ความรู้พื้นฐานในการคำนวณเกี่ยวกับระบบไฟฟ้ากำลัง

Slides:



Advertisements
งานนำเสนอที่คล้ายกัน
ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current)
Advertisements

X-Ray Systems.
CHAPTER 17 FOURIER SERIES
INC 112 Basic Circuit Analysis
CHAPTER 8 Sinusoids and Phasors
กำลังไฟฟ้าที่สภาวะคงตัวของวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ
หน่วยที่ 4 การปรับปรุงตัวประกอบกำลัง
หน่วยที่ 4 วงจรกรองความถี่
วงจรไฟฟ้ากระแสสลับ AC-Circuits Outline
บทที่ 5 เครื่องกําเนิดไฟฟากระแสสลับ (AC Generator)
Electrical Engineering
Ch 12 AC Steady-State Power
Ch 2 Resistive Circuits วงจรซึ่งประกอบไปด้วย Resistors กับ Sources วงจรซึ่งประกอบไปด้วย Resistors กับ Sources กฎหลักพื้นฐานของการวิเคราะห์วงจรมี 2 ข้อคือ.
เนื้อหารายวิชา Power System Analysis ปีการศึกษา 1/2549
305221, Computer Electrical Circuit Analysis การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าทาง คอมพิวเตอร์ 3(2-3-6) ณรงค์ชัย มุ่งแฝงกลาง คมกริช มาเที่ยง สัปดาห์ที่ 11 AC.
Electrical Properties of Devices RLC. Electrical Properties ( คุณลักษณะทางไฟฟ้า ) Electrical PropertiesResistorCapacitorInductor Impedance (Z)Z R = X.
บริษัท จำกัด Logo company
แนวทางการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริม
ไฟฟ้าคืออะไร หนังสือวิทยาศาสตร์ หรือเว็บไซต์ต่างๆ ให้ความหมายที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น - ไฟฟ้า คือ พลังงานรูปหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานรูปอื่นได้
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
Piyadanai Pachanapan, Power System Engineering, EE&CPE, NU
Piyadanai Pachanapan, Power System Engineering, EE&CPE, NU
Network Function Piyadanai Pachanapan.
การป้องกันระบบไฟฟ้ากำลัง Power System Protection
แรงดัน กระแส และ กำลังไฟฟ้า ในระบบ 3 เฟส
ความปลอดภัยจาก ไฟฟ้า นายนภดล ชัยนราทิพย์พร.
การประมาณโหลดอาคารชุด ตาม วสท. 2545
ความร้อนและอุณหภูมิ (Heat and Temperature)
Electrical Wiring & Cable
แบบจำลองเครื่องจักรกลไฟฟ้า สำหรับวิเคราะห์การลัดวงจรในระบบ
วงจรบริดจ์ Bridge Circuit.
เสถียรภาพของระบบไฟฟ้ากำลัง Power System Stability (Part 1)
ระบบส่งและจ่ายไฟฟ้า Unit 1.
Physics4 s32204 ElectroMagnetic
การวัด กำลังไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้า และ ตัวประกอบกำลังไฟฟ้า
(Symmetrical Components)
Power System Engineering
เครื่องวัดแบบชี้ค่าแรงดันกระแสสลับ AC Indicating Voltage Meter
การวัด กำลังไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้า และ ตัวประกอบกำลังไฟฟ้า
เครื่องวัดแบบชี้ค่ากระแสสลับ AC Indicating Instruments
เครื่องวัดแบบชี้ค่าขนาดกระแสสลับ AC Indicating Ampere Meter
เครื่องวัดแบบชี้ค่ากระแสสลับ AC Indicating Instruments
Piyadanai Pachanapan, Electrical System Design, EE&CPE, NU
สายดิน (Grounding) ปิยดนัย ภาชนะพรรณ์.
พื้นฐานการออกแบบระบบไฟฟ้า
แผนงานที่ 3 : ลดการละเมิดการใช้ไฟฟ้า/มิเตอร์ชำรุด
Piyadanai Pachanapan Power System Analysis
พารามิเตอร์ในสายส่ง ในสายส่ง มีค่าทางไฟฟ้าแทนตัวมันอยู่ 4 ค่า คือ
งานไฟฟ้า Electricity.
แบบจำลองของระบบไฟฟ้ากำลัง Power System Modeling
โครงการพัฒนานวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนงานครอบครัวอบอุ่น
บริษัท จำกัด Logo company
Power Flow Calculation by using
การวิเคราะห์การไหลของกำลังไฟฟ้าในระบบไฟฟ้า
Watt Meter.
พารามิเตอร์สายส่ง Transmission Line Parameters
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 ภาคกลาง นครปฐม
สัญญาณและระบบ (SIGNALS AND SYSTEMS)
เครื่องใช้ไฟฟ้า.
หลักเกณฑ์และวิธีการจัดเตรียมคำขอรับ สิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตร
ค่าความจุไฟฟ้าในสายส่ง Line Capacitance
NETWORK GRAPH การวิเคราะห์วงจรข่ายโดยกราฟ ปิยดนัย ภาชนะพรรณ์
โครงการเสวนาระบบบัญชีสามมิติและงานบัญชี
เรื่อง ความต้านทานไฟฟ้า
หัวข้อในการบรรยาย 1. จำนวนบุคลากรสายสนับสนุน 2. เส้นทางความก้าวหน้า 3. องค์ประกอบของคณะกรรมการประเมินค่างาน 4. ขั้นตอนการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น.
หน่วยที่ 7 เฟสและแผนภาพสมดุลย์ วิชาวัสดุและโลหะวิทยา ( )
วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการเชียงใหม่
ชื่อเรื่องวิจัย ชื่อผู้วิจัย
การลัดวงจรในระบบไฟฟ้ากำลัง Fault in Power System
การวิเคราะห์สถานะคงตัวของ วงจรที่ใช้คลื่นรูปไซน์
ใบสำเนางานนำเสนอ:

