งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

การสัมมนาการตลาด Seminar Marketing.

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "การสัมมนาการตลาด Seminar Marketing."— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 การสัมมนาการตลาด Seminar Marketing

2 Meaning สัมมนา มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี คือ สํ แปลว่า
ร่วม + มน แปลว่า ใจ จึงอาจแปลว่า ร่วมใจกันหรือการร่วมเพื่อแสดงความคิดเห็นให้ข้อเสนอแนะในอันที่จะบรรลุข้อตกลงร่วมกัน

3 Meaning Seminar เป็นรากศัพท์จากภาษากรีกหรือภาษาลาตินว่า Seminarium หมายถึง กลุ่มนิสิตหรือนักศึกษาที่มีความรู้ความสามารถพิเศษ อาจเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีปีสุดท้ายหรือสูงกว่าปริญญาตรีก็ได้ โดยนักศึกษาเหล่านี้จะต้องทำการศึกษาค้นคว้าหรือทำวิจัยที่สำคัญ ซึ่งเป็นงานมอบหมายจากศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญหรืออาจารย์ในแต่ละสาขา ซึ่งนักศึกษาจะมีโอกาสได้ถกเถียงปัญหาในแง่มุมต่างๆ และได้ข้อสรุปร่วมกัน

4 องค์ประกอบของการจัดสัมมนา
1. บุคคลและกลุ่มบุคคล 2. โครงการ 3. วิธีการจัดหรือรูปแบบการจัด 4. เนื้อหาและเรื่องราว

5 บุคคลและกลุ่มบุคคล ผู้เกี่ยวข้องกับการจัดสัมมนาโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. ผู้จัดสัมมนา ได้แก่ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่ง ทำหน้าที่จัดการสัมมนา ครั้งนั้นๆ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้ง

6 2. ผู้สัมมนา ได้แก่ บุคคลที่อยู่ในหน่วยงานเดียวกัน ประสบปัญหาร่วมกันหรือต้องการแสวงหาความคิดใหม่ร่วมกัน และประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถ่ายทอดความรู้และหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน 3. วิทยากร ได้แก่ บุคคลซึ่งมีบทบาทในการสัมมนาช่วยสร้างเสริมให้การสัมมนาบรรลุเป้าประสงค์

7 วิทยากรที่ดีจะต้องมีลักษณะดังนี้
3.1 เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในหัวข้อ ในการสัมมนานั้นเป็นอย่างดี 3.2 เป็นผู้ที่มีความสามารถในการถ่ายทอดการจัดกิจกรรมและ ใช้เทคโนโลยีประเภทต่างๆ ประกอบ 3.3 เป็นผู้ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่าง กว้างขวางในสังคม 3.4 เป็นผู้ที่มีความคิดก้าวหน้าทันสมัย ใจกว้าง มีเหตุผล ควบคุมอารมณ์ได้ดี ยอมรับความคิดเห็น และ วิธีการการใหม่ๆ 3.5 เป็นผู้ที่รอบคอบไม่ประมาท มีการเตรียมการ และค้นคว้า หาความรู้เพิ่มเติมในหัวข้อที่จะให้การสัมมนาล่วงหน้า

8 หน้าที่ของบุคคลและกลุ่มบุคคลในการ จัดสัมมนา
ผู้จัดสัมมนา มีหน้าที่ 1.1 ส่งหนังสือเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการสัมมนาพร้อมกำหนดการต่างๆ ควรเชิญ ล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน 1.2 ติดต่อเชิญวิทยากร การเชิญควรมีการติดต่อล่วงหน้าเป็นการส่วนตัวก่อน จึงทำ หนังสือเชิญเป็นทางการ 1.3 จัดกำหนดการสัมมนา ได้แก่ การจัดหัวข้อในการสัมมนา ซึ่งควรจัดให้ เหมาะสมกับเวลาและหัวเรื่อง ตลอดจนเวลาพักระหว่างสัมมนา 1.4 จัดเตรียมเอกสารที่ใช้ในการสัมมนา รวมทั้งจัดพิมพ์คำบรรยาย หรือเอกสารที่ วิทยากรนำมาเสนอทั้งก่อนและหลังการสัมมนา 1.5 จัดเตรียมสถานที่และเครื่องอำนวยความสะดวกในการสัมมนา รวมทั้งบริการ เกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม 1.6 จัดรวบรวมภูมิหลังของผู้ร่วมสัมมนา เพื่อให้วิทยากรได้รู้จักและดำเนินกิจกรรม ต่างๆ ในการสัมมนาได้ดียิ่งขึ้น

