“ผมมีคำพูดอีกตั้งล้านคำที่จะพูด แต่เวลามีไม่พอ ผมอยากจะเลือกสรรคำพูดเพียงร้อยคำเพื่อที่จะให้คุณหญิงเข้าใจคำทั้งล้านคำนั้น แต่ผมยังนึกหาคำไม่ออก” “เธอจงพูดเท่าที่จะพูดได้

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "“ผมมีคำพูดอีกตั้งล้านคำที่จะพูด แต่เวลามีไม่พอ ผมอยากจะเลือกสรรคำพูดเพียงร้อยคำเพื่อที่จะให้คุณหญิงเข้าใจคำทั้งล้านคำนั้น แต่ผมยังนึกหาคำไม่ออก” “เธอจงพูดเท่าที่จะพูดได้"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 “ผมมีคำพูดอีกตั้งล้านคำที่จะพูด แต่เวลามีไม่พอ ผมอยากจะเลือกสรรคำพูดเพียงร้อยคำเพื่อที่จะให้คุณหญิงเข้าใจคำทั้งล้านคำนั้น แต่ผมยังนึกหาคำไม่ออก” “เธอจงพูดเท่าที่จะพูดได้ ส่วนที่เหลืออยู่นั้น ฉันจะอ่านจากดวงตาของเธอ” (ข้างหลังภาพ ของ ศรีบูรพา)

2 ในลักษณ์นั้นว่าปัจจามิตร. มาตั้งติดดาหากรุงใหญ่ จงเร่งรีบรี้พลสกลไกร
ในลักษณ์นั้นว่าปัจจามิตร มาตั้งติดดาหากรุงใหญ่ จงเร่งรีบรี้พลสกลไกร ไปช่วยชิงชัยให้ทันที ถึงไม่เลี้ยงบุษบาเห็นว่าชั่ว แต่เขารู้อยู่ว่าตัวนั้นเป็นพี่ อันองค์ท้าวดาหาบดี นั้นมิใช่อาฤๅว่าไร มาตรแม้นเสียเมืองดาหา จะพลอยอายขายหน้าฤๅหาไม่ ซึ่งเกิดศึกสาเหตุเภทภัย ก็เพราะใครทำความไว้งามพักตร์ครั้งหนึ่งก็ให้เสียวาจา อายชาวดาหาอาณาจักร

3 (อิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒)
ครั้งหนึ่งก็ให้เสียวาจา อายชาวดาหาอาณาจักร ครั้งนี้เร่งคิดดูจงหนัก จะซ้ำให้เสียศักดิ์ก็ตามที แม้นมิยกพลไกรไปช่วย ถึงเราม้วยก็อย่ามาดูผี อย่าดูทั้งเปลวอัคคี แต่วันนี้ขาดกันจนบรรลัย (อิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒)

4 กางเขนขานหวานเสียงแจ้วแจ้ว เลิศแล้วลึกซึ้งภาษาศิลป์ แม่นกน้อยหิวโหยโบยบิน หากินป้อนลูกน้อยในรัง ฯ อกถูกปืนปรายขาซ้ายขาด เลือดสาดเลอะทรวงยังห่วงหลัง พยายามบินกะเท่เร่เซซัง มาสั่งเสียลูกน้อยเศร้าสร้อยนัก ฯ ซากเน่าคารังหมู่หนอนบ่อน ป้อนลูกด้วยแรงรักสูงศักดิ์ ลูกนกรอดชีวาน่ารัก ประจักษ์น้ำใจแม่ค่ามากมาย (ปณิธานกวี ของอังคาร กัลยาณพงศ์) ฯ

5 (ปณิธานกวี ของอังคาร กัลยาณพงศ์)
มาร้องเห่กล่อมอ้อมซากแม่ เสมือนที่แม่เคยชะแง้แลหาหาย ครั้งยังไร้เดียงสาจวนจะตาย เลือดตาไล้หล้าขวัญกตัญญู ฯ เว้นแต่พระผู้ประเสริฐสูงสุด แล้วยากนักมนุษย์สุดหยั่งรู้ น้ำตาของสองชีวาร่วงพรู ระเหยอยู่เป็นเมฆวิเวกวังเวง ฯ (ปณิธานกวี ของอังคาร กัลยาณพงศ์)

6 มาร้องเห่กล่อมอ้อมซากแม่ เสมือนที่แม่เคยชะแง้แลหาหาย
มาร้องเห่กล่อมอ้อมซากแม่ เสมือนที่แม่เคยชะแง้แลหาหาย ครั้งยังไร้เดียงสาจวนจะตาย เลือดตาไล้หล้าขวัญกตัญญู ฯ เว้นแต่พระผู้ประเสริฐสูงสุด แล้วยากนักมนุษย์สุดหยั่งรู้ น้ำตาของสองชีวาร่วงพรู ระเหยอยู่เป็นเมฆวิเวกวังเวง ฯ )

7 มาร้องเห่กล่อมอ้อมซากแม่ เสมือนที่แม่เคยชะแง้แลหาหาย
มาร้องเห่กล่อมอ้อมซากแม่ เสมือนที่แม่เคยชะแง้แลหาหาย ครั้งยังไร้เดียงสาจวนจะตาย เลือดตาไล้หล้าขวัญกตัญญู ฯ เว้นแต่พระผู้ประเสริฐสูงสุด แล้วยากนักมนุษย์สุดหยั่งรู้ น้ำตาของสองชีวาร่วงพรู ระเหยอยู่เป็นเมฆวิเวกวังเวง ฯ (ปณิธานกวี ของอังคาร กัลยาณพงศ์)