ความรู้พื้นฐานในการคำนวณเกี่ยวกับระบบไฟฟ้ากำลัง Basic Concept of Power System Engineering ปิยดนัย ภาชนะพรรณ์

เฟสเซอร์ (Phasor) ในระบบไฟฟ้ากำลัง ถ้ากำหนดให้แรงดันและกระแส เป็น รูปคลื่นแบบไซน์ (Sinusoidal Wave form) ความถี่คงที่ (Constant Frequency) สามารถแทนสัญญาณทั้งสองในรูปเฟสเซอร์ได้ ขนาด มุมเฟส

แทน เฟสเซอร์ของแรงดันและกระแส มีหน่วย เป็นค่า RMS สัญลักษณ์ v,i แทน แรงดันและกระแสที่เป็นคลื่นรูปไซน์ V,I แทน เฟสเซอร์ของแรงดันและกระแส แทน เฟสเซอร์ของแรงดันและกระแส มีหน่วย เป็นค่า RMS

โดยที่ เฟสเซอร์ RMS

ค่า RMS (Root – Mean – Square) Vmax, Imax คือ แรงดันและกระแสสูงสุด จะได้ และ

ตัวอย่าง 1 ระบบไฟฟ้า มีแรงดันและกระแส เป็นฟังก์ชันเวลา ดังนี้

จาก จะได้

จะสามารถเขียนในรูปเฟสเซอร์ ได้เป็น โดยที่ และ จะได้ V. A.

ดัชนีล่าง (Subscript Notation) ตัวอักษรที่กำกับตรงปริมาณทางไฟฟ้า ใช้กำหนดส่วนต่างๆ ของวงจร ใช้เพื่อใช้สะดวกในการคำนวณ

ดัชนีล่างตัวเดียว (Single Subscript Notation) เหมาะกับการใช้ในวงจร 1 เฟส ใช้ตัวอักษร, สัญลักษณ์ เป็นดัชนีล่าง เพียง 1 ตัว ทราบทิศทางจากเครื่องหมาย บวกและลบ (+/-) ดัชนีล่างตัวเดียว

เมื่อ จุด o จุดอ้างอิงแรงดัน Eg คือ แหล่งจ่ายไฟ Vt คือ แรงดันระหว่างจุด a และ o IL คือ กระแสในวงจร VL คือ แรงดันคร่อมอิมพีแดนซ์ ZL

เครื่องหมาย บวก, ลบ จะใช้แสดงทิศทางแรงดัน ลูกศรจะแสดงทิศทางของกระแส เครื่องหมายและทิศทางลูกศร จะมีลักษณะดังรูป เป็นเวลาครึ่งไซเคิล ครึ่งไซเคิลต่อมา เครื่องหมายและทิศทางลูกศร จะตรงข้ามกับในรูปทั้งหมด

