงร้อนชื้น ที่บอกว่าน้ำทะเลร้อนและเย็นนั้น ตามปรกติก็จะ ร้อนและเย็นประมาณ 30 และ 22 องศาเซลเซียส

15 เมื่อเกิดเอลนิโน ลมสินค้าจะมีกำลังอ่อนลงทำให้ไม่สามารถพยุง น้ำทะเลทางแปซิฟิกตะวันตกให้อยู่ในระดับสูงอย่างเดิมได้ น้ำอุ่นจึงไหลย้อนมาทางตะวันออก แอ่งน้ำอุ่นซึ่งเปรียบได้กับ น้ำร้อนในกะทะใบใหญ่ซึ่งเคยอยู่ชิดขอบตะวันตกของ มหาสมุทรแปซิฟิกจึงเคลื่อนไปทางทิศตะวันออก การลอยตัว ของน้ำเย็นจากก้นทะเลจึงมีน้อย มีผลทำให้น้ำด้านแปซิฟิก ตะวันออกอุ่นขึ้น

16 โดยสรุป เอลนิโญ คือ การไหลย้อนกลับของผิวน้ำทะเล ที่อุ่นในช่วงเวลาหนึ่งจากบริเวณเส้นศูนย์สูตรทางมหาสมุทร แปซิฟิกตะวันออกไปแทนที่กระแสน้ำเย็นที่ไหลอยู่เดิมตาม

17

18 เอลนิโญ เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วนานนับพันปี และในทุก 10 ปี จะเกิดปรากฎการณ์นี้เฉลี่ย 2 ครั้งๆ ละ ประมาณ 8-12 เดือน ความจริงเอลนิโญไม่ได้ทำให้อากาศร้อนอย่างเดียว ยังทำให้บางพื้นที่ในประเทศทางซีกโลกเหนือมีความหนาวเย็นและมีหิมะตกหนักกว่าปกติด้วย

19 ผลของปรากฏการณ์เอลนิโญ
1. สัตว์ทะเลมีโอกาสสูญพันธุ์สูงมาก เมื่อเกิดภาวะเอลนิโญการไหลของกระแสน้ำอุ่นผิดทิศทางไป ซึ่งกระทบกระเทือนต่อการ ขยายพันธุ์ของปลาและแหล่งอาหารมาก เราคงได้ยินข่าวฝูงปลาวาฬว่ายไปเกยตื้นบ่อยๆ เพราะหลงทิศทางน้ำ 2. ปะการังและสัตว์ทะเลที่มีสาหร่ายเซลเดียว (Zooxanthellae) อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อ และมีส่วนอย่างสำคัญทำให้เหล่านี้มีสีสันที่สวยงาม ต่างพากันเกิดอาการฟอกขาว เพราะตัวสาหร่ายทนความร้อนไม่ได้ต้องตายหรือหนีหายไป

20 3. นกต่าง ๆ ที่อาศัยปลาเป็นอาหารก็กำลังมีจำนวน น้อยลง เช่น นกเพนกวิน
4. สัตว์ป่าต้องพบกับภาวะแห้งแล้งเช่นกัน หาอาหารได้ ยากขึ้น และล้มตายมากมายด้วยไฟป่า 5. เกิดเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ ความจริงนักวิทยาศาสตร์ ไม่แน่ใจนักแต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เชื้อโรคสายพันธุ์ ใหม่จะเกิดขึ้น เพราะอากาศร้อนกว่าปกติอย่างยาวนาน

