วิชากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "วิชากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 วิชากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ธนรัตน์ ทั่งทอง

2 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค 1 – 2
ภาคปกติ ชั่วโมง/สัปดาห์ 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ ภาคค่ำ ชั่วโมง/สัปดาห์ 1 ชั่วโมง/สัปดาห์ ศึกษาปัญหาในกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเฉพาะบทบัญญัติว่าด้วยหลักทั่วไป อำนาจพนักงานสอบสวนและศาล การฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเรียกและหมายอาญาการจับ ขัง จำคุก ค้น ปล่อยชั่วคราวและการสอบสวน โดยการวิเคราะห์ หลักฎหมาย ทฤษฎีและคำพิพากษาศาลฎีกา เพื่อให้สามารถปรับใช้บทบัญญัติของกฎหมายได้ในเชิงปฏิบัติ

3

4 หลักการดำเนินคดีอาญา 3 ขั้นตอน
1. กระบวนการก่อนฟ้องคดี 2. กระบวนการหลังฟ้องคดี 3. กระบวนการชั้นบังคับคดี

5 กระบวนการก่อนฟ้องคดี
1.1 เรื่องพื้นฐาน - ความผิดอาญาแผ่นดิน - ความผิดต่อส่วนตัว - ผู้เสียหาย ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4), 4, 5, 6 - คำร้องทุกข์ คำกล่าวโทษ ป.วิ.อ. มาตรา 2 (7) (8)

6 1.2 ชั้นสอบสวน ผู้มีอำนาจสอบสวน - ความผิดท้องที่เดียว ป.วิ.อ.มาตรา 18 - ความผิดเกี่ยวพันกันหลายท้องที่ ป.วิ.อ. มาตรา 9 - ความผิดกระทำนอกราชอาณาจักร ป.วิ.อ. มาตรา 20 - ไม่แน่ว่าพนักงานสอบสวนคนใดรับผิดชอบ ป.วิ.อ. มาตรา 21, 21/1

7 1. 2. 2 ขั้นตอนการสอบสวน - คดีที่ผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่ ป. วิ. อ
1.2.2 ขั้นตอนการสอบสวน - คดีที่ผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่ ป.วิ.อ. มาตรา 133, 134, 134/1, 134/4, คดีที่ผู้เสียหายเป็นเด็ก ป.วิ.อ. มาตรา 133 ทวิ, 134/2 - คดีที่ต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ป.วิ.อ. มาตรา 150, 155/1 - คดีอาญาเลิกกัน ป.วิ.อ มาตรา 37, 38, 39 (3) - การชี้ตัวบุคคล ป.วิ.อ. มาตรา 133 วรรคท้าย, 133ตรี

8 1.3 ชั้นพนักงานอัยการ 1.4 ขณะฟ้องคดีอาญา
1.3 ชั้นพนักงานอัยการ - สั่งไม่ฟ้อง/สั่งสอบสวนเพิ่มเติม/สั่งฟ้อง ป.วิ.อ.มาตรา 140, 141, 142, 143, 144, 145, 145/1, 146, 147 1.4 ขณะฟ้องคดีอาญา - ศาลที่รับฟ้อง ป.วิ.อ. มาตรา 22, 23, 25, 40 - การฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา ป.วิ.อ มาตรา 43, 44/1, 46, 51

9 2. กระบวนการหลังฟ้องคดี
2. กระบวนการหลังฟ้องคดี 2.1 เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างพิจารณาของศาล - ผู้เสียหายขอร่วมเป็นโจทก์กับอัยการ ป.วิ.อ. มาตรา 30 - อัยการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหาย ป.วิ.อ. มาตรา 31 - ถอนฟ้อง ป.วิ.อ. มาตรา 35, 36 - คดีอาญาระงับ ป.วิ.อ. มาตรา 39 - ผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง ป.วิ.อ. มาตรา 29

10

11 ข้อสอบเนติบัณฑิต สมัยที่ 70 ปีการศึกษา 2561
ข้อ 1 นายขาวเป็นลูกหนี้ของนายเหลืองตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งที่พิพากษาให้นายขาวชำระเงินแก่นายเหลือง ภายหลังจากทราบว่าศาลมีคำพิพากษา นายขาวเกรงว่าที่ดินเป็นทรัพย์สินอย่างเดียวที่ตนมีอยู่จะต้องถูกบังคับคดีนำออกขายทอดตลาดจึงได้นำไปโอนขายแก่บุคคลภายนอก การกระทำของนายขาวนี้มีนายดำสนับสนุนให้นายขาวกระทำความผิด จากนั้นอีกไม่นานนายเหลืองได้โอนสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาที่ตนมีอยู่ต่อนายขาวให้แก่นายฟ้าไป ต่อมานายฟ้ามาแจ้งนายเหลืองว่า นายขาวนำที่ดินไปโอนขายให้แก่บุคคลอื่นเสียแล้ว นายเหลืองจึงนำคดีมาฟ้องนายขาวและนายดำเป็นคดีอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ นายขาวและนายดำให้การต่อสู้คดีว่า นายเหลืองไม่มีอำนาจฟ้อง ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลนายขาวถึงแก่ความตาย ทนายความของนายขาวและนายดำยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยถึงแก่ความตายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในคดีนี้ย่อมระงับไป ขอให้จำหน่ายคดีนี้ออกเสียจากสารบบความ ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายขาวและนายดำฟังขึ้นหรือไม่ และศาลจะมีคำสั่งตามคำร้องของทนายความของนายขาวและนายดำอย่างไร

12 ธงคำตอบ สิทธิในการเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) เป็นสิทธิเฉพาะตัว นายเหลืองเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดของนายขาวและนายดำ และไม่อาจโอนสิทธิไปให้บุคคลอื่นได้ การพิจารณาสิทธิในการเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาต้องพิจารณาในขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แม้ขณะฟ้องคดีนายเหลืองโอนสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาในคดีแพ่งให้แก่นายฟ้าไปแล้วก็ตาม แต่ในวันที่นายขาวและนายดำกระทำความผิด นายเหลืองยังเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าว เมื่อนายดำเป็นผู้สนับสนุนให้นายขาวโอนขายที่ดินของตนเพื่อมิให้นายเหลืองเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน นายเหลืองจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้และมีอำนาจฟ้องนายขาวตัวการและนายดำผู้สนับสนุนได้ตามมาตรา 28(2) (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8782/2558) ข้อต่อสู้ของนายขาวและนายดำฟังไม่ขึ้น

13 ธงคำตอบ (ต่อ) การกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้มีนายขาวเป็นตัวการ และมีนายดำเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด กรณีตามคำร้องของทนายความของนายขาวและนายดำที่อ้างว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปแล้วนั้น สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(1) เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ถึงแก่ความตาย ไม่มีผลถึงผู้กระทำความผิดคนอื่น ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องผู้สนับสนุนการกระทำความผิดระงับลงเพราะความตายของตัวการ แม้นายขาวตัวการถึงแก่ความตาย แต่ศาลมีอำนาจพิจารณาความผิดของนายดำในฐานะผู้สนับสนุนได้ สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องนายดำจึงยังไม่ระงับไป ศาลต้องสั่งจำหน่ายคดีของนายขาวออกเสียจากสารบบความ เนื่องจากสิทธินำคดีอาญามาฟ้องนายขาวเป็นอันระงับไป ส่วนนายดำต้องยกคำร้องเพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องนายดำยังไม่ระงับ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2560)

14 ข้อสอบเนติบัณฑิต สมัยที่ 70 ปีการศึกษา 2561
ข้อ 2 นายหนุ่มใช้อุบายหลอกลวงนางสวยว่าสามารถนำนางสวยไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟและบรรจุอาหารที่ประเทศญี่ปุ่นได้ แต่แท้จริงคือการค้าประเวณี โดยนายหนุ่มพานางสวยไปยังสถานค้าประเวณีที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ข้อเท็จจริงปรากฏว่าอัยการสูงสุด (ก) มอบหมายให้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ทำการสอบสวน โดยให้พนักงานอัยการสำนักคดีอาญาร่วมทำการสอบสวน และ (ข) มอบหมายให้ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์หรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ให้วินิจฉัยว่า การที่อัยการสูงสุดมอบหมายตาม (ก) และ (ข) ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

15 ธงคำตอบ (ก) การที่นายหนุ่มใช้อุบายหลอกลวงนางสวยเพื่อให้ค้าประเวณี โดยนายหนุ่มพานางสวยออกจากอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์มายังเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และส่งนางสวยไปยังสถานค้าประเวณีที่ประเทศญี่ปุ่น เหตุเกิดหลายท้องที่เกี่ยวพันกันทั้งในและนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 การกระทำของนายหนุ่มจึงเป็นการกระทำความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทยและได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทยด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 โดย มาตรา 20 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบหรือจะมอบหมายหน้าที่นั้นให้พนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนคนใดเป็นผู้รับผิดชอบทำการสอบสวนแทนก็ได้ และมาตรา 20 วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนจะมอบหมายให้พนักงานอัยการคนใดทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนก็ได้ ดังนั้น การที่อัยการสุงสุดมอบหมายให้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ทำการสอบสวนโดยให้พนักงานอัยการสำนักคดีอาญาร่วมทำการสอบสวน จึงชอบด้วยกฎหมาย

16 ธงคำตอบ (ข) เมื่ออัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ทำการสอบสวน โดยให้พนักงานอัยการสำนักคดีอาญาร่วมทำการสอบสวนแล้ว พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ย่อมเป็นผู้รับผิดชอบทำการสอบสวนได้ ดังนั้น การที่อัยการสูงสุดมอบหมายให้ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์หรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ จึงชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6552/2559)

17 ข้อสอบเนติบัณฑิต สมัยที่ 70 ปีการศึกษา 2561
ข้อ 3 (ก) โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้ลงโทษในความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ต่อมาโจทก์ตรวจพบว่าตนมิได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต วันรุ่งขึ้นหลังจากศาลชั้นต้นอนุญาตให้ถอนฟ้องคดีดังกล่าวแล้ว โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้ลงโทษในความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วในมูลคดีอาญาความผิดเดียวกันกับคดีก่อนและขอให้ลงโทษจำเลยในบทมาตราเดียวกันและถอนฟ้องใหม่ จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยอีกจึงพิพากษายกฟ้อง (ข) โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ซึ่งต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงท้ากันในคดีแพ่งของศาลชั้นต้นว่าหากจำเลยยอมไปสาบานตนด้วยถ้อยคำที่ตกลงกันถือว่าโจทก์แพ้คดีแพ่ง และโจทก์ขอแสดงเจตนาถอนฟ้องคดีอาญาที่ได้ฟ้องจำเลยเป็นหนังสือ ปรากฏว่าโจทก์แพ้คำท้า ศาลชั้นต้นจึงบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ส่วนในคดีอาญา ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ได้แสดงเจตนาขอถอนฟ้องไว้เป็นหนังสือแล้วและมีการบันทึกไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณา จำเลยไม่คัดค้านการถอนฟ้อง จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องกับจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ให้วินิจฉัยว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นตาม(ก) และคำสั่งศาลชั้นต้นตาม (ข) ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

18 ธงคำตอบ (ก) การที่โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อนเนื่องจากโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง ซึ่งเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยได้ยื่นคำฟ้องใหม่ในวันรุ่งขึ้นในฐานความผิดเดิมนั้น แสดงว่า โจทก์ประสงค์จะถอนฟ้องไปเพี่อยื่นฟ้องใหม่ให้ถูกต้องเท่านั้น การถอนฟ้องคดีก่อนจึงมิใช่การถอนฟ้องเด็ดขาดตามความหมายในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยในมูลคดีอาญาความผิดเดียวกันอีกได้ ไม่เป็นการต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยตามมาตรา 36 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10354/2559)

19 ธงคำตอบ (ข) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คำร้องขอถอนฟ้องคดีอาญาจะยื่นเวลาใดก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ได้ ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตหรือมิอนุญาตให้ถอนก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรประการใด...” เท่ากับให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้ถอนฟ้องด้วยวิธีใดแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร ดังนั้น เมื่อโจทก์แพ้คดีตามคำท้าอันมีผลเท่ากับโจทก์แสดงเจตนาถอนฟ้องในคดีอาญาตามคำท้า แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งให้โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเข้ามาอีก แต่เมื่อเป็นการถอนฟ้องก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยก็ไม่คัดค้านการถอนฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องกับจำหน่ายคดีอาญาออกจากสารบบความจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2654/2560)

20 ประเภทคดีอาญา 1. คดีอาญาแผ่นดิน
1. คดีอาญาแผ่นดิน 1.1 คดีอาญาแผ่นดินที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย คดีที่กฎหมายมุ่งประสงค์ให้รัฐ หรือเจ้าพนักงานของรัฐเท่านั้นที่มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ไม่มีเอกชนเป็นผู้เสียหายจึงไม่สามารถฟ้องร้องหรือร่วมเป็นโจทก์กับอัยการได้ หากมีเอกชนได้รับความเสียหายก็เป็นเพียงผู้เสียหายโดยพฤตินัยเท่านั้น เช่น - ความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ (ฎีกาที่ 1231/2533, 2713/2541) - ความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ (ฎีกาที่ 1637/2548) - ความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ (ฎีกาที่ 2096/2530, 1141/2531, 1949/2542, 3449/2543, 8119/2559) - ความผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (ฎีกาที่ 1562/2532, 8883/2550) - ความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากรฯ และพ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด (ฎีกาที่ 3797 – 3798/2540) - ความผิดตาม พ.ร.บ. อาหาร (ฎีกาที่ 6513/2546)

21 - ความผิดฐานเคลื่อนย้ายและทำลายศพ ตาม ป. อ
- ความผิดฐานเคลื่อนย้ายและทำลายศพ ตาม ป.อ. มาตรา 199 (ฎีกาที่ 6202/2538, 2110/2548) - ความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอก ตาม ป.อ. มาตรา 147 (ฎีกาที่ 171/2504) - ความผิดฐานซ่องโจร (ฎีกาที่ 16640/2555, 6046/2559) - ความผิดฐานขัดขืนหมายหรือคำสั่งศาลตาม ป.อ. มาตรา 170 (ฎีกาที่ 2046/2533) ข้อสังเกต ความผิดที่กล่าวมาเป็นความผิดต่อรัฐ เอกชนไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดได้ ไม่ว่าจะเป็นร้องทุกข์หรือฟ้องร้อง หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับอัยการ หรืออุทธรณ์ฎีกา และไม่อาจมีผู้จัดการแทนผู้เสียหายได้ แต่เอกชนอาจกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดได้

22 1.2 คดีอาญาแผ่นดินที่มีผู้เสียหาย
คดีอาญาที่ผู้กระทำความผิดได้กระทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและแก่เอกชนกฎหมายมุ่งประสงค์ให้ทั้งรัฐและเอกชนเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายมิใช่เป็นเพียงโดยพฤตินัย เจ้าพนักงานของรัฐมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีอาญาแทนแผ่นดิน และขณะเดียวกันเอกชนผู้ได้รับความเสียหายหรือผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายก็มีอำนาจดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดด้วยโดยไม่ต้องพึ่งรัฐ เช่น - คดีความผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ.มาตรา 295 - คดีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ตาม ป.อ. มาตรา 288 - ฐานอื่นๆ เช่น ป.อ.มาตรา 137 ฯลฯ

23 1. 3 คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว (ตาม ป. วิ. อ
1.3 คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว (ตาม ป.วิ.อ.) หรือคดีความผิดอันยอมความได้ (ตาม ป.อ.) คดีที่ความเสียหายเกิดขึ้นกับผู้เสียหายเป็นการเฉพาะตัวโดยตรงไม่ได้เกิดความเสียหายแก่แผ่นดิน ดังนั้นผู้มีอำนาจในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดจึงได้แก่ตัวผู้เสียหายเองตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4) หรือผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามมาตรา 4, 5, 6 เฉพาะบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ที่จะต้องเริ่มต้นคดีโดยการฟ้องร้อง หรือร้องทุกข์ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย ความผิดใดเป็นคดีความผิดอันยอมความได้ระบุไว้ชัดแจ้งตาม ป.อ. คดีอาญาทั้ง 3 ประเภท แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน เป็นพื้นฐานในการที่จะดำเนินการตาม ป.วิ.อ. ในเรื่องอื่นๆ จึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ในเบื้องต้นให้ได้เสียก่อนว่าคดีอาญาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นประเภทใด

24 ผู้เสียหาย (ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4))
ผู้เสียหาย (ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4)) ผู้เสียหายมีสิทธิดำเนินคดีทุกขั้นตอนตั้งแต่การร้องทุกข์ การฟ้องคดี การเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการ เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การถอนฟ้อง ยอมความ การอุทธรณ์-ฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ผู้เสียหาย มี 2 ประเภท 1. ผู้เสียหายโดยแท้จริง 2. ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายโดยแท้จริงตามมาตรา 4, 5, 6

25 1. ผู้เสียหายโดยแท้จริง มีหลักเกณฑ์ 1
1. ผู้เสียหายโดยแท้จริง มีหลักเกณฑ์ 1.1 มีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น 1.2 ผู้เสียหายต้องเป็นบุคคลตามกฎหมาย 1.3 บุคคลนั้นต้องได้รับความเสียหายอันเนื่องมากจากการกระทำความผิดนั้น 1.4 เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย

26 1.1 มีกระทำความผิดเกิดขึ้น การกระทำทางอาญาแบ่งได้เป็นการคิด การตกลงใจ การตระเตรียมการ การลงมือกระทำการ ถ้าลงมือแล้วไม่สำเร็จก็เป็นเพียงการพยายาม ถ้าสำเร็จก็เป็นความผิดสำเร็จ โดยส่วนใหญ่กฎหมายจะเอาผิดนับตั้งแต่ขั้นพยายามกระทำความผิด เป็นต้นไป เว้นแต่ความผิดบางประเภทที่จะถือเป็นความผิดตั้งแต่ในขั้นตระเตรียมการ เช่น ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน มาตรา 107 – 110 การตระเตรียมการเป็นกบฏ มาตรา 133 การตระเตรียมการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร มาตรา 128 การตระเตรียมการวางเพลิงเผาทรัพย์มาตรา 219 แต่นอกจากนี้ต้องถือว่าการตระเตรียมการไม่เป็นความผิด จึงไม่ถือว่าเป็นกรณีที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว

27 1.2 เป็นบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดนั้น อาจจะเป็นบุคคลธรรมดาซึ่งต้องมีสภาพบุคคลในขณะนั้นหรือนิติบุคคลซึ่งคือนิติบุคคลตาม ป.พ.พ. ได้แก่ สมาคม มาตรา 78 – 109 มูลนิธิ มาตรา 110 – 136 ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล มาตรา 1064 ห้างหุ้นส่วนจำกัด มาตรา 1078 บริษัทจำกัดมาตรา 1096 หรือนิติบุคคลตามกฎหมายอื่น เช่น กระทรวงทบวง กรม ต่างๆ มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ มาตรา 7

28 ข้อพิจารณาเกี่ยวกับนิติบุคคลที่เป็นผู้เสียหายและผู้มีอำนาจดำเนินการแทนตามคำพิพากษาฎีกามีดังนี้ กรมต่างๆ ในกระทรวงกลาโหมไม่เป็นนิติบุคคล ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ โดยตาม พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ แก้ไขโดย พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ 5) พ.ศ บัญญัติให้ส่วนราชการกระทรวงกลาโหมเฉพาะ สำนักงานปลัดกระทรวง กรมราชองค์รักษ์ กองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ เท่านั้นที่เป็นนิติบุคคล กรมอื่นๆ เช่น กรมแพทย์ กรมการขนส่งทหารบก กรมสื่อสารทหารเรือ ไม่เป็นนิติบุคคล คำพิพากษาฎีกาที่ 1352/2544 วินิจฉัยว่า มณฑลทหารบกที่ 31 เป็นเพียงหน่วยงานของกองทัพบกสังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ มาตรา 17 กำหนดให้กองทัพบกเป็นนิติบุคคล มณฑลทหารบกที่ 31 ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย 2. ศาลเจ้า แม้ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลแต่มีกฎเสนาบดีว่าด้วยด้วยกุศลสถานชนิดศาลเจ้า กำหนดให้ผู้จัดการปกครองศาลเจ้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งมีอำนาจหน้าที่เข้าเป็นโจทก์จำเลยในคดีแพ่งและอาญาที่เกี่ยวกับศาลเจ้าได้ (ฎ.4806/40)

29 3. นิติบุคคลที่เกี่ยวกับศาสนาต่างๆ 3
3. นิติบุคคลที่เกี่ยวกับศาสนาต่างๆ 3.1 วัดทางศาสนาพุทธ เฉพาะวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเท่านั้นจึงจะเป็นนิติบุคคล วัดที่เป็นสำนักสงฆ์จึงไม่เป็นนิติบุคคล (ฎ.7490/42) 3.2 วัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก มีฐานะเท่ากับบริษัทจึงเป็นนิติบุคคล (ฎ.4033 – 8037/38) 3.3 มัสยิดที่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วมีฐานะเป็นนิติบุคคล ส่วนมัสยิดที่ยังไม่จดทะเบียนก็ยังไม่เป็นนิติบุคคล (ฎ.4480/28) 4. มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะหรือพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไป เช่น สนามม้า โดยนายสนามม้า (ฎ.1683/05) สำนักสงฆ์ที่มิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคล (2386/41) กองทุนหมู่บ้าน (ฎ.6600/49) สหกรณ์ (ฎ.5865/55) คุรุสภาซึ่งมีปัญหาในการตีความกฎหมายเกี่ยวกับผู้มีอำนาจร้องทุกข์ (ฎ /59 กลับ ฎ /57)

30 1.3 บุคคลนั้นต้องได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดนั้น ผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก ผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก ได้แก่ เจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้ครอบครองดูแลทรัพย์ขณะที่ถูกยักยอก ดูฎีกาที่ 5097/2531, /2512, 2386/2541 ผู้เช่าซื้อเป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์รถที่เช่าซื้อ เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ที่เช่าซื้อ แม้ผู้เช่าซื้อไปร้องทุกข์ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากผู้ให้เช่าซื้อก็ถือว่าเป็นการร้องทุกข์ในนามของตนเองด้วย ผู้เช่าซื้อจึงถอนคำร้องทุกข์ได้ ดูฎีกาที่ 7832/2556 ถ้าภายหลังผู้เช่าซื้อตายมีผู้ยักยอกทรัพย์ที่เช่าซื้อ สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าซื้อย่อมตกทอดแก่ทายาทของผู้เช่าซื้อ ทายาทของผู้เช่าซื้อย่อมเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก ดูฎีกาที่ 6007/2530

