ดาวน์โหลดงานนำเสนอ
งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ
1
สารชีวะโมเลกุล (Biochemistry)
2
ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะมีหน่วยเล็กที่สุด เรียกว่า เซลล์
สารชีวโมเลกุล “สารที่มีธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก มีโมเลกุลขนาดใหญ่และพบในสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ” ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะมีหน่วยเล็กที่สุด เรียกว่า เซลล์ นิวเคลียสและเยื่อหุ้มเซลล์ประกอบด้วย โปรตีนและไขมัน ไซโทพลาซึม เป็นของเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ประกอบด้วย โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต
3
หัวข้อการเรียนรู้ 1. ลิพิด (Lipids) 2. โปรตีน (Proteins)
3. คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrates)
4
1. ลิพิด (Lipids) “ลิพิด เป็น สารชีวะโมเลกุลที่ประกอบด้วยธาตุหลัก 3 ชนิด คือ C, H และ O ลิพิดที่มีสถานะเป็นของแข็งเช่น ไขมัน ส่วนลิพิดที่มีสถานะเป็นของเหลว เช่น น้ำมัน ” น้ำมัน ไขมัน ลิพิดมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตในแง่ที่เป็นทั้งแหล่งพลังงานของส่วนประกอบเนื้อเยื่อ และฮอร์โมน ลิพิดส่วนใหญ่เป็นสารประกอบของกรดไขมันกับกลีเซอรอล
5
ไขมันและน้ำมันคือไตรกลีเซอไรด์ซึ่งเป็นเอสเทอร์ที่เกิดจากปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชันระหว่างกลีเซอรอลกับกรดไขมัน ไขมันและน้ำมัน
6
ไขมันและน้ำมัน มีหน้าที่ดังนี้
1. ป้องกันการสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น 2. ป้องกันการสูญเสียความร้อน ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น 3. ป้องกันการกระแทกต่ออวัยวะภายใน 4. ช่วยทำให้ผมและเล็บมีสุขภาพดี 5. ช่วยละลายวิตามิน A, D, E และ K
7
กรดไขมันในธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
8
1.กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid) จะมีอะตอมของคาร์บอนที่ต่อกันเป็นลูกโซ่ด้วยพันธะเดี่ยวเท่านั้น มีอยู่ในอาหารจำพวกที่เราเห็นเป็นชั้นสีขาวติดอยู่ในเนื้อสัตว์ หรือหนังสัตว์ปีก ไข่แดง น้ำมันหมู เนย นม ผลิตภัณฑ์จากนม กรดไขมันชนิดนี้จะมีสถานะอันเฉื่อยเนือยในกระบวนการเคมีของร่างกาย ถ้าไม่ถูกย่อยไปใช้เป็นพลังงานก็มีแนวโน้มที่จะตกตะกอนในหลอดเลือด ไขมันชนิดนี้ก็ยังจำเป็นต่อร่างกายในการเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ เช่น เซลล์สมอง เซลล์กระดูกเซลล์ผิวหนัง และยังเป็นส่วนประกอบในสารสำคัญต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ฮอร์โมน
9
2. กรดไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fatty acid) มักเป็นไขมันที่ได้จากพืช ยกเว้นจากพืชบางชนิด เช่น กะทิ และน้ำมันปาล์ม องค์ประกอบมีอะตอมของคาร์บอนที่เรียงตัวกันเป็นสายโซ่มีบางตำแหน่งเกิดเป็นพันธะคู่ ทำให้มันมีความว่องไวในปฏิกิริยาทางเคมีพร้อมที่จะเปิดรับปฏิกิริยาต่าง ๆ ช่วยให้คอเลสเตอรอลในเลือดลดลงแต่อีกด้านหนึ่งก็พร้อมที่จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนกลายเป็นอนุมูลอิสระตัวก่อปัญหาทางสุขภาพ กรดไขมันไม่อิ่มตัว จะทําปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจนในอากาศ จะเกิดสารใหม่ที่มีกลิ่นเหม็นหืน แสดงว่า น้ำมันพืชจะเหม็นหืนได้ง่ายกว่าน้ำมันสัตว์
10
การใช้ประโยชน์จากไขมัน
ปฏิกิริยาสะปอนนิฟิเคชัน (sponification) เป็นปฏิกิริยาที่ใช้เตรียมสบู่ โดยการนําเอาไขมันหรือน้ำมันมาต้มกับสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์จะได้กลีเซอรอลกับเกลือโซเดียมของกรดไขมัน ซึ่งก็คือสบู่
11
2. โปรตีน (Proteins) “สารประกอบที่มีขนาดใหญ่มากและโครงสร้างซับซ้อนซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในร่างกาย ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตจะมีอยู่มากกว่าร้อยละ 50 ของน้ำหนักตัวแห้ง ธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักของโปรตีนมีอยู่ 4 ธาตุ คือ C , H , O, และ N” โปรตีนเป็นสารชีวโมเลกุลซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำนวนมากเชื่อมกันด้วยพันธะเพปไทด์ ซึ่งเป็นพันธะโควาเลนต์ กรดอะมิโนคือ โมเลกุลจะมีหมู่อะมิโน (--NH2) ซึ่งเป็นเบส และหมู่คาร์บอกซีลิก (--COOH) ซึ่งเป็นกรด