21 6. แมลงและสัตว์ขนาดเล็กซึ่งเป็นพาหะของโรคต่าง ๆ ทวีจำนวนมากขึ้น พบว่ามีโรคเก่า ๆ ที่คิดว่าปราบราบคาบ ไปแล้วกลับคืนชีพมาอีกอย่างน่าประหลาดใจ 7. แมลงศัตรูพืชเพิ่มจำนวนขึ้น ที่เนวาดาพบว่ามีตั๊กแตนยั้วเยี้ยไปหมด เพราะสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการขยายพันธุ์ 8. เอลนิโญใช่ว่าจะให้แต่โทษเพราะในบางพื้นที่ที่ไม่เคยได้รับฝนก็อาจจะได้รับฝนเพราะอิทธิพลของเอลนิโญ และส่งผลให้เกิดฝนตกชุกและเกิดพายุที่รุนแรง ถี่ขึ้นเรื่อยๆในซีกโลกด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแถบทวีปอเมริกากลาง

22 เมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงถึง 3 องศาเซลเซียสยังจะทำให้เกิดปรากฏการณ์เอลนิโญ ทำให้เกิดความแห้งแล้งในที่ที่เคยมีฝนตก และเกิดฝนตกหนักในที่ที่ไม่เคยตกมาก่อน

23

24

25 ลานีญา(La Nina) :: La Nina ในภาษาสเปญนั้น แปลว่า "เด็กหญิง"

26 ลานีญา เป็นปรากฏการณ์ที่มีลักษณะตรงข้ามกับเอลนีโญ คือมีลักษณะคล้ายคลึงกับสภาวะปกติ แต่ทว่ารุนแรงกว่า กล่าวคือ กระแสลมสินค้าตะวันออกมีกำลังแรง ทำให้ ระดับน้ำทะเลบริเวณทางซีกตะวันตกของมหาสมุทร แปซิฟิกสูงกว่าสภาวะปกติ ลมสินค้ายกตัวเหนือประเทศ อินโดนีเซีย ทำให้เกิดฝนตกอย่างหนัก น้ำเย็นใต้มหาสมุทร ยกตัวขึ้นแทนที่กระแสน้ำอุ่นพื้นผิวมหาสมุทรแปซิฟิกทาง ซีกตะวันตก ก่อให้เกิดธาตุอาหาร ฝูงปลาชุกชุม ตาม บริเวณชายฝั่งประเทศเปรู

27 ลานีญา คือความผันผวนของสภาพอากาศโลก ซึ่งเป็น ปรากฎการณ์ช่วงระยะเวลาเย็นลงของน้ำทะเลของปรากฏการณ์ เอลนิโญ โดยจะส่งผลให้พื้นที่ที่เคยมีอากาศหนาวเย็นอยู่แล้วมี อุณหภูมิลดต่ำลงไปอีก และในบริเวณที่มีฝนตกเป็นประจำจะมี ฝนตกชุกยิ่งขึ้น

28

29

30 เอลนีโญ ลานีญา

31 สำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบจากลานีญามากที่สุด คือ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ตอนล่าง เนื่องจากอยู่ใต้เส้น ศูนย์สูตร ตรงมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ สำหรับประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลความชุ่มชื้นจากพายุฝน ที่ก่อตัวจากมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันออกของหมู่เกาะ ฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเคลื่อนเข้าไทยเป็นประจำประมาณ 3-4 ลูกต่อปี แต่เมื่อเกิดปรากฎการณ์เอลนีโญ พายุก็เปลี่ยนทิศทางขึ้น เหนือเข้าสู่ทะเลจีนใต้หมด ทำให้ประเทศไทยและประเทศอื่นๆที่ อยู่แถบแหลมอินโดจีนเกิดภาวะแห้งแล้งในปี 2540 และต้นปี 2541

32 ผลกระทบของลานีญา

33 ปรากฏการณ์เรือนกระจก (greenhouse effect) คือ ปรากฏการณ์ที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น เนื่องจาก พลังงานแสงอาทิตย์ ์ในช่วงความยาวคลื่น อินฟราเรดที่สะท้อนกลับถูกดูดกลืนโดย โมเลกุลของ ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ CO2 มีเทน (CH4) และ CFCsไนตรัสออกไซด์ (N2O)