8 เวลายิ่งล่วงไป ความมืดก็ยิ่งทวีขึ้น พลอยขนลุกเมื่อได้ยินเสียงคนเป็นอันมากร้องไห้โฮดังมาตั้งแต่ถนนราชดำเนินอันเป็นต้นทาง ในที่สุดก็ได้ยินเสียงดนตรี เสียงปี่เสียงกลองจากกระบวนหน้า ข้ามสะพานผ่านพิภพฯเดินมาตามถนนราชดำเนินใน คู่แห่นั้นถือเทียนแวววาว แลดูเป็นทางยาวคู่หนึ่งสุดลูกตา เสียงปี่เสียงกลองชนะดังใกล้เข้ามาอีก หมู่คนที่นั่งอยู่ริมถนนเริ่มจุดดอกไม้ธูปเทียน ที่ต่างถือมาราวกับนัดกันไว้ อีกสักครู่ ตามสองข้างถนนก็มีแสงธูปเทียนดารดาษเหมือนดาวในท้องฟ้า... พระบรมโกศประดิษฐานอยู่บนพระยานมาศสามลำคานกั้นกางด้วยพระมหาเศวตฉัตรแลดูสูงทะมื่น ข้ามสะพานมาแล้ว ทุกคนเปล่งเสียงดังร้องไห้ด้วยความรู้สึกจากหัวใจ ทุกคนก้มกราบถวายบังคม พลอยนั่งใจเต้น

9 ระทึก มือที่ถือธูปเทียนอยู่นั้นเริ่มสั่นด้วยความเศร้าสลด ยิ่งพระบรมโกศถูกเชิญใกล้เข้ามา เสียงคนร้องไห้ก็ดังใกล้ติดตามมา เหมือนกับจะแข่งกับเสียงปี่กลอง พอพระยานมาศเคลื่อนมาอยู่ตรงหน้า พลอยก็ก้มลงกราบถวายบังคม และเมื่อเงยหน้าขึ้น ตาก็พอดีไปจับอยู่ที่ใบหน้าทหารที่ยืนรายทาง ทหารคนนั้นยืนถือปืนกลับปลายกระบอกลง ก้มหน้าไม่มีกระดิกตามที่ได้รับคำสั่ง ใบหน้าของทหารคนนั้นเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มชาวบ้านนอกเหมือนกับทหารคนอื่นๆ ที่เกณฑ์เข้ามา แต่สิ่งที่เข้ามาปลดปล่อยความรู้สึกของพลอยให้ปะทุออกมาทั้งหมดก็คือ บนใบหน้าทหารหนุ่มนั้นมีทางน้ำตาเป็นทางยาวไหลออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้าง และน้ำตานั้นไหลอยู่ไม่ขาดสาย พลอยเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาให้คนอื่นเห็น แต่เมื่อเห็นทหารคนนั้นด้วยแสงเทียนที่ถืออยู่ พลอยก็ปล่อยโฮออกมาอย่างหมดอับอาย” (สี่แผ่นดิน ของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช)

10 การเล่นเสียงสัมผัสสระ
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน (พระอภัยมณี)

11 ลิงลมไล่ลมติง ลิงโลด หนีนา แลลูกลิงลางไหล้ ลอดเลี้ยวลางลิง
การเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ ลางลิงลิงลอดไม้ ลางลิง แลลูกลิงลงชิง ลูกไม้ ลิงลมไล่ลมติง ลิงโลด หนีนา แลลูกลิงลางไหล้ ลอดเลี้ยวลางลิง (ลิลิตพระลอ)

12 ตัวอย่างการเล่นเสียงวรรณยุกต์
คำนึงนุชนาฏเนื้อ นวลสมร แม้นแม่มาจักรรอน พี่ชี้ จักบอกแก่บังอร ออกชื่อ เฌอนา เรียมจักแนะนั้นนี้ โน่นโน้นแนวพนม ดลยังเวียงด่านด้าว โดยมี เมืองชื่อกาญจนบุรี ว่างว้าง ผู้ใดบ่ออกตี ตอบต่อ กันนา ยลแต่เหย้าเรือนร้าง อยู่ไร้ใครแรม (ลิลิตตะเลงพ่าย)

13 หนึ่งใดนึกดู เห็นใครไป่มี หลายวันถั่นล่วง เมืองหลวงธานี
แรมทางกลางเถื่อน ห่างเพื่อนหาผู้ หนึ่งใดนึกดู เห็นใครไป่มี หลายวันถั่นล่วง เมืองหลวงธานี นามเวสาลี ดุ่มเดาเข้าไป ผูกไมตรีจิต เชิงชิดชอบเชื่อง กับหมู่ชาวเมือง ฉันท์อัชฌาสัย เล่าเรื่องเคืองขุ่น ว้าวุ่นวายใจ จำเป็นมาใน ด้วนต่างแดนตน (สามัคคีเภทคำฉันท์)

14 บุรุษรุกอนงค์รุน ประจญร่วมประจัญบาน อนงค์เพศมนัสพี- รชาติศรีทหารชาญ
ถลันจ้วงทะลวงจ้ำ บุรุษนำอนงค์หนุน บุรุษรุกอนงค์รุน ประจญร่วมประจัญบาน อนงค์เพศมนัสพี- รชาติศรีทหารชาญ มิได้ดาบก็คว้าขวาน มิได้หอกก็คว้าหลาว มิได้มีดก็เอาไม้ ตระบองใหญ่ตระบองยาว กระหน่ำฟาดพิฆาตลาว เตลิดแล่น ณ แดนดง (คำฉันท์ยอเกียรติชาวนครราชสีมา)