9 ผู้สัมมนามีหน้าที่ 2.1 แสดงความคิดเห็นหรือซักถามวิทยากรในโอกาสที่
เหมาะสม และควรยกมือก่อนจะพูดหรือถามทุกครั้ง 2.2 ก่อนพูดทุกครั้งควรบอกชื่อและนามสกุล พร้อมทั้งสถานที่ ทำงานเพื่อสะดวกในการประสานงานของผู้จัดและสร้าง ความคุ้นเคยของผู้เข้าร่วมสัมมนา 2.3 ควรให้ความร่วมมือกับผู้นำอภิปรายในโอกาสที่มีการ แบ่งกลุ่มย่อยในการสัมมนา และควรแสดงข้อคิดเห็น ต่างๆ ไม่ควรนั่งเฉยๆ แต่ไม่ควรผูกขาดการพูดเพียงคน เดียว

10 วิทยากร มีหน้าที่ 3.1 เตรียมเอกสารเพื่อประกอบการบรรยายหรือนำเสนอตาม
หัวเรื่องที่ได้รับมอบหมาย และควรมอบเอกสาร นั้นให้ฝ่ายจัดสัมมนาจัดพิมพ์แจกผู้เข้าร่วม 3.2 กล่าวบรรยายหรือนำเสนอหัวข้อตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ไม่ควรอ่านตามเอกสารที่ได้ ควรอธิบายเฉพาะหัวข้อที่ สำคัญเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่ปรากฏในเอกสาร ขมวด แนวคิดที่น่าสนใจเป็นแนวทางให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาสาน ต่อความคิด 3.3 เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ หลังจากกล่าวบรรยายหรืออภิปรายไว้

11 โครงการสัมมนา การจัดทำโครงการสัมมนานับเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง
เพราะโครงการเป็นแนวทางและแผนงานที่ใช้ใน การจัดสัมมนา 1. โครงการต้องได้จากการวางแผนร่วมกัน 2. โครงการต้องวางแผนไว้อย่างมีระบบ 3. โครงการต้องมีเป้าหมายชัดเจน 4. โครงการต้องชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้ 5. โครงการต้องมีรายละเอียด

12 กระบวนการจัดสัมมนา และหน้าที่ของคณะกรรมการ
กระบวนการสัมมนา หมายถึง ขบวนการต่างๆ ตั้งแต่ เริ่มสัมมนาไปจนกระทั่งการสัมมนาได้สิ้นสุดลง ซึ่งมี ขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการดังนี้ ระยะที่ 1 ก่อนการสัมมนา ระยะที่ 2 การดำเนินการสัมมนา ระยะที่ 3 ภายหลังการจัดสัมมนา

13 ระยะที่ 1 ก่อนการสัมมนา
สิ่งที่จะต้องพิจารณาในการสัมมนา คือ การหาความต้องการในการ สัมมนา ซึ่งเป็นขั้นที่ 1 อาจจะได้มาหลายวิธีการ เช่น การพิจารณาจากปัญหาที่เกิดขึ้นบางประการ ในหน่วยงานหรือองค์กร พิจารณาจากความต้องการของบุคลากร โดยการสำรวจความคิดเห็นหรือการสอบถาม การสัมภาษณ์หรือโดยการวิจัย พิจารณาจากนโยบายหรือจุดมุ่งหมายของหน่วยงานหรือขององค์การนั้นๆ ว่าต้องการอย่างไร บุคคลในองค์การเข้าใจเป้าหมายชัดเจนหรือไม่ ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้เข้าใจเป้าหมายได้ชัดเจน หรือ การจัดสัมมนา การพิจารณาปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการทำงาน แนวทางที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ก็โดยการจัดสัมมนา

14 ในระยะเตรียมก่อนการสัมมนา ขั้นที่ 2
คือ ระยะเตรียมการจัดสัมมนาหลังจากที่ได้รู้ประเด็นปัญหาและตกลงใจที่จะให้มีการสัมมนาแล้ว ก็จะต้องมีลำดับขั้นปฏิบัติดังนี้ แต่งตั้งคณะดำเนินการและอนุกรรมการ เลือกหรือแต่งตั้งผู้อำนวยการ/ ประธาน/ ที่ปรึกษา ที่กรรมการทั้งหมดทำหน้าที่ต่างๆ กัน กำหนดวัตถุประสงค์ เลือกหรือกำหนดประเด็นปัญหาหรือหัวข้อการสัมมนา จัดประเด็นปัญหา หรือหัวข้อย่อย ตกลงวิธีการสัมมนา กำหนดตัววิทยากร กำหนดสถานที่ วัสดุ อุปกรณ์ กำหนดวัน เวลา และตารางการสัมมนา กำหนดงบประมาณ กำหนดกิจกรรมที่ใช้ในการสัมมนา และกิจกรรมเสริม ภายหลังจากที่ปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวแล้วก็เขียนเป็นโครงการสัมมนาขึ้น

