Enterprise Architecture

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "Enterprise Architecture"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 Enterprise Architecture
สถาปัตยกรรมองค์กร Enterprise Architecture

2 Enterprise Architecture หรือ สถาปัตยกรรมองค์กรนั้น เป็นโครงสร้างซึ่งรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างในองค์กรเข้าไว้ด้วยกัน เริ่มตั้งแต่กลยุทธ์ทางธุรกิจ แผนผังองค์กร กระบวนการทำงาน ความเสี่ยงในองค์กร ข้อมูลสนับสนุนการทำงาน ระบบซอฟท์แวร์ต่างๆ โครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอที และระบบความปลอดภัยภายในองค์กร Enterprise Architecture เป็นเอกสารที่ช่วยให้เราคิดวิเคราะห์ทำความเข้าใจองค์กรได้ดียิ่งขึ้น เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างองค์กรในอนาคต ตามแนวทางกลยุทธ์ขององค์กรที่วางไว้ คือการสร้าง 1 Model เพื่อสื่อสารกับทุกคนในองค์กร มันจะผิดจะถูกอย่างไร ก็ให้มองเป็นภาพเดียวกันทั้งองค์กร หากถูกก็จะสามารถกำหนดรูปแบบการเปลี่ยนแปลงได้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น แต่หากผิดคนในองค์กรก็มีภาพเดียวกันที่จะเห็นถึงปัญหาและวิธีการแก้ไขในทิศทางเดียวกัน

3 ธุรกิจจะดำรงอยู่ได้จำเป็นต้องมีปัจจัยต่างๆ มาสนับสนุน การที่เราจะทำผลิตภัณฑ์ออกมานั้น จำเป็นต้องมีกระบวนการทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์นั้น และกระบวนการทำงานเหล่านั้นจำเป็นจะต้องอาศัยข้อมูล และระบบซอฟท์แวร์เข้ามาช่วยสนับสนุน ซึ่งข้อมูลและซอฟท์แวร์ต่างๆ ก็จะต้องถูกจัดเก็บไว้บนฮาร์ดแวร์ ที่เชื่อมต่อกันเป็นเน็ตเวิร์ค ที่มา: S. Aziz et al., Enterprise architecture: the governance framework, whitepaper, September 2005. การสร้าง Enterprise Architecture ที่ดีนั้นต้องสามารถตอบโจทย์กลยุทธ์ของธุรกิจ โดยทำในรูปแบบ Road Map เพื่อกำหนดทิศทางขององค์กร จากนั้นเราจะเอาโครงการทั้งหมดมาศึกษาและดูว่าโครงการใดที่จะตอบสนองธุรกิจในอนาคต โดยความร่วมมือของ CEO และ CIO ที่จะต้องร่วมกันกำหนดกลยุทธ์และทิศทางของธุรกิจและ IT ไปในทางเดียวกัน

4 โดยวิธีการนี้จะช่วยลดต้นทุนในการเลือกลงทุนในโครงการที่เหมาะสมได้ ในส่วนสุดท้ายคือการสำรวจ "โครงสร้างทั้งหมดของ IT" ทั้งระบบ (Infrastructure + Software) เพื่อดูว่าระบบในองค์กรมีการทำงานที่ซ้ำซ้อนกันหรือไม่ โดยการทำ Gap Analysis และ สุดท้ายก็มาทำโครงสร้าง Architecture ขององค์กรในที่สุด Enterprise Architecture สามารถแบ่งได้เป็น architecture ย่อยๆ ดังนี้ 1. Business Architecture เพื่อแสดงกลยุทธ์ขององค์กร (Strategy) ที่จะขับเคลื่อนให้บรรลุยังเป้าหมายขององค์กร (Goals) Business Process และ Workflows ของแต่ละฝ่าย และแผนผังองค์กร (Organization Chart) 2. Information Architecture อธิบายถึงโครงสร้างข้อมูลขององค์กร การจัดเก็บข้อมูลในเชิง logical and physical การ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง business processes, stakeholders และระบบต่างๆ 3. Application Architecture เพื่อแสดงให้เห็นว่าในองค์กรจะต้องมีระบบโปรแกรมหรือระบบไอทีอะไรบ้าง ในการที่จะ ตอบโจทย์ของธุรกิจต่างๆ การเชื่อมต่อระหว่างการใช้งานระบบต่างๆ 4. Technology/Infrastructure Architecture เพื่อแสดงโครงสร้าง Hardware Software หรือแม้กระทั่ง Telecom Network ในองค์กร

5 ที่มา: S. Aziz et al., Enterprise architecture: the governance framework, whitepaper, September 2005.