15 เอนพระองค์ลงทบ ท่าวดิ้น เหนือคอคชซรอนซรบ สังเวช
ก) อุรารานร้าวแยก ยลสยบ เอนพระองค์ลงทบ ท่าวดิ้น เหนือคอคชซรอนซรบ สังเวช วายชิวาตม์สุดสิ้น สู่ฟ้าเสวยสวรรค์ ข) ภูมิมือง่าง้าว ของอน ฟันฟาดขาดคอบร บั่นเกล้า อินทรีย์ชบกุญชร เมือชีพ แลเฮย เผยพระเกียรติผ่านเผ้า พี่น้องสองไท (ลิลิตตะเลงพ่าย)

16 โครมครึกกึกก้องท้องพนานต์ พลุ่งพล่านมาแต่ยอดศิขรินทร์
แลเห็นเขาเง้าเงื้อมชะง่อนชะโงก เป็นกรวยโกรกน้ำสาดกระเซ็นซ่าน โครมครึกกึกก้องท้องพนานต์ พลุ่งพล่านมาแต่ยอดศิขรินทร์ เป็นชะวากวุ้งเวิ้งตะเพิงพัก แง่ชะงักเงื้อมซะง่อนล้วนก้อนหิน บ้างใสสดหยดย้อยเหมือนพลอยนิล บ้างเหมือนกลิ่นพู่ร้อยห้อยเรียงราย ตรงตะพักเพิงผาศิลาเผิน ชะงักเงิ่นเงื้อมงอกชะแง้หงาย ที่หุบห้วยเหวหินบิ่นทลาย เป็นวุ้งโว้งโพรงพรายดูลายพร้อย บ้างเป็นยอดกอดก่ายตะเกะตะกะ ตระขรุตระขระเหี้ยนหักเป็นหินห้อย ขยุกขยิกหยดหยอดเป็นยอดย้อย บ้างแหลมลอยเลื่อมสลับระยับยิบ บ้างงอกเง้าเป็นเงี่ยงบ้างเกลี้ยงกลม บ้างโปปมเป็นปุ่มกะปุบกะปิบ บ้างปอดแป้วเป็นพูดูลิบลิบ โล่งตลิบแลตลอดยอดศิขรินทร์ (เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน)

17 เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา
ว่าพลางทางชมคณานก โผนผกจับไม้อึงมี่ เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา จากพรากจับจากจำนรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี (อิเหนา พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)

18 ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน (นิราศภูเขาทอง)
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะห้ามจิตคิดไฉน ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน (นิราศภูเขาทอง)

19 ครุฑลืมลงเล่นสัตภัณฑ์ สุดาจันทร์ลืมพักตร์พระภัสดา
ครุฑลืมลงเล่นอโนดาต วรนาฏลืมมิ่งมไหศวรรย์ ครุฑลืมลงเล่นสัตภัณฑ์ สุดาจันทร์ลืมพักตร์พระภัสดา ครุฑลืมร่อนเล่นโพยมบน นฤมลลืมสนมมนิทหน้า ครุฑลืมไล่คาบนาคา กัลยาลืมเล่นอุทยาน ครุฑหลงชมทรงสมรชื่น นางหลงรื่นรสทิพปักษาศาล ครุฑละเลิงหลงเชิงยุพาพาล เยาวมาลย์หลงเลห์ประหลาดโลม ครุฑหลงกลิ่นแก้วขจรรื่น นางหลงชื่นรสทิพย์อันเฉิดโฉม ครุฑหลงกระบวนชวนตระโบม นางหลงโสมนัสในสกุณา (กากีคำกลอน)

20 ทรายเหลือบหางยูงงาม ว่าหญ้า ตาทรายยิ่งนิลวาม พรายเพริศ
น้ำเคี้ยวยูงว่าเงี้ยว ยูงตาม ทรายเหลือบหางยูงงาม ว่าหญ้า ตาทรายยิ่งนิลวาม พรายเพริศ ลิงว่าหว้าหวังหว้า หว่าดิ้นโดยตาม (โคลงโลกนิติ)

21 หนูทำได้ คุณแม่เป็น ผศ. คุณพ่อเป็นอธิการบ่ดี หนูเป็น ด.ญ.เด็กดี เรียนดีตั้งแต่อนุบาล ตอนนี้หนูขึ้น ม.๒ หนูท่องสูตรเลขคูณหาร ท่องเยอะท่องเบอะท่องบาน ต้องอ่านต้องจำขึ้นใจ ตกเย็นไปเรียนพิเศษ

22 วันจันทร์เรียนฝรั่งเศสภาษา อังคารเรียนอังกฤษแกรมม่า
วันพุธเรียนภาษาเยอรมัน พฤหัสฯ เรียนภาษาญี่ปุ่น วันศุกร์วุ่นเรียนคอมพิวเตอร์ วันเสาร์เรียนศิลปะจนเบลอ วันอาทิตย์เรียนศิลเปรอะป้องกันตัว วันนี้วันพระวันหยุด ชาวพุทธต้องหยุดทำชั่ว หนูสำรวจตนเองในกระจกมัว เห็นหัวหนูโตกว่าสิงโต.... (ไชโย ของพรชัย แสนยะมูล)

23 หากต้องตกนรกลงกระทะทองแดง ต้องปีนป่ายต้นงิ้ว อย่างไรก็เป็นกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ คนชั่วด้วยกันทั้งนั้น ไม่ต่างอะไรจากการเข้าค่าย ใครๆ ก็อยากเจอยมบาลมากกว่าพระเจ้า เพราะยมบาลคือครูตัวจริงของมนุษย์ แอบเสี้ยมสอนเรามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ยืนหยัดอยู่เคียงข้างเรา เมื่อเราหิว เมื่อเราอยาก เมื่อเราเจ็บ เมื่อเราปวด เมื่อเราโกรธ เมื่อเรารัก เมื่อเราใคร่ เมื่อเราเกลียด เมื่อเราหลง เมื่อเราโลภ เมื่อเราอาฆาต (ความน่าจะเป็น ของปราบดา หยุ่น)

