ดาวน์โหลดงานนำเสนอ
งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ
1
โรคกรดไหลย้อน ท้องอืดรักษาด้วย น้ำกระเพรา
2
สาเหตุที่ผมเป็นโรคท้องอืด กรดไหลย้อนและ จุกเสียดในลำไส้ ผมคิดว่าเพราะเกิดจาก ช่วงก่อนหน้านี้หลายเดือน ผมทานยาคลายกล้ามเนื้อไป รวมประมาณ 30 แผงได้ (การทานยาคลายกล้ามเนื้อ คงทำให้ผนังกระเพาะอาหารบางลง)
3
และในวันที่เป็นโรคท้องอืดนั้น ผมจำได้ว่า ยังทานยา คลายกล้ามเนื้ออยู่ วันที่ท้องอืดนั้น ผมสอนหนังสืออยู่ ผู้ปกครองเขาเลย ซื้อกาแฟปรุงสำเร็จมาให้
4
ตอนนั้นก็จะง่วงอยู่แล้ว (ง่วงจากการทานยาคลายกล้ามเนื้อ) ผมเลยดื่มกาแฟเข้าไป ดื่มไปแล้วรู้สึกว่ามันเข้มข้นมาก และในตอนนั้นก็เป็นเวลา น. ซึ่งท้องผมว่างอยู่ (ดื่มกาแฟตอน ท้องว่างเข้าไป เลยทำให้กระเพาะอาหาร บวมแดงนี่เอง)
5
ทำให้ผมท้องอืดขึ้นมา
ปวดท้องและท้องร้องป๊อกๆๆ หลังจากรับประทานอาหาร กลางวันเสร็จในวันนั้นทันที และในตอนเย็นวันนั้น ผมไปซื้อยาบรรเทาอาการ ท้องอืดมาทาน แถมด้วย ยาก่อนอาหารช่วยให้ลำไส้ เคลื่อนตัว แต่ทานยาไปแล้ว อาการก็ยังไม่ดีขึ้น
6
ผมท้องอืดไปได้ประมาณ 5 วัน พยายามทานผักเพิ่มเข้าไปก็แล้ว ทานยาเคมีสังเคราะห์ต่าง ๆ เช่น ยาเม็ดช่วยย่อยอาหาร ยาก่อนอาหารช่วยให้ลำไส้ เคลื่อนตัว ยาเม็ดเคี้ยวลดอาการท้องอืด จุก เสียดท้อง อาการก็ยังไม่ทุเลา
7
เลยโทรไปหาเพื่อนที่เรียนธรรมะด้วยกัน เขาก็ให้ สูตรน้ำกระเพรามา (สูตรน้ำกระเพรานี้ ได้มาจาก นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์) พอได้สูตรน้ำกระเพรา วันนั้นกลับบ้านดึก ตัดสินใจรีบไปซื้อ กระเพราที่ห้างคาร์ฟูร์ตอน น. กลับถึงบ้าน ประมาณ น. รีบต้มน้ำ กระเพราตามสูตร
8
แต่ยังไม่ดื่ม พอเอนตัวลงนอน สังเกตกระเพาะ ท้องร้องป๊อกๆๆๆๆ ทันที เลยดื่มน้ำ กระเพราไป ปรากฏว่าไม่เกิน นาที เรอเต็มๆ 1 ที แถมผายลม (ตด) แรงๆนานๆ (ประมาณ 3 วินาทีได้) อีก 1 ที พอเอนตัวลงนอนท้องหายร้องป๊อกๆๆๆๆๆแล้วครับ โดยไม่ต้องทานยาเคมีเข้าช่วยเลย ลองดื่มดูนะครับ
9
ตอนนี้ ผมหายป่วยจากโรคท้องอืด โรคกรด ไหลย้อนแล้ว ตัวผมเองหายป่วยจากโรคนี้ ภายใน 1 เดือน
และระหว่างที่ผมดื่มน้ำกระเพรานี้ ผมไม่ได้ทานยาเคมีสังเคราะห์เลยสักเม็ดเดียว
10
ปัจจุบันนี้ (26/08/2551) ผมก็ไม่เป็นโรคนี้แล้ว เพราะว่าพยายามรับประทานอาหาร อย่างเคร่งครัด และ ผมจะไม่ทานยาคลายกล้ามเนื้ออีกต่อไป
11
ที่จริง ผมคิดว่า ผม น่าจะหายจากโรคท้องอืด กรดไหลย้อนนี้ภายใน วัน แต่พอดีว่า มีอยู่วันหนึ่งที่คิดว่าจะ หายจากโรคนี้สนิทนั้นแหละ (ประมาณ วันที่ ) ผมได้ทานอาหารรสเผ็ดจัด ทำให้วันนั้นเกิดอาการท้องอืด