6 แผน EA นอกจากจะช่วยให้เราได้ผังหลักๆ 4 ด้านนี้แล้ว เราอาจจะเห็นผังย่อยๆ ในเรื่องต่างๆดังแสดงในรูป

7 Enterprise Architecture แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการแบ่ง Enterprise Architecture ออกเป็นองค์ประกอบย่อยๆ นั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละองค์กร บางองค์กรอาจจะเห็น ว่า ความมั่นคงปลอดภัยเป็นสาระสำคัญขององค์กรเช่น หน่วยงานทหาร หรือธุรกิจธนาคาร ก็อาจจะมี Security architecture เพิ่มเติมขึ้นมา หรือในปัจจุบันมีการพูดถึงแนวความคิดด้าน SOA หรือ Service Oriented Architecture กันอย่างกว้างขวาง ดังนั้นองค์กรที่ต้องการจะมุ่งไปสู่แนวความคิดนี้จึงขาดเสียมิได้ที่จำเป็น จะต้องมี Service Architecture จึงมิได้มีข้อกำหนดตายตัวแน่นอนว่า Enterprise Architecture จำเป็นจะต้อง ประกอบด้วยอะไรบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละองค์กร แต่บางตำราก็ให้ความหมายของสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) ไว้ว่า Enterprise Architecture หรือสถาปัตยกรรมองค์กร ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสถาปัตยกรรมของอาคารของสำนักงาน แต่เราให้ความสำคัญกับโครงสร้างขององค์กรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายของ ยุทธศาสตร์และตามวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ สถาปัตยกรรมองค์กรจึงมีสามส่วนหลัก ๆ

8 ประกอบด้วยสถาปัตยกรรมในส่วนเกี่ยวกับตัวธุรกิจ Business Architecture สถาปัตยกรรมในส่วนเกี่ยวกับระบบ สารสนเทศ และสถาปัตยกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้ 1) สถาปัตยกรรมองค์กรในส่วนที่เกี่ยวกับธุรกิจ รวมตั้งแต่โครงสร้างการจัดความรับผิดชอบและหน้าที่ ของพนักงาน ใครทำงานอะไรและขึ้นอยู่กับสายงานและใต้บังคับบัญชาสายใด แต่ละสายงานต้องทำงาน อะไรบ้าง และทำอย่างไร ด้วยกระบวนการทำงานอย่างไร (Business processes) ต้องใช้ข้อมูลแบบใด (Business objects)เพื่อให้บริการแก่ผู้อื่นทั้งบุคคลภายนอกและภายในในเรื่องอะไรบ้าง (เป็นเรื่อง Organizational Infrastructure and Processes ที่ปรากฏใน “Strategic Alignment Model” ของ Henderson and Venkatraman) ที่ ได้อธิบายในบทความตอนที่ 2) สถาปัตยกรรมองค์กรส่วนที่เป็นInformation Systems Architecture หมายถึงกลุ่มที่เป็น Data architecture และ Application architecture ประกอบด้วยโครงสร้างระบบซอฟต์แวร์ และโครงสร้างของ ข้อมูลที่ใช้ในแต่ละระบบงาน เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่ไป Realizeหรือสนับสนุนการทำงานของกระบวนการ (Business processes) ใน Business architecture

9 3) สถาปัตยกรรมองค์กรส่วนที่เป็นTechnology Architecture หมายถึงเทคโนโลยีไอซีทีที่ใช้สนับสนุน การทำงานขององค์กร รวมตั้งแต่กลุ่มอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารโทรคมนาคม ตลอดจนระบบ System software ทั้งหมดที่สนับสนุนการทำงานของ Data architecture และ Application architecture สถาปัตยกรรมองค์กรทั้งสามส่วนต้องมีความสอดคล้องและส่งเสริมซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา และที่ สำคัญทั้งหมดต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ในเชิงธุรกิจ ถ้าทุกครั้งมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ จะมี ผลกระทบต่อสถาปัตยกรรมองค์กรทั้งสามด้าน และต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุทธศาสตร์ในลักษณะที่ สอดคล้องกันด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเพราะมีรายละเอียดมาก ถ้าไม่มีการจัดทำเอกสารบันทึก โครงสร้างของทั้งหมดในลักษณะเป็นแผ่นพิมพ์เขียว หรือ Blueprints ที่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าใจ รายการต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นจึงทำหน้าที่เหมือนหนึ่งเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างกระบวนการทางธุรกิจกับ ไอซีที ช่วยให้พนักงานขององค์กรทุกระดับได้รับประโยชน์อย่างน้อยดังต่อไปนี้