24 ความเอ๋ยความดี มักไม่มีใครรู้สึกระลึกถึง
๓. การปรุงแต่งความ กฤตยาการประการสุดท้ายคือการปรุงแต่งเนื้อความให้มีความลึกซึ้งสารและอารมณ์ โดยอาศัยเครื่องมือสำคัญคือภาพพจน์และโวหาร รวมทั้งการลำดับเนื้อความ อุปมา การเปรียบสิ่งหนึ่งเหมือนอีกสิ่งหนึ่ง ใช้คำเชื่อมเหล่านี้ “เหมือน ราว ราวกับ เปรียบ ดุจ ประดุจ ดัง ดั่ง เฉก เช่น เพียง เพี้ยง ประหนึ่ง ถนัด กล เล่ห์ ปิ้มว่า ปาน ครุวนา ปูน พ่าง ละม้าย แม้น” ความเอ๋ยความดี มักไม่มีใครรู้สึกระลึกถึง แม้ทำไว้เท่าไรคนไม่พึง ปรารถนาจะคำนึงให้ป่วยการ ต่อถึงคราวคับแค้นแสนยากเข็ญ จึงจะกลับมาเห็นเป็นแก่นสาร เหมือนราตรีมีกลิ่นประทิ่นนาน จะรู้รสหอมหวานต่อค่ำเลย (กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า)

25 อุปลักษณ์ การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติบางประการร่วมกัน มักใช้คำว่า “คือ” และ “เป็น” เช่น ครูคือเรือจ้าง ทหารเป็นรั้วของชาติ หรือบางครั้งไม่มีคำเชื่องโยง เช่น ฝนดาวตก เปรียบดาวตกที่ตกพร่างพรายเป็นสายฝน หัวใจกระดาษ เปรียบหัวใจที่ไม่หนักแน่นเหมือนกระดาษที่บางเบาพร้อมจะปลิวไปตามสายลม ศึกฟุตบอล เปรียบการแข่งขันฟุตบอลเหมือนศึกสงคราม ตะเข็บชายแดน เปรียบรอยต่อแดนของสองประเทศเหมือนตะเข็บ น่าสังเกตว่าอุปลักษณ์มักจะเปรียบคำนามกับคำนามให้เห็นอย่างชัดเจน แต่บางครั้งข้อความบางข้อความอาจต้องตีความอีกชั้น เช่น ภาษางอกงาม ข้อความนี้ดูเผินๆ จะเข้าใจว่าเป็นบุคคลวัตแต่พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ในที่นี้ กล่าวเปรียบภาษาเหมือนต้นไม้หรือดอกไม้ที่งอกงามได้ เราเสียเวลาไปมากแล้ว เปรียบเวลาเป็นเงินเป็นทองที่เสียไปแล้วไม่คุ้มค่า ในวรรณคดีไทย ปรากฏใช้อุปลักษณ์เป็นจำนวนมาก เพื่อขยายจินตภาพให้แจ่มชัด หรือ เปรียบเทียบความคิดบางประการให้ลึกซึ้ง เช่น

26 นานาประเทศล้วน นับถือ
คนที่รู้หนังสือ แต่งได้ ใครเกลียดอักษรคือ คนป่า ใครเยาะกวีไซร้ แน่แท้คนดง (พระนลคำหลวง)

27 มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ โฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ
ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ โฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ บอกร้ายแสลงดิน (โคลงโลกนิติ)

28 บ้างลอกเปลือกอยู่ปลามปลาม บ้างแปรกิ่งประกบกัน
ต้นไม้แต่งตัว อยู่ในม่านมัวของหมอกคราม บ้างลอกเปลือกอยู่ปลามปลาม บ้างแปรกิ่งประกบกัน บ้างปลิวใบสยายลม บ้างชื่นชมช่อชูชัน บ้างแตกติ่งอวดตาวัน บ้างว่อนไหวจะร่ายรำ บ้างเตรียมหาผ้าแพรคลุม บ้างประชุมอยู่พึมพำ ท่านผู้เฒ่าก็เตรียมทำ พิธีสู่ขวัญผู้เยาว์ ม่านหมอกค่อยคล้ายคลี่ เผยเวทีอันพริ้งเพรา หมู่ไม้ร่าเริงเร้า จะต้อนรับฤดูกาล (เพลงขลุ่ยผิว ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)

29 อติพจน์ การเปรียบเทียบโดยการกล่าวข้อความที่เกินจริง มักเปรียบเทียบในเรื่องปริมาณว่ามีมากเหลือเกิน มีเจตนาเน้นข้อความที่กล่าวนั้นให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น เช่น ร้อนตับแตก คอแห้งเป็นผง รักคุณเท่าฟ้า รอตั้งโกฏิปีแล้ว ใจดีเป็นบ้า อกไหม้ไส้ขม เหนื่อยสายตัวแทบขาด ถึงต้องง้าวหลาวแลนสักแสนเล่ม ให้ติดเต็มตัวฉุดพอหลุดถอน แต่ต้องตาต้องใจอาลัยวรณ์ สุดจะถอนทิ้งขว้างเสียกลางคัน (นิราศวัดเจ้าฟ้า ของสุนทรภู่)

30 รักบ่หายตราบหาย หกฟ้า สุริยจันทรขจาย จากโลก ไปฤๅ
ตราบขุนคิริข้น ขาดสลาย ลงแม่ รักบ่หายตราบหาย หกฟ้า สุริยจันทรขจาย จากโลก ไปฤๅ ไฟแล่นล้างสี่หล้า ห่อนล้างอาลัย (นิราศนรินทร์)