12
อาหารไม่ย่อย ท้องร้องป๊อกๆๆๆ มีอาการรุนแรง เหมือนตอนเริ่มท้องอืดใหม่ๆ ขึ้นอีกครั้ง (จะหายแล้ว แต่ดันไปทานอาหารไม่เหมาะ ทำให้เป็นโรคขึ้นมาใหม่)
13
อาการเตือนเบื้องต้นก่อนจะเป็นโรคท้องอืด (สังเกตจากตัวผมเอง)
1. มีอาการเรอหลังรับประทานอาหาร เสร็จใหม่ๆ และเริ่มเหม็นเปรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ 2. ไม่มีการผายลมมาหลายวัน 3. เริ่มรู้สึกปวดท้องเล็กๆน้อยๆ หลังจากกิน อาหารเสร็จ สูตรนี้ได้มาจาก นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ (ซึ่งผมฟังต่อๆกันมาจากเพื่อนๆในมูลนิธิอีกที)
14
วิธีทำน้ำกระเพรา 1. นำกระเพรา 1 กำ (ทั้งลำต้นและใบ) ประมาณ 1 ขีด มาล้างให้สะอาดด้วยน้ำจุลินทรีย์ EM (ของโยเร แช่ 1 ช.ม.) หรือน้ำยาล้างผักเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก 2. ใส่น้ำ ลิตรลงในหม้อ นำกะเพราใส่ลงไปทั้งหมด
15
3. ปิดฝาหม้อ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มประมาณ 15 - 20 นาที พอน้ำเดือดปุ๊บให้ปิดแก๊สทันที
4. ดื่มหลังอาหาร 1 แก้ว 250 ml (อ่านตรง ปล. ต่อ) 5. ถ้าน้ำกระเพราเย็นลงหรือ ดื่มไม่หมด ไม่ต้องอุ่นหรือต้มซ้ำ ให้แช่เย็นไว้ดื่ม
16
1. ถ้าใช้กระเพราแดงจะได้ผลดีกว่า
ปล. 1. ถ้าใช้กระเพราแดงจะได้ผลดีกว่า 2. จำไว้ว่า กระเพราเป็นสมุนไพรธาตุร้อน ถ้าดื่มน้ำกระเพราไปแล้วเกิดอาการร้อนใน ให้ลดปริมาณน้ำกระเพราลง
17
3. อาการหนักประมาณ แก้ว และหลังจากวันแรกที่ดื่ม ถ้าอาการทุเลาให้ลดปริมาณน้ำกระเพราลง ดื่มเฉพาะหลังอาหาร มื้อละ 1 - 2 แก้ว แต่ไม่ควรเกิน 4 แก้วต่อวัน 4. ยาสมุนไพรไทย ใช้เวลารักษานานถึง จะหาย ต้องกินเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องทานยาเคมีสังเคราะห์เข้าช่วยเลย
18
ประโยชน์ของกระเพรา กระเพราช่วยขับลม เป็น Buffer ปรับสมดุลกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยเร่งการย่อยอาหาร ได้ผลดีเยี่ยมกับคนที่เป็นโรคลำไส้เล็ก เช่น จุกเสียดในลำไส้เล็ก (โรคนี้เวลาเป็นเหมือนถูกแทงด้วยหลาว นั่งอยู่ดีๆก็เจ็บเหมือนถูกแทง หรือถูกต่อย) การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่มีอาการท้องอืด จุก เสียด แน่นเฟ้อ และกรดไหลย้อน (ข้อมูลนี้ได้มาจากประสบการณ์ของผู้ป่วย)
19
1. รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ไม่ทานลูกอมรสต่างๆ เช่น รสเปรี้ยว ที่ผสมสารสังเคราะห์