34 ปรากฏการณ์เรือนกระจกค้นพบโดยโจเซฟ ฟูเรียร์ เมื่อ พ. ศ
ปรากฏการณ์เรือนกระจกค้นพบโดยโจเซฟ ฟูเรียร์ เมื่อ พ.ศ และได้รับการตรวจสอบเชิงปริมาณโดยสวานเต อาร์รีเนียส ในปี พ.ศ โดยกระบวนการเกิดขึ้นโดย การดูดซับและการปลดปล่อยรังสีอินฟราเรดโดยแก๊สเรือน กระจกเป็นตัวทำให้บรรยากาศและผิวโลกร้อนขึ้น

35

36 คาร์บอนไดออกไซด์ 9–26% แก๊สมีเทน (CH4) 4–9% โอโซน 3–7%
 แก๊สเรือนกระจกหลักบนโลกคือ ไอระเหยของน้ำ ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดปรากฏการณ์โลกร้อนมาก ถึงประมาณ 30-60% (ไม่รวมก้อนเมฆ) คาร์บอนไดออกไซด์ 9–26% แก๊สมีเทน (CH4) 4–9% โอโซน 3–7% ซึ่งหากนับโมเลกุลต่อโมเลกุล แก๊สมีเทนมีผลต่อปรากฏการณ์ เรือนกระจกมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ความเข้มข้นน้อยกว่า มาก

37 ดังนั้นแรงการแผ่ความร้อนจึงมีสัดส่วนประมาณหนึ่งในสี่ ของคาร์บอนไดออกไซด์ และยังมีแก๊สอื่นอีกที่เกิดตาม ธรรมชาติแต่มีปริมาณน้อยมาก หนึ่งในนั้นคือ ไนตรัส ออกไซด์ (N2O) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการทำกิจกรรมของมนุษย์ เช่นเกษตรกรรม ความเข้มในบรรยากาศของ CO2 และ CH4 เพิ่มขึ้น 31% และ 149 % ตามลำดับ

38  ก๊าซชนิดใดบ้างที่มีบทบาทในการทำให้เกิดปรากฏการณ์ให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  (CO2) เป็นก๊าซที่สะสมพลังงานความร้อน ในบรรยากาศโลกไว้มากที่สุดและมีผลทำให้ อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น มากที่สุดในบรรดาก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่นๆ  CO2ส่วนมากเกิดจาก การกระทำของมนุษย์เช่น               - การเผาไหม้เชื้อเพลิง               - การผลิตซีเมนต์               - การเผาไม้ทำลายป่า

39     ก๊าซมีเทน (CH4) เป็นก๊าซที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จาก มูลสัตว์เลี้ยง เช่น วัว  ควาย  การเผาไหม้เชื้อเพลิง ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ การใช้ปุ๋ย มูลสัตว์ที่ย่อยสลาย การสันดาปน้ำมันเชื้อเพลิงจากอุตสาหกรรมที่ใช้กรดไนตริกในขบวนการผลิต เช่นอุตสาหกรรมเคมี  อุตสาหกรรมพลาสติก บางชนิดอุตสาหกรรมผลิตเส้นใยไนลอน

40 คลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbon- CFCs) เป็นสารสังเคราะห์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม ประกอบด้วย คาร์บอน (C) คลอรีน (Cl) และฟลูออรีน (F) ซึ่ง ส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เครื่องทำความเย็นใน ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โฟม กระป๋องสเปรย์ สารดับเพลิง  สารชะล้าง ในอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิคส์ซึ่งเป็นสารที่ทำลายชั้น บรรยากาศโอโซน เป็นสาเหตุทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น  รังสีเหนือม่วงชนิด B หรือ Ultraviolet B ส่งมายังผิวโลก มากขึ้น 