31 กรณีผู้เช่าซื้อขายรถที่เช่าซื้อให้แก่ผู้อื่นไป แม้ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าซื้อก็ตาม เมื่อผู้ซื้อรถยักยอกรถไป ทั้งผู้เช่าซื้อและผู้ให้เช่าซื้อก็ยังคงเป็นผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 1949/2556 ฎีกาที่ 7062/2548 โจทก์ให้ อ.ทำสัญญากู้ยืมเงินจากสหกรณ์การเกษตร บ.จำกัด เป็นเงิน 500,000 บาท โดยโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินของโจทก์เพื่อประกันหนี้ ซึ่งเหตุที่ให้ อ.เป็นผู้กู้ยืมเพราะโจทก์ไม่ได้เป็นสมาชิกของสหกรณ์ฯ ต่อมา อ. ไปรับเงินที่กู้ยืมซึ่งเมื่อคิดหักชำระหนี้สินและค่าหุ้นแล้ว คงได้รับเป็นเงิน 431,928 บาท แต่โจทก์ยังไม่ได้รับเงินจาก อ. ดังนี้จึงต้องถือว่า อ. เป็นลูกหนี้ชั้นต้นที่ต้องรับผิดต่อสหกรณ์ฯ และเป็นเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในเงินที่กู้ยืมจากสหกรณ์ฯ ตราบเท่าที่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ต่อให้แก่ผู้ใด เมื่อโจทก์ไม่ได้มอบให้จำเลยเป็นตัวแทนไปรับเงินจาก อ. ดังนั้น หาก อ. จะได้มอบเงินให้จำเลยเพื่อฝากต่อให้แก่โจทก์ ก็เป็นเรื่องความรับผิดระหว่าง อ. กับจำเลย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องจำเลยได้ในความผิดฐานนี้ (ฐานยักยอก) ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4)

32 เรื่องนี้ ถือว่า อ. เป็นผู้กู้เงินจากสหกรณ์ฯ เอง ไม่ใช่กู้เงินแทนโจทก์ เมื่อ อ. ได้รับเงินที่กู้มา เงินจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของ อ. ไม่ได้ตกเป็นของโจทก์ เมื่อจำเลยนำเงินที่กู้จาก อ. แล้วไม่นำไปมอบให้โจทก์ อ. จึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก ไม่ใช่โจทก์ ผู้ครอบครองดูแลทรัพย์สินของสำนักสงฆ์ซึ่งแม้ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ก็เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก ดูฎีกาที่ 2386/2541 คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านมีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกกองทุนกู้เงินไปลงทุน แม้ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่เงินที่จำเลยยักยอกเป็นเงินที่ได้จากการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านเมื่อจำเลยยักยอกเอาเงินดังกล่าวไป คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านซึ่งเป็นผู้ครอบครองดูแลเงินดังกล่าวเป็นผู้เสียหายได้ ดูฎีกาที่ 6600/2549

33 ในคดีแพ่ง ศาลสั่งคุ้มครองประโยชน์โดยให้จำเลยเก็บเงินค่าเช่าทรัพย์นำมาวางศาลเงินที่จำเลยเก็บมายังไม่ตกเป็นเงินของโจทก์ ดังนี้การที่จำเลยไม่นำมาวางศาลกลับนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตน โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหาย (ฎีกาที่ 171/2544) ในคดีแพ่งโจทก์จำเลยตกลงยอมความกัน จำเลยชำระหนี้ให้แก่ทนายโจทก์โดยโจทก์มิได้มอบหมายให้รับเงินแทน ทนายโจทก์จึงไม่มีอำนาจรับเงินนั้น เงินดังกล่าวจึงยังไม่ตกเป็นของโจทก์ เมื่อทนายโจทก์ยักยอกเงินนั้นโจทก์ไม่เป็นผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 815/2535 (ประชุมใหญ่), 190/2532 แต่ถ้าทนายโจทก์ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้รับเงินแทนโจทก์ เงินที่ได้รับย่อมตกเป็นของโจทก์ในฐานะตัวการทันที ทนายโจทก์ยักยอกเงินนั้น โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก ดูฎีกาที่ 33/2532

34 กรณีตัวแทนหรือลูกจ้างรับเงินหรือสิ่งของจากบุคคลภายนอกไว้แทนตัวการหรือนายจ้างสิทธิในเงินหรือสิ่งของนั้นย่อมตกเป็นของตัวการหรือนายจ้างทันที การที่ตัวแทนหรือลูกจ้างยักยอกเงินหรือสิ่งของนั้น ตัวการหรือนายจ้างจึงเป็นผู้เสียหาย ส่วนผู้ชำระเงินหรือสิ่งของไม่ใช่ผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 373/2559, /2546, 2250/2544, 556/2541, 7671/2550 ฎีกาที่ 373/2559 จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัท ท. เมื่อจำเลยที่ 2 รับเงินค่าเบี้ยประกันที่โจทก์ผู้เอาประกันภัยทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท ท. ไว้จากโจทก์ จึงเป็นการรับไว้แทนบริษัท ท. เพื่อนำไปมอบให้แก่บริษัท ท. เงินค่าเบี้ยประกันภัยจึงตกเป็นของบริษัท ท. แล้ว การที่จำเลยที่ 2 เบียดบังเอาเงินดังกล่าวไปเป็นของตนเองตามที่โจทก์ฟ้องบริษัท ท. เป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยที่ 2 ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4) โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2

35 กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ถือว่าหุ้นส่วนแต่ละคนโดยลำพังเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอกเงินของห้างหุ้นส่วนได้ ดูฎีกาที่ 9948/2555 สำหรับกรณีห้างหุ้นส่วนจำกัด ถือว่าห้างฯ เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินของห้างฯ หุ้นส่วนผู้จัดการไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ในนามของตนเอง ดูฎีกาที่ 5008/2537 ตามกฎหมายถือว่าหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นบุคคลต่างหากจากห้างฯ แต่หุ้นส่วนผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ทำการแทนห้างฯ เหตุผลที่ศาลฎีกาถือว่าห้างฯ เป็นผู้เสียหายที่แท้จริง และหุ้นส่วนผู้จัดการไม่ใช่ผู้เสียหาย คงเป็นเพราะการครอบครองดูแลทรัพย์สินของหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นการครอบครองแทนห้างฯ นั่นเอง

36 เดิมศาลฎีกาวินิจฉัยว่าหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งเป็นผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นถือว่าเป็นผู้ครอบครองดูแลทรัพย์สินของห้างฯ เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินของห้างได้ ดูฎีกา 2157/2518 ในกรณีที่มีผู้ยักยอกทรัพย์สินของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล นิติบุคคลนั้นย่อมเป็นผู้เสียหาย ผู้ถือหุ้นไม่ใช่ผู้เสียหาย (ฎ /2531) ถ้าผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคลยักยอกเงินหรือทรัพย์สินอื่นของนิติบุคคลเสียเอง เช่นนี้ ผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคลก็คงไม่ยอมดำเนินคดีกับตนเอง ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน เป็นผู้เสียหายดำเนินคดีกับผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคลนั้นๆ ได้ ดูฎีกาที่ 115/2535, 1250/2521 (ประชุมใหญ่), 1680/2520 เมื่อเจ้าของทรัพย์สินตาย ทรัพย์มรดกตกแก่ทายาท ทายาทย่อมเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอกซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเจ้ามรดกตายได้ แม้จะยังไม่ได้ครอบครองทรัพย์ที่ถูกยักยอกก็ตาม ดูฎีกาที่ 1938/2494 นอกจากนี้ผู้จัดการมรดก เป็นผู้ครอบครองดูแลจัดการทรัพย์มรดก จึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอกทรัพย์มรดกเช่นกัน ดูฎีกาที่ 47/2519 (ประชุมใหญ่)

37 ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง
  ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง โดยปกติได้แก่ ผู้ที่ถูกหลอกลวง เช่น จำเลยหลอกผู้เช่าซื้อให้ขายเงินดาวน์รถยนต์แก่จำเลยและนำเอารถยนต์ไป ผู้เช่าซื้อเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง ดูฎีกา 7960/2551 แม้ผู้ที่ถูกหลอกลวงกระทำในฐานะผู้แทนบริษัทซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยก็ถือว่าเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามาตรา 2 (4) ดูฎีกาที่ 2679/2559 ฎีกาที่ 4684/2528 (ประชุมใหญ่) การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการของโจทก์ร่วมหลอกลวงลูกค้าของโจทก์ร่วมว่าโจทก์ร่วมขึ้นราคาสินค้า ลูกค้าหลงเชื่อซื้อตามนั้น เงินส่วนที่ขายเกินกำหนดเป็นเงินของลูกค้าส่งมอบให้จำเลยเพราะถูกจำเลยหลอกลวง มิใช่เป็นเงินที่จำเลยได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 810 จึงเป็นเงินของลูกค้าผู้ถูกหลอกลวงหาใช่เงินของโจทก์ร่วมไม่ โจทก์ร่วมจึงมิใช่ผู้เสียหาย เมื่อลูกค้าผู้เป็นเจ้าของเงินซึ่งเป็นผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ข้อสังเกต เรื่องนี้ จำเลยหลอกลวงลูกค้าและเอาเงินเฉพาะส่วนที่เกินราคาสินค้าไปผู้ที่ถูกหลอกลวงก็คือลูกค้าที่ซื้อสินค้าและเงินส่วนที่เกินก็เป็นของลูกค้า ลูกค้าจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของสินค้าแต่ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าสินค้าที่ลูกค้าจ่ายเกินนั้น การที่จำเลยในฐานะตัวแทนของโจทก์ร่วมรับเงินไว้จึงไม่ถือว่าเป็นการรับไว้แทนโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย

38 ผู้ที่ถูกหลอกลวงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง แม้จะมิได้เป็นเจ้าของทรัพย์ ดูฎีกาที่ 1341/2495 หรือผู้อื่นเป็นผู้ส่งทรัพย์ให้ก็ตาม ดูฎีกาที่ 1064/2491 เจ้าของทรัพย์สินที่ไม่ใช่ผู้ถูกหลอกลวงด้วยเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงได้ดูฎีกาที่ 8575/2551 กรณีเจ้าของเงินไม่ได้ถูกหลอกลวงแต่เป็นผู้ทำสัญญากู้ในฐานะผู้ให้กู้ก็เป็นผู้เสียหายได้ ดูฎีกาที่ 10552/2553 แต่การที่จำเลยมีเจตนาหลอกลวงทรัพย์สินของคนหนึ่ง ผู้ถูกหลอกลวงนำเรื่องไปบอกแก่บุคคลที่สาม บุคคลที่สามหลงเชื่อจึงมอบเงินส่วนหนึ่งให้แก่ผู้ถูกหลอกลวงนำไปมอบให้แก่จำเลย ดังนี้ ผู้ถูกจำเลยหลอกลวงเท่านั้นเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนบุคคลที่สามไม่เป็นผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 6969/2555 กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนหุ้นส่วนทุกคนย่อมจัดการห้างหุ้นส่วนนั้นได้ทุกคน จึงเป็นผู้เสียหายในความผิดที่กระทำต่อทรัพย์ของห้างฯ ได้ ดูฎีกาที่ 3559/2550 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือยักยอก (ดู ฎ.9948/2555 เรื่องผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก)

39 จำเลยเอาเช็คไปปลอมลายมือชื่อของผู้รับเงินสลักหลังโอนให้จำเลย แล้วนำไปหลอกลวงธนาคารให้จ่ายเงิน เป็นการกระทำต่อธนาคาร ไม่ได้กระทำต่อผู้รับเงินตามเช็ค ดังนี้ธนาคารและเจ้าหน้าที่ธนาคารที่ถูกหลอกลวงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนผู้ที่มีชื่อเป็นผู้รับเงินตามเช็คไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดดังกล่าว ดูฎีกาที่ 2193/2534 ข้อสังเกต เรื่องนี้ ถือว่าโจทก์ร่วมมิได้เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง เพราะโจทก์ร่วมมิได้ถูกจำเลยหลอกลวง ทั้งเงินที่จำเลยเบิกจากธนาคารมาได้ก็ยังไม่ถือว่าเป็นเงินของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงไม่ได้รับความเสียหายในการหลอกลวงของจำเลย แต่การที่จำเลยปลอมลายมือชื่อโจทก์ร่วมสลักหลังเช็ค ถือว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานปลอมเอกสารแล้ว

40 ในกรณีการรับฝากเงิน ผู้รับฝากมีสิทธินำเงินที่รับฝากไปใช้ได้ เพียงแต่มีหน้าที่ต้องคืนเงินแก่ผู้ฝากให้ครบจำนวนเท่านั้น (ป.พ.พ. มาตรา 672) หากมีผู้มาหลอกลวงเอาเงินจากผู้รับฝาก ผู้รับฝากก็ยังมีหน้าที่คืนเงินให้แก่ผู้ฝาก ผู้ฝากจึงไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง ผู้รับฝากเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ /2558, 87/2506 (ประชุมใหญ่) , 613/2540 ข้อสังเกต เรื่องนี้ โจทก์ร่วมเป็นธนาคาร จำเลยปลอมลายมือชื่อของเจ้าของบัญชีฝากในคำขอใช้บริการบัตร เอ.ที.เอ็ม. จากนั้นได้ลักบัตรไปถอนเงินจากธนาคาร ถือว่าเงินที่ได้มานั้นยังเป็นเงินของธนาคารไม่ใช่เงินของลูกค้าผู้ฝากเงิน (เพราะลูกค้าไม่ได้เป็นผู้ขอออกบัตร) ธนาคารจึงเป็นผู้เสียหาย (ฐานลักทรัพย์ ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม) แต่ถ้าเป็นกรณีที่จำเลยหลอกลวงเอาบัตร เอ.ที.เอ็ม. ที่แท้จริงจากลูกค้าของธนาคารแล้วนำไปถอนเงินจากตู้เบิกเงินด่วน ถือว่าเงินที่ถอนมาเป็นเงินของลูกค้าแล้ว ลูกค้าเป็นผู้เสียหาย เทียบฎีกาที่ 671/2539, 4611/2549

41 ความเสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง ต้องเป็นความเสียหายโดยตรงจากการหลอกลวงของผู้กระทำผิด ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าการหลอกลวงของจำเลยเป็นผลให้โจทก์ถูกจำเลยฟ้องเป็นคดีแพ่ง มิใช่ความเสียหายโดยตรง โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 1357/2533 ฎีกาที่ 736/2504 จำเลยหลอกลวงว่าจะพาไปเรียนหนังสือต่อที่กรุงเทพฯ ให้โจทก์เตรียมหาเงินไว้ และแนะนำให้โจทก์ลักเงินของบิดา โจทก์ปฏิบัติตาม เมื่อได้เงินมาแล้วมอบให้จำเลย จำเลยได้เอาเงินนั้นไปเสีย ดังนี้โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานลักทรัพย์แต่เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง ข้อสังเกต จำเลยมีความผิดฐานใช้ให้โจทก์ลักทรัพย์ และฐานฉ้อโกงโจทก์สำหรับความผิดฐานลักทรัพย์นั้น โจทก์เป็นผู้กระทำผิดฐานลักทรัพย์เอง จึงไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ส่วนความผิดฐานฉ้อโกง โจทก์ถูกจำเลยหลอกลวง โจทก์ไม่มีส่วนในการกระทำฐานนี้ด้วย จึงยังคงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานนี้อยู่

42 ฎีกาที่ 2600/2516 ป. ตกลงว่าจ้าง ส
ฎีกาที่ 2600/2516 ป.ตกลงว่าจ้าง ส. ซ่อมรถยนต์ คิดเป็นเงิน12,500 บาท ในระหว่างกำลังซ่อม จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของ ส. ได้หลอกลวง ป. ให้เชื่อว่าทางอู่ของ ส. ให้จำเลยมาขอรับเงิน 5,000 บาท เพื่อไปซื้อเครื่องอะไหล่ในการซ่อมรถ ป.จึงมอบเงินให้จำเลยไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงและ ป. ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว จึงมีอำนาจร้องทุกข์ได้ ถึงแม้ ส. จะรับเงินค่าซ่อมแซมอีกเพียง 7,500 บาท ไว้จาก ป. และมอบรถให้ ป. ไปก็ตาม ก็เป็นเรื่องระหว่าง ป.กับ ส. ไม่เกี่ยวกับจำเลยและเงินที่จำเลยรับไป ไม่ทำให้ ป. ผู้ถูกหลอกลวงพ้นจากการเป็นผู้เสียหาย ข้อสังเกต ป. เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงเพราะเป็นผู้ที่ถูกจำเลยหลอก แม้ภายหลัง ส.จะยอมรับเงินค่าซ่อมรถยนต์เฉพาะส่วนที่ขาดอยู่เท่านั้น ไม่ได้ให้ ป. ต้องรับผิดเต็มจำนวนที่ตกลงกัน ป.ก็ยังคงเป็นผู้เสียหายอยู่

43 ฎีกาที่ 4018/2542 การที่จำเลยที่ 1 นำใบบันทึกรายการขายปลอมไปใช้เบิกเงินจากธนาคาร ธนาคารจึงเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่ผู้ถือบัตรเครดิตที่ถูกปลอมลายมือชื่อเป็นผู้เสียหาย ข้อสังเกต โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมและฐานฉ้อโกง จำเลยคงฎีกาเฉพาะปัญหาว่าธนาคารเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ จะเห็นได้ว่าผู้ถือบัตรเครดิตไม่ใช่ผู้ที่ถูกหลอกลวง ไม่ใช่เจ้าของเงิน และไม่ต้องรับผิดชอบในรายการค่าใช้จ่ายดังกล่าว จึงไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง

44 ส่วนความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้น การที่จำเลยไปปลอมลายมือชื่อของผู้ถือบัตร ผู้ถือบัตรย่อมได้รับความเสียหายในตัว ผู้ถือบัตรจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ ฎีกาที่ 12582/2547 แม้พนักงานอัยการจะมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยคืนเงินแก่ธนาคาร ท. ผู้จ่ายเงินตามใบบันทึกรายการขายที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตปลอมของจำเลยก็ตามแต่เมื่อความเสียหายที่ธนาคาร ท. ได้รับนั้น เป็นเพียงความเสียหายทางแพ่ง ไม่ใช่ถูกจำเลยกระทำทางอาญา จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4) พนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจขอให้ศาลสั่งจำเลยคืนเงินที่ธนาคาร ท. จ่ายให้ร้าน ห. ให้แก่ธนาคาร ท. ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 ได้ ข้อสังเกต จำเลยปลอมบัตรเครดิตว่าของธนาคาร ท. โดยระบุชื่อ ส. แล้วนำไปซื้อสินค้าที่ร้าน ห. โดยอ้างว่าจำเลยคือ ส. ธนาคาร ท. จ่ายเงินค่าส่งสินค้าให้แก่ร้าน ห. ดังนี้ ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงตนว่าเป็น ส. แก่ร้าน ห. จึงเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานขายของร้าน ห. เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนธนาคาร ท. มิได้ถูกจำเลยหลอกลวงด้วย ทั้งทรัพย์สินที่มอบให้จำเลยก็เป็นสินค้าของร้าน ห. ธนาคาร ท. จึงมิใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง พนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจขอให้ศาลสั่งจำเลยคืนเงินที่ธนาคาร ท. จ่ายให้ร้าน ห. ให้แก่ธนาคาร ท. ได้

45 ผู้เสียหายโดยนิตินัยในความผิดฐานฉ้อโกง ผู้เสียหายมอบเงินให้จำเลยนำไปให้เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บุตรของตนเข้ารับราชการโดยไม่ต้องสอบอันเป็นการหลอกลวงผู้เสียหาย ถือว่าผู้เสียหายใช้ให้จำเลยกระทำผิด ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ดูฎีกาที่ 1960/2534 แต่ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายให้เงินจำเลยไปเพี่อให้จำเลยนำไปให้เจ้าพนักงานกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อช่วยให้เข้ารับราชการโดยไม่ต้องสอบ เช่นนี้ยังเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ดูฎีกาที่ 4744/2537, 4005/2551, 4691/2547

46 แต่ถ้าผู้ถูกหลอกลวงมิได้กระทำความผิดใด ๆ ไม่อาจถือได้ว่าร่วมกันนำสินบนไปให้เจ้าพนักงานเพื่อให้ตนเองพ้นผิด ยังคงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย ดูฎีกาที่ 4212/2550 แต่ถ้าหลอกลวงให้ผู้เสียหายเล่นการพนันเพื่อเอาเงินจากผู้เสียหายเสียเองไม่ได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายเข้าร่วมเล่นการพนันเพื่อต้มหรือหลอกลวงบุคคลอื่นแล้ว ผู้เสียหายมิได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิดฐานฉ้อโกงด้วย เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ดูฎีกาที่ 5612/2556, 1335/2552, 3327/2532 แต่มีฎีกาที่ 3369/2556 วินิจฉัยไปอีกทางหนึ่ง ดูฎีกาดังกล่าว

47 ฎีกาที่ 3369/2556 การที่ให้ผู้เสียหายเล่นการพนันนั้นเป็นเหตุที่ทำให้จำเลยทั้งสองได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายไปเพราะผู้เสียหายร่วมเล่นการพนันด้วย โดยผู้เสียหายเป็นฝ่ายแพ้พนันจึงมอบทรัพย์สินให้จำเลยทั้งสองกับพวกไป เมื่อผู้เสียหายทราบดีว่าเป็นการเล่นการพนันซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย จึงถือว่าผู้เสียหายร่วมกันกระทำความผิดฐานเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตกับจำเลยทั้งสองกับพวกอันเป็นความผิดตามกฎหมาย ผู้เสียหายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย แม้ผู้เสียหายจะร้องทุกข์ไว้ย่อมเท่ากับไม่มีการร้องทุกข์ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นผลห้ามมิให้การทำการสอบสวนต่อไป ดังนั้น การสอบสวนที่ดำเนินต่อมาจึงไม่ก่อสิทธิเกิดอำนาจแก่พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้

48 จำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าจะนำเงินไปปล่อยกู้เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไปปล่อยกู้เป็นการแสวงหาผลประโยชน์อันเกิดจากการกระทำผิดกฎหมาย โจทก์ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ดูฎีกาที่ 13489/2553, 12530/2556 หลอกลวงว่าจะขายธนบัตรปลอมให้เป็นความตกลงที่มีวัตถุประสงค์ผิดกฎหมายไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย (ฎ.771/2493)

49 ผู้เสียหายในความผิดฐานลักทรัพย์ ทำให้เสียทรัพย์ รับของโจร บุกรุก ความผิดฐานลักทรัพย์ ทำให้เสียทรัพย์ รับของโจร บุกรุกเป็นการกระทำที่กระทบต่อกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครอง ดังนี้เจ้าของทรัพย์หรือผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์นั้นเป็นผู้เสียหาย ในความผิดดังกล่าวได้ เช่น ผู้ขนส่งเป็นผู้ครอบครองดูแลทรัพย์ที่ขนส่ง เป็นผู้เสียหายโดยตรงจากการที่ทรัพย์ที่ขนส่งสูญหาย ดูฎีกาที่ 12578/2547, /2539 สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่ง กรรมสิทธิ์ก็ยังคงเป็นของผู้ขาย ดูฎีกาที่ 761/2555 หรือกรณีแม้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายได้โอนไปยังผู้ซื้อแล้ว แต่ตราบใดที่ผู้ขายยังครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ ดูฎีกาที่ 5855/2550 ทั้งสองกรณีผู้ขายย่อมเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานลักทรัพย์ ผู้รับประกันภัยที่ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย (ผู้เสียหาย) มิใช่ผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์โดยตรง ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานลักทรัพย์ ดูฎีกาที่ 880/2555