15 ในระยะเตรียมการสัมมนาขั้นที่ 3
เป็นการดำเนินการตามหน้าที่ของกรรมการหรืออนุกรรมการ เช่น การประชาสัมพันธ์การสัมมนา การเชิญวิทยากร การออกหนังสือเชิญแก่สมาชิกเพื่อเข้าร่วมสัมมนา การเตรียมการด้านการลงทะเบียน การเตรียมการด้านเอกสาร การเตรียมการด้านอาหาร เครื่องดื่ม และที่พัก การเตรียมการด้านยานพาหนะ ขนส่ง

16 ระยะที่ 2 การดำเนินการสัมมนา
ในการดำเนินการจัดสัมมนานั้น แต่ละวิธีการจัดก็แตกต่างกันออกไป แต่จะดำเนินการไปตามลำดับขั้นดังนี้คือ ขั้นที่ 1 พิธีเปิดสัมมนา อาจจะทำพิธีเปิดโดยผู้อำนวยการจัด ประธานการจัดสัมมนา หรือเปิดโดยแขกผู้มีเกียรติหรือบุคคลสำคัญ ซึ่งเป็นพิธีที่นิยมปฎิบัติกันโดยทั่วๆ ไป ขั้นที่ 2 การประชุมใหญ่โดยสมาชิกทั้งหมดมาประชุมร่วมกัน ซึ่งอาจมีกิจกรรมในขั้นนี้ เช่น การบรรยาย การอภิปราย หรือการถกประเด็นของปัญหา การสาธิต ขั้นที่ 3 การประชุมกลุ่มย่อย หลังจากขั้นที่ 2 แล้ว ก็จะ แบ่งกลุ่มสมาชิกออกเป็นกลุ่มย่อย

17 ขั้นที่ 3 การประชุมกลุ่มย่อย หลังจากขั้นที่ 2 แล้ว ก็จะแบ่งกลุ่มสมาชิกออกเป็นกลุ่มย่อย ตามลักษณะปัญหา และความสนใจ แล้วก็ดำเนินการสัมมนาในกลุ่มย่อย โดยมีการถกปัญหา การเสนอข้อคิดเห็นการอภิปราย โดยทำลำดับขั้นดังนี้ คือ เสนอประเด็นปัญหา หาสาเหตุของปัญหา วิเคราะห์ปัญหา หาวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นมาหลายๆ วิธี เลือกวิธีการแก้ปัญหาที่เห็นว่าดีที่สุด ประมวลข้อเสนอแนะของกลุ่มเพื่อรายงานต่อที่ประชุมใหญ่

18 ขั้นที่ 4 เป็นการทำกิจกรรมเสริมการสัมมนา เช่น การปฏิบัติการ การศึกษานอกสถานที่ การดูสไลด์ ภาพยนตร์ กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ขั้นที่ 5 ขั้นรายงานผลต่อที่ประชุมใหญ่ พิจารณาข้อสรุปและข้อเสนอแนะของกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่ม ขั้นที่ 6 เป็นขั้นสรุปผลและประเมินผลการสัมมนา ขั้นที่ 7 พิธีปิดการสัมมนา

19 ระยะที่ 3 ภายหลังการจัดสัมมนา
หลังจากจัดสัมมนาเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องมีกิจกรรมที่ดำเนินการต่อไปนี้ คือ การประมวลผลสรุปผลการสัมมนาทั้งหมด การพิมพ์เอกสาร รายงานการสัมมนา การแจกเอกสารรายงานการสัมมนา การติดตามการประเมินผลการสัมมนา การรายงานผลงานของคณะกรรมการดำเนินการแต่ละฝ่าย เช่น ปัญหาและอุปสรรคและวิธีการแก้ไข สรุปข้อเสนอแนะทั้งหมดเพื่อเป็นประโยชน์ในการจัดสัมมนาครั้งต่อไป