31 ๕) นามนัย การใช้คำหรือวลีที่บ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาแสดงความหมายแทนสิ่งนั้นทั้งหมด เช่น ใช้ เวที แทน การแสดง มงกุฎ พระบาท แทน กษัตริย์ เก้าอี้ แทน ตำแหน่งหน้าที่ของผู้บริหาร ข้าวปลา แทน อาหาร ว่านครรามินทร์ ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราช เยียววิวาทชิงฉัตร (ลิลิตตะเลงพ่าย)

32 (๑) ยุงร่านมันกินมาหลายวัน อุตส่าห์ให้น้องนั้นได้ขี่มา
(๒) ถ้าแพ้ลงคงปรับทับทวี เลือดเนื้อเท่านี้เป็นเงินทอง (๓) ขุดเผือกมันสู่กันมาตามจน พักร้อนผ่อนปรนมาในป่า (เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน)

33 ๖) ปฏิพากษ์ ภาพพจน์สำคัญอีกประเภทหนึ่งคือปฏิพากษ์ แบ่งย่อยเป็น ๒ ชนิด ชนิดแรก oxymoron คือการใช้คำที่มีความหมายขัดแย้งกันนำมาคู่กันได้อย่างกลมกลืน เช่น ลมหนาวพัดอ้าวจนหนาวเหน็บเจ็บกระดูก ชนิดที่สอง paradox คือการแสดงความหมายที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันหรือเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อวิเคราะห์ความหมายลึกลงไป อาจตีความได้อย่างกลมกลืน เช่น อกชลคลาแคล้วแผ่นปฤถพี อกให้ความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวล แต่ชลมีลักษณะไหล ให้ความชุ่มชื่น ความเย็น ลักษณะทั้งสองอย่างนี้ขัดแย้งกัน แต่ปรากฏอยู่ในสิ่งเดียวกัน (กาญจนา นาคสกุลและคณะ ๒๕๒๑ : ๒๔๐.๔)

34 ในตำราภาษาไทยของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียก oxymoron ว่าวิภาษและ paradox ว่าอรรถวิภาษ ส่วนในพจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานเรียก oxymoron ว่าปฏิพจน์และ paradox ว่าปฏิทรรศน์ แต่ในแบบเรียนภาษาไทยของกระทรวงศึกษาธิการและในตำราบางเล่มเรียก oxymoron และ paradox รวมกันเป็นปฏิพากษ์ แปลความโดยรวมว่าการใช้คำและความหมายที่ไม่สอดคล้องกันและดูเหมือนจะขัดแย้งกันมารวมไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดผลเป็นพิเศษทางวรรณศิลป์ ในที่นี้จะขอใช้คำปฏิพากษ์ เรียกภาพพจน์ oxymoron และ paradox รวมกัน ภาพพจน์ปฏิพากษ์อาจปรากฏใช้ในภาษาพูดในชีวิตประจำวัน เช่น ไฟหนาว น้ำผึ่งขม ศัตรูคือยากำลัง ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย

35 เธอตายเพื่อจะปลุกให้คนตื่น เธอตายเพื่อผู้อื่นนับหมื่นแสน
เธอเป็นดินก้อนเดียวในดินแดน แต่จะหนักและจะแน่นเต็มแผ่นดิน (กระทุ่มแบน ในเพียงความเคลื่อนไหวของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)

36 อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤๅ
สิงหาสน์ปรางค์รัตนบรร เจิดหล้า บุญเพรงพระหากสรรค์ ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้นใจเมือง เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น พันแสง รินรสพระธรรมแสดง ค่ำเช้า เจดีย์ระดะแซง เสียดยอด ยลยิ่งแสงแก้วเก้า แก่นหล้าหลากสวรรค์ (โคลงนิราศนรินทร์

37 เสียแรงรูปงามนามก็เพราะ ละมุนเหมาะใจชั่วนี้เหลือแสน
ที่ดีดีสิ้นในดินแดน ที่ชั่วเล่าใครจะแม้นก็ไม่มี (เสภาขุนช้างขุนแผน)

38 ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม
มิ่งมิตร เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม ที่จะร่ำเพลงเกี่ยวโลมเรียวข้าว ที่จะยิ้มกับดาวพราวผสม ที่จะเหม่อมองหญ้าน้ำตาพรม ที่จะขมขื่นลึกโลกหมึกมน ที่จะแล่นเริงเล่นเช่นหงส์ร่อน ที่จะถอนใจทอดกับยอดสน ที่จะหว่านสุขไว้กลางใจคน ที่จะทนทุกข์เข้มเต็มหัวใจ ที่จะเกลาทางกู้สู่คนยาก ที่จะจากผมนิ่มปิ้มเส้นไหม ที่จะหาญผสานท้านัยน์ตาใคร ที่จะให้สิ่งสิ้นเธอจินต์จง ที่จะอยู่เพื่อคนที่เธอรัก ที่จะหักพาลแพรกแหลกเป็นผง ที่จะมุ่งจุดหมายปรายทะนง ที่จะคงธรรมเที่ยงเคียงโลกา เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพ้น เพื่อไผ่โอนพลิ้วพ้อล้อภูผา เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา เพื่อขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ (ขอบฟ้าขลิบทอง ของอุชเชนี)