50 ผู้เสียหายในความผิดฐานบุกรุก
ผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์ เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานลักทรัพย์ ทำให้เสียทรัพย์และบุกรุกได้ ดูฎีกาที่ 1548/2535, 1284/2514, 634/2536 ผู้เช่าเป็นผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่เช่า เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานบุกรุก ดูฎีกาที่ 1355/2504 ผู้ให้เช่าซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ก็เป็นผู้เสียหายด้วยเช่นกัน ดูฎีกาที่ 13489/2553

51 ผู้ครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยในความผิดฐานบุกรุก ดูฎีกาที่ 3884/2556, 928/2520 (ประชุมใหญ่) ฎีกาที่ 928/2520 (ประชุมใหญ่) การที่โจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่คูเมืองอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น การครองครอบของโจทก์ไม่อาจใช้ยันต่อรัฐได้ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุก ผู้ได้รับอนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ป่าสงวนแห่งชาติ ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานบุกรุก ดูฎีกาที่ 6256/2559 แต่ถ้าเป็นเพียงที่ดินของรัฐที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ผู้ครอบครองที่ดินเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานบุกรุก แม้ผู้บุกรุกเป็นผู้ที่ได้รับหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินก็ตาม ดูฎีกาที่ 15933/2557 ข้อสังเกต แม้ผู้ครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานบุกรุก แต่อาจเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานทำให้เสียหายแก่ต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างที่ผู้ครอบครองปลูกสร้างไว้ในสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ ดูฎีกาที่ 5310/2530, 17209/2555

52 ผู้เสียหายในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ผู้เสียหายในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ได้แก่ เจ้าของทรัพย์และผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์นั้น ผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงจากเจ้าของทรัพย์ให้เป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์นั้นด้วย ถ้าเจ้าของเพียงแต่อนุญาตให้พักอาศัยอยู่ในห้องพัก ผู้ที่พักอาศัยไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ดูฎีกาที่ 3523/2541

53 กรณีผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์ที่จะเป็นผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์นี้ หมายถึง บุคคลที่ได้รับมอบหมายโดยตรงจากเจ้าของทรัพย์ให้ครอบครองทรัพย์นั้น เช่นผู้เช่า ผู้เช่าซื้อ ผู้รับฝากทรัพย์ ผู้ยืม หรือตัวแทน หากเป็นเพียงผู้ยืดถือใช้ทรัพย์โดยอาศัยสิทธิของเจ้าของทรัพย์ เช่น การใช้ทรัพย์ในฐานะบุตรไม่ใช่ผู้เสียหาย ดุฎีกาที่ 9270/2554 เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์และเต็นท์ซึ่งอยู่ในที่ดินนั้น จึงไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานทำให้รถยนต์และเต็นท์เสียหาย ดูฎีกาที่ 7477/2541 เรื่องทางภาระจำยอม เจ้าของสามยทรัพย์ (เจ้าของที่ดินที่มีสิทธิใช้ทางภาระจำยอม) ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองภารยทรัพย์ จึงไม่เป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องผู้ที่ทำให้ภารยทรัพย์นั้นเสียหาย ดูฎีกาที่ 1828/2523

54 ผู้เสียหายในความผิดฐานฟ้องเท็จ
ฎีกาที่ 1007/2524 การที่จำเลยนำความเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาถึงแม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แต่โจทก์ผู้ถูกฟ้องย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายและคำฟ้องในคดีนั้นก็ถือว่าเป็นคำฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานฟ้องเท็จตาม ป.อ. มาตรา 175 ได้

55 ผู้เสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จและแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ความผิดฐานเบิกความเท็จและแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 และ 180 ส่วนได้เสียในความผิดทั้ง 2 ฐานนี้ คือ ผลแห่งการแพ้คดีชนะคดี ดังนั้น ผู้ที่ได้รับความเสียหายจึงน่าจะเป็นคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีนั้นเองหรือเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ดูฎีกาที่ 533/2541, 4804/2531, 1033/2533, 951/2531 ต่อมามีคำพิพากษาฎีกาที่ 2224/2536 วินิจฉัยว่า ผู้เสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จไม่จำเป็นต้องคำนึงว่าเป็นคู่ความในคดี ถ้าคำเบิกความนั้นไปกระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอก ทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย ก็เป็นผู้เสียหายได้

56 โจทก์ร่วมถือเป็นคู่ความย่อมเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จได้ ดูฎีกาที่ 892/2516
คู่ความที่จะเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จจะต้องเป็นตัวความที่แท้จริง ทนายความไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ไม่มีอำนาจฟ้อง (ฎ.ที่ 1709/2524 ประชุมใหญ่) ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องหรือต่อสู้คดี แม้จะถือว่าเป็นคู่ความ แต่ก็มิใช่ผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงในความผิดฐานเบิกความเท็จ หรือนำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ดูฎีกาที่ 9127/2554

57 อย่างไรก็ดี คู่ความไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ในกรณีต่อไปนี้ 1. ข้อความที่เบิกความในชั้นไต่สวนคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของคู่ความฝ่ายนั้น ไม่เกี่ยวกับคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง แม้จะเป็นเท็จ คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จ ดูฎีกาที่ 555/2514 และกรณีเช่นนี้ถือว่าไม่เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งความเท็จด้วย ดูฎีกาที่ 1050/ กรณีคู่ความเบิกความเท็จในชั้นไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดี ถือว่าความเสียหายมิได้เกิดแก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งโดยตรง คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้นย่อมไม่เป็นผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 297/2508

58 3. ในกรณีจำเลยเบิกความเท็จในชั้นไต่สวนขออนุญาตยื่นคำให้การ ไม่ใช่กล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิด โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 1572/2525 4. จำเลยเบิกความเท็จเกี่ยวกับค่าเสียหาย แต่เป็นค่าเสียหายที่โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับโจทก์ไม่เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จจริง แม้โจทก์จะเป็นคู่ความในคดีก็ตาม ดูฎีกาที่ 8278/2540 สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะแล้วนั้น ไม่มีผลตั้งแต่ต้นดังนั้นแม้จำเลยจะเติมข้อความในสัญญาและเบิกความเท็จ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานปลอมเอกสารและเบิกความเท็จ ดูฎีกาที่ 1313/2531 การที่จำเลยฟ้องหรือเบิกความเท็จในคดีอาญาแม้ศาลจะพิพากษายกฟ้อง โจทก์ก็เป็นผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 3063/2543

59 ผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งความเท็จ แม้ความผิดฐานแจ้งความเท็จจะเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงาน แต่ราษฎรก็อาจเป็นผู้เสียหายได้ ถ้าได้รับความเสียหายโดยตรง เช่น ข้อความเท็จนั้นมีผลทำให้ผู้เสียหายต้องถูกดำเนินคดีอาญา ดูฎีกาที่ 2415/2535, 2625/2536 จำเลยเสนอหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับ (ป.วิ.พ. มาตรา 231) อันเป็นเท็จโดยแจ้งว่าหลักประกันมีราคาสูงเกินความจริง ทำให้ศาลหลงเชื่อ จึงรับไว้เป็นหลักประกันและอนุญาตให้ทุเลาการบังคับ ทำให้โจทก์ไม่อาจบังคับคดีได้ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ถือว่าโจทก์ในคดีดังกล่าวเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งความเท็จแล้ว ดูฎีกาที่ 2221/2515

60 กรณีต่างกับเรื่องยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าตนยากจนอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ของศาลโดยเฉพาะ คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงในความผิดฐานแจ้งความเท็จ ดูฎีกาที่ 1050/2518 ลูกหนี้มอบหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินไว้แก่เจ้าหนี้เพื่อเป็นประกันหนี้ แต่ลูกหนี้กลับไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานว่าหนังสือสำคัญสูญหายเพื่อขออกใบแทน เป็นการกระทำต่อเจ้าพนักงาน มิได้เจาะจงถึงเจ้าหนี้ เจ้าหนี้ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งความเท็จ ดูฎีกาที่ 8929/2556, 7957/2542 (ฎ.7223/2556, 1261/2517(ป) วินิจฉัยทำนองเดียวกัน) แต่การที่จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแทนโจทก์ จำเลยไปแจ้งเท็จว่าโฉนดที่ดินสูญหาย ความจริงอยู่ที่โจทก์ โจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งความเท็จ ดูฎีกาที่ 19287/2555

61 ขายที่ดินไปแล้วแต่กลับไปแจ้งความว่า น. ส. 3 หรือ ส. ค
ขายที่ดินไปแล้วแต่กลับไปแจ้งความว่า น.ส. 3 หรือ ส.ค. 1 หาย เพื่อนำไปขอออกใบแทนทำให้ผู้ที่ซื้อที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของแท้จริงได้รับความเสียหาย เจ้าของที่ดินเป็น ผู้ขายนำชี้ที่ดินที่ขายรุกล้ำเข้าไปในที่สาธารณะเพื่อนำไปขายเพิ่มให้ผู้จะซื้อ ผู้จะซื้อที่ดินไม่ได้รับความเสียหายเพราะมีสิทธิปฏิเสธไม่รับส่วนที่เพิ่มนั้นได้ ดูฎีกาที่ 5138/2537 บางกรณี แม้จำเลยแจ้งความโดยมิได้ระบุเจาะจงถึงผู้ใดโดยตรง แต่หากมีผลทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายโดยตรงก็ถือว่าเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งความเท็จได้ ดูฎีกาที่ 3554/2531 ชายจดทะเบียนสมรสซ้อน โดยแจ้งต่อนายทะเบียนว่าตนยังไม่เคยสมรสมาก่อน ดังนี้ทั้งภรรยาใหม่และภรรยาเดิมเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งความเท็จ ดุฎีกาที่ 2614/2518, 2583/2522, 5052/2530 ข้อสังเกต ตามคำวินิจฉัย แสดงว่าถ้าหญิงที่จดทะเบียนสมรสภายหลังทราบว่าชายมีภริยาอยู่ก่อนแล้วก็ยังยอมจดทะเบียนสมรสกับชายนั้นอีก ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ผู้ได้รับความเสียหาย ดูฎีกาที่ 1955/2546

62 ผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับเอกสาร กล่าวโดยเฉพาะความผิดฐานปลอมเอกสาร โดยปลอมลายมือของผู้อื่น ถือว่าผู้ที่ถูกมลายมือชื่อได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดฐานนี้โดยตรง จึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานปลอมเอกสารและฐานใช้เอกสารปลอม สำหรับความผิดฐานใช้เอกสารปลอมผู้ที่ได้รับความเสียหายรวมถึงผู้ที่จำเลยนำเอกสารปลอมนั้นไปใช้และผู้ได้รับความเสียหายจากการใช้เอกสารนั้นด้วย ดูฎีกาที่ 14793/2555, 3252/2545, 7001/2544, 9321/2554 จำเลยปลอมลายมือชื่อเจ้ามรดกว่าเจ้ามรดกทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน ซึ่งเป็นการแสดงว่าเจ้ามรดกขายที่ดินให้แก่จำเลยแล้วนำไปยื่นคำร้องของแสดงกรรมสิทธิ์และฟ้องร้องให้ทายาทโอนที่ดินให้แก่จำเลย ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ดูฎีกาที่ 9026/2553

63 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยึดโฉนดที่ดินของลูกหนี้ไว้เป็นประกันเงินกู้ จำเลยที่ 1 ขอโฉนดที่ดินไป ต่อมานำโฉนดที่ดินปลอมมาให้โจทก์ยึดถือแทนฉบับเดิม แม้ได้ความว่าผู้ปลอมได้นำโฉนดที่ดินฉบับที่เก็บรักษาไว้ที่สำนักงานที่ดินเป็นแบบในการปลอมก็เป็นการกระทำต่อโจทก์โดยตรงโจทก์เป็นผู้เสียหายฐานปลอมหรือใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ดูฎีกาที่ 10066/2557 จำเลยใช้บัตรเครดิตปลอมไปชำระค่าสินค้าและบริการเป็นเหตุให้ธนาคารตามบัตรเครดิตต้องจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าผู้รับบัตรเครดิตปลอม ถือว่าธนาคารตามบัตรเครดิตเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ดูฎีกาที่ 7001/2544

64 จำเลยได้นำคำร้องซึ่งเป็นเอกสารราชการปลอมไปยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอ เพื่อขอเลขบ้านใหม่ซึ่งเป็นเลขบ้านเดียวกับโจทก์เพื่อต้องการเอาบ้านเป็นของจำเลย ดังนี้เลขบ้านไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 2361/2530 มีผู้ปลอมลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร ธนาคารเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและฐานฉ้อโกง เพราะเงินเป็นของธนาคารตาม ป.พ.พ มาตรา 672 วรรคสอง ดูฎีกาที่ /2523 ฎีกาที่ /2523 นำเช็คปลอมเบิกเงินจากสาขาธนาคารเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 268, 341 ธนาคารเป็นผู้เสียหาย ผู้จัดการสำนักงานใหญ่ของธนาคารมอบอำนาจให้ บ. ไปร้องทุกข์แล้วผู้จัดการสำนักงานใหญ่ตาย ไม่เป็นเหตุให้ระงับการร้องทุกข์ที่ทำเสร็จแล้ว

65 ข้อสังเกต เรื่องนี้ เมื่อมีการนำเช็คปลอมมาเบิกเงินจากธนาคาร ธนาคารจ่ายเงินให้ไป ถือว่าเป็นความผิดของธนาคารเอง ธนาคารจะไปหักบัญชีของลุกค้าเจ้าของบัญชีไม่ได้ธนาคารจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและฐานฉ้อโกง แต่ความผิดฐานปลอมเอกสารลูกค้าเจ้าของเช็คที่ถูกปลอมลายมือชื่อย่อมเป็นผู้เสียหายได้ การปลอมหนังสือมอบอำนาจขณะเจ้าของที่ดินยังมีชีวิต เจ้าของที่ดินเป็นผู้เสียหายส่วนผู้ที่อ้างว่าจะได้รับที่ดินในภายหลัง ไม่ใช่ผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 8159/2557 ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ไม่เป็นผู้เสียหายในกรณีที่จำเลยปลอมหรือใช้เอกสารปลอมเป็นพยานหลักฐานในคดีนั้น ดูฎีกาที่ 3561/2525

66 จำเลยปลอมลายมือชื่อผู้ตายเพื่อขอลางานต่อผู้บังคับบัญชาของผู้ตาย กับปลอมจดหมายส่งไปถึงบุตรผู้ตายว่าผู้ตายต้องไปฝึกสมาธิ บิดาผู้ตายมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าว ไม่เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ดูฎีกาที่ /2550 ฎีกาที่ 4225/2259 การที่จำเลยนำ ส.ป.ก.4-01 ไปถ่ายสำเนาแล้วลบชื่อบิดาจำเลยผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์เดิมและเปลี่ยนเป็นชื่อจำเลย และจำเลยนำไปขายแก่ น . และ จ. ทั้งที่จำเลยรับกับโจทก์แล้วว่าจะไม่จำหน่าย จำนำ หรือก่อภาระผูกพันในที่ดินพิพาทเห็นว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมยังเป็นของรัฐ เพียงแต่รัฐนำที่ดินมาจัดสรรให้ประชาชนครอบครองทำกินเท่านั้น การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่ก่อให้ น. และ จ. มีสิทธิใดๆ ในที่ดินพิพาท แม้จำเลยรับรองต่อโจทก์ว่าไม่จำหน่าย จำนำหรือก่อภาระผูกพันในที่ดินพิพาท โจทก์ก็มิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอม

67 ฎีกาที่ 3732/2525 จำเลยร่วมกันปลอมใบมอบอำนาจของเจ้าของที่ดินขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ พนักงานเจ้าหน้าที่หลงเชื่อในใบมอบอำนาจ ได้รังวัดไต่สวนแล้วออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่ดินของโจทก์ ดังนี้ ผู้ที่ได้รับความเสียหายเกี่ยวกับการปลอมใบมอบอำนาจคือเจ้าของที่ดิน เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นสำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารจะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะข้อความแห่งเอกสารนั้น แต่ข้อความในเอกสารไม่เกี่ยวถึงตัวโจทก์เลย การเสียที่ดินไปเป็นเรื่องการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีการนำชี้ทับที่ดินของโจทก์เป็นคนละกรณีกับการปลอมใบมอบอำนาจ

68 ฎีกาที่ 1526/2525 กรณีเกี่ยวกับลายมือนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจลงลายมือชื่อแทนกันได้ แม้เจ้าของลายมือชื่ออนุญาตหรือให้ความยินยอม ก็ลงลายมือชื่อแทนกันไม่ได้การที่จำเลยทำหนังสือถึงผู้จัดการสหกรณ์ แจ้งให้ทราบว่า ศ. น้องสาวโจทก์เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศและขอลาออกจากสมาชิกสหกรณ์โดยใช้ชื่อโจทก์หรือลงลายมือชื่อโจทก์ จึงเป็นการลงลายมือชื่อปลอมในเอกสารตาม ป.อ.มาตรา 264 แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยทำหนังสือดังกล่าวโดยความยินยอมของโจทก์ โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับความเสียหาย ศ. และสหกรณ์ก็ไม่ได้รับความเสียหาย จำเลยจึงไม่มีความผิด ฎีกาที่ 403/2526 การ์ดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเป็นเอกสารที่ธนาคารจัดทำขึ้นเป็นหลักฐานของธนาคารเอง แสดงการเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้ที่มีต่อเจ้าของบัญชีตามรายการที่แสดงไว้ การที่จำเลยที่ 2 ผู้รักษาการในตำแหน่งสมุห์บัญชี และจำเลยที่ 3 ผู้จัดการธนาคารแก้ไขเพิ่มจำนวนเงินฝากในการ์ดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ธนาคาร โดยโจทก์มิได้นำเงินเข้าบัญชีตามรายการนั้น การแก้ไขรายการนั้นมิได้ทำให้โจทก์เสียสิทธิที่มีต่อธนาคารโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง

69 ฎีกาที่ 1592/2528 จำเลยในฐานะครูใหญ่ ยื่นเอกสารใบรับรองแพทย์ประกอบใบลาป่วยต่อผู้จัดการโรงเรียนคือจำเลยเอง โจทก์ซึ่งเป็นเพียงเจ้าของโรงเรียนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการของโรงเรียนในขณะนั้นแต่ประการใด แม้ใบรับรองแพทย์จะเป็นเอกสารปลอม แต่จำเลยมิได้ใช้เอกสารดังกล่าวแสดงต่อโจทก์ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในข้อหาเอกสารปลอมตาม ป.อ.มาตรา 268

70 ฎีกาที่ 734/2530 โจทก์จำเลยต่างรับราชการครูโรงเรียนเดียวกัน วันเกิดเหตุโจทก์ไปถึงโรงเรียนก่อนจำเลยและลงเวลามาทำงานว่า 8.00 นาฬิกา จำเลยลบเวลาที่โจทก์เขียนไว้ออกแล้วเขียนทับลงไปว่า 7.46 นาฬิกา เป็นการแก้ว่าโจทก์มาทำงานเร็วกว่าเดิมและเวลาที่โจทก์เขียนไว้เดิมกับเวลาที่จำเลยเขียนแก้ต่างยังไม่ถึงเวลาปฏิบัติราชการ การเขียนแก้จึงไม่อาจเป็นการโกงเวลาราชการไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์และการแก้ไขเวลาดังกล่าวก็มิใช่การกระทำของโจทก์ โจทก์ไม่อาจถูกลงโทษทางวินัยได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดตาม ป.อ.มาตรา 264, 265 ฎีกาที่ 1101/2536 โจทก์เป็นเจ้าของลายมือชื่อ เมื่อจำเลยเอาลายมือชื่อไปใช้โดยโจทก์ไม่ยินยอม โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายโดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าที่ดินที่ไปจัดการโอนตามใบมอบอำนาจจะเป็นของโจทก์หรือไม่

71 ผู้เสียหายในความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ป.อ.มาตรา 157 ในตอนแรก มีองค์ประกอบว่าเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดนั้น หมายความรวมถึงเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือเอกชนผู้หนึ่งผู้ใดด้วย เอกชนจึงอาจเป็นผู้เสียหายได้ (ฎีกาที่ 7030/2551) เช่น การที่เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยผู้กระทำความผิดอาญาผู้เสียหายในความผิดอาญาฐานนั้น ย่อมเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้ ดูฎีกาที่ 4881/2541, 2294/2517, 611/2497

72 เจ้าพนักงานตำรวจจดคำพยานเป็นเท็จเพื่อช่วยผู้กระทำผิดมิให้รับโทษ หรือรับโทษน้อยลง เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผู้เสียหายหรือผู้จัดการแทนผู้เสียหายในความผิดดังกล่าวเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ดูฎีกาที่ 2294/2517 ฎีกาที่ 611/2497 ผู้ใหญ่บ้านละเว้นไม่จับผู้ฉุดคร่าโจทก์ โดยเจตนาช่วยไม่ให้ผู้ทำผิดต้องรับโทษทางอาญา โจทก์ได้ชื่อว่าเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องในความผิดตามมาตรา 142 กำหมายลักษณะอาญาได้ ฎีกาที่ 3035/2523 จำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านละเว้นการจับกุมผู้บุกรุกที่สาธารณะ มิใช่เป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามความหมายใน ป.อ.มาตรา 157 เพราะผลของการไม่จับกุมมิได้เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เลย การที่จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์เป็นผู้กระทำผิดฐานบุกรุกที่สาธารณะเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างหากจากการกระทำดังกล่าว แม้โจทก์จะได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยในข้อนี้ก็หาทำให้โจทก์เป็นผู้เสียหายในข้อหาตาม ป.อ.มาตรา 157 ไปด้วยไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหานี้

73 ฎีกาที่ 3509/2549 การกระทำของจำเลยที่เป็นความผิดคือการใช้อำนาจในฐานะพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องผู้ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทโจทก์ ผลของการกระทำของจำเลยคือโจทก์ในฐานะผู้เสียหายไม่ได้รับการเยียวยาตามกำหมาย ดังนั้นโจทก์จึงเป็นผู้เสียหายจากการกระทำผิดของจำเลยโดยตรง โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย ข้อสังเกต เรื่องนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 157 และมาตรา 200 แต่โดยทั่วไปความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเป็นความเสียหายที่กระทำต่อรัฐ รัฐจึงเป็นผู้เสียหาย ราษฎรไม่ใช่ผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 3042/2537, 3437/2527

74 ผู้เสียหายในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ เจ้าหนี้ขณะที่มีการกระทำความผิด (ขณะจำเลยโอนที่ดินเพื่อให้พ้นจากการบังคับคดี) แม้ต่อมาเจ้าหนี้นั้นได้โอนสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาไปให้ผู้อื่นแล้วก็ยังคงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ได้ ดูฎีกาที่ 8782/2558 ฎีกาที่ 8782/2558 ป.วิ.อ.มาตรา 2(4) บัญญัติว่า “ผู้เสียหาย หมายความถึงบุคคลผู้ไดรับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง...” ซึ่งบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดดังกล่าวต้องพิจารณาขณะที่ความผิดเกิดขึ้นว่าบุคคลนั้นได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดนั้นหรือไม่ อีกทั้งสิทธิของการเป็นผู้เสียหายเป็นสิทธิเฉพาะตัวและไม่อาจโอนสิทธิความเป็นผู้เสียหายไปยังบุคคลอื่นได้ สิทธิในการเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาจึงต้องพิจารณาในขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แม้ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์โอนสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาในคดีแพ่งให้แก่บริษัท บ. แล้วก็แต่วันที่จำเลยกระทำความผิดโจทก์ยังเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าว เมื่อจำเลยโอนขายที่ดินของจำเลยให้แก่ น. เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน โจทก์จึงเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ของจำเลยโจทก์ย่อมอยู่ในฐานะผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