20 หน้าที่ความรับผิดชอบของคณะกรรมการ
คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสัมมนาอาจประกอบด้วย คณะกรรมการเตรียมการและคณะกรรมการจัด สัมมนา ซึ่งคณะกรรมการทั้งสองจะเป็นชุดเดียวกันก็ได้ โดยมีหน้าที่ดังนี้ 1. คณะกรรมการเตรียมการสัมมนามีหน้าที่ 1.1 รวบรวมปัญหาและข้อมูลต่างๆ เพื่อสรุปและตั้งหัวข้อการสัมมนา ตลอดจนจำแนกหัวข้อสัมมนาต่างๆซึ่งการสำรวจปัญหาอาจกระทำได้หลายวิธี เช่น สัมภาษณ์ การสังเกต รวบรวบข้อมูลและสรุป หรือทำการสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม

21 1.2 พิจารณาจำนวนและประเภทของสมาชิกที่จะเข้าร่วมสัมมนาโดยคำนึงถึงความต้องการและการนำผล
ของการสัมมนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ตลอดทั้งจัดเตรียมรายละเอียดของโปรแกรมสัมมนา พร้อมทั้งจัดส่งไปกับจดหมายเชิญวิทยากรและผู้เข้าร่วมสัมมนาต่อไป

22 1.3 พิจารณาบุคคลที่เชิญให้เป็นวิทยากร ซึ่งต้องคำนึงถึงความรู้ ความสามารถ เพราะวิทยากรจะเป็นบุคคลที่สำคัญที่จะทำให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาสมัครเข้าร่วม

23 คณะกรรมการจัดสัมมนา มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดสัมมนาให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยคณะกรรมการควรจัดการประชุม เพื่อปรึกษาหารือเพื่อกำหนดและเตรียมการต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 ระยะเวลาการประชุม ขึ้นอยู่กับขอบข่ายของปัญหา ลักษณะการสัมมนา ตลอดจนความสะดวกและความ สนใจของผู้เกี่ยวข้อง 2.2 จัดทำกำหนดการสัมมนาโดยละเอียด 2.3 วิธีและรูปแบบของการสัมมนาที่จะนำมาใช้จัด 2.4 เตรียมสถานที่ 2.5 เตรียมการเรื่องงบประมาณ 2.6 เตรียมเอกสารที่เป็นประโยชน์ต่อการสัมมนา

24 คณะกรรมการจัดสัมมนาควรประกอบด้วยกรรมการฝ่ายต่างๆ ดังนี้
1. ประธาน ควรเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติพร้อมด้วย คุณวุฒิและวัยวุฒิที่เหมาะสมและประการสำคัญ จะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากสมาชิก 2. รองประธาน ควรเป็นที่มีคุณวุฒิและวัยวุฒิ อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเป็นบุคคลที่สมาชิกของกลุ่มผู้ร่วม ดำเนินการยอมรับ สำหรับตำแหน่งรองประธานอาจตั้งเพียงคนเดียวหรือมากกว่าก็ได้ แต่มักไม่เกิน 3 คน

25 3. เลขานุการ ควรเป็นบุคคลที่มีความคล่องตัวสูง มีมนุษย์สัมพันธ์ดี
ยอมอุทิศกายและใจ ตลอดทั้งเวลาเพื่องานอย่างเต็มที่ เตรียมเอกสาร ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประชุม ประสานงานกับกรรมการฝ่ายต่างๆ เป็นระยะๆ ว่า ได้ เตรียมการ และดำเนินการไปมากน้อยเพียงใด และ รายงานให้ประธานทราบ การเชิญวิทยากร การออกจดหมายเชิญหน่วยงานต่างๆ รายงานปัญหา ให้รองประธาน และ ประธานทราบ

26 4. ผู้ช่วยเลขานุการ 5. เหรัญญิก ควรเป็นบุคคลที่มีความละเอียดถี่ถ้วนเป็นพิเศษ นอกจากนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ ซื่อตรง หน้าที่ของเหรัญญิก คือ การให้การบริการทางการเงินและควบคุม การเบิก-จ่ายเงิน ให้เป็นไปตามแผนการจ่าย เงินที่ได้รับอนุมัติในการจัดสัมมนา 6. กรรมการฝ่ายปฏิคม ควรเป็นบุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีความรู้ที่ดีในการต้อนรับ หรือติดต่อกับบุคคลอื่นๆ นอกจากนั้นกรรมการฝ่ายปฏิคมควรมีบุคลิกภาพที่ดี คณะกรรมการอาจประกอบด้วยอนุกรรมการเป็นผู้รับผิดชอบงานด้านปฏิคม โดยมีหน้าที่ต้อนรับบุคคลที่เข้าร่วมสัมมนาในฐานะสมาชิก วิทยากร หรือแขกเชิญพิเศษ เป็นต้น