10 เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับระบบ ไอซีที และบทบาทหน้าที่ที่เกี่ยวข้องระหว่างกัน เป็นเครื่องมือช่วยในการวางแผนและออกแบบกระบวนการทางธุรกิจ และระบบไอซีทีเพื่อรองรับ การทำงานตามกระบวนการที่กำหนด เป็นเครื่องมือช่วยการใช้ระบบไอซีทีอย่างมีธรรมาภิบาล เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสถาปัตยกรรมทั้งสาม ซึ่งได้แก่ Business architecture, Information architecture และ Technology architecture เป็นเครื่องมือช่วยการปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกัน เมื่อสถาปัตยกรรมส่วน อื่นขององค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลง ช่วยแก้ปัญหาของการลงทุนไอซีทีซ้ำซ้อนอันเกิดจากการบริหารจัดการไอซีทีอย่างไม่เป็นระบบ โดยเฉพาะขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับไอซีทีที่องค์กรได้ลงทุนไปแล้ว

11 ทรัพยากรด้านไอซีที ทั้งระบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีอื่น ๆ เป็นทรัพย์สินที่มี คุณค่ามาก ทุกคนภายในองค์กรต้องให้ความสำคัญและต้องเข้าใจความสำคัญในบริบทของตนเอง ภายในองค์กรเดียวกัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารจะมองความสำคัญของไอซีทีแตกต่างจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายไอซีที พนักงานการตลาดก็อาจมอง ความสำคัญของไอซีทีในอีกมุมมองหนึ่ง เหมือนกันกับแผ่นพิมพ์เขียวของอาคาร โดยอาคารเดียวกันจะถูกนำเสนอในแผ่นพิมพ์เขียวหลายรูปแบบ (View) เช่นแบบแสดงโครงสร้างของอาคาร (Structure) แบบแสดง Floor plan ที่วางตำแหน่งเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่ง หรือผังแสดงการเดินสายไฟ สายสัญญาณ โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ผังแต่ละรูปแบบแต่ละชนิดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ของคนที่มีหน้าที่แตกต่างกัน Enterprise Architecture ก็เช่นกัน ประกอบขึ้นด้วยรูปแบบนำเสนอในหลาย ๆ มุมมอง (Viewpoint หรือ Perspectives) ซึ่งมี หลากหลายชนิดมาก เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนระหว่างสถาปนิกที่ออกแบบ กับผู้อื่นที่เกี่ยวข้องในฐานะผู้ใช้ข้อมูล เรา จำเป็นต้องมีกรอบเพื่อช่วยจัดทำ EA (Enterprise Architecture Framework) ได้อย่างมีมาตรฐานและเข้าใจความหมาย ตรงกันระหว่างผู้เกี่ยวข้อง ตัวอย่างกรอบ EA ที่นิยมใช้กันในปัจจุบันคือ Zachman Framework และ TOGAF (The Open Group Architecture Framework) ดังรายละเอียดที่จะบรรยายต่อไป แต่ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า “Enterprise Architecture” ที่ใช้สื่อสารกันนั้นมีความหมาย เป็นสองนัย คือหมายถึงรูปแบบนำเสนอ หรือแผ่นพิมพ์เขียวที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบของ สถาปัตยกรรม หรือระหว่างสถาปัตยกรรม อีกความหมายหนึ่ง หมายถึงขั้นตอนและวิธีการออกแบบและสร้าง สถาปัตยกรรมองค์กร (Architecture development method)