75 ผู้เสียหายในความผิดต่อ พ. ร. บ
ผู้เสียหายในความผิดต่อ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เกิดขึ้นเมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้เสียหายคือผู้ทรงเช็คในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเท่านั้น ดูฎีกาที่ ผู้รับโอนเช็คหลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินไม่ใช่ผู้เสียหาย แม้จะเป็นเช็คผู้ถือซึ่งโอนได้โดยการส่งมอบก็ตาม ดูฎีกาที่ 5407/2546, 1891/2524

76 แม้ผู้เสียหายจะได้รับชำระหนี้ตามเช็คจากผู้ทรงคนก่อนแล้วก็ตาม ก็ยังเป็นผู้เสียหายอยู่ (ฎีกาที่ 2353/2537) ผู้รับโอนเช็คภายหลังธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินไม่ใช่ผู้เสียหายแม้ผู้รับโอนจะนำเช็คไปขึ้นเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอีกก็ตาม เพราะไม่ทำให้จำเลยมีความผิดขึ้นอีก (ฎีกาที่ 2703/2523) เช็คระบุชื่อผู้รับเงินและผู้นั้นได้รับเช็คไว้ในครอบครองต้องถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ทรงเช็ค โจทก์ร่วมจะอ้างว่าผู้นั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ร่วมในการรับเช็คก็ไม่มีผลทำให้โจทก์ร่วมมีฐานะเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตามกฎหมาย โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายดูฎีกาที่ 5526/2552

77 ถ้าผู้ทรงเช็คถึงแก่ความตายก่อนธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน (ก่อนความผิดเกิด) สิทธิในเช็คย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท ถือว่าทายาทเป็นผู้ทรงเช็ค เมื่อต่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ทายาทจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ดูฎีกาที่ 3619/2543 สั่งจ่ายเช็คผู้ถือชำระหนี้ให้แก่บริษัท บริษัทเป็นผู้ทรงเช็คและเป็นผู้เสียหาย ส่วนกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทไม่ใช่ผู้เสียหาย(ฎีกาที่ 5799/2549) จำเลยออกเช็คหลายฉบับเพื่อชำระหนี้มูลหนี้จำนวนเดียวกัน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับ เมื่อจำเลยถูกฟ้องตามเช็คฉบับหนึ่งไปแล้ว โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามเช็คฉบับหลังอีก ดูฎีกาที่ 3254/2526, 3822/2529 (วินิจฉัยทำนองเดียว) รับโอนเช็คมาเพื่อฟ้องคดีอาญา ถือว่าไม่สุจริต ไม่เป็นผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ /2528

78 ผู้เสียหายในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ทั้งตาม ป. อ
ผู้เสียหายในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ทั้งตาม ป.อ.มาตรา 317, 318 และ 319 กฎหมายมุ่งคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล มิใช่ตัวผู้เยาว์ที่ถูกพราก ผู้เสียหายในความผิดดังกล่าวจึงได้แก่บิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ดังนี้ผู้ปกครองดูแลแม้จะมิได้เป็นบิดามารดาหรือเป็นบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นผู้เสียหายได้ ดูฎีกาที่ /2558, 7238/2549 ฎีกาที่ /2558 แม้ผู้ร้องที่ 2 มิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องที่ 1 กรณีผู้ร้องที่ 2 จึงมิใช่ผู้ใช้อำนาจปกครองของผู้ร้องที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์เหมือนผู้ร้องที่ 3 ที่เป็นมารดาชอบด้วยกฎหมายอันเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมายก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องที่ 2 เป็นบิดาที่แท้จริงของผู้ร้องที่ 1 ต้องถือว่าผู้ร้องที่ 2 อยู่ในฐานะผู้ดูแล ผู้ร้องที่ 1 และเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดาซึ่งเป็นผู้ดูแลตาม ป.อ.มาตรา 319 วรรคแรก ด้วยผู้ร้องที่ 2 ย่อมมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/21 ได้

79 ฎีกาที่ 7238/2549 ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจารตาม ป.อ.มาตรา 318 วรรคสาม หรือความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 319 วรรคแรก มีองค์ประกอบความผิดร่วมกันประการหนึ่งว่า “ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล...” ซึ่งจะเห็นได้ว่าวัตถุแห่งการกระทำความผิดกฎหมายทั้งสองมาตรานี้ที่กฎหมายมุ่งคุ้มครองคืออำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลนั่นเอง มิใช่ตัวผู้เยาว์ที่ถูกพราก ดังนั้น ผู้เสียหายคือบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดทั้งสองมาตรานี้ตามมาตรา 2 (4) แห่ง ป.วิ.อ. จึงได้แก่บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลผู้เยาว์ทั้งสองในขณะที่จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันกระทำความผิด หาใช่ตัวผู้เยาว์คือโจทก์ร่วมทั้งสองไม่

80 ข้อสังเกต เรื่องนี้ แม้ ล. เป็นน้า ส่วน จ
ข้อสังเกต เรื่องนี้ แม้ ล. เป็นน้า ส่วน จ. เป็นยายของผู้เยาว์ทั้งสอง แต่เมื่อทั้งสองเป็นผู้ปกครองหรือผู้ดูแลผู้เยาว์ทั้งสอง จึงถือว่า ล. และ จ. เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่ออนาจาร ผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาท ความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มบุคคล โดยไม่ได้เจาะจงว่าหมายถึงผู้ใดหรือจากถ้อยคำที่หมิ่นประมาทไม่อาจทราบว่าเป็นผู้ใด ผู้ที่อยู่ในกลุ่มนั้นคนใดคนหนึ่งไม่ใช่ผู้เสียหาย (ฎีกาที่ 1325/2548, 3954/2539) แต่ถ้าเป็นการหมิ่นประมาททุกคนที่อยู่ในกลุ่มบุคคลนั้นคนใดคนหนึ่งเป็นผู้เสียหาย ดุฎีกา 448/2489, 295/2505 (ประชุมใหญ่)

81 นิติบุคคลเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ สาขาของนิติบุคคลหรือศูนย์การศึกษาที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายก็ถือเป็นหน่วยงานหนึ่งของนิติบุคคลนั้น ดังนี้ การหมิ่นประมาทสาขาของนิติบุคคลหรือศูนย์การศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ถือเป็นการหมิ่นประมาทนิติบุคคลนั้น นิติบุคคลนั้นจึงเป็นผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 18162/2557 ผู้เสียหายในความผิดฐานต่อสู้เจ้าพนักงาน ฎีกา 1943/2497 ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เป็นการกระทำต่อเจ้าพนักงาน โจทก์มิใช่เจ้าพนักงานผู้ถูกจำเลยต่อสู้ขัดขวางไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมาฟ้องทางอาญา

82 ผู้เสียหายในความผิดฐานเอาไปซึ่งเอกสารของผู้อื่น
ฎีกาที่ 507/2542 จำเลยเป็นตัวแทนของคณะนายทหารประเทศเนเธอร์แลนด์ นำเช็ค 4 ฉบับ ไปชำระหนี้ให้แก่การสื่อสารแห่งประเทศไทย 3 ฉบับ และบริษัท ท. อีก 1 ฉบับ ซึ่งตราบใดที่เช็คทั้งสี่ฉบับยังมิได้ส่งมอบให้แก่การสื่อสารฯ และบริษัท ท. เช็คทั้งสี่ฉบับจึงยังไม่โอนไปยังการสื่อสารและบริษัท ท. คณะนายทหารดังกล่าวยังเป็นเจ้าของเช็คทั้งฉบับและเป็นผู้ได้รับความเสียหายในความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตาม ป.อ.มาตรา 188

83 ผู้เสียหายในความผิดตาม พ. ร. บ
ผู้เสียหายในความผิดตาม พ.ร.บ. การเลือกตั้ง ฎีกาที่ 267/2557 โจทก์ร่วมเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเช่นเดียวกับจำเลยการให้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลยดังกล่าวมีผลกระทบต่อการเลือกตั้ง และมีผลเสียหายแก่โจทก์ร่วม อาจทำให้โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่ได้รับการเลือกตั้งโจทก์ร่วมจึงได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ มาตรา 135 ให้ถือว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เกิดขึ้นเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. ในเขตเลือกตั้งนั้น ดังนั้น โจทก์ร่วมจึงถือเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 30

84 1.4 เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย “ผู้เสียหายโดยนิตินัย” หมายถึง ผู้ที่ไม่มีส่วนในการกระทำผิด หรือไม่เป็นผู้ใช้หรือสนับสนุนหรือรู้เห็นในการกระทำผิดนั้นด้วย หรือสมัครใจให้เกิดความผิดนั้น หรือมีการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ต่างฝ่ายต่างสมัครใจทะเลาะวิวาทกันแล้วเข้าทำร้ายร่างกายกัน ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยในความผิดต่อชีวิตและร่างกาย ดูฎีกาที่ 3316/2554, 17584/255, 2367/2556

85 หากผู้เสียหายซึ่งมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตาย ผู้บุพการี ผู้สืบสันดานสามีหรือภริยาจะจัดการแทนตามมาตรา 5(2) ไม่ได้เช่นกัน เรื่องนี้ ผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดด้วยโดยสมัครใจเข้าทำร้ายด้วย จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย มารดาผู้ตายก็ไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายตามมาตรา 5 (2) ดูฎีกาที่ 954/2502 ต่างคนต่างประมาทในเหตุการณ์เดียวกัน ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ดูฎีกาที่ 4461/2539, 5342/2549, 7128/2547 จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะเพราะถูกผู้ตายหรือผู้เสียหายข่มเหงฯ ผู้ตายหรือผู้เสียหายไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ผู้เสียหายไม่มีสิทธิขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมและไม่มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกา และบุคคลตามมาตรา 5 ไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 10908/2556, 12480/2556

86 ฎีกาที่ 12480/2556 เมื่อกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะโดยโจทก์ร่วมเป็นผู้ข่มเหงด้วยเหตุร้ายแรงอย่างไม่เป็นธรรม จึงถือว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย จึงไม่มีอำนาจที่ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และมีผลทำให้คำร้องขอให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นอันตกไปด้วย กรณีจึงไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้ ผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิด ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ดูฎีกาที่ 481/2524 การที่ผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยเกินอัตรา ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ดูฎีกาที่ 1281/2503 แต่ถ้าผู้กู้ฟ้องผู้ให้กู้ในข้อหาฉ้อโกงซึ่งผู้กู้มิได้มีส่วนร่วมกระทำผิดด้วย ผู้กู้เป็นผู้เสียหายได้ ดูฎีกาที่ 6869/2541

87 ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ตาม ป. อ
ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ตาม ป.อ.มาตรา 277 วรรคแรก เป็นความผิดที่มิได้คำนึงว่าเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ ดังนี้แม้เด็กหญิงยินยอมก็มิได้หมายความว่าเด็กหญิงนั้นมีส่วนในการกระทำความผิดเด็กหญิงนั้นจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมมีอำนาจจัดการแทน ดูฎีกาที่ 4147/2550 ต่างคนต่างด่าว่าอีกฝ่ายหนึ่งในการทะเลาะกัน ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูฎีกาที่ 3745/2527 ข้อสังเกต ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 3745/22527 และ 78-79/2502 เป็นกรณีที่ต่างคนต่างกล่าวหมิ่นประมาทในวาระเดียวกันต่างก็ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย แต่ถ้าเป็นการกระทำคนละตอน ดังนี้ ต่างเป็นผู้เสียหายได้ ดูฎีกาที่ 252/2518

88 ฎีกาที่ 252/2518 โจทก์เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ก่อนจะเป็นการกล่าวหมิ่นประมาทจำเลยหรือไม่ก็ตาม จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์บ้าง เป็นการกระทำแยกกันคนละตอน ไม่ทำให้โจทก์ไม่เป็นผู้เสียหายจากความผิดของจำเลย บุกรุกเข้าไปในห้องพักผู้อื่น แล้วถูกเจ้าของห้องกล่าวหมิ่นประมาท ไม่อาจถือได้ว่าผู้บุกรุกไม่เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูฎีกาที่ 5172/2557 ฎีกาที่ 5172/2557 การที่โจทก์ร่วมไปหาจำเลยที่ห้องพักซึ่งแม้จะเป็นการรบกวนการครอบครองห้องพักโดยปกติสุขของจำเลย แต่โจทก์ร่วมก็ไม่ได้บอกให้จำเลยกล่าวถ้อยคำอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม จึงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ร่วมมีส่วนร่วมหรือก่อให้เกิดการกระทำความผิดอันจะเป็นเหตุทำให้โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาท

89 การล่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด การแสวงหาพยานหลักฐานโดยล่อให้ผู้อื่นมากระทำความผิดโดยผู้นั้นมิได้มีเจตนากระทำความผิดมาก่อน ถือว่าผู้แสวงหาพยานหลักฐานก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ดูฎีกาที่ 10510/2555, 4077/2549 แต่ถ้าผู้กระทำความผิดมีเจตนากระทำความผิดอยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่เป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ยังถือว่าเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ดูฎีกาที่ 6523/2545 ข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์ที่ผิดกฎหมาย ดูฎีกา 771/25493

90 ฎีกาที่ 771/2493 โจทก์ฟ้องจำเลยว่าฉ้อโกงโดยใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ว่าจะขายธนบัตรปลอมให้ โจทก์หลงเชื่อจึงจ่ายเงินให้จำเลยไปความจริงจำเลยไม่มีธนบัตรปลอมเลย ดังนี้ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์ที่ผิดกฎหมาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงได้ เช็คที่ฟ้องเป็นเช็คที่ผู้เสียหายคิดดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายรวมเข้าไปด้วย ถือว่าผู้เสียหายไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบและไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ดูฎีกาที่ 30/2543 เดิมผู้ที่ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 44/1 ดูฎีกาที่ 17584/2555 ฎีกาที่ 17584/2555 ผู้ตายสมัครใจทะเลาะวิวาทกับจำเลย จ. มารดาของผู้ตายจึงไม่ใช่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง

91 ฎีกาที่ /2558 แม้ผู้ร้องที่ 2 มิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องที่ 1 กรณีผู้ร้องที่ 2 จึงมิใช่ผู้ใช้อำนาจปกครองของผู้ร้องที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์เหมือนผู้ร้องที่ 3 ที่เป็นมารดาชอบด้วยกฎหมายอันเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมายก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องที่ 2 เป็นบิดาที่แท้จริงของผู้ร้องที่ 1 ต้องถือว่าผู้ร้องที่ 2 อยู่ในฐานะผู้ดูแลผู้ร้องที่ 1 และเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดาซึ่งเป็นผู้ดูแลตาม ป.อ.มาตรา 319 วรรคแรกด้วย ผู้ร้องที่ 2 ย่อมมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 ได้ ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.อ. มาตรา 44/1 ตามแนวฎีกาเดิม วินิจฉัยว่าต้องเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย (ผู้เสียหายโดยนิตินัย) ด้วย ดังนี้การที่ผู้เสียหายและจำเลยสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ผู้เสียหายหรือผู้จัดการแทนผู้เสียหายไม่มีสิทธิร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ดูฎีกาที่6300/2558,6397/2557,18586/2555,17584/2555 ต้องไปฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นคดีแพ่งต่างหาก ดูฎีกาที่ 8794/2556

92 ฎีกาที่ 6300/2558 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและส
ฎีกาที่ 6300/2558 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและส.ต่างขับรถจักรยานยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ที่จำเลยและ ส. ขับเฉี่ยวชนกัน ทำให้รถจักรยานยนต์ทั้งสองคันได้รับความเสียหาย ส.ถึงแก่ความตายและจำเลยได้รับอันตรายแก่กาย เมื่อ ส.มีส่วนประมาทด้วย ส.ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดตาม ป.อ.มาตรา 291 ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4) ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของ ส. ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง ฎีกาที่ 6397/2557 เมื่อ ส. ผู้ตายเป็นผู้ก่อให้จำเลยกระทำความผิด ผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย โดยนิตินัยสำหรับความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 69 โจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อ.มาตรา 30 และยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกผู้ตายหรือผู้เสียหายข่มเหงฯ ผู้ตายหรือผู้เสียหายย่อมไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ผู้เสียหายหรือผู้จัดการแทนผู้เสียหายไม่มีสิทธิขอให้เป็นโจทก์ร่วมและไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอชดใช้ค่าสินไหมทดแทน อุทธรณ์หรือฎีกา ดูฎีกาที่ 10908/2556

93 ฎีกาที่ 10908/2556 จำเลยฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะ ผู้ตายจึงเป็นผู้ก่อให้จำเลยกระทำความผิดผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 288,72 ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2(4) น. ซึ่งเป็นมารดาของผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามมาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อ.มาตรา 30 รวมทั้งไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 44/1 กับไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษและขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม ฎ.7237/2556,12480/2556 วินิจฉัยเช่นเดียวกัน การพิจารณาสิทธิของผู้ยื่นคำร้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 ถ้าปรากฏว่าขณะยื่นคำร้องดังกล่าวเป็นที่ยุติว่าผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ศาลยกคำร้องขอได้ทันที (ฎีกาที่ 5419/2554) แต่ขณะยื่นคำร้องยังไม่ยุติว่าผู้เสียหายนั้นเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหรือไม่ ศาลต้องรับคำร้องขอไว้พิจารณาก่อน และเมื่อศาลพิจารณาและฟังข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายนั้นไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยแล้ว ศาลจึงจะมีอำนาจพิพากษาให้ยกคำร้องในภายหลัง

94 ฎีกาที่ 2534/2559 คดีในส่วนแพ่งนั้น เมื่อโจทก์ร่วมต้องห้ามฎีกา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง และไม่มีสิทธิฎีกา ต่อมามีฎีกาที่ 5400/2560 (ประชุมใหญ่) กลับหลักฎีกาที่ 17584/2555 โดยวินิจฉัยว่า แม้มิใช่ผู้เสียหายโดยหลักนิตินัย ก็มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 44/1 ได้

95 คำพิพากษาฎีกาที่ 5400/2560 ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 บัญญัติว่า “ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุที่ได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจหรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ชื่อเสียงหรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำผิดของจำเลย ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้” เป็นบทบัญญัติที่มีเจตนารมณ์จะช่วยให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายในทางแพ่งได้รับความสะดวกรวดเร็วในการได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแพ่งเป็นอีกคดีหนึ่ง ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาจะได้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียวกัน โดยให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญาทุกประเภทที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ต่อเนื่องไปได้เพื่อให้การพิจารณาคดีส่วนแพ่งเป็นไปโดยรวดเร็วดังที่ปรากฏในหมายเหตุท้าย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2548 นั้น แม้ตาม ป.วิ.อ. ได้มีคำอธิบายคำว่าผู้เสียหายไว้ในมาตรา 2 (4) ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้เสียหาย หมายถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6” แต่ข้อความตามมาตรา 44/1 ที่บัญญัติให้ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนได้นั้น ย่อมมีความหมายในตัวว่า หมายถึง ผู้ที่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน

96 จึงมีความหมายที่แตกต่างขัดกับความหมายของผู้เสียหาย ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 2 (4) การตีความคำว่าผู้เสียหายตามมาตรา 44/1 จึงไม่ต้องถือตามความหมายเช่นเดียวกับมาตรา 2 (4) ทั้งนี้เป็นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 1 ที่บัญญัติว่า “ในประมวลกฎหมายนี้ ถ้าคำใดมีคำอธิบายไว้แล้วให้ถือตามความหมายดังได้อธิบายไว้ เว้นแต่ข้อความในตัวบทจะขัดกับคำอธิบายนั้น” ดังนั้น การพิจารณาว่าผู้ใดจะมีสิทธิยื่นคำร้องต้องพิจารณาจากสิทธิในทางแพ่ง ไม่ใช่กรณีที่จะนำความหมายของคำว่า ผู้เสียหายในทางอาญา เช่น เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหรือผู้มีอำนาจจัดการแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) มาบังคับใช้ สำหรับคดีนี้ผู้ร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนมา 2 ส่วน คือ ค่าเสียหายของรถยนต์ของ ผ. และค่าขาดไร้อุปการะ สำหรับค่าเสียหายของรถยนต์ ผ. เป็นผู้เสียหายในฐานะเจ้าของรถ เมื่อ ผ. ถึงแก่ความตายไปแล้ว สิทธิในการเรียกค่าเสียหายเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ผ. จึงใช้สิทธิในฐานะทายาทเรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ได้ และค่าขาดไร้อุปการะนั้น ผู้ร้องในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ผ. เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตัวของผู้ร้องเองตาม ป.พ.พ. มาตรา 443 วรรคสาม และมาตรา 1461 วรรคสอง ผู้ร้องจึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ได้เช่นกัน ส่วนความประมาทของ ผ. นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จะนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น ไม่ทำให้สิทธิของผู้ร้องที่จะขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหมดไป (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2560)

97 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 442/2561
ป.วิ.อ.มาตรา 46 บัญญัติว่าในการพิพากษาคดี ส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำ พิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อคดีส่วนอาญาฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ของโจทก์ร่วมแล้วจึงต้องฟัง ว่าจำเลยทั้งสองมิได้ทำละเมิดอันจะต้องใช่ค่าสินไหม ทดแทนแก่โจทก์ร่วม การยื่นคำร้องเอาค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ผู้เสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหม ทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดจากความผิดที่ไม่ถูกฟ้อง ไม่ได้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันลัก ทรัพย์ของโจทก์ร่วม ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลย ทั้งสองมิได้ประมาทเลินเล่อกระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วมจึง เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำร้องของโจทก์ร่วม ย่อมเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ร่วมข้อนี้จึงเป็น ข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาล ชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249( เดิม) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15

98 ฎีกาที่ 1935/2561 โจทก์ร่วมสมัครใจวิวาทกับจำเลยโจทก์ร่วมจึงมิใช่ ผู้เสียหายในคดีอาญาโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) จึงไม่อาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีส่วนอาญาได้ แต่ สำหรับคดีส่วนแพ่งที่ ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 บัญญัติให้ ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุ ได้รับอันตรายแก่ชีวิตร่างกายหรือจิตใจได้นั้น หมายถึงผู้ที่ มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนโดยพิจารณาจากสิทธิในทาง แพ่ง มิใช่นำเอาความหมายของคำว่าผู้เสียหายใน คดีอาญามาใช้บังคับ แม้โจทก์ร่วมจะไม่อาจขอเข้าร่วมเป็น โจทก์ในคดีนี้แต่ก็มีสิทธิเป็นผู้ร้องขอเรียกค่าสินไหมทดแทน จากจำเลยได้ ผู้ร้องและจำเลยสมัครใจต่อสู้กันถือได้ว่าต่างฝ่ายต่าง ก่อให้เกิดความเสียหายด้วยกัน แต่เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายใช้ อาวุธปืนลูกซองสั้นซึ่งมีวิถีกระสุนกระจายเป็นวงกว้างยิงไป ทางผู้ร้องจนกระสุนปืนถูกผู้ร้องได้รับอันตรายสาหัสในขณะที่ จำเลยไม่ถูกกระสุนปืนที่ร่างกายเลยตามพฤติการณ์เป็นที่เห็น ได้ว่าฝ่ายจำเลยเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งกว่าผู้ร้อง จึงเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้ ร้องกึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมด

99 ฎีกาที่ 3554/2561 แม้คำฟ้องและทางพิจารณาคดีจะได้ความว่า การล่วงละเมิดทาง เพศของจำเลยต่อผู้เสียหายที่ 1 นั้น เป็นไปโดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอมก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงเรื่องพิจารณาตามองค์ประกอบในเรื่องอายุ โดยกฎหมายได้คำนึงถึงการคุ้มครองความเป็นผู้เยาว์ของผู้เสียหายที่อายุยัง ไม่เกินสิบสามปี ยังขาดวุฒิภาวะ ตลอดจนความรู้ความเข้าใจในการ ดำรงชีวิตซึ่งจำเลยผู้กระทำความผิดหากล่วงรู้และทราบข้อเท็จจริงใน องค์ประกอบเรื่ออายุในส่วนนี้แล้ว ยังคงกระทำความผิด ก็จะอ้างถึง ความยินยอมของผู้เสียหายที่ 1 มาเป็นเหตุปัดความรับผิดในเรื่องดัง กล่าวหาได้ไม่ เพราะเป็นคนละส่วนกัน กรณีย่อมถือว่าผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งขณะเกิดเหตุอายุยังไม่เกินสิบสามปีนั้น แม้จะถูกจำเลยกระทำ ความผิดโดยยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ตาม ก็ไม่อาจนำมาเป็นเหตุพิจารณา ว่ามิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ดังนั้นผู้เสียหายที่ 1 โดยมารดาผู้แทนโดย ชอบธรรมจึงมีสิทธิร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ในส่วน ความผิดที่ถูกจำเลยกระทำ ตาม ป.อ. มาตรา วรรคสาม และมาตรา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 โดย น. มารดาโจทก์ร่วมผู้แทนโดยชอบธรรมเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ เฉพาะในความผิดดังกล่าวจึงชอบแล้วและเมื่อเป็นโจทก์ร่วมก็ย่อมมีสิทธิใน ฐานะที่เป็นคู่ความในคดี จึงมีสิทธิยื่นคำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกาได้ ส่วนเรื่องที่ขอบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งตาม ป. วิ.อ. มาตรา 44/1 นั้น เมื่อได้ล่วงละเมิดในทางเพศต่อโจทก์ร่วม และล่วงละเมิดอำนาจปกครองดูแลโจทก์ร่วมของผู้เสียหายที่ 2 ผู้เป็นยาย ซึ่งเป็นผู้ปกครองดูแลโจทก์ร่วมอยู่ในขณะเกิดเหตุ จึงเป็นการกระทำ ละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา แล้ว โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 2 จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอบังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1

100 คำพิพากษาฎีกาที่ /2561 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในขอบเขตแห่งการที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่ให้แก่มหาวิทยาลัย ร. ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ จำเลยจึงได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 และโดยผลของมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงไม่มีอำนาจฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้กระทำการในการปฏิบัติหน้าที่ได้ และย่อมส่งผลพลอยทำให้ผู้เสียหายจากการกระทำละเมิดเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ไม่มีสิทธิจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1

101 ข้อสอบเนติบัณฑิต สมัยที่ 67 ปีการศึกษา 2557
ข้อ 2. พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทตามหลังรถบรรทุกด้วยความเร็วสูง ขณะนั้นมีเด็กชายธีระซึ่งเป็นเยาวชนถูกแยกดำเนินคดีต่างหาก ขับรถจักรยานยนต์มีเด็กชายอนุชาผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายสวนทางมาด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด จำเลยขับรถล้ำเส้นกึ่งกลางของทางเดินรถเข้าไปในช่องเดินรถที่เด็กชายธีระขับมา โดยขับรถโยกออกไปทางขวาเพื่อที่จะแซงรถที่แล่นอยู่ด้านหน้า ทำให้รถที่จำเลยขับเฉี่ยวชนกับรถที่เด็กชายธีระขับอย่างแรง รถทั้งสองคันได้รับความเสียหายเป็นเหตุให้เด็กชายธีระได้รับอันตรายสาหัสและผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300,390 ระหว่างพิจารณาเด็กชายธีระโดยนางเพ็ญผู้แทนโดยชอบธรรมยื่นคำร้องฉบับแรกขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตและยื่นคำร้องฉบับที่สองขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 150,000 บาท ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด และในคดีส่วนแพ่งให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง 20,000 บาท ให้วินิจฉัยว่า คำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

102 ธงคำตอบ ผู้เสียหายในคดีอาญา หมายถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง คดีนี้คำฟ้องโจทก์ระบุว่า เด็กชายธีระขับรถจักรยานยนต์มีผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายสวนทางมาด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ทำให้รถที่จำเลยขับเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่เด็กชายธีระขับอย่างแรง รถทั้งสองคันได้รับความเสียหายเป็นเหตุให้เด็กชายธีระได้รับอันตรายสาหัสและผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย เด็กชายธีระจึงมีส่วนกระทำโดยประมาทด้วย เด็กชายธีระย่อมมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) และไม่อาจยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ตามมาตรา 30 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เด็กชายธีระเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้นชอบแล้ว (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2557)

103 ธงคำตอบ (ต่อ) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ชื่อเสียง หรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้” แต่เมื่อเด็กชายธีระมิใช่ผู้เสียหายตามมาตรา2(4) จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีส่วนแพ่งให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง 20,000 บาท จึงไม่ชอบ (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20936/2556)

104 ข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา (สนามจิ๋ว) พ.ศ. 2561
ข้อ 1 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถบรรทุกโดยประมาทด้วยความเร็วสูงชนรถคันที่นางดีขับด้วยความประมาทเลี้ยวกลับรถบริเวณกึ่งกลางถนน และชนรถคันที่นายผลขับด้วยความประมาทล้ำเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลย เป็นเหตุให้นางดีและนายผลถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณา นางเขียวมารดาของนางดียื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามคำฟ้องได้ความว่าจำเลยและนางดีต่างขับรถด้วยความประมาท นางดีจึงไม่เป็นผู้เสียหาย ให้ยกคำร้องของนางเขียว นางผอมภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายผลยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะ 900,000 บาท จำเลยให้การในส่วนแพ่งว่า เหตุไม่ได้เกิดจากความประมาทของจำเลย ขอให้ยกฟ้องและยกคำร้องขอชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อคดีเสร็จการพิจารณาก่อนวันนัดฟังคำพิพากษา 1 เดือน โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 1 ปี ฐานลักทรัพย์ตามคดีหมายเลขแดงที่ 1/2556 ของศาลจังหวัดพลแล้วกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของจำเลย โดยนางดีและนายผลมีส่วนประมาทด้วย นายผลไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย นางผอมจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 และโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ แล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ลงโทษจำคุก 4 ปี ยกคำขอให้เพิ่มโทษและยกคำร้องขอใช้ค่าสินไหมทดแทน

105 ข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา (สนามจิ๋ว) พ.ศ. 2561 (ต่อ)
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นมีหน้าที่สอบถามจำเลยว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคสอง แต่ศาลชั้นต้นไม่ดำเนินการจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ นางเขียวอุทธรณ์ว่า เป็นมารดาของนางดี แม้นางดีมีส่วนประมาทด้วย แต่นางเขียวก็มีอำนาจจัดการแทนนางดีจึงเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ นางผอมอุทธรณ์ว่า เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายผล แม้นายผลมีส่วนประมาท แต่นางผอมก็มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยได้ ให้วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ นางเขียว และนางผอมฟังขึ้นหรือไม่

106 ธงคำตอบ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและสอบถามคำให้การ เป็นบทบัญญัติในการเริ่มต้นพิจารณาคดีของศาลเพื่อให้จำเลยเข้าใจฟ้องและต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่และถูกต้อง มิใช่หมายความรวมถึงกรณีที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องเพิ่มเติมโทษจำเลยซึ่งเป็นคนละส่วนกับความผิดที่จำเลยถูกฟ้อง แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้สอบถามว่าจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษหรือไม่ ก็ไม่ทำให้กระบวนพิจารณาของศาลไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 801/2558) การที่นางดีผู้ตายมีส่วนประมาทเป็นเหตุให้รถบรรทุกคันที่จำเลยขับชนกับรถคันที่นางดีขับ นางดีจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) นางเขียวมารดาของนางดีจึงไม่มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา 5(2) และไม่มีอำนาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามมาตรา 3(2) อุทธรณ์ของนางเขียวฟังไม่ขึ้น (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2869/2553) ผู้เสียหายที่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 มีความหมายแตกต่างกับความหมายของผู้เสียหายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 2(4) การแปลความหมายคำว่าผู้เสียหายตามมาตรา 44/1 ไม่ต้องถือตามความหมายเช่นเดียวกับมาตรา 2(4) การพิจารณาว่าผู้ใดจะมีสิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา 44/1 ต้องพิจารณาจากสิทธิในทางแพ่งไม่ใช่กรณีที่จะนำความหมายของผู้เสียหายในทางคดีอาญาว่าต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตามมาตรา 2(4) หรือผู้มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา 5(2) มาบังคับใช้ นางผอมซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายผลผู้ตายมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย ส่วนความประมาทของนายผลเป็นข้อเท็จจริงที่จะนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น ไม่ทำให้สิทธิของนางผอมที่จะขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนหมดไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของนางผอมจึงไม่ชอบ อุทธรณ์ของนางผอมฟังขึ้น (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5400/2560)

107 ผลของการไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ผลของการไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย แยกออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีความผิดอันยอมความได้ผู้เสียหายย่อมไม่อาจใช้สิทธิใดๆ ตามกฎหมายได้เลย เช่น การร้องทุกข์ การฟ้องคดี การขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม การอุทธรณ์ฎีกา ฯลฯ และมีผลให้บุคคลตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 ไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายด้วย แต่สำหรับความผิดอันยอมความไม่ได้หรือความผิดต่อแผ่นดิน แม้ผู้เสียหายไม่มีสิทธิต่างๆ ดังกล่าว เช่นเดียวกับความผิดอันยอมความได้แต่ผู้เสียหายอาจกล่าวโทษให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้วส่งให้พนักงานอัยการฟ้องคดีแทนได้ เพราะคดีความผิดอันยอมความไม่ได้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนได้โดยไม่ต้องมีคำร้องทุกข์ดังเช่นความผิดอันยอมความได้ (ป.วิ.อ.มาตรา 121 วรรคสอง)

108 กรณีการร้องทุกข์ การที่ผู้เสียหายที่มิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยร้องทุกข์ในความผิดอันยอมความได้ แม้เจ้าพนักงานตำรวจรับคำร้องทุกข์และพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ก็เป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบ พนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ถ้าเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ก็ถือว่าคำร้องทุกข์ดังกล่าวเป็นคำกล่าวโทษได้ กรณีเช่นนี้พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจสอบสวนและพนักงานอัยการย่อมมีอำนาจฟ้องได้ เพราะถือเป็นการดำเนินการแทนรัฐในการรักษาความสงบสุขของสังคม มิใช่ดำเนินการแทนผู้เสียหาย

109 ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย (มาตรา 4, 5, 6) ตาม ป. วิ. อ
ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย (มาตรา 4, 5, 6) ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 3 ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตามมาตรา 4,5 และ 6 มีอำนาจ 1. ร้องทุกข์ 2. เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ 3. เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา 4. ถอนฟ้องคดีอาญาหรือคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา 5. ยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัว

110 หญิงมีสามี (มาตรา 4) ในคดีอาญา ผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามี หญิงมีสามีมีสิทธิฟ้องคดีได้เอง โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน (มาตรา 4 วรรคหนึ่ง) ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 5 (2) สามีมีสิทธิฟ้องคดีอาญาแทนภริยาได้โดยได้รับอนุญาตโดยชัดเจนจากภริยา (มาตรา 4 วรรคสอง) ที่มาตรา 4 วรรคสอง บัญญัติว่าภายใต้บังคับแห่งมาตรา 5 (2) หมายถึงกรณีภริยาถูกทำร้ายถึงตาย หรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ ก็ต้องบังคับตามบทบัญญัติดังกล่าว กล่าวคือสามีมีอำนาจจัดการแทนได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากภริยาก่อน

111 สามีภริยาตามมาตรา 4 นี้ต้องเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย และการอนุญาตให้สามีฟ้องคดีอาญาแทนตามมาตรา 4 วรรคสอง กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบไว้ จึงอาจอนุญาตด้วยวาจาหรือทำเป็นหนังสือเสนอต่อศาลพร้อมคำฟ้องก็ได้ ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย (มาตรา 5) ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตาม มาตรา 5 มี 3 กรณี คือ (1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาลเฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์ หรือผู้ไร้ความสามารถ ซึ่งอยู่ในความดูแล (มาตรา 5 (1)) (2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ (มาตรา 5 (2)) (3) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของนิติบุคคลเฉพาะความผิดซึ่งกระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น (มาตรา 5 (3))

112 หลักเกณฑ์ตามแนวคำพิพากษาฎีกา ตามมาตรา 5 (1) ให้ผู้แทนโดยชอบธรรมมีอำนาจจัดการแทนผู้เยาว์ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์ ผู้แทนโดยชอบธรรม ได้แก่ บิดามารดาซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ ผู้ปกครอง ที่ศาลตั้ง (ป.พ.พ.มาตรา 1585) และผู้รับบัตรบุญธรรมเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรบุญธรรมผู้เยาว์ ขณะเดียวกันบิดามารดาผู้ให้กำเนิดหมดอำนาจปกครองนับแต่วันที่เด็กเป็นบุตรบุญธรรม (มาตรา 1598/28)

113 กรณีบิดาจะต้องเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์ด้วย จึงจะถือว่าเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ไม่ถือหลักสายโลหิต ดูฎีกาที่ 2882/2527, 6306/2545 ฎีกาที่ 6306/2545 ผู้เสียหายอายุ 17 ปีเศษ เป็นบุตรของโจทก์ร่วมกับ ส.แต่โจทก์ร่วมกับ ส. มิได้จดทะเบียนสมรสกัน ผู้เสียหายจึงมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ร่วม เมื่อไม่ปรากฏโจทก์ร่วมได้จดทะเบียนว่าผู้เสียหายเป็นบุตร โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจปกครอง และไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เสียหายที่จะมีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (1) จึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและไม่มีฐานะเป็นโจทก์ที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาได้

114 แต่สำหรับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ เป็นความผิดที่กระทำต่ออำนาจปกครองของบิดามารดาหรือผู้ปกครองหรือต่อผู้ดูแล บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่อุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ นับเป็นผู้ดูแลหรือผู้ปกครองบุตรผู้เยาว์ จึงเป็นผู้เสียหายเองโดยตรงตามมาตรา 2(4) ดูฎีกาที่ /2558 ฎีกาที่ /2558 แม้ผู้ร้องที่ 2 มิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องที่ 1 กรณีผู้ร้องที่ 2 จึงมิใช่ผู้ใช้อำนาจปกครองของผู้ร้องที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์เหมือนผู้ร้องที่ 3 ที่เป็นมารดาชอบด้วยกฎหมายอันเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมายก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องที่ 2 เป็นบิดาที่แท้จริงของผู้ร้องที่ 1 ต้องถือว่าผู้ร้องที่ 2 อยู่ในฐานะผู้ดูแลผู้ร้องที่ 1 และเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดาซึ่งเป็นผู้ดูแลตาม ป.อ.มาตรา 319 วรรคแรกด้วย ผู้ร้องที่ 2 ย่อมมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 ได้

115 ฎีกาที่ 5989/2548 วินิจฉัยทำนองเดียวกัน ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายที่เป็นผู้ไร้ความสามารถ คือ ผู้อนุบาล ดังนั้น ผู้ไร้ความสามารถตามมาตรา 5(1) จึงต้องเป็นกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถและแต่งตั้งผู้อนุบาลแล้ว ส่วนกรณีผู้เสียหายซึ่งเป็นบุคคลวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถย่อมไม่มีผู้อนุบาลจัดการแทนตามมาตรา 5(1) นี้ แต่ญาติของผู้นั้นหรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องอาจร้องขอให้ตั้งตนเป็นผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา 6 ได้ กรณีผู้เสมือนไร้ความสามารถ ต้องฟ้องคดีเองโดยได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ ผู้พิทักษ์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้เสมือนไร้ความสามารถ ดูฎีกาที่ 908/2523, 13652/2558

116 ฎีกาที่ 13652/2558 โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถโดยมี อ. เป็นผู้พิทักษ์ตามกฎหมาย แต่ อ. เป็นผู้ลงชื่อแต่งทนายความและทนายความลงชื่อในคำฟ้องในฐานะโจทก์และผู้เรียงพิมพ์ ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้มาเบิกความต่อศาล โดย อ.เป็นผู้มาเบิกความแทน จึงเท่ากับผู้พิทักษ์เป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนคนเสมือนไร้ความสามารถ โดยไม่ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทน คำฟ้องของโจทก์จึงมิใช่เป็นเรื่องที่คนเสมือนไร้ความสามารถฟ้องคดีโดยได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ หรือศาลมีคำสั่งให้ผู้พิทักษ์ฟ้องคดีแทนในกรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถไม่สามารถเสนอคดีต่อศาลได้ด้วยตนเอง ตามเงื่อนไขของ ป.พ.พ. มาตรา 34 ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์และบกพร่องในเรื่องความสามารถของผู้ที่จะมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์

117 กรณีผู้เยาว์จะฟ้องคดีอาญาเองไม่ได้ แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก็ตาม ดูฎีกาที่ 563/2517 , 631/2538 ฎีกาที่ 563/2517 ผู้เยาว์แม้ได้รับความยินยอมจากบิดา ก็ไม่สามารถเข้าเป็นโจทก์ร่วมฟ้องคดีอาญาได้ ศาลชอบที่จะสั่งให้แก้ไขในข้อบกพร่องเรื่องความสามารถในการดำเนินคดีเสียก่อน แต่เนื่องจากโจทก์ร่วมไม่ได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย จึงไม่จำเป็นที่จะแก้ไขข้อบกพร่องเพราะไม่เกิดประโยชน์อันใด (ฎีกาที่ 631/2538 วินิจฉัยทำนองเดียวกัน) การที่ผู้เยาว์ซึ่งเป็นผู้เสียหายฟ้องคดีเอง หรือยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ เป็นข้อบกพร่องเรื่องความสามารถตาม ป.วิ.พ. มาตรา 56 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 6 และ 15 ซึ่งศาลต้องสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 56 วรรคสี่ เสียก่อนจะยกฟ้องหรือยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ไม่ได้ ดูฎีกาที่ 6475/2537

118 ถ้าในระหว่างพิจารณาคดี ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะ ก็ไม่มีความจำเป็นและไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องมีคำสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถของผู้เยาว์อีก ดูฎีกาที่ 7238/2549 แต่การร้องทุกข์ ผู้เยาว์ซึ่งเป็นผู้เสียหายมีอายุพอสมควรสามารถผู้ผิดชอบได้ตามสมควร มีสิทธิร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรมจัดการแทนหรือให้ความยินยอมก่อน ดูฎีกาที่ 3915/2551 , 214/2494 , 1982/2494 , 1641/2514 อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เยาว์มีอายุพอสมควรแล้ว แต่เมื่อยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผู้แทนโดยชอบธรรมยังคงมีอำนาจจัดการแทนผู้เยาว์ได้เช่นกัน ดูฎีกาที่ 2651/2557

119 ฎีกาที่ 3915/2551 ป.วิ.อ.มาตรา 2(7) และมาตรา 123 มิได้บัญญัติว่า การร้องทุกข์ ของผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดา หรือผู้แทนโดยชอบธรรม หรือบุคคลดังกล่าวต้อง ลงลายมือชื่อในการร้องทุกข์ของผู้เยาว์ด้วย ดังนั้น ผู้เยาว์จึงมีอำนาจร้องทุกข์ด้วยตนเองได้ ฎีกาที่ 2561/2557 ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมมีอายุ 18 ปี ยังเป็นผู้เยาว์ไม่บรรลุนิติภาวะมี ส. เป็นผู้แทนโดยชอบธรรม และการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดอาญาต่อโจทก์ร่วม ส.ผู้แทนโดยชอบธรรมจึงมีอำนาจจัดการแทนโจทก์ร่วมโดยขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5(1) มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ร่วม (ผู้เยาว์) ต้องทำเองเฉพาะตัวตาม ป.พ.พ.มาตรา 22 , 23 สำหรับการถอนคำร้องทุกข์ ผู้แทนโดยชอบธรรมมีอำนาจถอนคำร้องทุกข์แทนผู้เยาว์ได้ แต่ถ้าผู้เยาว์ซึ่งมีอายุมากพอที่จะเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ และสามารถปกป้องสิทธิในทางคดีของตนเองได้ ตามสมควร ศาลฎีกาวางหลักว่าผู้แทนโดยชอบธรรมจะถอนคำร้องทุกข์ให้ขัดต่อความประสงค์ ของผู้เยาว์ไม่ได้ การถอนคำร้องทุกข์ที่ฝ่าฝืนความประสงค์ของผู้เยาว์ไม่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ ดูฎีกาที่ 214/2494 (ประชุมใหญ่) , 793/2557

120 ฎีกาที่ 214/2494 (ประชุมใหญ่) ผู้เยาว์อายุ 17 – 18 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียหายร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวนด้วยตนเองจนอัยการฟ้องคดีความผิดต่อส่วนตัว การที่บิดาของผู้เยาว์ยื่นคำร้อง ต่อศาลขอถอนคำร้องทุกข์อันฝืนต่อความประสงค์ของผู้เยาว์นั้น ศาลมีอำนาจพิเคราะห์ไม่อนุญาตให้บิดาของผู้เยาว์ถอนคำร้องทุกข์ได้ ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ตาม ป.อ.มาตรา 277 วรรคแรก เป็นความผิดที่มิได้คำนึงว่าเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ ดังนั้น แม้เด็กหญิงจะยินยอม ก็มิได้หมายความว่าเด็กหญิงนั้นมีส่วนในการกระทำความผิด เด็กหญิงนั้นจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ ผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมมีอำนาจจัดการแทน ดูฎีกาที่ 4147/2550 ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้าย ถึงตาย หรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ (มาตรา 5 (2)) ความหมายของบุพการีตามมาตรา 5 (2) ถือตามความเป็นจริง ดูฎีกาที่ 1384/2516 (ประชุมใหญ่) ฎีกาที่ 1384/2516 (ประชุมใหญ่) ผู้บุพการีตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5(2) หมายถึงบุพการี ตามความเป็นจริง โจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาผู้ตาย แต่เป็นบิดาของผู้ตายตามความจริง เมื่อผู้ตายถูกทำร้ายถึงตาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้ตายได้ กรณีผู้รับบุตรบุญธรรม มิใช่บุพการีของบุตรบุญธรรม จึงไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตามมาตรา 5(2) แต่บิดามารดาโดยกำเนิดเป็นบุพการีจัดการแทนได้