ดัชนีล่างสองตัว (Double Subscript Notation) จำเป็นสำหรับวงจรระบบไฟฟ้า 3 เฟส ทำให้ทราบทิศทางของกระแสและแรงดัน ทำให้ทราบต่ำแหน่ง 2 จุด ที่แรงดันหรือกระแสเกี่ยวข้อง

IL เป็นกระแสบวก เมื่อ ไหลจาก a ไป b หรือ Iab - Iba

Vab เป็น แรงดันที่คร่อม อิมพีแดนซ์ ZA จากรูป จะได้

ความสัมพันธ์ของดัชนีล่างหนึ่งตัว กับ ดัชนีล่างสองตัว หา Iab จาก KVL จะได้

กำลังไฟฟ้าของวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส กำลังไฟฟ้า คือ การเปลี่ยนแปลงของพลังงานไฟฟ้าต่อเวลา พลังงาน เวลา กำลังไฟฟ้าขณะใดขณะหนึ่ง เป็น “ผลคูณของแรงดันกับกระแสของโหลดในขณะนั้น”

กำหนดให้ โหลดมีปลายเป็นขั้ว a และ n สมการของแรงดันคร่อมโหลด กับ กระแสผ่านโหลด เป็น และ ค่าไฟฟ้าชั่วขณะจึงเป็น

มุม มีค่าเป็นบวก (+) เมื่อ กระแส ตามหลัง (lag) แรงดัน p มุม มีค่าเป็นบวก (+) เมื่อ กระแส ตามหลัง (lag) แรงดัน มุม มีค่าเป็นลบ (-) เมื่อ กระแส นำหน้า (lead) แรงดัน

กำลังไฟฟ้าเป็น บวก(+) ค่ากระแสและแรงดัน มีเครื่องหมายเหมือนกัน กำลังไฟฟ้าจากระบบถูกดึงเข้าไปจ่ายยังโหลด (โนด a – n) กำลังไฟฟ้าเป็น ลบ(-) ค่ากระแสและแรงดัน มีเครื่องหมายต่างกัน กำลังไฟฟ้าจ่ายจากโหลด (โนด a – n) เข้ามายังระบบ

กรณี van กับ ian เฟสตรงกัน - กำลังไฟฟ้ามีค่าเป็น บวก (+) เสมอ ตลอดเวลา

กรณี van กับ ian เฟสต่างกัน 90o “ค่าเหนี่ยวนำบริสุทธิ์ (Pure Inductance)” หรือ “ค่าเก็บประจุบริสุทธิ์ (Pure Capacitance)” - กำลังไฟฟ้าที่มีค่าเป็น บวก (+) และ ลบ (-) จะมีค่าเท่ากัน - กำลังไฟฟ้าเฉลี่ย มีค่าเป็นศูนย์ (0)

ค่าเหนี่ยวนำบริสุทธิ์ (Pure Inductance) ค่าเก็บประจุบริสุทธิ์ (Pure Capacitance)

รูปทั่วไปของกำลังไฟฟ้า ใช้หลักทาง ตรีโกณ จะได้ เมื่อ หรือ

กำลังไฟฟ้าจริง และ กำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ ในระบบที่มีทั้งโหลด เป็นลักษณะ RC และ RL หรือ RLC จะมีกำลังไฟฟ้าจริงและกำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟอยู่ในโหลดนั้น - กำลังไฟฟ้าจริง –> Real Power, Active Power เกิดจากโหลดตัวต้านทาน - กำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ –> Reactive Power เกิดจากโหลดตัวเหนี่ยวนำ และ ตัวเก็บประจุ

วงจรในรูป ระหว่างจุด a กับ n พบว่า R // L กรณีโหลด R  แรงดัน van กับกระแส iR มีเฟสตรงกัน กรณีโหลด L  กระแส iX มีมุมเฟสตามหลัง (lagging) แรงดัน อยู่ 90o

สามารถเขียนรูปแสดงเฟสเซอร์ กระแส และแรงดันได้เป็น จะได้

กำลังไฟฟ้าในตัวต้านทาน pR(t)