39 แก้วน้ำ จานชาม บันได โคมไฟ ที่สวยงาม
ดอกไม้ ประตู แจกัน ดินทราย ต้นไม้ใหญ่ แก้วน้ำ จานชาม บันได โคมไฟ ที่สวยงาม ขอบรั้วและริมทางเดิน ต้นหญ้าอยู่ในสนาม บ้านนี้จะมีความงามได้ ถ้ามีเธอ เพราะเธอคือที่พักพิง คือทุกสิ่งที่มีความหมาย เมื่อเธออยู่เคียงชิดใกล้ เรื่องร้ายใดใดไม่เกรง ขอบรั้วและริมทางเดิน ก็ล้วนแต่มีคำถาม บ้านนี้จะงามอย่างไรถ้าไม่มีเธอ ก็เพราะว่าใจของเธอคือบ้านของฉัน (เพลง HOME ของบอย โกสิยะพงษ์)

40 ๔) โวหารการอ้างเหตุผล โวหารการอ้างเหตุผลอาศัยการอ้างเหตุผลเป็นเครื่องประดับเนื้อความ ทำให้บทเปรียบเทียบนั้นแจ่มแจ้งขึ้น แก้มซ้ำซ้ำใครต้อง อันแก้มน้องซ้ำเพราะชม ปลาทุกทุกข์อกกรม เหมือนทุกข์พี่ที่จากนาง (กาพย์เห่เรือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)

41 ๕) โวหารการอ้างถึง โวหารการอ้างถึงใช้ตรงกับศัพท์วรรณกรรม allusion เป็นการกล่าวถึงเรื่องอื่น เช่น กล่าวถึงบุคคล เหตุการณ์ นิทาน หรือวรรณกรรมอื่นๆ การอ้างถึงเป็นการแสดงความรอบรู้ ของผู้เขียนเพื่อที่จะขยายงานเขียนนั้นให้ชัดเจนขึ้น หรือให้เกิดความหลากหลาย หรือให้ถ้อยคำ มีน้ำหนัก หรือน่าประทับใจยิ่งขึ้น การใช้โวหารประเภทนี้ ผู้เขียนมักจะคาดว่าผู้อ่าน มีพื้นความรู้ร่วมกับผู้เขียนเป็นอย่างดี ครั้งอิเหนาสุริย์วงศ์อันทรงกริช พระทรงฤทธิ์แรมร้างจินตะหรา พระสุธนร้างห่างมโนห์รา พระรามร้างแรมสีดาพระทัยตรอม องค์พระเพชรปาณีท้าวตรีเนตร เสียพระเวทผูกทวารกรุงพานถนอม สุจิตราลาตายไม่วายตรอม ล้วนเจิมจอมธรณีทั้งสี่องค์ แสนสุขุมรุ่มร้อนด้วยร้างรัก ยังไม่หนักเหมือนพี่โศกสุดประสงค์ ไม่ถึงเดือนเพื่อนรักเขาทักทรง ว่าซูบลงกว่าก่อนเป็นค่อนกาย

42 พระตรีโลกนาถแผ้ว เผด็จมาร
เฉกพระราชสมภาร พี่น้อง เสด็จไร้พิริยะราญ อรินาศ ลงนา เสนอพระยศยินก้อง เกียรติท้าวทุกภาย (ลิลิตตะเลงพ่าย)

43 ๗) โวหารแสดงความรักอันวิเศษ
โวหารประเภทนี้เรียกตามศัพท์ทางบาลีว่าปิยตราลังการ เป็นโวหารที่มุ่งเอ่ยถึงเรื่องของสิ่งที่เป็นที่รักด้วยการใช้ถ้อยคำอันแสดงหรือพิจารณาไว้อย่างวิเศษ โฉมแม่จักฝากฟ้า เกรงอินทร์ หยอกนา อินทรท่านเทอกโฉมเอา สู่ฟ้า โฉมแม่จักฝากดิน ดินท่าน แลฤๅ ดินฤขัดเจ้าหล้า สู่สมสองสม โฉมแม่ฝากน่านน้ำ อรรณพ แลฤๅ เยียวนาคเชยชมอก พี่ไหม้ โฉมแม่รำพึงจบ จอมสวาสดิ์ กูเอย โฉมแม่ใครสงวนได้ เท่าเจ้าสงวนเอง (กำสรวลโคลงดั้น)

44 โฉมควรจักฝากฟ้า ฤๅดิน ดีฤๅ
เกรงเทพไท้ธรนินทร์ ลอบล้ำ ฝากลมเลื่อนโฉมบิน บนเล่า นะแม่ ลมจะชายชักช้ำ ชอกเนื้อเรียมสงวน ฝากอุมาสมรแม่แล ลักษมี เล่านา ทราบสวยมภูจักรี เกลือกใกล้ เรียมคิดจบมนตรี โลกล่วง แล้วแม่ โฉมฝากใจแม่ได้ ยิ่งด้วยใครครอง (โคลงนิราศนรินทร์)

45 รักบ่หายตราบหาย หกฟ้า สุริยจันทรขจาย จากโลก ไปฤๅ
ตราบขุนคิริข้น ขาดสลาย ลงแม่ รักบ่หายตราบหาย หกฟ้า สุริยจันทรขจาย จากโลก ไปฤๅ ไฟแล่นล้างสี่หล้า ห่อนล้างอาลัย (นิราศนรินทร์)

46 กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย พายอ่อนหยับจับงามงอน
พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย พายอ่อนหยับจับงามงอน นาวาแน่นเป็นขนัด ล้วนรูปสัตว์แสนยากร เรือริ้วทิวธงสลอน สาครลั่นครั่นครื้นฟอง (กาพย์เห่เรือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)

47 ชมสรีระ ๑) เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ เนื้อน้องฤๅอ่อนทั้งกาย ใครต้องข้องจิตชาย ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง ชมคุณลักษณะของนาง ๑) ดุเหว่าเจ่าจับร้อง สนั่นก้องซ้องเสียงหวาน ไพเราะเพราะกังวาน ปานเสียงน้องร้องสั่งชาย