121 ผู้สืบสันดานตามมาตรา 5 (2) ก็ถือตามความเป็นจริงเช่นกัน (ฎีกาที่ 2664/2527) ฎีกาที่ 1500/2558 ผู้ร้องเป็นมารดาบุญธรรมผู้ตาย โดยไม่ได้จดทะเบียนรับผู้ตายเป็นบุตรบุญธรรมเพียงแต่แจ้งเกิดและเลี้ยงดูผู้ตายมาแต่วัยเยาว์ ผู้ร้องไม่ได้เป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2(4) และไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 44/1 ได้ สามีภริยาตามมาตรา 5(2) ต้องเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย (ฎีกาที่ 1056/2503,1335/2494,2681/2557) อย่างไรก็ดี แม้เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายก็คงมีอำนาจจัดการแทนเฉพาะ แต่ในความผิดอาญา ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้เท่านั้น ไม่ใช้กับความผิดในกรณีอื่น ดูฎีกาที่ 5126/2549 ผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตาย หรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ อาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทำผิดกระทำโดยเจตนาหรือกระทำโดยประมาทก็ได้ ดูฎีกาที่ 2294/2517 ผู้เสียหายถึงแก่ความตายด้วยโรคประจำตัวของผู้เสียหายเองไม่ต้องด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 5(2) ดูฎีกาที่ 3063/2552

122 กรณีผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายมีหลายคน ถ้าผู้จัดการแทนฯ คนใดคนหนึ่งจัดการแทนผู้เสียหายไปแล้วถึงแก่ความตายก่อนคดีถึงที่สุด ผู้จัดการแทนคนอื่นที่เหลือก็สามารถจัดการแทนผู้เสียหายตามมาตรา 5 ต่อไปได้ ดู คร.ท. 1592/2556 คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.1592/2556 โจทก์ร่วมที่ 1 บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ท ผู้เสียหายซึ่งถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย ผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ร่วมที่ 1 และเป็นมารดาของ ท. ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดี ถือว่าผู้ร้องประสงค์ขอใช้สิทธิของตนที่มีอยู่เดิมตั้งแต่แรกในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (2) เพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วมในชั้นฎีกา ศาลฎีกาอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าดำเนินคดี ในฐานะเป็นโจทก์ร่วมที่ 1 แทนโจทก์ร่วมได้กับให้รับคำแก้ฎีกาไว้พิจารณา กรณีเช่นนี้ ภริยาไม่อาจเข้าเป็นคู่ความแทนตามบทบัญญัติมาตรา 29 ได้เพราะกรณีตามมาตรา 29 เป็นกรณีที่ผู้เสียหายที่แท้จริงยื่นฟ้องแล้วตายลง ไม่รวมถึงผู้จัดการแทนฟ้องคดีแทนแล้วถึงแก่ความตายด้วย (ฎ.8537/2553,1303/2551) ศาลฎีกาเห็นว่าภริยาของผู้เสียหายที่แท้จริงเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายด้วย ผู้หนึ่ง จึงให้ภริยาของผู้เสียหายเข้าดำเนินคดีในฐานะเป็นโจทก์ร่วมได้ตามมาตรา 5 (2)

123 เมื่อปรากฏว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ แม้มีการดำเนินการให้ผู้เสียหายพิมพ์ลายนิ้วมือและมีพยานรับรองถูกต้องลงในใบแต่งทนายความ และทนายความยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตก็ยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วม จึงไม่มีสิทธิฎีกา แต่การดำเนินคดีของโจทก์ร่วมก่อนหน้าไม่เสียไป ดู ฎ.1339/2557 กรณีผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาก็ไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายได้ ดูฎีกาที่ 3391/2559,10908/2556,537/2554, 7128/2547,4526/2546,4461/2539 ฎีกาที่ 3391/2559 ผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุให้จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะผู้ตายจึงไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4) ป.ซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 30 อย่างไรก็ดี ถ้าข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติว่าผู้เสียหายที่แท้จริงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหรือไม่ ในชั้นนี้ผู้จัดการแทนผู้เสียหายยังคงมีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายได้ เช่น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากความประมาทของผู้เสียหาย แต่โจทก์ร่วม (ผู้จัดการแทนผู้เสียหาย) อุทธรณ์โต้แย้งว่าจำเลยประมาทฝ่ายเดียว ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ยุติว่าเหตุเกิดจากผู้เสียหายประมาทฝ่ายเดียว โจทก์ร่วมจึงมีสิทธิอุทธรณ์ ดูฎีกาที่ 4992/2553

124 ถ้าฟ้องบรรยายว่าผู้เสียหายมีส่วนกระทำความผิดด้วย หรือศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายมีส่วนกระทำความผิด โดยไม่มีการอุทธรณ์โต้แย้งประเด็นดังกล่าว ถือว่าข้อเท็จจริงยุติแล้วว่าผู้เสียหายไม่ใช่ผู้เสียหาย โดยนิตินัย ผู้เสียหายหรือผู้จัดการแทนไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนผู้เสียหายต่อไปอีก กรณีที่บิดาฟ้องคดีแทนบุตรซึ่งถูกทำร้ายถึงแก่ความตายตามมาตรา 5 (2) แต่บิดาตายระหว่างพิจารณาคดี ดังนี้บุตรของบิดา (พี่ชายผู้ตาย) จะดำเนินคดีต่อไปตามมาตรา 29 วรรคแรก ไม่ได้เพราะมาตรา 29 วรรคแรก ต้องเป็นกรณีผู้เสียหายที่แท้จริงถึงแก่ความตาย ดูฎีกาที่ 2331/2521 ในกรณีที่บิดาผู้เสียหายได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายโดยเจตนา ในฐานะผู้จัดการแทนผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) นั้น เมื่อบิดาผู้เสียหายตายลงระหว่างพิจารณา ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของบิดาผู้เสียหาย (พี่ชายผู้เสียหาย) หามีสิทธิดำเนินคดีต่างบิดาผู้เสียหายต่อไป ตามความหมายของบทบัญญัติ มาตรา 29 แห่ง ป.วิ.อ. ไม่ เพราะบิดาผู้เสียหายเป็นผู้จัดการแทนผู้เสียหายซึ่งถูกทำร้ายถึงตายเท่านั้น บุคคลตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (2) ที่จะมีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายได้นั้น ผู้เสียหายที่แท้จริงต้องถึงแก่ ความตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ และความตายหรือการบาดเจ็บนั้นต้องเกิดจากการทำร้ายของจำเลยด้วย ดังนี้ หากผู้เสียหายถึงแก่ความตายด้วยสาเหตุอื่น ไม่ใช่เพราะบาดแผลที่ถูกจำเลยทำร้าย กรณีไม่ต้องด้วย ตาม มาตรา 5 (2) บุคคลตามมาตรา 5(2) ไม่มีอำนาจจัดการแทนจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ดูฎีกาที่ 6079/2555,5162/2547

125 ฎีกาที่ 5162/2547 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฉ้อโกงเงินของ ว. บิดาโจทก์ ว
ฎีกาที่ 5162/2547 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฉ้อโกงเงินของ ว.บิดาโจทก์ ว.ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว แต่ถึงแก่ความตายเสียก่อน โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกง ดังนี้ ว.บิดาโจทก์เป็นผู้ถูกจำเลยหลอกลวงเอาทรัพย์ของ ว.ไป ว.จึงเป็นผู้เสียหายโดยตรงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2(4) เมื่อต่อมา ว.ตายโดยมิได้ถูกทำร้ายถึงตายตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5(2) แม้โจทก์เป็นผู้สืบสันดานก็ไม่มีอำนาจจัดการแทน ว. ได้ การที่ ว.เพียงแต่ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเท่านั้น ยังไม่ได้ฟ้องคดี กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 29 ที่โจทก์จะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ข้อสังเกต น่าคิดว่า ตามมาตรา 5 (2) ที่ให้อำนาจผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา จัดการแทนผู้เสียหายได้เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตาย หรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้นั้นหมายถึงเฉพาะความผิดเกี่ยวกับการถูกทำร้ายเท่านั้น เรื่องนี้ ว. บิดาโจทก์ถูกจำเลยฉ้อโกงแล้ว ว. ถึงแก่ความตาย การพิจารณาว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้สืบสันดานจะมีอำนาจดำเนินคดีแทนผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงได้หรือไม่ ไม่เกี่ยวกับความผิดที่ถูกทำร้าย จึงไม่ใช่กรณีจะต้องพิจารณา ตามมาตรา 5 (2) ว่า ผู้เสียหายถึงแก่ความตายเพราะถูกทำร้ายหรือไม่ เพราะแม้ผู้เสียหายจะถูกทำร้ายถึงตาย ผู้สืบสันดานก็ไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 5 (2) อยู่ดี เพราะไม่ใช่ความผิดที่เกี่ยวกับการถูกทำร้าย เหตุผลของเรื่องนี้จึงควรจะอยู่ที่ว่าสิทธิการดำเนินคดีอาญาเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่เป็นมรดกตกแก่ทายาท ทั้งกรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ ตามมาตรา 29 เพราะผู้เสียหายยังมิได้ฟ้องคดีต่อศาลเพียงแต่ร้องทุกข์เท่านั้น ดูฎีกาที่ 3063/2552 ข้างต้น

126 อย่างไรก็ดี แม้ผู้ตายถูกจำเลยทำร้าย แต่ถึงแก่ความตายจากบาดแผลที่ผู้อื่นทำร้าย (โดยมิได้เป็นตัวการร่วมกับจำเลย) มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยด้วย กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 5 (2) ดูฎีกาที่ 3879/2546 ถ้าความตายเกิดจากผู้ตายผูกคอตายเอง ไม่ได้เป็นผลมาจากการทำร้ายของจำเลย ก็ไม่ใช่กรณีตามมาตรา 5 (2) นี้ ดูฎีกาที่ 8357/2550 ทั้งสองกรณีดังกล่าว บุคคลตามมาตรา 5 (2) ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย เรื่องนี้จำเลยและผู้ยื่นเข้าทำร้ายผู้ตายโดยมิได้เป็นการร่วม แต่ละคนจึงมีความผิดเฉพาะในส่วนที่ตนได้กระทำเท่านั้น เมื่อได้ความว่าจำเลยเพียงแต่เตะผู้ตายจนได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น แต่บาดแผลที่ทำให้ผู้ตายถึงแกความตายมิได้เกิดจากการกระทำของจำเลย โจทก์ร่วมจึงไม่อาจดำเนินคดีแก่จำเลยแทนผู้ตาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) ได้ ผู้เสียหายถึงแก่ความตายจากเหตุอื่น ไม่ใช่จากบาดแผลที่จำเลยทำร้าย บุคคลตามมาตรา 5 (2) ไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 26/2553 กรณีบุคคลตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (2) เป็นผู้ฟ้องคดีเองหรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ คำฟ้องจะต้องยืนยันว่าผู้เสียหายตายไปแล้วหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ (ฎีกาที่ /2532,26/2553) คำฟ้องที่บรรยายว่าขณะนี้ไม่ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความหรือไม่ เป็นคำบรรยายฟ้องที่ไม่ยืนยันว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายแล้ว และความตายต้องถึงแก่ความตายตามความเป็นจริงด้วย ไม่รวมถึงกรณีศาลมีคำสั่งให้ผู้เสียหายเป็นบุคคลสาบสูญด้วย ดูฎีกาที่ 10915/2558

127 ฎีกาที่ 10915/2558 โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ของ ส. ไปและร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ผลักและฉุดกระชาก ส. เข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้งห้ากับพวก อันเป็นการข่มขืนใจ ส. ให้ต้องจำเลยเข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้งห้ากับพวกด้วยการทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือเสรีภาพ และขณะนี้ไม่ทราบว่า ส.ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ซึ่งแม้คำบรรยายฟ้องแสดงว่าจำเลยทั้งห้ากับร่วมกันใช้กำลังทำร้าย ส. แต่ฟ้องโจทก์มิได้ยืนยันว่า ส.เสียชีวิตแล้ว จึงไม่อาจถือได้ว่า ส.ถูกทำร้ายถึงตาย อีกทั้งการที่จำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ผลักและฉุดกระชาก ส. เข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้งห้ากับพวกก็ไม่ได้ความ ตามคำฟ้องของโจทก์ว่าเป็นเหตุให้ ส. ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ แม้ต่อมาศาลมีคำสั่งแสดงว่า ส. เป็นคนสาบสูญซึ่งถือว่าถึงแก่ความตาย ตาม ป.พ.พ.มาตรา 62 ก็ตาม แต่เป็นการตายโดยผลของกฎหมาย มิใช่เป็นกรณีถูกทำร้ายถึงตายตามความเป็นจริง เมื่อในขณะที่ภริยาและผู้สืบสันดานของ ส. ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ไม่ปรากฏว่า ส. ถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ ศาลอุทธรณ์ยกคำขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วมที่ 1 และโจทก์ร่วมที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นภริยาและบุตรของ ส. จึงถูกต้องและชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 5 (2) แล้ว ถ้าบุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา 5 (2) ไม่มีตัวอยู่ บุคคลอื่นจะขอให้ตนมีอำนาจจัดการแทน ตามมาตรานี้ไม่ได้ ดูฎีกาที่ 890/2495

128 ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของนิติบุคคลเฉพาะความผิดที่กระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น (มาตรา 5 (3)) ผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคลอาจมีการมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินคดีแทนได้โดยหนังสือ มอบอำนาจต้องทำให้ถูกต้องตามข้อบังคับของนิติบุคคลนั้นด้วย คำร้องทุกข์ไม่มีตราประทับของห้างหุ้นส่วนจำกัด แต่ระบุว่าเป็นการร้องทุกข์ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เมื่อไม่มีข้อจำกัดอำนาจว่าต้องใช้ตราประทับของห้างหุ้นส่วนนั้นด้วย ก็ถือว่าเป็นการร้องทุกข์แทนห้างหุ้นส่วนแล้ว (ฎีกาที่ 7429/2550) การมอบอำนาจให้ไปร้องทุกข์ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ การที่ประชุมนิติบุคคลมีมติมอบอำนาจให้ไปร้องทุกข์ย่อมกระทำได้โดยไม่จำต้องมีหนังสือมอบอำนาจ ดู ฎ.4812/2555 การที่ผู้แทนนิติบุคคลฟ้องคดีโดยใช้สิทธิส่วนตัว ไม่เป็นการทำแทนนิติบุคคล ต่อมานิติบุคคลนั้นจะขอถอนฟ้องไม่ได้ ดูฎีกาที่ 7212/2555 ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆ ของนิติบุคคล เป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนนิติบุคคลในการดำเนินคดีอาญาที่กระทำลงแกนิติบุคคล ถ้าผู้แทนนิติบุคคลผู้เสียหายไม่ยอมร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดในความผิดอันยอมความได้เพราะตนมีส่วนร่วมกระทำผิด บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้แทนนิติบุคคลจะไปร้องทุกข์แทนไม่ได้ ดูฎีกาที่ 11732/2557

129 กรณีความผิดที่กระทำลงแก่นิติบุคคลตาม ป. วิ. อ
กรณีความผิดที่กระทำลงแก่นิติบุคคลตาม ป.วิ.อ.บัญญัติให้ผู้มีอำนาจจัดการแทนนิติบุคคลไว้โดยเฉพาะว่าต้องเป็นผู้แทนของนิติบุคคลนั้น สำหรับเทศบาลซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีนายกเทศมนตรีเป็นผู้แทน เมื่อนายกเทศบาลนครลำปางไม่ร้องทุกข์ในความผิดฐานฉ้อโกง มีผลทำให้การสอบสวนไม่ชอบ ส่วนโจทก์ร่วมคดีนี้เป็นเพียงกรรมการตรวจรับงานจ้างไม่ใช่ผู้แทนของเทศบาลนครลำปาง จึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์แทนเทศบาลนครลำปาง แม้นายกเทศบาลนครลำปางไม่ยอมร้องทุกข์เพราะมีส่วนร่วมกระทำความผิด ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมร้องทุกข์ได้ แต่ผู้เสียหายที่เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด ถ้าหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือกรรมการบริษัทจำกัด เป็นผู้กระทำผิดอาญาต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือ บริษัทเสียเอง ถือว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของบุคคลดังกล่าวตามมาตรา 2 (4) ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจดำเนินคดีแก่ผู้จัดการหรือผู้แทน รวมทั้งผู้อื่นที่ร่วมกระทำผิดด้วย เพราะเป็นที่เห็นได้ว่าผู้กระทำผิดย่อมไม่ดำเนินคดีแทนนิติบุคคล ดูฎีกาที่1041/2558,115/2535,10704/2557,1250/2521,1680/2520 ไม่ใช่กรณีตามมาตรา 5 (3)

130 แต่ผู้มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นไม่เคยดำเนินการใดๆ ในฐานะผู้ถือหุ้น ไม่เคยมีส่วนได้ส่วนเสียจากกิจการของบริษัทอันจะฟังได้ว่าเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทตามความหมายของ ป.พ.พ. ไม่ใช่ผู้เสียหาย ในความผิดอาญาที่กรรมการกระทำผิดต่อบริษัท ดูฎีกาที่ 12716/2558 กรณีผู้กระทำความผิดต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นบุคคลอื่น มิใช่หุ้นส่วนผู้จัดการ ดังนี้ห้างหุ้นส่วนเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 1847/2557 ฎีกาที่ 1847/2557 เมื่อความผิดที่โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิด เป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อผู้มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจร้องทุกข์ เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ได้ร้องทุกข์โดยชอบ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนและพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ลูกจ้างของบริษัทที่มีตำแหน่งหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ไม่ใช่ผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคล เมื่อลูกจ้างบริษัทยักยอกทรัพย์ของบริษัท บริษัทเป็นผู้เสียหาย ผู้ถือหุ้นไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง ดูฎีกาที่ 6328/6330/2531 สิทธิในการดำเนินคดีอาญาไม่เป็นมรดก สิทธิการดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เสียหาย ไม่เป็นมรดกตกทอดไปยังทายาท เมื่อผู้เสียหายตายก่อนดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิด ทายาทของผู้เสียหายไม่มีสิทธิฟ้องแทนผู้เสียหาย ดูฎีกาที่ 3395/2525,2219/2521,578/2515

131 ฎีกาที่ 3395/2525 จำเลยกับ ด. ได้ร่วมกันนำพินัยกรรมซึ่งมีข้อความว่า ต
ฎีกาที่ 3395/2525 จำเลยกับ ด. ได้ร่วมกันนำพินัยกรรมซึ่งมีข้อความว่า ต. เจ้ามรดก ยกที่ดินมีโฉนดให้แก่ ด.ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินเชื่อและได้แก้ทะเบียนที่ดินดังกล่าวเป็นชื่อของจำเลย แต่ในขณะนั้น ร. ซึ่งอ้างว่าเป็นบุตรของ ต. เจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ และต่อมาก่อนตาย ร. ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวที่อ้างว่าจะได้รับมรดกให้แก่โจทก์ ดังนี้ แม้จะฟังว่า ร.เป็นบุตรของ ต. เจ้ามรดกและพินัยกรรมปลอม แต่ขณะเกิดเหตุการณ์กระทำผิด ร. ยังมีชีวิตอยู่ ร. จึงเป็นผู้เสียหาย ป.วิ.อ.มาตรา 4 , 5 และ 6 ไม่ได้ให้อำนาจโจทก์ ซึ่งเป็นผู้รับพินัยกรรมฟ้องคดีแทน ร. ผู้เสียหายได้ ดังนี้ เมื่อ ร. ถึงแก่ความตายแล้วโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ถ้าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดในความผิดที่เป็นสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินไว้แล้ว เมื่อผู้เสียหายถึงแก่ความตาย สิทธิถอนคำร้องทุกข์ย่อมตกทอดแก่ทายาท ทายาทมีสิทธิถอน คำร้องทุกข์ได้ ดูฎีกาที่ 372/2549,206/2488,11/2518

132 คำสั่งศาลฎีกาที่ 372/2549 การถอนคำร้องทุกข์เป็นสิทธิซึ่ง ป. วิ. อ
คำสั่งศาลฎีกาที่ 372/2549 การถอนคำร้องทุกข์เป็นสิทธิซึ่ง ป.วิ.อ.มาตรา 126 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สิทธิ แก่ผู้ร้องทุกข์ที่จะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ สิทธิถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานยักยอกถือเป็นสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สิน กรณีผู้ร้องทุกข์ตายสิทธิดังกล่าวย่อมตกทอดแก่ทายาท เมื่อได้ความตามคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ว่าบรรดาทายาททุกคนของผู้เสียหายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไปและขอถอนคำร้องทุกข์ ดังนั้น เมื่อผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้เสียหายซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย จึงมีสิทธิถอนคำร้องทุกข์ได้แม้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา และเมื่อมีการถอนคำร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไป ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 39 (2) เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกย่อมตกทอดแก่ทายาท เมื่อความผิดเกิดภายหลัง เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ทายาทผู้รับมรดกจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ แม้มีการรับโอนมรดกหลังเกิดเหตุก็ตาม ดูฎีกาที่ 10588/2553 ผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาทตาย (ป.อ.มาตรา 333) ความผิดฐานหมิ่นประมาทมีบทบัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษ ตาม ป.อ.มาตรา 333 วรรคสองว่า ถ้าผู้เสียหาย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย แสดงว่าเฉพาะในความผิดฐานหมิ่นประมาทนี้ แม้ผู้เสียหายจะตายไปแล้ว บุคคลตามที่ระบุไว้ก็มีอำนาจไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดได้ การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีอาญา การฟ้องคดีอาญาจะเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา อาจมีการมอบอำนาจให้ผู้อื่นฟ้องแทนได้ (ฎีกาที่ 890/2503 (ประชุมใหญ่) , 2178/2524

133 การตั้งผู้แทนเฉพาะคดี (มาตรา 6) การร้องขอให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีได้ เมื่อผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ ผู้วิกลจริต หรือผู้ไร้ความสามารถ กรณีที่ 1 ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้หรือมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์ กรณีที่ 2 ผู้วิกลจริตหรือผู้ไร้ความสามารถไม่มีผู้อนุบาล หรือผู้อนุบาลไม่สามารถทำหน้าที่ได้หรือมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้ไร้ความสามารถ ผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาล คือ ญาติของผู้เสียหาย ผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง การร้องขอตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา 6 นี้ เป็นคดีที่ความผิดอาญาได้กระทำต่อผู้เยาว์ หรือผู้ไร้ความสามารถ ตามมาตรา 5 (1) จะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีในกรณีตามมาตรา 5 (2) ไม่ได้ ดูฎีกาที่ 890/2495 ข้อสังเกต เรื่องนี้ผู้เยาว์ถึงแก่ความตาย กรณีจึงต้องด้วยมาตรา 5 (2) แต่ตามมาตรา 6 บัญญัติถึงเฉพาะกรณีผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมอันเป็นกรณีตามมาตรา 5 (1) เท่านั้น จึงไม่ใช่กรณีที่จะขอให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะ คดีตามมาตรา 6 ให้ได้