ค่า pR มีค่าเป็นบวกเสมอ และมีค่าเฉลี่ยเป็น ค่า RMS

- กำลังไฟฟ้าเฉลี่ย ที่ได้จากโหลดตัวต้านทาน (R) P - กำลังไฟฟ้าเฉลี่ย ที่ได้จากโหลดตัวต้านทาน (R) - เรียก “กำลังไฟฟ้าจริง (Real Power)” มีหน่วยเป็น Watt - ตัวประกอบกำลัง (power factor) - มี 2 กรณี คือ ตัวประกอบกำลังแบบตาม (lagging) – โหลดตัว L - กระแสตามหลังแรงดัน 2. ตัวประกอบกำลังแบบนำ (leading) – โหลดตัว C - กระแสนำหน้าแรงดัน

กำลังไฟฟ้าในตัวเหนี่ยวนำ pX(t)

กำลังไฟฟ้า pX มีทั้งค่า บวก และ ลบ (instantaneous reactive power)

ค่าสูงสุดของกำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟชั่วขณะ เรียกว่า “ค่ากำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ (Reactive Power, Q)” หน่วย VAr ค่า RMS

ตัวอย่างที่ 2 จากวงจรในรูป จงหา กำลังไฟฟ้าจริง และ กำลังไฟฟ้าปรากฏ จากวงจร พบว่า

กำลังไฟฟ้าจริง กำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ

กำลังไฟฟ้าเชิงซ้อน (Complex Power) เรียกอีกอย่างว่า “กำลังไฟฟ้าปรากฎ (Apparent Power)” หาค่าได้จาก

จาก จะได้ จาก จะได้

สมมติ แรงดันคร่อมโหลด กระแสผ่านโหลด ในกรณี โหลดเป็นชนิดเหนี่ยวนำ (PF.ตามหลัง) - สามารถเขียน V,I ในรูปเฟสเซอร์ได้เป็น พบว่า จะได้

จะได้ นำความสัมพันธ์ของ S, P และ Q มาเขียนเป็นสามเหลี่ยมกำลังไฟฟ้า (Power Triangle) ได้เป็น

จะพบว่า ค่า Q เป็น บวก เมื่อ ผลต่างมุม มีค่าเป็น บวก - ตัวประกอบกำลังเป็นแบบ ล้าหลัง - กระแสตามหลังแรงดัน - โหลดเป็นชนิดเหนี่ยวนำ ค่า Q เป็น ลบ เมื่อ ผลต่างมุม มีค่าเป็น ลบ - ตัวประกอบกำลังเป็นแบบ นำหน้า - กระแสนำหน้าแรงดัน - โหลดเป็นชนิดตัวเก็บประจุ

กรณีโหลดเป็นชนิดตัวเก็บประจุ เขียนแผนภาพเฟสเซอร์ และ สามเหลี่ยมกำลังไฟฟ้า ได้เป็น

ในกรณีโหลดเป็นชนิดตัวเก็บประจุ พบว่า โหลดรับค่ากำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟที่มีค่าลบ (-Q) เข้าสู่ตัว โหลดจ่ายค่ากำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟที่มีค่าบวก (+Q) เข้าสู่ระบบ - เป็นตัวรับกระแส - เป็นตัวจ่ายกระแส - I นำ V อยู่ 90o - I ตาม V อยู่ 90o

การต่อวงจร LC ขนานกัน ก็เป็นการลดค่า Q ที่เกิดขึ้นในระบบ โหลดรวม ** ถ้าต้องการลดค่า Q อันเนื่องจากโหลดตัวเหนี่ยวนำในระบบไฟฟ้า (โหลดมอเตอร์ โหลดบัลลาสต์) ก็สามารถทำได้โดยนำตัวเก็บประจุมาต่ออยู่ในระบบไฟฟ้า

การอนุรักษ์กำลังเชิงซ้อน กำลังไฟฟ้าจริงที่จ่ายออกจากแหล่งจ่ายไฟฟ้า ย่อมมีค่าเท่ากับ ผลรวมของกำลังจริงที่ถูกนำไปใช้งานโดยโหลด ต้องมีความสมดุลของกำลังไฟฟ้ารีแอกทีฟระหว่างแหล่งจ่ายและโหลดด้วย