27 7. กรรมการฝ่ายสถานที่ มีหน้าที่เตรียมการและจัดสถานที่ให้พร้อมสำหรับการจัดสัมมนาได้อย่างมีประสิทธิภาพตามกำหนดการ นอกจากนั้นกรรมการฝ่ายสถานที่จะต้องดูแลให้สถานที่กลับสู่สภาพเดิม ภายหลังเสร็จสิ้นการสัมมนา 8. กรรมการฝ่ายเอกสาร บุคคลที่รับผิดชอบงานเอกสารควรเป็นบุคคลที่มีความสนใจด้านวิชาการเป็นพิเศษและควรเป็นบุคคลทีมีความรับผิดชอบและมีความคล่องตัวสูง สำหรับกรรมการฝ่ายเอกสารนั้นอาจจะประกอบด้วย คณะอนุกรรการเป็นผู้รับผิดชอบร่วมกัน โดยมีหน้าที่ผลิต รวบรวมและจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดสัมมนา ตลอดทั้งการบันทึก การถอดข้อความรวบรวมเนื้อความและการจัดทำรูปเล่มผลของการจัดสัมมนาภายหลังการสัมมนาได้เสร็จสิ้นลง

28 9. กรรมการฝ่ายโสตทัศนูปกรณ์ ควรเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความเข้าใจในการติดตั้ง และใช้โสตทัศนูปกรณ์
ชนิดต่างๆ ได้เป็นอย่างดี มีหน้าที่ในการให้บริการด้านต่างๆ เช่น การติดตั้งคอมพิวเตอร์ ไมโครโฟน เครื่องฉายข้ามศีรษะเป็นต้น 10. กรรมการฝ่ายจัดเลี้ยง มีหน้าที่จัดและให้บริการด้าน เครื่องดื่ม อาหารและอื่นๆ กับผู้เข้าร่วมสัมมนาตลอดช่วงระยะเวลาของการจัดการสัมมนา 11. กรรมการฝ่ายทะเบียน มีหน้าที่จัดเตรียมเอกสารเพื่อให้สมาชิกที่เข้าร่วมสัมมนาลงทะเบียน

29 12. กรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่เผยแพร่ข่าวที่เกี่ยวข้องกับการจัดสัมมนาให้มวลชน หรือผู้ที่สนใจได้รับทราบ โดยการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการต่อสื่อมวลชน เป็นต้น 13. กรรมการฝ่ายประเมินผล ควรเป็นบุคคลที่เข้าใจและทราบหลักการวัดและประเมินผลในลักษณะต่างๆตลอดทั้งมีความเข้าใจหลักและวิธีการรวบรวมข้อมูล การตีความข้อมูลทางสถิติได้ดี มีหน้าที่ในการประเมินผลด้านต่างๆ เพื่อทราบผลการจัดสัมมนาว่าบรรลุเป้าประสงค์มากน้อยเพียงใด และมีข้อบกพร่องที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไรบ้าง การ

30 รูปแบบและเทคนิคการจัดสัมมนา
ในการจัดสัมมนารูปแบบต่างๆ ที่นำมาใช้จัดควรมีความหลากหลาย ลักษณะ เช่นการนำรูปแบบของการอภิปราย หรือการนำรูปแบบของการ ประชุม ซึ่งการนำรูปแบบต่างๆ มาใช้ควรคำนึงถึงองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้ 1. ขนาดของกลุ่มผู้เข้าร่วมสัมมนา อาจแบ่งเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ แล้วแต่ความเหมาะสม 2. หัวข้อและจุดมุ่งหมายของการจัดสัมมนา มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดรูปแบบและวิธีการสัมมนาตลอดทั้งยังมีความสำคัญต่อการเลือกและการเชิญวิทยากร การจัดเตรียมกำหนดการก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน 3. สื่อกลางและสถานที่สำหรับจัดสัมมนา