41

42

43

44

45 การพยากรณ์อากาศ คือ การคาดหมายสภาวะอากาศและ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งใน อนาคต ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับสภาวะอากาศที่เกิดขึ้นใกล้ตัวเรา เช่นฝน อุณหภูมิ เมฆ หมอก คลื่นลม รวมทั้งภัยธรรมชาติที่รุนแรงและไม่ รุนแรง ได้แก่ พายุหมุนเขตร้อน, พายุฝนฟ้าคะนอง,การเกิดอุทกภัย, ภัยแล้ง ฯลฯ การพยากรณ์สภาวะอากาศดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ตาม ช่วงเวลาของการพยากรณ์ คือ

46 1. การพยากรณ์อากาศระยะสั้น (Short Range Forecast) เป็นการพยากรณ์อากาศในช่วงเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ใช้ข้อมูลผลการตรวจอากาศ และแผนที่อากาศใน ปัจจุบันมาวิเคราะห์ตามแนวทางทฤษฎีอุตุนิยมวิทยา เพื่อการ พยากรณ์อากาศ สามารถแบ่งช่วงเวลาการพยากรณ์ออกได้ การพยากรณ์อากาศปัจจุบัน (Nowcast) ช่วงเวลา พยากรณ์ไม่เกิน 3 ชั่วโมง 1.2 การพยากรณ์อากาศสั้นมาก (Very Short Range) ช่วงเวลาพยากรณ์ไม่เกิน 12 ชั่วโมง 1.3 การพยากรณ์อากาศสั้น (Short – Range) ช่วงเวลาพยากรณ์ไม่เกิน 72 ชั่ว

47 2. การพยากรณ์อากาศระยะปานกลาง (Medium- range Forecast) คือ การพยากรณ์อากาศใน ระยะเวลามากกว่า 72 ชั่วโมง จนถึง 10 วัน ใช้ข้อมูล อุตุนิยมวิทยาปัจจุบันร่วมกับข้อมูลจากสถิติภูมิอากาศในการ พยากรณ์ 3. การพยากรณ์อากาศระยะนาน (Longe Range Forecast) เป็นการพยากรณ์อากาศในช่วงเวลามากกว่า 10 วันขึ้นไป ใช้ข้อมูลสถิติทางอุตุนิยมวิทยาในการพยากรณ์

48 นอกจากทฤษฎีทางอุตุนิยมวิทยาแล้ว ระบบของการตรวจ อากาศมีส่วนสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพยากรณ์ อากาศ ให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นก่อนที่จะได้มาซึ่งการพยากรณ์อากาศ เราจำเป็น จะต้องมีสถานีตรวจอากาศทั้งอากาศผิวพื้น และตรวจ อากาศชั้นบน เพื่อทำการตรวจวัดสารประกอบทาง อุตุนิยมวิทยา เช่น ความกดอากาศ อุณหภูมิ ลม ฯลฯ และจำเป็นจะต้องมี

49 เรดาร์ตรวจอากาศ เพื่อตรวจจับพื้นที่และความรุนแรงของฝน
ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา เพื่อตรวจวัดข้อมูลอุตุนิยมวิทยา โดยเฉพาะในบริเวณที่ห่างไกล และยากลำบากต่อการติดตั้ง สถานีตรวจอากาศ เช่นบริเวณเทือกเขา ป่าไม้ ทะเลทราย มหาสมุทร เกาะแก่งต่าง ๆ ฯลฯ การติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดระดับน้ำตามแม่น้ำสำคัญต่าง ๆ เพื่อตรวจวัดปริมาณการไหลของน้ำ ล้วนเป็นส่วนสำคัญอย่าง ยิ่งในการเสริมสร้างระบบการพยากรณ์อากาศให้มีความ สมบูรณ์ยิ่ง

50

51 ดาวเทียมเพื่อการพยากรณ์อากาศ


ดาวน์โหลด ppt เอลนิโญ (El Nino) เอลนิโญ (El Nino) มาจากภาษาสเปญ ที่แปลว่า "เด็กชาย" ชาวเปรูอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งอยู่ติดกับชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใกล้ๆเส้นศูนย์สูตร.

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google