กำลังไฟฟ้าเชิงซ้อนที่วงจร N2 ได้รับ คือ

เครื่องหมายแสดงทิศทางการไหลของกำลังไฟฟ้า การไหลของกำลังไฟฟ้า คือ - การที่กำลังไฟฟ้าถูกผลิตขึ้นมา หรือ ถูกดึงเข้ามา เมื่อแรงดันและกระแสไฟฟ้า ได้กำหนดไว้ ณ จุดที่กำลังพิจารณาการไหลนั้น

กรณีระบบกระแสตรง - เป็นการ Charging - กำลังไฟฟ้าไหลเข้า - เป็นการ Discharging - กำลังไฟฟ้าไหลออก

กรณีระบบกระแสตรง (2) - เป็นการ Discharging - กำลังไฟฟ้าไหลออก - กำลังไฟฟ้าไหลเข้า

กรณีระบบกระแสสลับ - กรณีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า - กำลังไฟฟ้าจริง ไหลออกจากตัวเครื่องกลจักร (machine) - กรณีเครื่องมอเตอร์ไฟฟ้า - กำลังไฟฟ้าจริง ไหลเข้ามาในตัวเครื่องกลจักร (machine) ** พิจารณาเฉพาะค่า กำลังไฟฟ้าจริง (Real Power)

กรณีระบบกระแสสลับ ค่า Q เป็นบวก ขนาด |I|2X ค่า Q ค่าบวก จ่ายให้กับตัวเหนี่ยวนำ I ตามหลัง V อยู่ 90O ค่า Q เป็นลบ ขนาด |I|2X ค่า Q ค่าลบ จ่ายให้กับตัวเก็บประจุ I นำหน้า V อยู่ 90O

ตัวอย่างที่ 3 จากวงจรในรูป ประกอบด้วยเครื่องกลจักรไฟฟ้า 2 ตัว (1 และ 2) โดยที่ E1 = 100 0o E2 = 100 30o Z = 0 + j5 ohm จงหา ก) เครื่องกลจักรไหนเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า / มอเตอร์ ข) เครื่องกลจักรแต่ละตัว จ่ายหรือดูดกลืน กำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ ค) P และ Q ที่ดูดกลืนในอิมพีแดนซ์

เทียบค่า P และ Q จากตารางด้านล่าง

เครื่องจักร 1 ค่า P เป็น ลบ และ ค่า Q เป็นบวก - ทำงานเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องจักร 2 ค่า P เป็น ลบ และ ค่า Q เป็นลบ - จ่ายค่า P ให้ระบบและจ่ายค่า Q ให้ระบบ - ทำงานเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

ค่า P และ Q ในสายส่ง (อิมพีแดนซ์) หาจาก Z = R + jX จะได้ P = |I|2R Q = |I|2X = 10.352 x 0 = 10.352 x 5 = 0 = 536 VAr ** ค่า Q ในสายส่ง มีค่าเท่ากับ ค่า Q ที่จ่ายมาจากเครื่องจักรที่ 1 และ 2

กระแสและแรงดัน ในระบบไฟฟ้า 3 เฟส ลักษณะการต่อวงจร 3 เฟส โดย เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและโหลดต่อแบบ วาย (Wye, Y)

แรงดันไฟฟ้า emf จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแต่ละตัว คือ Ea’o , Eb’o และ Ec’o เมื่อ (a, b และ c คือ ลำดับเฟส) โดยแรงดัน emf แต่ละตัวมีขนาดเท่ากัน แต่มีมุมเฟสต่างกัน 120o สมมติ แรงดัน emf มีขนาด 100 V จะได้ Ec’o Ea’o = 100 0o V Ea’o Eb’o = 100 240o V Ec’o = 100 120o V Eb’o

แรงดันที่ขั้ว ของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า คือ Vao, Vbo และ Vco จะได้ Vao = Van = Ea’o - IanZg Vbo = Vbn = Eb’o - IbnZg Vco = Vcn = Ec’o - IcnZg (b และ n คือจุดเดียวกัน)

ในกรณีต่อแบบ Y ค่ากระแสในสาย คือ กระแสเฟส ค่ากระแสในแต่ละสาย ในกรณีต่อแบบ Y ค่ากระแสในสาย คือ กระแสเฟส จะได้ Ian = Ea’o / (Zg+ZR) = Van / ZR Ian = Eb’o / (Zg+ZR) = Vbn / ZR Ian = Ec’o / (Zg+ZR) = Vcn / ZR