12
กรดอะมิโนสามารถเกิดปฏิกิริยารวมตัว เชื่อมต่อกันได้ด้วยพันธะเพปไทด์ (peptide)
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเรียกตามปริมาณของกรดอะมิโนที่ใช้ดังนี้ ไดเพปไทด์ (dipeptides) เกิดจากกรดอะมิโน 2 ตัวมาเชื่อมต่อกัน ไตรเพปไทด์ (tripeptides) เกิดจากกรดอะมิโน 3 ตัวมาเชื่อมต่อกัน พอลิเพปไทด์ (polypeptides) เกิดจากกรดอะมิโนไม่เกิน 50 ตัวมาเชื่อมต่อกัน
13
โปรตีน (proteins) เกิดจากกรดอะมิโนมากกว่า 50 ตัวมาเชื่อมต่อกัน
14
กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย (essential amino acids) มีทั้งหมด 8 ชนิด
ตัวอย่างโครงสร้างของกรดอะมิโน
15
ชนิดและหน้าที่โปรตีนต่าง ๆ
16
ภาวะการขาดโปรตีน สังเกตได้จาก
1.การเจริญเติบโตและพัฒนาการช้า 2.ผิวหนังที่เป็นแผลจะหายช้ากว่าปกติ 3.เล็บฉีกขาดง่าย ซีดเซียว 4.ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย 5.ผมมีเม็ดสีจาง ทำให้ผมหงอกก่อนวัย หลุดร่วงง่าย และแห้งแตกปลาย 6.สมองทำงานช้ากว่าปกติ
17
3. คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrates)
“คาร์โบไฮเดรตเป็นสารชีวโมเลกุลประกอบด้วยธาตุ C, H และ O ทำหน้าที่เป็นสารสะสมพลังงานคาร์โบไฮเดรตที่พบในร่างกายมนุษย์มากที่สุด ได้แก่ กลูโคส (glucose) ซึ่งมีสูตรโมเลกุลเป็น C6H12O6 ซึ่งสามารถเขียนเป็น C6(H2O)6 ได้เช่นกัน จากสูตรหลังจะเห็นได้ว่าสูตรของกลูโคสเหมือนกับคาร์บอนถูกไฮเดรต (ล้อมรอบด้วยโมเลกุลของน้ำ) จึงเรียกว่า คาร์โบไฮเดรต”
18
"คาร์โบไฮเดรต" ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่
1. มอนอแซ็กคาไรด์ (น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว) กลูโคส เป็นน้ำตาลโมเลกุลเล็กที่สุดที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ทันที ฟรุกโทส (ฟรักโทส) เป็นน้ำตาลที่มีรสหวานที่สุด (หวานกว่าน้ำตาลทราย 2 เท่า) กาแลกโทส เป็นน้ำตาลที่มีในน้ำนม (คน 7%, วัว 5%)
19
2. ไดแซ็กคาไรด์ (น้ำตาลโมเลกุลคู่)
เกิดจากน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว 2 โมเลกุล มาเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเคมี กลูโคส + กลูโคส = น้ำตาลมอลโทส พบในข้าว เมล็ดพืช ใช้ในการทำเบียร์ อาหารทารก
20
กลูโคส + ฟรุกโทส = น้ำตาลซูโครส หรือน้ำตาลทราย พบมากในอ้อย
กลูโคส + กาแลกโทส = น้ำตาลแลกโทส พบมากในน้ำนม
21
3. พอลิแซ็กคาไรด์ (น้ำตาลโมเลกุลใหญ่)
เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบด้วย น้ำตาลกลูโคสจำนวนมากมาเชื่อมต่อกัน แบ่งเป็น 3 ชนิด 3.1 แป้ง เกิดจากกลูโคสหลายพันโมเลกุลมาต่อเชื่อมกัน โดยมีโครงสร้างแบบสายยาวและแบบกิ่ง พบมากในพืชประเภทเมล็ดและหัว (ข้าวเจ้า 75%, ข้าวโพด 50%) - ร่างกายย่อยสลายได้ด้วยเอนไซม์ที่มีในน้ำลาย (อะไมเลส) และน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร - เมื่อแป้งถูกความร้อนจะสลายเป็นเด็กซ์ตริน มีรสหวานเล็กน้อย เหนียวแบบกาว
22
3.2 เซลลูโลส เกิดจากกลูโคส ประมาณ 50,000 โมเลกุล มาเชื่อมต่อกันแบบสายยาว แต่ละสายเรียงขนานกันและมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างสาย ทำให้มีลักษณะเป็นเส้นใย พบในต้นไม้หรือลำต้นพืช ประมาณ 50% ร่างกายคนไม่สามารถย่อยสลายได้ แต่ในกระเพาะของวัว ควาย ม้าและสัตว์กีบจะมีแบคทีเรียที่สามารถย่อยสลายเซลลูโลสให้เป็นกลูโคสได้
23
3.3 ไกลโคเจน เกิดจากกลูโคสจำนวนเป็นแสนถึงล้านโมเลกุลมาต่อกัน มีโครงสร้างแบบกิ่ง พบเฉพาะในคนและสัตว์ ที่ตับและกล้ามเนื้อ ฮอร์โมนอินซูลิน ทำหน้าที่ปรับกลูโคสในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ คือ ถ้ามีกลูโคสในเลือดมาก ฮอร์โมนอินซูลินจะกระตุ้นให้กลูโคสเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน เมื่อแป้งย่อยสลายจนได้กลูโคส นำไปใช้สลายเป็นพลังงาน ส่วนที่เหลือจะถูกเก็บสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจนไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อ
งานนำเสนอที่คล้ายกัน
© 2025 SlidePlayer.in.th Inc.
All rights reserved.