134 นอกจากนี้ยังต้องเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ ผู้วิกลจริต หรือ ผู้ไร้ความสามารถยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ศาลมีคำสั่งตั้งผู้แทนเฉพาะคดีด้วย มิฉะนั้นจะขอตั้งผู้แทนเฉพาะคดีไม่ได้ ดูฎีกาที่ 3432/ /2532,365/2532 แต่ถ้าผู้เยาว์ ผู้วิกลจริต หรือผู้ไร้ความสามารถถึงแก่ความตายภายหลังศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดี และผู้แทนเฉพาะคดีฟ้องคดีไปแล้ว ผู้แทนเฉพาะคดีมีอำนาจดำเนินคดีต่อไปได้ตามบทบัญญัติมาตรา 29 วรรคสอง ผู้แทนเฉพาะคดีที่ฟ้องแทนผู้เสียหาย จะมีอำนาจว่าคดีแทนผู้เสียหายที่ตายลงต่อไปได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 29 นั้น หมายถึงกรณีที่ศาลได้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เสียหายไว้แล้วก่อนที่ผู้เสียหายตาย หาได้หมายรวมถึงกรณีผู้เสียหายได้ตายไปก่อนที่ศาลจะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีด้วยไม่ (ฎีกาที่ 365/2532 วินิจฉัยทำนองเดียวกัน) เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีแล้วจะร้องขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้ดูฎีกาที่ 6047/2531 บิดามารดาของผู้เยาว์ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน มารดาเท่านั้นเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม เมื่อปรากฏว่ามารดาหนีไปแล้ว ถือเป็นกรณีที่ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้ จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีได้ตามมาตรา 6 การที่บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องคดีอาญาแทนผู้เยาว์และศาลสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา ถือได้โดยปริยายว่าศาลตั้งบิดาเป็นผู้แทนเฉพาะคดีแล้ว ดูฎีกาที่ 2958/2541

135 คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำถาม ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี และความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นยินยอม มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เสียหายมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการหรือยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน จากจำเลยแทนผู้เสียหายหรือไม่ คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้

136 คำพิพากษาฎีกาที่ 3554/2561 แม้ตามคำฟ้องและทางพิจารณาคดีจะได้ความว่า การล่วงละเมิดทางเพศของจำเลยต่อผู้เสียหายที่ 1 นั้น เป็นไปโดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอมก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงเรื่องพิจารณาตามองค์ประกอบในเรื่องอายุ โดยกฎหมาย ได้คำนึงถึงการคุ้มครองความเป็นผู้เยาว์ของผู้เสียหายที่อายุยังไม่เกินสิบสามปี ยังขาดวุฒิภาวะ ตลอดจนความรู้และความเข้าใจในการดำรงชีวิตซึ่งจำเลยผู้กระทำความผิดหากล่วงรู้และทราบข้อเท็จจริงในองค์ประกอบเรื่องอายุในส่วนนี้แล้ว ยังคงกระทำความผิด ก็จะอ้างถึงความยินยอมของผู้เสียหายที่ 1 มาเป็นเหตุปัดความรับผิดในเรื่องดังกล่าวหา ได้ไม่ เพราะเป็นคนละส่วนกัน กรณีย่อมถือว่าผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งขณะเกิดเหตุอายุยังไม่เกินสิบสามปีนั้น แม้จะถูกจำเลยกระทำความผิดโดยยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ตาม ก็ไม่อาจนำมาเป็นเหตุพิจารณาว่ามิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ดังนั้น ผู้เสียหายที่ 1 โดยมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมจึงมีสิทธิร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ในส่วนความผิด ที่ถูกจำเลยกระทำ ตาม ป.อ.มาตรา 277 วรรคสาม และมาตรา 279 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 โดย น. มารดาโจทก์ร่วมผู้แทนโดยชอบธรรมเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการเฉพาะในความผิดดังกล่าว จึงชอบแล้ว และเมื่อเป็นโจทก์ร่วมก็ย่อมมีสิทธิในฐานะที่เป็นคู่ความในคดี จึงมีสิทธิยื่นคำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกาได้ ส่วนเรื่องที่ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 นั้น เมื่อจำเลยได้ล่วงละเมิดในทางเพศ ต่อโจทก์ร่วม และล่วงละเมิดอำนาจปกครองดูแลโจทก์ร่วมของผู้เสียหายที่ 2 ผู้เป็นยายซึ่งเป็นผู้ปกครองดูแลโจทก์ร่วมอยู่ในขณะเกิดเหตุ จึงเป็นการกระทำละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 แล้ว โจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ 2 จึงมิสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1

137 คำพิพากษาฎีกาที่ 9797/2560 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามี ของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวาง....”แสดงว่ากฎหมายคุ้มครองเด็กอายุน้อยเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ให้ความสำคัญแก่ความยินยอมของเด็ก แม้ผู้เสียหายยินยอม การกระทำของจำเลยก็ยังเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ผู้เสียหายจึงไม่สิ้นสิทธิในการเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เสียหายย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยแทนผู้เสียหายได้ คำถาม ผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายจะมีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีส่วนอาญาหรือยื่น คำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนแพ่งหรือไม่

138 คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8001 – 8002/2560 ผู้ตายสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กับจำเลยทั้งหก ผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย พ.มารดาของผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายซึ่งถูกทำร้ายถึงตาย พ. ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีส่วนอาญาและไม่มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 เป็นบทบัญญัติที่มีเจตนารมณ์ที่จะช่วยผู้ที่ได้รับความเสียหายในทางแพ่งให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วในการได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใน การดำเนินคดีแพ่งเป็นอีกคดีหนึ่ง ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาจะได้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียวกัน โดยให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายยื่นคำร้องเข้ามาในคดีอาญา การที่ผู้ตายถูกจำเลยทั้งหกร่วมกันทำร้ายจนถึงแก่ความตายเป็นความเสียหายเพราะเหตุที่ผู้ตายได้รับอันตรายแก่ชีวิต อันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยทั้งหกดังกล่าว ถือเป็นผู้เสียหายมีสิทธิ จะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวได้ แม้จะได้ความว่าผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วยโดยสมัครใจวิวาททำร้ายกับฝ่ายจำเลย ก็เป็นข้อเท็จจริงที่จะนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนด ค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น ไม่ทำให้สิทธิของผู้เสียหายที่จะขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหมดไป พ. เป็นมารดาของผู้ตายและเป็นทายาทของผู้ตาย เมื่อผู้ตายถูกทำร้ายถึงตายต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายและต้องจัดงานศพ จึงมีสิทธิเรียกค่าปลงศพและเรียกค่าขาดอุปการะได้

139 ข้อสอบเนติบัณฑิต ปี 2547 ถ้ากล่าวถึงความผิดฐานยักยอกไม่ต้องพิจารณาถึง ป.วิ.อ.มาตรา 5 (2) นายหนึ่งยักยอกเงินนายสองหนึ่งล้านบาท (เป็นความผิดยอมความได้) วันรุ่งขึ้นนายสองทราบเรื่องก็ไปร้องทุกข์ (ภายในอายุความ) ต่อมาอีกสองเดือนนายสองถึงแก่ความตาย นายสามซึ่งเป็นบุตรของนายสองได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายสอง นายสามเป็นผู้จัดการมรดกของนายสองในความผิดฐานยักยอก นายสามจะมาเป็นผู้เสียหายแทนได้หรือไม่ เรื่องนี้เป็นความผิดฐานยักยอก และได้แจ้งความแล้ว บุคคลอื่นจะเข้ามาแทนโดยฟ้องคดียักยอกได้หรือไม่หรือจะเข้ามารับมรดกความแทนหรืออย่างไร ถ้าจะเข้าตาม ป.วิ.อ. มาตรา 29 ที่ผู้สืบสันดานจะเข้ามาแทนได้ต้องเป็นที่ฟ้องคดีไว้แล้ว แต่ถ้าแจ้งความร้องทุกข์ไปแล้วบุตรจะเข้าไปแทนที่ได้หรือไม่

140 ธงคำตอบ กรณีที่นายสองถูกยักยอกเงิน นายสองก็เป็นผู้เสียหาย ก็มีอำนาจฟ้องนายหนึ่งได้ แต่นายสองยังไม่ได้ฟ้องเป็นคดี ถ้านายสองฟ้องเป็นคดีก็เป็นกรณี ตามมาตรา 29 ไป นายสามแม้จะเป็นบุตรของนายสองและเป็นผู้จัดการมรดกด้วย แต่นายสามไม่ใช่ผู้เสียหาย และความผิดฐานยักยอกผู้สืบสันดานเข้ามาไม่ได้ตามมาตรา 5 (2) เมื่อไม่ใช่กรณีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) นายสามซึ่งเป็นผู้สืบสันดานก็ไม่มีอำนาจฟ้องนายหนึ่งได้ ฎ.๕๑๖๒/๒๕๔๗ ถ้าในระหว่างที่อัยการฟ้องนายหนึ่งข้อหายักยอกนายสามเกิดรับเงินจากนายหนึ่ง นายสามจะถอนคำร้องทุกข์ได้หรือไม่ นายสามร้องทุกข์ไม่ได้เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายก็คือนายสองคนที่ถูกเบียดบังยักยอก นายสองตาย นายสามเข้ามาไม่ได้เลยเพราะไม่ใช่กรณีตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (1) กับ (2) แล้วนายสามมีสิทธิที่จะรับเงินจากสองหรือไม่ และถอนคำร้องทุกข์ได้หรือไม่ คำตอบคือสิทธิในการถอนคำร้องทุกข์เป็นมรดกเพราะฉะนั้นทายาทถอนคำร้องทุกข์ได้ก็เป็นคำพิพากษาฎีกาที่ 751/2541

141 ข้อสอบเนติบัณฑิต ปี 2550 นายอังคารอยู่กินกับนางดาวสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียน (ต้องนึกถึง ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) แล้ว) และมีบุตรชื่อนายจันทร์ นายอาทิตย์ทำร้ายร่างกายนายจันทร์ถึงแก่ความตาย (บิดาเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมได้อยู่แล้ว) คนที่ทำร้ายนายจันทร์กลัวความผิดก็เอาศพ นายจันทร์ซุกซ่อนไว้ที่สวนหลังบ้าน แล้วก็มีการปลอมเอกสารกันซึ่งไม่ใช่เรื่องของ ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) ธงคำตอบ ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย นายอังคารแม้เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็มีสิทธิเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) แต่ความผิดฐานซ่อนเร้นศพ เป็นการกระทำผิด ต่อรัฐ รัฐจึงเป็นผู้เสียหาย เพราะฉะนั้นนายอังคารบิดาของนายจันทร์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีสิทธิเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ความผิดปลอมเอกสารนายจันทร์ก็เข้ามาไม่ได้เหมือนกันเพราะไม่ใช่กรณีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2)

142 ข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ปี 2553 นายหารหลอกนางสาวซื่อ อายุ 17 ปี ไปดูภาพยนตร์แต่พาไปข่มขืนกระทำชำเรา ถึงตรงนี้ต้องนึกถึงว่ามีข้อหาพรากผู้เยาว์กับข้อหาข่มขืนแล้ว แล้วก็นึกต่อไปเลยว่าพรากผู้เยาว์บิดาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้เสียหายด้วยตนเองได้ แต่ข้อหาข่มขื่นถ้าเป็นผู้เยาว์ต้องให้บิดามารดาที่แท้จริง แต่ถ้าถูกทำร้ายถึงตายตามมาตรา 5 (2) ได้ เมื่อกลับถึงบ้านนายใหญ่ซึ่งเป็นบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อุปการะเลี้ยงดู จึงพานางสาวซื่อไปแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดี ในข้อหาพรากผู้เยาว์ และข่มขืน (ตัวผู้เสียหายก็คือคนที่ถูกข่มขืน) มารดาเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา 5 (1) ได้ ถ้าเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองหลังจากที่ข่มขืนกระทำชำเราไปเรียบร้อยแล้วนางสาวซื่อเสียใจผูกคอตาย ก็ไม่ใช่กรณี ตามมาตรา 5 (2) เพราะกรณีตามมาตรา 5 (2) ต้องถูกทำร้ายถึงตาย หลังจากนั้นนายใหญ่อยากจะยอมความในข้อหาข่มขืนและจะขอถอนคำร้องทุกข์ในเรื่องข่มขืนได้หรือไม่ ผู้ที่ไม่ใช่ผู้เสียหายจะขอถอนคำร้องทุกข์ไม่ได้เพราะการถอนคำร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) (2) ต้องเป็นผู้เสียหาย

143 ธงคำตอบ นายใหญ่ไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ในข้อหาข่มขืนเพราะนายใหญ่เป็นบิดาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายใหญ่ไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรม นายใหญ่เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาพรากผู้เยาว์ได้เพราะเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูนางสาวซื่อ จึงเป็นผู้ปกครองดูแล จึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยตรง แต่นายใหญ่ไม่มีอำนาจฟ้องนายหาญ ข้อหาทำร้ายร่างกายนางสาวซื่อ เพราะการที่นางสาวซื่อกินยาตายไม่ใช่เป็นผลโดยตรงมาจากการทำร้ายของนายหาญ จึงมิใช่กรณีผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2)

144 ข้อสอบอัยการ ปี 2557 นาย ก. อายุ 18 ปี หลอกลวงนางสาวเก๋อายุ 16 ปี ซึ่งเป็นบุตรนายกล้าและนางกาญซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่นายกล้าก็อุปการะเลี้ยงดูลูกสาวมาตลอดแต่เพียงผู้เดียว ธงคำตอบ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์นายกล้าบิดาอยู่ในฐานะผู้เสียหายได้ นายกล้าซึ่งเป็นผู้เสียหายในข้อพรากผู้เยาว์มอบอำนาจให้นายเก่งไปร้องทุกข์โดยไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจได้เพราะการมอบอำนาจให้ไปร้องทุกข์ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องทำเป็นหนังสือ (คำพิพากษาฎีกาที่ 2386/2541) ข้อหาพาหญิงอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจารนายกล้าไม่ใช่ผู้เสียหายจึงมอบให้นายเก่งไปร้องทุกข์แทนไม่ได้ นางสาวเก๋เป็นผู้เสียหาย ก็เฉพาะผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์ได้ แม้นางสาวเก๋เป็นผู้เยาว์ก็ขอถอนคำร้องทุกข์ได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนายกล้า (คำพิพากษาฎีกาที่ 3915/2551)

145 ข้อสอบอัยการปี 2557 นักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งเอาเงินค่าลงทะเบียนไปฝากไว้กับอาจารย์ห้องทะเบียน แล้วอาจารย์ห้องทะเบียนก็ไม่เอาเงินไปที่แผนกคลังแล้วยักยอกไปเลย ถ้าอาจารย์ห้องทะเบียนมีสิทธิรับเงินในนามของโรงเรียนการยักยอกเงินรายนี้ก็เป็นการยักยอกเงินโรงเรียน ถ้าอาจารย์ไม่มีสิทธิรับเงินของโรงเรียนการยักยอกเงินกรณีนี้ก็เป็นการยักยอกเงินของนักศึกษา การหาผู้เสียหายคือต้องดูข้อกฎหมาย ธงคำตอบ ถือว่าอาจารย์ห้องทะเบียนมีหน้าที่โดยปริยายที่จะต้องนำเงินไปมอบให้แผนกคลัง การยักยอกเงินนี้เป็นการยักยอกเงินของโรงเรียน โรงเรียนแจ้งความร้องทุกข์ได้

146 คำถามเนติบัณฑิต สมัยที่ 63 ปีการศึกษาที่ 2553
ข้อ 1 คำถาม พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทชนท้ายรถจักรยานยนต์ของนางตรี เป็นเหตุให้นางตรีผู้ขับถึงแก่ความตายและนายเอกซึ่งนั่งซ้อนท้ายได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 นายเอกสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางตรียื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในข้อหาทั้งสองดังกล่าว ศาลชั้นต้นอนุญาต ระหว่างสืบพยานโจทก์ นายเอกถึงแก่ความตาย นายจัตวาบุตรนายเอกกับนางตรียื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตาย ให้วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้นายจัตวาเข้าดำเนินคดีต่างนายเอกผู้ตายได้หรือไม่

147 ธงคำตอบ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 29 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า “เมื่อผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้วตายลง บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาจะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปก็ได้” นั้น หมายความรวมถึงกรณีผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ได้ยื่นฟ้องด้วยตนเอง แต่เป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการด้วย (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 5884/2550) ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้นายเอกได้รับอันตรายสาหัส นายเอกเป็นผู้เสียหายโดยตรง การที่นายเอกซึ่งเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการตายลง นายจัตวาผู้สืบสันดานของนายเอกจึงยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว

148 ส่วนความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้นางตรีถึงแก่ความตายนั้น นายเอกเป็นเพียงผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 3 (2) และมาตรา 5 (2) ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จึงมิใช่กรณีที่ผู้เสียหายที่แท้จริงยื่นฟ้องแล้วตายลงตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง แม้นายจัตวาจะเป็นผู้สืบสันดานของนายเอกกับนางตรีก็ตาม นายจัตวาก็ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างนายเอกซึ่งถึงแก่ความตายตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 8537/2553) ศาลชั้นต้นชอบที่จะอนุญาตให้นายจัตวาเข้าดำเนินคดีต่างนายเอกผู้ตายได้เฉพาะข้อหาประมาทเป็นเหตุให้นายเอกได้รับอันตรายสาหัส หมายเหตุ ปัจจุบันมีคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.1592/2556 วินิจฉัยยกลับคำพิพากษาฎีกาที่ 8537/2553 แล้ว

149 คำถามเนติบัณฑิต สมัยที่ 67 ปีการศึกษาที่ 2557
คำถาม พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายเอก กระสุนปืนถูกนายเอกที่ศีรษะเป็นเหตุให้นายเอกถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 นายโทบิดาของนายเอกและนางตรีภริยาซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสของนายเอกต่างยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ระหว่างสืบพยานโจทก์นายโทถึงแก่ความตาย นางจัตวาภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโทและเป็นมารดาของนายเอกยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างนายโทผู้ตาย ให้วินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางตรีเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการชอบหรือไม่ และนางจัตวาจะเข้าดำเนินคดีต่างนายโทผู้ตายได้หรือไม่

150 ธงคำตอบ นางตรีไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนายเอกผู้ตาย ไม่ถือว่าเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ใช่ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) ไม่มีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามมาตรา 30 คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้นางตรีเข้าร่วมเป็นโจทก์จึงไม่ชอบ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2681/2557)

151 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 29 ที่บัญญัติว่า “เมื่อผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้วตายลง” นั้น หมายความรวมถึง กรณีผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการแล้วตายลงด้วย นางจัตวาเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโทและเป็นผู้บุพการีของนายเอกซึ่งถูกทำร้ายถึงตาย จึงอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเช่นเดียวกับนายโท ตามมาตรา 5 (2) เมื่อนายโทถึงแก่ความตาย การที่นางจัตวามายื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีนี้ย่อมถือได้ว่านางจัตวาประสงค์ขอใช้สิทธิของตนที่มีอยู่เดิมตั้งแต่แรกในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนด้วยอีกคนหนึ่งเช่นเดียวกับนายโท เพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนนายโท ศาลชั้นต้นชอบที่จะอนุญาตให้นางจัตวาเข้าดำเนินคดีในฐานะโจทก์ร่วมแทนนายโทได้ตามขอ (คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.1592/2556)

152 ฎีกาที่น่าสนใจ คำพิพากษาฎีกาที่ 2193/2534 การที่จำเลยนำเช็คที่บริษัท ล. สั่งจ่ายให้โจทก์ร่วม ซึ่งจำเลยได้ปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมสลักหลังให้จำเลยแล้วนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารตามเช็คเพื่อเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของจำเลย แม้จะเป็นการหลอกลวงโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งก็ตาม แต่ก็เป็นการกระทำต่อธนาคารและเจ้าหน้าที่ของธนาคารโดยตรงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำ ต่อโจทก์ร่วม หากโจทก์ร่วมจะได้รับความเสียหายเพราะเสียสิทธิที่จะได้รับเงินตามเช็คไป ก็เป็นความเสียหายที่โจทก์ร่วมได้รับในความผิดฐานปลอมเอกสาร หาใช่ความเสียหายจากการหลอกลวงของจำเลยไม่ โจทก์ร่วมจึงมิใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงและไม่มีสิทธิร้องทุกข์ในความผิดฐานนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

153 คำพิพากษาฎีกาที่ 671/2539 การที่จำเลยรับอาสาว่าจะนำบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายไปตรวจสอบยอดเงินในบัญชีเงินฝาก แต่กลับนำบัตรบริการเงินด่วนดังกล่าวไปเบิกถอนเงินจากตู้ เอ.ที.เอ็ม. ของธนาคาร เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าจำเลยหลอกลวงเอาบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายเพื่อนำไปใช้เบิกถอนเอาเงินจากตู้ เอ.ที.เอ็ม. และการที่จำเลยใช้บัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายเบิกถอนเงินถือได้ว่าเงินที่จำเลยเบิกถอนจากตู้ เอ.ที.เอ็ม. เป็นเงินของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง คำพิพากษาฎีกาที่ 855/2557 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อผู้ครอบครองที่ดินซึ่งเขตติดกับที่ดินราชพัสดุที่จำเลยขอเช่าในใบรับรองแนวเขตที่ดินโดยข้อความในเอกสารไม่มีข้อความใดเกี่ยวถึงตัวโจทก์ร่วม ทั้งนำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ช่างสำรวจเพื่อเสนอให้จำเลยได้เช่าที่ดินราชพัสดุเท่านั้นซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลย

154 คำพิพากษาฎีกาที่ 10066/2557 จำเลยแนะนำ ก
คำพิพากษาฎีกาที่ 10066/2557 จำเลยแนะนำ ก. ให้มากู้ยืมเงินจากโจทก์ หลังจากนั้นขอโฉนดที่ดินฉบับที่ ก.มอบไว้ให้แก่โจทก์ยึดถือเป็นประกันไปจากโจทก์ ต่อมามอบโฉนดที่ดินคืนแก่โจทก์และบอกว่าหาเจ้าหนี้รายใหม่ไม่ได้ ต่อมาโจทก์พบว่าโฉนดที่ดินดังกล่าวปลอม โดยจำเลยเป็นผู้ปลอมด้วยวิธีนำโฉนดที่ดินฉบับที่เก็บรักษาไว้ที่สำนักงานที่ดินไปถ่ายเอกสารเป็นภาพสีแล้วนำมาตกแต่ง ส่วนเงินกู้ ก.ชำระให้แก่จำเลยแล้ว พร้อมดอกเบี้ย แต่ไม่นำไปมอบให้แก่โจทก์ ดังนี้ย่อมทำให้โจทก์ต้องสูญเสียหลักประกันในการกู้ยืมเงินที่ ก. ผู้กู้ได้มอบให้แก่โจทก์ แม้การปลอมจะทำโดยนำโฉนดที่ดินฉบับที่เก็บรักษาไว้ที่สำนักงานที่ดินไปถ่ายเอกสาร มิใช่ปลอมจากโฉนดที่ดินฉบับที่ ก. มอบไว้ให้แก่โจทก์ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่มีผลต่อโจทก์เพราะผู้ปลอมมีเจตนาให้เป็นการปลอมโฉนดที่ดินที่ ก.มอบไว้ให้แก่โจทก์เพียงแต่ใช้โฉนดที่ดินฉบับที่เก็บรักษาไว้ที่สำนักงานที่ดินเป็นแบบ โจทก์จึงได้รับความเสียหายโดยตรง