- กระแสในแต่ละเฟส จะมีขนาดเท่ากัน และทำมุมต่างกัน 120O จาก Ian = Ea’o / (Zg+ZR) = Van / ZR พบว่า - กระแสในแต่ละเฟส จะมีขนาดเท่ากัน และทำมุมต่างกัน 120O - แรงดันที่ขั้วในแต่ละเฟส จะมีขนาดเท่ากัน และทำมุมต่างกัน 120O (Van, Vbn และ Vcn)

กรณีระบบที่ต่อสมดุล (Balance) – ขนาดโหลดแต่ละเฟสเท่ากัน พบว่า ผลรวมกระแสในแต่ละเฟส เท่ากับ ศูนย์ กระแส In คือ กระแสนิวทรัล มีค่า เท่ากับ ศูนย์ สามารถเขียนเฟสเซอร์ของกระแสแต่ละเฟสได้เป็น

กรณีระบบที่ต่อไม่สมดุล (Unbalance) – ขนาดโหลดแต่ละเฟสไม่เท่ากัน พบว่า ผลรวมกระแสในแต่ละเฟส ไม่เท่ากับ ศูนย์ กระแส In คือ กระแสนิวทรัล มีค่า ไม่เท่ากับ ศูนย์ มีค่า

แรงดันระหว่างสาย (Line – line Voltage) คือ Vab, Vbc และ Vca กรณี V ระหว่างเฟส a กับ b พบว่า Vab = Van + Vnb = Van - Vbn

นำมาเขียนเฟสเซอร์ พบว่า จาก Vab= Van - Vbn |Vab| = 2|Van|cos30O = . |Van| จากรูปเฟสเซอร์ Vab นำ Van อยู่ 30O จะได้ Vab = Van 30O

สามารถเขียนเฟสเซอร์แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง แรงดันระหว่างสาย (line – line) กับ แรงดันเฟส (line – neutral) ได้เป็น

ตัวอย่างที่ 4 ระบบ 3 เฟสแบบสมดุล มีแรงดัน Vab เป็น 173.2 0O V จงหา แรงดันและกระแสทั้งหมด เมื่อต่อโหลดแบบ Y โดยมี โหลด ZL = 10 20O และสมมติลำดับเฟสเป็น abc วิธีทำ จาก Vab = 173.2 0O จะได้ Vbc = 173.2 240O Vca = 173.2 120O

ทำนองเดียวกัน จะได้แรงดันเฟส เป็น ในการต่อแบบ Y แรงดันระหว่างสาย จะมีขนาดเป็น เท่าของแรงดันเฟส และ มีมุมเฟสนำหน้าอยู่ 30O ทำนองเดียวกัน จะได้แรงดันเฟส เป็น Van = 100 -30O V Vbn = 100 210O V Vcn = 100 90O V

สามารถเขียนเฟสเซอร์ไดอะแกรม แสดงความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันระหว่างสาย กับ แรงดันเฟส ได้เป็น

เนื่องจากเป็นการต่อแบบ Y – กระแสระหว่างสาย เท่ากับ กระแสเฟส จะได้ Ian = Van / ZL Ian = 100 -30O 10 20O ทำนองเดียวกัน จะได้กระแสในระบบ เป็น Ian = 10 -50O Ibn = 10 190O Icn = 10 70O

ในการใช้งานทั่วไป โหลดแบบสมดุลมักเป็นการต่อแบบ เดลต้า ( ) ในการใช้งานทั่วไป โหลดแบบสมดุลมักเป็นการต่อแบบ เดลต้า ( ) Iab = Ian 30O จากวงจร พบว่า Vab = Van

โดยปกติในการแก้ปัญหาในระบบ 3 เฟส จะสามารถคำนวณจากระบบ 1 เฟสที่ประกอบเป็นระบบ 3 เฟสได้ แต่ต้องเป็นระบบโหลดสมดุลเท่านั้น เมื่อหากระแสและแรงดันในแต่ละเฟสได้ ก็จะสามารถหาแรงดันและกระแสระหว่างสายได้