31 การเลือกรูปแบบและเทคนิคของ การจัดสัมมนา
1. รูปแบบการจัดสัมมนาโดยใช้เทคนิคการอภิปราย 1.1 การอภิปรายเป็นคณะ (Panel Discussion) จะต้องใช้กลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิตั้งแต่ 3 คนไปจนถึง 10 คน ซึ่งคณะของผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้จะต้องเป็นผู้มีความรู้ มีความสนใจเกี่ยวกับหัวข้อหรือประเด็นในการประชุมเป็นพิเศษ โดยคณะผู้อภิปรายจะต้องมานั่งรวมกันอยู่ต่อหน้าผู้ฟัง โดยมีพิธีกรหรือผู้ดำเนินการประชุม (Moderator) เป็นผู้ดำเนินรายการคณะผู้อภิปรายจะอภิปรายไปตามหัวข้อที่ได้รับมอบหมายอย่างมีระเบียบ ใช้หลักและเหตุผล โดยทั่วไปแล้วเป็นวิธีการที่นิยมใช้กันอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ข้อเท็จจริง และได้แนวความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว ยังจะได้เห็นการใช้เหตุผลโต้แย้งหรือสนับสนุนความคิดเห็นระหว่างผู้อภิปรายร่วมกัน ช่วยให้ผู้ฟังมีความคิดอ่านกว้างขวางออกไปอีกมาก การอภิปรายเป็นคณะไม่ควรใช้เวลาเกิน 3 ชั่วโมง

32 การเลือกรูปแบบและเทคนิคของ การจัดสัมมนา
1.2 การอภิปรายแบบซิมโพเซี่ยม (Symposium) การอภิปรายแบบนี้เหมาะที่นำมาใช้ในการประชุมทางวิชาการ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ หรือวิทยากร คน มีลักษณะเป็นทางการมาก ผู้อภิปรายมีการเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นอย่างดีโดยผู้อภิปรายแต่ละคนจะเตรียมความรู้เฉพาะตอนใดตอนหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย การบรรยายจะไม่ก้าวก่ายหรือไม่ซ้ำซ้อนกับหัวข้อวิทยากรท่านอื่น วิทยากรแต่ละท่านจะเสนอความคิดเห็นของตนให้ตรงจุดมุ่งหมายมากที่สุด โดยใช้เวลาประมาณคนละ นาที

33 1.3 การอภิปรายแบบบุ๊ซเซสชั่น (Buzz Session) เป็นการประชุมที่เปิดโอกาสให้สมาชิก ซึ่งประกอบด้วยประธาน เลขานุการ และสมาชิก ที่เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นในระยะสั้นๆ โดยแบ่งสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมออกเป็นกลุ่มย่อยประมาณกลุ่มละ คน เพื่ออภิปรายปัญหาต่างๆ ที่ถูกกำหนดขึ้น โดยใช้เวลาในการประชุมกลุ่มละประมาณ 6 -10 นาที สาเหตุที่กำหนดให้มีสมาชิกน้อย เพราะต้องการให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น โดยไม่กระดากอายและปราศจากการวิจารณ์หรือตัดสินว่าความคิดนั้นถูกหรือผิด

34 1.4 การอภิปรายแบบบทบาทสมมุติ (Role Playing)
ผู้เข้าประชุมได้มีโอกาสแสดงบทบาทสมมุติ ในสถานการณ์ ใดสถานการณ์หนึ่งเหมือนในสภาพความเป็นจริง โดยเน้น ลักษณะของปัญหาที่ต้องเผชิญและขบวนการแก้ปัญหาใน ลักษณะต่างๆ ผู้จัดประชุมเป็นผู้กำหนดโครงเรื่องให้คร่าวๆ และให้ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงความรู้สึกออกมาตามบทบาท สมมติที่ได้รับ เป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีโอกาสสัมผัส ประสบการณ์ใหม่ๆ และได้มีโอกาสพัฒนาทักษะด้านมนุษย สัมพันธ์ของตนให้ดียิ่งขึ้น

35 1.5 การอภิปรายแบบตอบกลับ (Circular Response) ควรใช้กับกลุ่มสมาชิกประมาณ คน โดยจัดที่นั่งเป็นรูปวงกลม การประชุมเริ่มโดยประธานกลุ่มเปิดการประชุม จากนั้นประธานจะเป็นผู้เสนอปัญหาเพื่อให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น การแสดงความคิดเห็นจะเรียงลำดับทีละคน โดยเริ่มจากคนแรกที่อยู่ด้านขวามือของประธานและคนขวามือ ต่อๆ ไป ตามลำดับ กลุ่มสมาชิกของการอภิปรายแบบตอบกลับจะประกอบด้วยประธาน เลขานุการและสมาชิก