2. ไม่รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดและเปรี้ยว แม้เพียงเล็กน้อย (ข้อนี้สำคัญ) 3. ไม่รับประทานอาหารมัน และของหมักดอง เช่น ผลไม้ดองต่างๆ (ข้อนี้สำคัญ)
20
5. งดดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ ชาและกาแฟก็ควรงด
4. ไม่ควรรับประทานอาหารรสหวาน ที่มีน้ำตาลปริมาณมาก เช่น ขนมหวาน, น้ำหวาน, น้ำอัดลม 5. งดดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ ชาและกาแฟก็ควรงด 6. ไม่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์เป็นจำนวนมาก ควรทานเนื้อปลา หรือถั่ว (ข้อนี้สำคัญ)
21
7. ควรรับประทานผัก และผลไม้ทุกมื้อ เพื่อให้มีการขับถ่าย ไล่ลมออก จุลินทรีย์ได้ทำงาน (ข้อนี้สำคัญ)
8. ไม่ควรรับประทานผลไม้ประเภทย่อยยาก เช่น ฝรั่ง, มะม่วง 9. ควรทานผลไม้ประเภทย่อยง่าย และมีกากใยสูง ผลไม้ที่แนะนำ เช่น ส้ม ชมพู่ แตงไทย แคนตาลูป
22
10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ประมาณ 100-200 ครั้งต่อ 1 คำ (ข้อนี้ช่วยได้มาก)
11. ไม่รับประทานอาหารจนเต็มกระเพาะ อาหาร (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน) 12. ใช้เวลารับประทานอาหารในแต่ละ มื้อประมาณ ครึ่ง - หนึ่งชั่วโมง
23
13. หลังรับประทานอาหารเสร็จ ให้ดื่มน้ำเปล่าแต่น้อย หลังจากนั้นอีกประมาณ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงให้ดื่มน้ำกระเพรา เพราะน้ำกระเพราจะช่วยขับลม และช่วยเร่งการย่อยอาหาร 14. แกว่งแขนหลังรับประทานอาหารเสร็จในแต่ละมื้อ ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้มีการเคลื่อนไหว 15. ตอนเย็นให้รับประทานอาหารย่อยง่ายๆเท่านั้น เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม (ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)
24
16. ควรดื่มยาคูลย์ (วันละ 1 ขวด หลังอาหารเช้า) หรืออาหารเสริม ประเภทเพิ่มจุลินทรีย์ ในลำไส้
17. ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ เช่น วิ่งทุกเช้า หรือวิ่งในช่วงเย็น เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว (ข้อนี้สำคัญ)
25
18. อดทนในเรื่องไม่ทานอาหารจุกจิก ไม่เป็นเวลา ไม่เป็นมื้อ (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)
19. ท่องไว้ในใจเสมอว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” มีเงินทำไม ถ้าไม่ได้ใช้เงิน ให้เกิดประโยชน์ ถ้าเป็นโรค ใช้เวลาและเงินดูแล – ซื้อสุขภาพจะดีกว่า เช่น ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ก็เพียงพอแล้ว
งานนำเสนอที่คล้ายกัน
© 2024 SlidePlayer.in.th Inc.
All rights reserved.