48 ๑) แบบแผนฉันทลักษณ์ นอกจากนี้ ยังมีข้อกำหนดอื่นที่เป็นที่รู้กันดีในหมู่กวี เช่น คำประพันธ์ประเภทกลอน คำสุดท้ายในวรรคสดับและวรรครับ (วรรคที่ ๑ และ ๒)มักลงท้ายด้วยคำเสียงวรรณยุกต์ตรี หรือจัตวาและคำสุดท้ายในวรรครองและวรรคส่ง (วรรคที่ ๓ และ ๔) ต้องลงท้ายด้วยเสียงสามัญ แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด เถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน (พระอภัยมณี ของสุนทรภู่)

49 ๓) ศิลปะการแต่ง ศรีสิทธิ์พิศาลภพ เลอหล้าลบล่มสวรรค์ จรรโลงโลกกว่ากว้าง แผนแผ่นผ้างเมืองเมรุ ศรีอยุธเยนทร์แย้มฟ้า แจกแสงจ้าเจิดจันทร์ เพียงรพิพรรณผ่องด้าว ขุนหาญห้าวแหนบาท สระทุกข์ราษฎร์รอนเสี้ยน ส่ายเศิกเหลี้ยนล่งหล้า ราญราบหน้าเภริน เข็ญข่าวยินยอบตัว ควบค้อมหัวไหว้ละล้าว ทุกไทน้าวมาลย์น้อม ขอออกอ้อมมาอ่อน ผ่อนแผ่นดินให้ผาย ขยายแผ่นฟ้าให้แผ้ว เลี้ยงทแกล้วให้กล้า พระยศไท้เทิดฟ้า เฟื่องฟุ้งทศธรรมท่านแฮ (โคลงนิราศนรินทร์)

50 ไหว้คุณองค์พระสุคตอนาวรณญาณ ยอดศาสดาจารย์ มุนี
พร้อมเบญจางคประดิษฐ์สฤษฎิสดุดี กายจิตวจีไตร ทวาร ไหว้คุณองค์พระสุคตอนาวรณญาณ ยอดศาสดาจารย์ มุนี อีกคุณสุนทรธรรมคัมภิรวิธี พุทธพจน์ประชุมศรี ปิฎก ทั้งคุณสงฆพิสุทธศาสนาดิลก สัมพุทธสาวก นิกร (สามัคคีเภทคำฉันท์)

51 เจ้างามพักตร์ผ่องเพียงบุหลันฉาย
เจ้างามเนตรประหนึ่งนัยนาทราย เจ้างามขนงก่งละม้ายคันศรทรง เจ้างามนาสายลดังกลขอ เจ้างามศอเสมือนคอสุวรรณหงส์ เจ้างามกรรณกลกลีบบุษบง เจ้างามวงวิลาสเรียบระเบียบไร เจ้างามปรางเปล่งปลั่งเปรมปราโมช เจ้างามโอษฐ์แย้มยวนจิตน่าพิสมัย เจ้างามทนต์กลนิลช่างเจียระไน เจ้างามเกศดำปะระไพเพียงภุมริน เจ้างามปีกตัดทรงมงกุฎกษัตริย์ เจ้างามทัดกรรเจียกผมสมพักตร์สิ้น เจ้างามไรไม่แข็งคดหมดมลทิน เจ้างามประทิ่นกลิ่นเกศกระจายจร เจ้างามเบื้องปฤษฎางค์พ่างพิศวง เจ้างามทรวงสมทรงอนงค์สมร

52 เจ้างามถันเทียมเทพกินร เจ้างามกรอ่อนงวงเอราวัณ
เจ้างามนิ้วนักขาน่ารักหนอ เจ้างามลออเอวบางเหมือนนางสวรรค์ เจ้างามเพลากลกัทลีพรรณ เจ้างามบาทจรจรัลจริตงาม เจ้างามละม่อมพร้อมพริ้งยิ่งนางมนุษย์ เจ้างามดุจลอยฟ้ามาสู่สนาม เจ้างามอุดมสมลักขณานาม เจ้างามยามประจงจัดกรัชกาย เจ้างามศักดิ์สมบูรณ์ประยูรยศ เจ้างามหมดประมวญสวาดิ์พี่มาดหมาย เจ้างามจริงทุกสิ่งสรรพ์ดังบรรยาย ชื่อบัวบานกลีบขยายหมายนาม เอยฯ (ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน)

53 อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤๅ
สิงหาสน์ปรางค์รัตนบรร เจิดหล้า บุญเพรงพระหากสรรค์ ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้นใจเมือง ฯ เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น พันแสง รินรสพระธรรมแสดง ค่ำเช้า เจดีย์ระดะแซง เสียดยอด ยลยิ่งแสงแก้วเก้า แก่นหล้าหลากสวรรค์ ฯ (โครงนิราศนรินทร์)

54 “......แม้ใครมีหูทิพย์ ก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นจากพฤกษาลดามาลย์ในไร่นั้น
ยอดผักบุ้ง มะละกอ กระถิน และเถาตำลึงก็ครวญคร่ำร่ำไห้ ขาดคำรำพึงรำพัน เถาตำลึงก็ซ้ำร่ำไห้ สะอึกสะอื้น จนเกิดน้ำตาขึ้นกลางเกษรของดอกสีขาวนวลละออง น้ำนั้นละลายปนกับน้ำค้าง หยดหยาดระรินลงราวกับกระแสทุกข์โศกาดูร หลั่งไหลไว้อาลัยหญิงชราผู้ลาโลกจากดับแล้วชั่วนิจนิรันดร์” (กวีนิพนธ์ ของอังคาร กัลยาณพงศ์)