12 View and Viewpointเพื่อให้เข้าใจ Enterprise Architecture ได้อย่างลึกซึ้ง จำเป็นต้องเข้าใจความหมายของ View และ Viewpointในบริบทของสถาปัตยกรรมองค์กรก่อน จึงขอเริ่มต้นด้วยตัวอย่างว่า สมมุติในที่ประชุมคณะกรรมการ กำหนดหัวข้อสัมมนาเรื่อง “รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์” หลังจากอภิปรายไปแล้วเกือบสามชั่วโมงก็ยังตกลงกันไม่ได้ เพราะต่างคนต่าง เสนอความคิดเห็นที่หลากหลาย บ้างเสนอหัวข้อเกี่ยวกับ Cloud Computing เพื่อรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ บ้างเสนอหัวข้อเกี่ยวกับความ มั่นคงปลอดภัยด้านการใช้อินเทอร์เน็ต บ้างเสนอเกี่ยวกับการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริการประชาชน บ้าง ต้องการ ให้เน้นการบริการแบบ One stop services บ้างต้องการให้รัฐบริการประชาชนผ่านอุปกรณ์พกพา และสามารถบริการทุกที่ทุกเวลา บ้างต้องการให้รัฐเปิดเผยข้อมูล บ้างต้องการให้เน้นด้านความโปร่งใสตรวจสอบได้ ฯลฯ ประเด็นปัญหาของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า รัฐบาล อิเล็กทรอนิกส์เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ครอบคลุมเนื้อหาหลายมิติ มีทั้งเรื่องเทคโนโลยี เรื่องบริการประชาชน มีเรื่องเกี่ยวเกี่ยวกับ นโยบาย และยังมีเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเป็นงานเฉพาะของ หน่วยงาน กรรมการในที่ประชุมมองเรื่องรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์จากต่างมุมมองกัน (Viewpointหรือ Perspective) ขึ้นอยู่ ที่ภูมิหลัง ความสนใจเฉพาะตัว ฐานความรู้ที่แตกต่าง รวมทั้งแตกต่างในบทบาทและหน้าที่ เมื่อเปิดโอกาสให้ต่างคนต่างเสนอ ความเห็นตามความสนใจและความเข้าใจในเรื่องรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของแต่ละคน จึงได้ความคิดที่หลากหลายจนไม่สามารถยุติ เป็นข้อสรุปได้ วิธีแก้ปัญหาในเรื่องนี้คือ ต้องตกลงเพื่อกำหนด Viewpoint ก่อน ว่าสัมมนาเรื่องรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในครั้งนี้ ด้วย ข้อจำกัดในเรื่องเวลา จะต้องบรรจุหัวข้อภายในมุมมองเพียง 1-2 มุมมอง (Viewpoint) เท่านั้น เช่นมุมมองในด้านเทคโนโลยี หรือ มุมมองในด้านเกี่ยวกับการบริการประชาชน ก็น่าจะหาข้อยุติได้โดยง่าย

13 ในหมู่คนจำนวนมากที่มีโอกาสมองสิ่งเดียวกัน แต่ต่างมุมมองกัน ไม่จำเป็นต้องเห็นคุณค่าที่ตรงกัน หรือเกิด ความเข้าใจลึกซึ้งเหมือนกัน เนื่องจากแต่ละคนมีมุมมองของตนเองที่แตกต่างกัน ในกรณีของ Enterprise Architecture ก็ เช่นกัน ผู้ที่สนใจเรื่อง EA มีทั้งผู้บริหารระดับสูง ผู้ที่เป็นเจ้าของโครงการ มีเจ้าหน้าที่ออกแบบและพัฒนาระบบไอซีที มี เจ้าหน้าฝ่ายเทคนิค ฯลฯ เจ้าหน้าที่แต่ละคน แต่ละตำแหน่ง มีความสนใจและความเข้าใจเรื่องสถาปัตยกรรมองค์กรใน มุมมองของตนเองที่แตกต่างกับผู้อื่น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด สถาปนิกที่ออกแบบ EA จำเป็นต้องนำเสนอแบบพิมพ์ เขียวด้วยข้อมูลที่อยู่ในความสนใจของผู้ที่เกี่ยวข้องแต่ละกลุ่ม ซึ่งแน่นอน จะต้องมีหลากหลายมาก เพื่อให้ง่ายต่อการ ทำงาน สถาปนิกจะอาศัยกรอบ (Framework) ช่วยกำหนด Viewpoints เพื่อนำไปสู่การเลือกนำเสนอตามรูปแบบ (View) ที่เป็นประโยชน์ในบริบทของผู้ใช้ข้อมูล Views และ Viewpoints จึงเป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง EA ที่ต้องทำความเข้าใจ กันให้ลึกซึ้ง จะได้ใช้ประโยชน์จาก EA ได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้เข้าใจความหมายของ Views และ Viewpoints ในบริบท ของ EA จะขอใช้ Zachman Framework เป็นเครื่องมือในการอธิบาย


ดาวน์โหลด ppt Enterprise Architecture

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google