36 1.6 การอภิปรายโต๊ะกลม (Round Table) ควรจัดให้
สมาชิกทุกคนเห็นหน้ากันได้ชัดเจนเป็นการประชุม ที่มี ความเป็นกันเองมาก ประธานทำหน้าที่ดำเนินการประชุม สมาชิกท่านใดต้องการแสดงความคิดเห็นสามารถยกมือเพื่อ ขอพูด การประชุมแบบนี้ต่างกับแบบตอบกลับ คือสมาชิกไม่ ต้องแสดงความคิดเห็นเรียงลำดับจากขวามือไปซ้ายมือ และ การแสดงความคิดเห็นสามารถแสดงออกได้อย่างกว้างขวาง และใช้เวลามากเท่าที่สมาชิกแต่ละคนต้องการ

37 1.7 การอภิปรายแบบถาม - ตอบ (Dialogue) หรืออาจเรียกว่าการ
อภิปรายแบบสนทนา เป็นการจัดรูปแบบการอภิปรายโดยบุคคล 2 คน ที่มีความรู้ความสามารถและมีความเข้าใจในเรื่องที่จะอภิปราย การ อภิปรายแบบนี้มีลักษณะที่ไม่เป็นทางการ คล้ายคน 2 คนกำลังสนทนา กัน คนหนึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้ซักถามหรือพิธีกร อีกคนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือ วิทยากรทำหน้าที่ตอบปัญหาการอภิปราย โดยมีกลุ่มผู้ฟังนั่ง ฟัง อยู่ด้วย เทคนิคนี้จะใช้เมื่อต้องการเสนอข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็นจาก ทรรศนะที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้ข้อตกลงหรือข้อยุติหรือแง่คิดที่จะเป็น ประโยชน์ต่อผู้ฟังมากยิ่งขึ้น โดยในช่วงสุดท้ายของการอภิปราย ดำเนินการอภิปรายอาจเปิดโอกาสให้สมาชิกที่เข้าฟังมีโอกาสซักถามข้อ สงสัยในประเด็นต่างๆ ได้หากประเด็นนั้นยังไม่กระจ่าง

38 1.8 การอภิปรายแบบฟอรัม (Forum) เป็นการอภิปราย
โดยใช้วิธีการตั้งคำถามและตอบคำถามนั้นๆ การอภิปราย ประกอบด้วยผู้ดำเนิน การอภิปรายและผู้อภิปราย โดยผู้ อภิปรายจะประกอบด้วยผู้อภิปรายคนเดียวหรือหลายคน ก็ไ็ด้ถ้ามีผู้อภิปรายคนเดียว เมื่อบรรยายจบก็จะเปิดโอกาสให้ ผู้ฟังซักถามปัญหาได้ตามเวลาที่จัดไว้ การอภิปรายแบบนี้ เหมาะที่ จะนำมาใช้ในการอภิปรายหรือเสนอแนะปัญหาต่างๆ ของบ้านเมือง เช่น การประชุมระดับหมู่บ้าน ระดับอำเภอ หรือ ระดับ จังหวัด หรือแม้แต่การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทางการ เมือง

39 1.9 การอภิปรายกึ่งสัมภาษณ์ (Colloquy Method)
เป็นการปรับปรุงมาจากการอภิปรายเป็นคณะ โดยผู้ทรง คุณวุฒิ คือ ในการอภิปรายจะมีผู้อภิปราย 2 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มหนึ่งจะประกอบด้วยตัวแทนของผู้ฟังประมาณ คน อีกกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยวิทยากรประมาณ คน เช่นเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่บนเวที หันหน้าเข้าหาผู้ฟัง ผู้ร่วมอภิปรายที่ได้รับเลือกมาเป็นผู้แทนของผู้ฟังนั้นจะเป็นผู้ เสนอปัญหาหรือถามคำถาม วิทยากรจะเป็นผู้ตอบปัญหา มี ผู้ดำเนินการอภิปรายเป็นศูนย์กลาง ผู้ดำเนินการอภิปรายจะ เป็นผู้กล่าวเปิดการอภิปราย และเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่าย แสดงความคิดเห็น

40 1.10 การอภิปรายกลุ่มย่อย (Group Discussion) เป็น
การอภิปรายกลุ่มย่อยตั้งแต่ คน ในเรื่องใดๆ ที่ กำหนดให้หรือในเรื่องที่สนใจร่วมกัน เพื่อสรุปผล แนว ทางการแก้ปัญหาแสวงหาข้อยุติภายใต้การนำของประธาน กลุ่ม โดยมีเลขาเป็นผู้บันทึก และสรุปข้อเสนอแนะเหมาะกับ เรื่องใหญ่ๆ ที่มีหัวข้อย่อยที่ต้องการแก้ปัญหาหลายเรื่อง เช่น "ปัญหาการ ท่องเที่ยว" อาจแบ่งกลุ่มย่อยพิจารณาในเรื่อง ที่ พักและโรงแรม, การบริการนักท่องเที่ยว, สถานที่เที่ยว, ความ ปลอดภัย ฯลฯ