55 เหลียวไปรับไหว้เทวี ภูมีดูนางไม่วางตา
เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเรืองศรี เหลียวไปรับไหว้เทวี ภูมีดูนางไม่วางตา งามจริงยิ่งเทพนิมิต ให้คิดเสียดายเป็นหนักหนา เสโทไหลหลั่งทั้งกายา สะบัดปลายเกศาเนืองไป กรกอดอนุชาก็ตกลง จะรู้สึกพระองค์ก็หาไม่ แต่เวียนจูบสียะตรายาใจ สำคัญพระทัยว่าเทวี ความรักรุมจิตพิศวง จนลืมองค์ลืมอายนางโฉมศรี ไม่เป็นอารมณ์สมประดี ภูมีหลงขับขึ้นฉับพลัน (อิเหนา พระราชนิพนธ์ใน

56 ร้าวรวดปวดเจ็บเหน็บหนึบ สายเส้นเต้นตึบกระตุกร่าง
พราวเหงื่อเรื่อรายสายทาง ฝ้าฟางสายตาพร่าเลือน เลือนเลื่อนเคลื่อนดับวับไหว โยงใยสำนึกผนึกเงื่อน กึ่งฝันวันเก่าเงาเตือน บินเบือนโบกผ่านกาลเวลา... ... สู่วรรคตอนอ่อนหวานที่ผ่านพ้น บทเริ่มต้นตามสำเนียงไร้เดียงสา จากเตาะแตะจนเติบกร้านสานก่อมา ยี่สิบห้าขวบปี ... โอ้ชีวิต (ใบไม้ที่หายไป ของจิระนันท์ พิตรปรีชา)

57 ดูหนูสู่รูงู งูสุดสู้หนูสู้งู
หนูงูสู้ดูอยู่ รูปงูทู่หนูมูทู ดูงูขู่ฝูดฝู้ พรูพรู หนูสู้รูงูงู สุดสู้ งูสู้หนูหนูสู้ งูอยู่ หนูรู้งูงูรู้ รูปทู้มูทู

58 อลังการ ฉันจะไกว ไกวชิงช้า ไกวช้าช้า ไกวเธอไป ไปถึงฟ้า เวหาหาว ค่อยโยนไกว โยนเธอไป ถึงดวงดาว ผมเธอยาว ยาวสบาย จดปลายฟ้า ไกวตอนเช้า ถึงดวงดาว ในยามค่ำ ให้งามขำ เก็บดาวใส่ตะกร้า เลือกดาวดวงแพรวทำแก้วตา และเอามาฝากคนตาบอดเอย

59 บทพรรณนาธรรมชาติ บทที่ ๑
เดือนตกไปแล้ว ดาวแข่งแสงขาว ยิบๆ ยับๆ เหมือนเกล็ดแก้วอันสอดสร้อยร้อยปัก อยู่เต็มผ้าดำผืนใหญ่ วูบวาบวิบวับส่องแสง ใหญ่แลน้อย ใกล้แลไกล บางดวงแสงหนาวดูเย็นนิ่ง บางดวงกะพริบพร่างพร้อยดั่งดาวใหญ่น้อยแย้มยิ้มหยอกเอินกัน บางดวงสุกขาว เหมือนตาสาวน้อยลอบแลบ่าวหนุ่มอยู่หลังแม่ บางดวงก็เก่าหม่นเหมือนถ่านไฟหมกเถ้า ก็มีพร้อมแล้ว หนาวๆ นกร้อง ลมหัวรุ่งเลียบเลาะราวไพรดังหวือๆ ป่าไม้ลั่นเสียงอึงอื้อ มืดดำคล้ำเข้มอยู่นัก ยังอีกนานกว่าแสงแรกจะรุ่งเรื่อยระบายฟ้า ลูกนกคงหนาวจึงอ้อนอกแม่ ว่าแม่เอ๋ยแม่ลูกนี้หนาว ขอเข้าซุกอกแม่สักน้อยหนึ่งเถอะ

60 วักทะเลเทใส่จาน รับประทานกับข้าวขาว
เอื้อมเก็บบางดวงดาว ไว้คลุกเคล้าซาวเกลือกิน ดูปูหอยเริงระบำ เต้นรำทำเพลงวังเวงสิ้น กิ้งก่ากิ้งกือบิน ไปกินตะวันและจันทร์ คางคกขึ้นวอทอง ลอยล่องท่องเที่ยวสวรรค์ อึ่งอ่างไปด้วยกัน เทวดานั้นหนีเข้ากะลา

61 ไส้เดือนเที่ยวเกี้ยวสาว อัปสรหนาวสั่นชั้นฟ้า
ทุกจุลินทรีย์อมิบ้า เชิดหน้าได้ดิบได้ดี เทพไท้เบื่อหน่ายวิมาน ทะยานลงดินมากินขี้ ชมอาจมว่ามี รสวิเศษสุดที่กล่าวคำ ป่าสุมทุมพุ่มไม้ พูดได้ปรัชญาลึกล้ำ ขี้เลื่อยละเมอทำ คำนวณน้ำหนักแห่งเงา วิเศษใหญ่ใคร่เสวยฟ้า อยู่หล้าเหลวเลวโง่เขลา โลภโกรธหลงมอมเมา งั่งเอาเถิดประเสริฐเอย

62

63

64

65

66

67

68

69

70


ดาวน์โหลด ppt “ผมมีคำพูดอีกตั้งล้านคำที่จะพูด แต่เวลามีไม่พอ ผมอยากจะเลือกสรรคำพูดเพียงร้อยคำเพื่อที่จะให้คุณหญิงเข้าใจคำทั้งล้านคำนั้น แต่ผมยังนึกหาคำไม่ออก” “เธอจงพูดเท่าที่จะพูดได้

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google