155 กรณีที่ถือว่าเป็นผู้แทนอื่นของนิติบุคคล
คำพิพากษาฎีกาที่ 4812/2555 อ, ได้รับเลือกตั้งเข้าเป็นคณะกรรมการของโจทก์ร่วมโดยเป็นเลขานุการ เมื่อ อ. นำผลการตรวจสอบเข้าที่ประชุม โจทก์ร่วมมีมติมอบอำนาจให้ อ.เป็นผู้ดำเนินการร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยจนกว่าคดีจะถึงที่สุด อ.ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลย และให้รายละเอียดต่อพนักงานสอบสวนตามข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบมา ดังนี้ อ. ย่อมมีอำนาจดำเนินการร้องทุกข์แทนโจทก์ร่วมแล้วตั้งแต่วันที่ที่ประชุมโจทก์ร่วมมีมติให้ อ. เป็นผู้ดำเนินการ การมอบอำนาจให้บุคคลใดไปร้องทุกข์นั้นกฎหมายหาได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้เสียหายได้มอบหมายให้ อ. ไปร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดคดีนี้จริง อ. ย่อมมีฐานะเป็นผู้แทนอื่น ๆ ของโจทก์ร่วม ที่จัดการแทนโจทก์ร่วมได้ตามนัย ป.วิ.อ.มาตรา 5 (3) การร้องทุกข์สามารถกระทำได้ด้วยวาจาให้พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ เมื่อเป็นการกระทำในขอบอำนาจ แม้หนังสือมอบอำนาจลงวันที่ภายหลัง ก็ไม่ทำให้ อ. ซึ่งมีอำนาจร้องทุกข์แทนโจทก์ร่วมได้อยู่แล้วกลายเป็นผู้ที่ไม่มีอำนาจร้องทุกข์แทนโจทก์ร่วมไปได้แต่อย่างใด การร้องทุกข์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้วตาม มาตรา 123 วรรคสอง พนักงานสอบสวนและโจทก์จึงมีอำนาจสอบสวน และอำนาจฟ้องคดีนี้

156 เกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของนิติบุคคล คือ ถ้าหากว่าผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคลละเลยการจัดการกับผู้ที่ได้ก่อความเสียหายแก่นิติบุคคล ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนของนิติบุคคลอาจเข้ามาจัดการดำเนินคดีได้ในบางกรณี แต่การเข้ามาของผู้ถือหุ้นนี้เป็นการเข้ามาในฐานะที่ตนเป็นผู้เสียหายโดยตรง ไม่ใช่เข้ามาในฐานะผู้แทนนิติบุคคลตามมาตรา 5 (3) คำพิพากษาฎีกาที่ 1742/2503 (ประชุมใหญ่) ในกรณีที่กรรมการบริษัทจำกัดฉ้อโกงบริษัทและบริษัทไม่ยอมดำเนินคดีกับกรรมการที่ฉ้อโกง ผู้ถือหุ้นย่อมเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องคดีให้ลงโทษกรรมการผู้นั้นได้ คำพิพากษาฎีกาที่ 115/2535 กรณีผู้จัดการและกรรมการกระทำความผิดอาญาฐานยักยอก อันเป็นการกระทำต่อบริษัทโจทก์เป็นที่เห็นได้ชัดว่าผู้กระทำผิดจะไม่ฟ้องคดีแทนนิติบุคคลเพื่อกล่าวหาตนเอง กรรมการอื่นหรือผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งซึ่งมีประโยชน์ได้เสียร่วมกับนิติบุคคลนั้นย่อมได้รับความเสียหาย จึงมีสิทธิฟ้องคดีอาญา แจ้งความร้องทุกข์ หรือถอนคำร้องทุกข์ อันมีผลทำให้คดีอาญาระงับได้ แม้บุคคลดังกล่าวจะมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทโจทก์ (มีคำพิพากษาฎีกาที่ 1680/2520, 1251/2521 (ประชุมใหญ่) 53/2521 และ 115/2535 วินิจฉัยไว้แนวเดียวกัน)

157 คำพิพากษาฎีกาที่ 2077/2560 วินิจฉัยว่า โจทก์มอบเงิน 300,000 บาท ให้แก่จำเลย เพราะจำเลยอ้างว่าจะนำไปให้เจ้าพนักงานตำรวจยศระดับพลตำรวจตรี 2 คน เพื่อช่วยเหลือให้บุตรสาวโจทก์สามารถสอบเข้ารับราชการตำรวจได้ ซึ่งโจทก์ย่อมจะต้องทราบดีว่าบุตรสาวโจทก์จะเข้ารับราชการตำรวจได้ต้องผ่านการสอบคัดเลือก โดยการสอบคัดเลือกเป็นระเบียบแบบแผนของทางราชการ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีคุณสมบัติสามารถสมัครสอบได้โดยเสรีและที่สำคัญการจัดการสอบจะต้องยุติธรรมเพื่อที่ทางราชการจะได้คนที่มีความสามารถ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน หากมีการช่วยเหลือบุคคลใดบุคคลหนึ่งให้สามารถสอบผ่านแสดงว่ามีการกระทำอันเป็นการทุจริต เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ก่อให้จำเลยกระทำความผิด โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

158 บุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 4 , 5 และ 6
คำพิพากษาฎีกาที่ 1939/2560 (เนติฯ ตอนที่ 1 หน้า 230) วินิจฉัยว่าตัวแทนของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาถอนเงินออกจากบัญชีตั้งพัก แล้วนำเงินไปใช้ อย่างอื่นผิดวัตถุประสงค์ ดังนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาย่อมเป็นผู้เสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดของตัวแทนดังกล่าว (กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเป็นผู้เสียหายในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 353) บุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 4 , 5 และ 6 บุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 นี้ แม้จะเป็นบุคคลที่มิใช่ผู้เสียหายแท้จริงก็ตาม แต่ต้องเข้าใจว่าตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4) ก็ให้รวมอยู่ในความหมายของคำว่า “ผู้เสียหาย” ด้วยเช่นเดียวกัน ข้อสำคัญ คือ อำนาจของบุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายนั้นมีการบัญญัติอยู่ที่ ป.วิ.อ.มาตรา 3 (1) (2) (3) (4) (5)

159 สรุปประเด็นสำคัญ ๆ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6
กรณีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 4ประเด็นที่ควรทราบ คือ 1 ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 4 สามีหรือภริยาต้องชอบด้วยกฎหมาย (จดทะเบียนสมรสกัน) 2. หลักของ ป.วิ.อ. มาตรา 4 วรรคสอง เนื่องจากการร้องทุกข์สามารถมอบอำนาจได้แล้ว การฟ้องคดีสามารถมอบอำนาจได้แล้ว ดังนั้น ป.วิ.อ. มาตรา 4 วรรคสองจึงไม่ค่อยถูกนำมาบังคับใช้แล้วในปัจจุบัน กรณีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (1) มีประเด็นสำคัญ คือ 1. หากผู้เยาว์ตายจะไม่นำ ป.วิ.อ.มาตรา 5 (1) มาปรับใช้ 2. ผู้เยาว์จะฟ้องคดีอาญาหรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโดยได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ได้ เนื่องจากผู้แทนโดยชอบธรรมต้องฟ้องคดีอาญาแทนผู้เยาว์ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (1) (คำพิพากษาฎีกาที่ 563/2517 คำพิพากษาฎีกาที่ 631/2538) หากฝ่าฝืนศาลต้องสั่งแก้ไขข้อบกพร่องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 56 วรรคสี่ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 6 และมาตรา 15 (คำพิพากษาฎีกาที่ 6475/2537) แต่ถ้าระหว่างพิจารณาคดีของศาลผู้เยาว์มีอายุเกิน 20 ปี พ้นจากภาวะผู้เยาว์ก็ไม่มีความจำเป็นและไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องมีคำสั่งแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถอีกคำพิพากษาฎีกาที่ 7238/2549) 3. ผู้แทนโดยชอบธรรม ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (1) กรณีบิดาต้องชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาฎีกาที่ 6306/2545 , คำพิพากษาฎีกาที่ 2882/2527

160 กรณีตาม ป. วิ. อ. มาตรา 5(2) มีประเด็นสำคัญ คือ 1. ตาม ป. วิ. อ
กรณีตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5(2) มีประเด็นสำคัญ คือ 1. ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (2) บุพการีถือตามความเป็นจริง (คำพิพากษาฎีกาที่ 1384/2516 ประชุมใหญ่ ผู้สืบสันดานถือตามความเป็นจริง (คำพิพากษาฎีกาที่ 2664/2527) สามีภริยาต้องชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาฎีกาที่ 1056/2503) แต่ไม่รวมพี่เขย (คำพิพากษาฎีกาที่ 890/2495) ไม่รวมถึงผู้รับบุตรบุญธรรม (คำพิพากษาฎีกาที่ 956/2509) และไม่รวมถึงมารดาบุญธรรม (คำพิพากษาฎีกาที่ 1500/2558 เนติฯ ตอนที่ 1 หน้า 148) บุคคลตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5(2) จัดการแทนกันได้เฉพาะกรณีผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้เท่านั้น (คำพิพากษาฎีกาที่ 5126/2549, คำพิพากษา 3063/2552) โดยการตายหรือบาดเจ็บดังกล่าวอาจเป็นผลจากการกระทำโดยเจตนาหรือประมาทก็ได้ แต่ไม่รวมถึงกรณีฆ่าตัวตาย (คำพิพากษาฎีกาที่ 8357/2550) และบาดแผลต้องเกิดจากการที่ถูกจำเลยทำร้ายเท่านั้น (คำพิพากษาที่ 26/2553) อีกทั้งต้องยืนยันด้วยว่าผู้เสียหายตายแล้วหรือจัดการเองไม่ได้จริง ๆ (คำพิพากษาที่ /2532) หากความผิดได้เกิดขึ้นภายหลังการตายของผู้ตาย

161 เช่นนี้ย่อมไม่ใช่กรณีตาม ป. วิ. อ
เช่นนี้ย่อมไม่ใช่กรณีตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (2) (คำพิพากษาฎีกาที่ /2550) 2. หากผู้ตายหรือผู้บาดเจ็บไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยเสียแล้วก็ย่อมไม่มีบุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (2) ได้ เช่น ผู้ตายขับรถด้วยความประมาท (คำพิพากษาฎีกาที 537/2554 และคำพิพากษาฎีกาที่ 7128/2547) หญิงยอม ให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก (คำพิพากษาฎีกาที่ 954/2502) 3. ข้อสำคัญที่สุด คือ คำว่า ตาย ที่ปรากฏอยู่ใน ป.วิ.อ.มาตรา 5(2) จะต้องเป็นการตายตามความเป็นจริงเท่านั้น ไม่รวมถึงการเป็นคนสาบสูญซึ่งถือว่าถึงแก่ความตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 62 อันเป็นการตายโดยผลของกฎหมาย (คำพิพากษาฎีกาที่ 10915/2558 เนติฯ ตอนที่ 11 หน้า 2996)

162 คำพิพากษาฎีกาที่ 1339/2557 วินิจฉัยว่า “ผู้เสียหายถูกคนร้ายทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ไม่รู้สึกตัวและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จึงเป็นกรณีผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ ถ้าผู้เสียหายจะเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการต้องกระทำโดยผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาของผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 3 (2) ประกอบมาตรา 5 (2) การที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ด้วยตนเองโดยมีการพิมพ์ลายนิ้วหัวแม่มือในใบแต่งทนายความ แม้จะมีพยานลงลายมือชื่อรับรอง 2 คน ก็ถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายพิมพ์ลายนิ้วหัวแม่มือด้วยตนเอง เนื่องจากผู้เสียหายไม่รู้สึกตัวและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ จึงมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว เป็นการไม่ถูกต้อง ยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วม จึงไม่สิทธิฎีกา และแม้กรณีเช่นว่านั้นสามารถที่จะแก้ไขความบกพร่องได้แต่คดีล่วงเลยมานานมากแล้ว ทั้งการพิจารณาคดีก่อนหน้านั้นของโจทก์ร่วมมิได้เสียไปประกอบกับพนักงานอัยการก็ว่าคดีต่างโจทก์ร่วมอยู่แล้ว จึงเห็นควรไม่ย้อนสำนวนไปให้ ศาลชั้นต้นดำเนินการสั่งผู้เสียหายแก้ไขข้อบกพร่องในการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการให้บริบูรณ์ใหม่เสียก่อน และสมควรพิจารณาคดีต่อไป

163 กรณีตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5 (3) ประเด็นที่สำคัญ คือ
1. หุ้นส่วนผู้จัดการร้องทุกข์แทน ห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ โดยไม่จำต้องใช้ตราสำคัญ ของห้างหุ้นส่วนจำกัดประทับในคำร้องทุกข์ (คำพิพากษาฎีกาที่ 7429/2550) 2. มณฑลทหารบกที่ 31 ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล จึงไม่อาจมีบุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5(3) ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1352/2544) 3. ลูกจ้างของบริษัทตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายมีหน้าที่เพียงจำหน่ายสินค้า และเก็บรวบรวมเงินค่าสินค้าจากลูกค้าส่งบริษัทเท่านั้นย่อมมิใช่ผู้จัดการหรือผู้แทน นิติบุคคลตาม ป.วิ.อ.มาตรา 5(3) (คำพิพากษาฎีกาที่ /2531

164 คำร้องทุกข์ (มาตรา 2 (7))
หลักเกณฑ์ คำร้องทุกข์คือการที่ผู้เสียหายกล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีผู้กระทำความผิดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายโดยมีเจตนา ให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ คำร้องทุกข์มีความสำคัญในการวินิจฉัยเกี่ยวกับการดำเนินคดีในความผิดอันยอมความได้ในปัญหาอำนาจสอบสวนของพนักงานสอบสวนและอำนาจฟ้องของพนักงานอัยการ กล่าวคือพนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนในความผิดอันยอมความได้ ต้องมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบก่อน (มาตรา 121 วรรคสอง) ถ้าไม่มีคำร้องทุกข์หรือเป็นเป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 2 (7) พนักงานสอบสวนก็ไม่มีอำนาจสอบสวนและทำให้พนักงานอัยการก็ไม่มีอำนาจฟ้องตาม มาตรา 120 ศาลก็ต้องยกฟ้อง นอกจากนี้ ยังเป็นข้อสำคัญในการพิจารณาปัญหาเรื่องอายุความตาม ป.อ.มาตรา 96 กล่าวคือ ในความผิดอันยอมความได้ผู้เสียหายต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ถ้าคำร้องทุกข์ไม่ชอบด้วยมาตรา 2 (7) ก็ถือว่าไม่มีการร้องทุกข์ในกำหนดเวลาดังกล่าว คดีก็อาจขาดอายุความได้ รูปแบบคำร้องทุกข์ กฎหมายมิได้กำหนดรูปแบบคำร้องทุกข์ไว้ การที่ผู้เสียหายแจ้งความประสงค์ว่าจะดำเนินคดีแก่จำเลย และพนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหายไว้ ก็เป็นคำร้องทุกข์แล้ว ดูฎีกาที่ 22267/2555

165 ผู้เสียหายต้องมีเจตนาให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ
หลักเกณฑ์ในเรื่องคำร้องทุกข์ตามมาตรา 2 (7) ส่วนที่สำคัญและเป็นปัญหาอยู่เสมอ คือ ผู้เสียหายต้องกล่าวหาโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ การแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเพื่อไม่ให้คดีขาดอายุความ หรือแจ้งเพื่อเป็นหลักฐาน ถือว่าผู้เสียหายไม่มีเจตนาให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิด ไม่เป็นคำร้องทุกข์ ดูฎีกาที่ 6644/2549,228/2544,2206/2522 แต่ถ้านอกจากแจ้งไว้เป็นหลักฐานแล้ว ยังมีข้อความด้วยว่าต้องการให้เอาตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษ ถือเป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย (ฎ.8726/2556) การร้องทุกข์ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ถ้าผู้เสียหายแจ้งว่าต้องการรับเช็คไปเพื่อดำเนินการฟ้องจำเลยอีกทางหนึ่งก่อน โดยไม่ขอมอบคดีต่อพนักงานสอบสวน ถือว่าผู้เสียหายไม่มีเจตนาให้ผู้ออกเช็คต้องรับโทษ ไม่เป็นคำร้องทุกข์ ดูฎีกาที่ 4714/ /2530,314/2529

166 ข้อสังเกต เห็นได้ว่าทั้ง 3 ฎีกาข้างต้นนี้ ผู้เสียหายร้องทุกข์โดยขอรับเช็คคืนไปดำเนินคดีเองด้วยโดยระบุชัดว่ายังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ แสดงว่าผู้เสียหายไม่มีเจตนาจะให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่ผู้ออกเช็ค จึงเป็นการแจ้งไว้เพื่อเป็นหลักฐานเท่านั้น ไม่เป็นการร้องทุกข์ แต่ถ้าผู้เสียหายร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีแก่ผู้ออกเช็ค และขณะเดียวกันก็ขอรับเช็คคืนไปทวงถามเอากับผู้สั่งจ่ายอีกทางหนึ่ง (โดยคำร้องทุกข์ไม่มีข้อความระบุว่ายังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ) ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ถือว่าผู้เสียหายมอบคดีให้พนักงานสอบสวนแล้ว และถือว่าผู้เสียหายมีเจตนาให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษแล้ว จึงเป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย ดูฎีกาที่ 1209/2531 (ประชุมใหญ่),3924/2532 ฎีกาที่ 1209/2531 (ประชุมใหญ่) ข้อความในบันทึกการร้องทุกข์มีว่ามาร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้สั่งจ่ายตามกฎหมาย จนกว่าคดีจะถึงที่สุด ในชั้นนี้ขอรับเช็คคืนไปเก็บรักษาไว้เพื่อจะได้ติดต่อกับผู้สั่งจ่ายอีกทางหนึ่ง ดังนี้ แสดงว่าโจทก์ได้แจ้งความกล่าวหาโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ และมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ การขอรับเช็คกลับคืนไปก็เพื่อติดต่อกับผู้สั่งจ่ายอีกทางหนึ่งเท่านั้น ไม่มีผลกระทบต่อการแจ้งความร้องทุกข์ ข้อความดังกล่าวจึงเป็นคำร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (7) คำร้องทุกข์ที่มีเจตนาให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษไม่จำต้องระบุชื่อหรือรูปพรรณของผู้กระทำความผิด ก็ใช้ได้ ดูฎีกาที่ 6894/2549 ในกรณีที่มีผู้ร่วมกระทำผิดหลายคน แต่ผู้เสียหายร้องทุกข์โดยระบุชื่อเพียงบางคนเท่านั้น ถือว่าผู้เสียหายไม่มีเจตนาจะให้ผู้ที่ไม่ได้ระบุชื่อให้ต้องรับโทษด้วย จึงไม่เป็นคำร้องทุกข์สำหรับผู้ไม่ระบุชื่อ ดูฎีกาที่ 3348/2536,1298/2510,122/2528

167 แต่กรณีเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการร้องทุกข์โดยผู้เสียหาย เจ้าพนักงานมีสิทธิดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดได้ ดังนั้นแม้ผู้เสียหายจะระบุชื่อให้ดำเนินคดีแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง เจ้าพนักงานตำรวจก็มีสิทธิดำเนินคดีแก่ผู้อื่นได้ ดูฎีกาที่ 4080/2540 เจตนาเพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษนี้คงพิจารณาเฉพาะขณะผู้เสียหายร้องทุกข์ว่าผู้เสียหาย มีเจตนาให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษหรือไม่เท่านั้น ถ้ามีเจตนาดังกล่าว แม้ต่อมาในชั้นพิจารณาของศาล ผู้เสียหายกลับเบิกความต่อศาลว่าไม่มีเจตนาให้เอาโทษจำเลย ดังนี้ ไม่ทำให้คำร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมายเสียไป ดูฎีกาที่ 186/2503, /2523 เมื่อได้ร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้จะมีการผ่อนผันให้จำเลยบ้าง ก็เป็นเพียงรอการดำเนินคดีไว้เท่านั้น ไม่ทำให้คำร้องทุกข์เสียไป ดูฎีกาที่ 3093/2523 หนังสือมอบอำนาจให้ร้องทุกข์แทน ไม่ได้ระบุว่าให้มีอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลย ไม่ชัดแจ้งว่ามีเจตนาให้จำเลยได้รับโทษ ดูฎีกาที่ 228/2544 การร้องทุกข์ต้องชัดแจ้งว่ามีเจตนาจะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษดูฎีกาที่ 4310/2549

168 แต่การที่ผู้เสียหายให้การต่อพนักงานสอบสวนในฐานะผู้เสียหายโดยมีเจตนาให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ แม้ไม่ระบุให้ชัดแจ้งว่าเป็นการร้องทุกข์ก็เป็นคำร้องทุกข์โดยชอบได้ ดูฎีกาที่ 2100/ /2514,2167/2528 การร้องทุกข์อาจมีการมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปร้องทุกข์แทนก็ได้ ในกรณีที่ผู้เสียหายเป็น นิติบุคคล หนังสือมอบอำนาจต้องทำให้ถูกต้องตามข้อบังคับของนิติบุคคลนั้นด้วย มิฉะนั้น ไม่ถือว่า นิติบุคคลนั้นได้ร้องทุกข์แล้ว ดูฎีกาที่ 1590/2530,3831/2532 หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดร้องทุกข์ แต่ไม่มีข้อความระบุว่าทำให้ห้างฯ ได้รับความเสียหายด้วย ถือไม่ได้ว่าเป็นการร้องทุกข์แทนห้างฯ ด้วย เมื่อห้างฯ เป็นโจทก์ฟ้องคดีเกิน 3 เดือน ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ดูฎีกาที่ 4070/2540 คำร้องทุกข์ไม่มีตราประทับของห้างหุ้นส่วนจำกัด แต่ระบุว่าเป็นการร้องทุกข์ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด เมื่อไม่มีข้อจำกัดอำนาจว่าต้องใช้ตราประทับของห้างหุ้นส่วนนั้นด้วย ก็ถือว่าเป็นการร้องทุกข์แทนห้างหุ้นส่วนแล้ว ดูฎีกาที่ 7429/2550

169 ฎีกาที่ 2730/2549 การพิจารณาว่าผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้ร้องทุกข์โดยชอบหรือไม่ ต้องพิจารณาทั้งหนังสือมอบอำนาจและหนังสือมอบอำนาจช่วงประกอบกัน มิใช่พิจารณาเฉพาะหนังสือมอบอำนาจช่วงฉบับเดียว เมื่อมีการร้องทุกข์โดยชอบแล้ว พนักงานสอบสวนไม่รับคำร้องทุกข์ไว้ดำเนินการสอบสวน เป็นความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบดูฎีกาที่ 7630/2549

170 จบการนำเสนอ


ดาวน์โหลด ppt วิชากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google