41 การจัดโครงการและคุณลักษณะต่างๆ ของการสัมมนา
การจัดโครงการและคุณลักษณะต่างๆ ของการสัมมนา ส่วนประกอบของโครงการสัมมนา 1. ชื่อโครงการ ตั้งชื่อได้หลายลักษณะคือ 1.1 ตั้งชื่อตามลักษณะของผู้เข้าสัมมนา เช่น โครงการสัมมนาศึกษานิเทศน์จังหวัด ทั่วประเทศ โครงการสัมมนาผู้บริหารการศึกษาในเขตการศึกษา 3 1.2 ตั้งชื่อตามเนื้อหาที่จะสัมมนา เช่น โครงการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง ลักษณะของครูพลศึกษาที่ดี 1.3 ตั้งชื่อตามกิจกรรมที่สัมมนา เช่น โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง หลักการเป็นผู้ฝึกนักกีฬา 1.4 ตั้งชื่อตามปัญหาที่กำหนดจะสัมมนา เช่น ทิศทางของมหาวิทยาลัยราชภัฎ 2. หลักการและเหตุผล กล่าวถึง ข้อมูลของปัญหาและความจำเป็นที่จะต้องสัมมนา โดยอ้างอิงถึงหลักฐานและข้อเท็จจริง 3. วัตถุประสงค์ กล่าวให้เห็นชัดว่าสัมมนาเพื่ออะไร มีเป้าหมายที่สำคัญอย่างไร โดยจะต้องสัมพันธ์กับข้อมูลในข้อที่ 2 4. กลุ่มเป้าหมาย หรือผู้ที่จะเข้าสัมมนาคือใคร มีจำนวนเท่าใด

42 การจัดโครงการและคุณลักษณะต่างๆ ของการสัมมนา
การจัดโครงการและคุณลักษณะต่างๆ ของการสัมมนา ส่วนประกอบของโครงการสัมมนา 4. กลุ่มเป้าหมาย หรือผู้ที่จะเข้าสัมมนาคือใคร มีจำนวนเท่าใด 5. วิทยากร คือใคร มาจากไหน 6. ระยะเวลา ระยะเวลาที่ใช้ในการสัมมนานานเท่าใด เริ่มเมื่อใดและสิ้นสุดเท่าใด 7. สถานที่สัมมนา ณ สถานที่ใด ห้องใด ต้องระบุให้ชัดเจน 8. วิธีการสัมมนา ใช้วิธีการสัมมนาโดยวิธีใด เช่น การบรรยาย การอภิปราย การปฏิบัติการ ฯลฯ 9. กำหนดการการจัดสัมมนา การระบุกิจกรรมและเวลาว่าจะดำเนินการอย่างไร มีขั้นตอนอย่างไร ใช้สถานที่ ๆไหน

43 การจัดโครงการและคุณลักษณะต่างๆ ของการสัมมนา
การจัดโครงการและคุณลักษณะต่างๆ ของการสัมมนา ส่วนประกอบของโครงการสัมมนา 10. งบประมาณ เป็นกานเสนองบประมาณทั้งหมดที่ใช้ในการสัมมนา ว่าใช้เท่าไร ได้มาโดยวิธีใด 11. การประเมินผล การประเมินผลการสัมมนาทั้งหมดว่าจะใช้วิธีใด 12. ผู้ดำเนินการจัดสัมมนา คณะกรรมการจัดสัมมนาทั้งหมดโดย แบ่งย่อยๆ ออกเป็นคณะอนุกรรมการอีกก็ได้ 13. ผู้รับผิดชอบโครงการ อาจจะเป็นบุคคล หรือ หัวหน้าโครงการ หรือเป็นองค์การหน่วยงาน 14. ผลที่คาดว่าจะได้รับ โดยคาดว่าหลังการสัมมนาแล้วจะได้รับ ผลประโยชน์อะไรบ้างจากการสัมมนาครั้งนั้น ในการเขียนโครงการสัมมนานั้น บางโครงการผู้เขียนก็แยกหัวข้อแตกต่างหรือรวมเอาหัวข้อไปไว้ในข้อเดียวกัน แต่ก็ครอบคลุมทั้ง 14 หัวข้อดังกล่าวข้างต้น


ดาวน์โหลด ppt การสัมมนาการตลาด Seminar Marketing.

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google