การวิเคราะห์ระบบต่อเฟส 1. ระบบต่อกันเป็น สามเฟสสมดุล (Balance 3 phase system) 2. โหลดและแหล่งแรงดันทุกแห่งต่อเป็น Y - ต้องแปลงแหล่งแรงดันหรือโหลดจาก เป็น Y 3. ไม่มีการเหนี่ยวนำทางแม่เหล็กระหว่างเฟส

ความสัมพันธ์ของค่าอิมพีแดนซ์ของโหลดแบบ และ Y

ตัวอย่างที่ 5 ระบบเป็นวงจร 3 เฟส ต่อโหลดแบบ Y ซึ่งมีค่าอิมพีแดนซ์ - มีแรงดันคร่อมโหลดเป็น 4.4 kV (line-line) - โหลดแต่ละเฟส มีอิมพีแดนซ์ เป็น - มีอิมพีแดนซ์จากสถานีไฟฟ้าถึงโหลดเป็น จงคำนวณหาแรงดันระหว่างสายที่สถานีไฟฟ้า สายส่ง โหลด สถานี

- แรงดันเฟสที่โหลด มีค่าเป็น - กระแสเฟสที่โหลด มีค่าเป็น Ian = Van / Zan = 2540 0 O 20 30O = 127.0 -30O

จาก KCL จะได้แรงดันเฟสที่สถานีไฟฟ้าเป็น ขนาดแรงดันระหว่างสาย (line-line) ที่สถานีไฟฟ้าเป็น =

จะได้รูปวงจร 1 เฟส ของระบบเป็น

ตัวอย่างที่ 5 ระบบในรูป เป็นระบบ 3 เฟสสมดุล จงหาค่า v1(t) และ i2(t) In = 0 ไม่คิดสายส่งเส้นนี้

เนื่องจากเป็นระบบ 3 เฟสสมดุล  วิเคราะห์แบบ 1 เฟสได้ แปลงโหลดแบบ delta ให้เป็นโหลดแบบ Y

สามารถเขียนเป็นวงจร 1 เฟส (เฟส A) เพื่อใช้วิเคราะห์ได้เป็น

จะได้

หากระแส i2 i2 คือกระแสในโหลดระหว่าง a’b’ หาแรงดันคร่อม a’b’ จาก

จะได้

กำลังไฟฟ้าในระบบ 3 เฟสสมดุล* แรงดันไฟฟ้าเฟส VP สำหรับโหลดที่ต่อแบบ Y เป็น กระแสไฟฟ้าเฟส IP สำหรับโหลดที่ต่อแบบ Y เป็น กำลังไฟฟ้า 3 เฟส เป็น ขนาดมุมของกระแสที่ตามหลังแรงดัน

ถ้า VL และ IL เป็นแรงดันระหว่างสายและกระแสระหว่างสาย จะได้ จะได้กำลังไฟฟ้าจริงเป็น

ได้กำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟเป็น กำลังไฟฟ้าปรากฏ จะมีค่าเป็น

กรณีโหลดต่อแบบ เดลต้า จะได้ กำลังไฟฟ้า 3 เฟส เป็น

ตัวอย่างที่ 6 โหลด 3 เฟส ดึงกำลังไฟฟ้า 200 kW ที่ตัวประกอบกำลัง 0.707 (lagging) จากสายส่ง 440 V และที่โหลดนี้ยังมีตัวเก็บประจุขนานอยู่ ซึ่งดึงกำลังไฟฟ้า 50 kVAR จงหา 1. กระแสทั้งหมด 2. ตัวประกอบกำลังผลลัพธ์ IL

หา กำลังไฟฟ้าปรากฏ (SL) ของโหลด ได้เป็น วิธีทำ โหลดประกอบด้วย PL = 200 kW และ = 0.707 lagging หา กำลังไฟฟ้าปรากฏ (SL) ของโหลด ได้เป็น

หากำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ (QL)ของโหลดได้เป็น จาก จะได้ kVAR

มีตัวเก็บประจุต่อขนานกับโหลด อีก 50 kVAR จะได้ Q ผลลัพธ์ เป็น เนื่องจากตัวเก็บประจุไม่มีค่ากำลังไฟฟ้าจริง จะได้ P ผลลัพธ์ เป็น kW

จะได้กำลังไฟฟ้าปรากฏ เป็น kVA หากระแสจาก จะได้

หาตัวประกอบกำลังของผลลัพธ์ ได้เป็น