ดาวน์โหลดงานนำเสนอ
งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ
1
ดนตรีไทยสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
2
พื้นฐานทางประวัติศาสตร์และสังคม
สุโขทัยเป็นเมืองเก่า มีผู้นำที่เป็นชาวไทย คือ พ่อขุนศรีนาวนำถม ปกครองอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่สมัยที่ขอมยังเรืองอำนาจในราว พ.ศ เศษเป็นต้นมา มีร่องรอยหลักฐานซากปูชนียสถาน เช่น พระปรางค์และเทวสถานหลายแห่ง แสดงให้เห็นว่าเคยเป็นเขตอิทธิพลของขอมมาก่อน ผู้ครองสุโขทัยเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับจากผู้นำแคว้นต่าง ๆ อย่างมาก ทำให้การผูกมิตรอาณาเขตของสุโขทัยสมัยนั้นมีขอบเขตกว้างขวางแผ่ขยายไปถึงเมืองลพบุรี เมืองต่าง ๆ ในลุ่มแม่น้ำยม แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยา ตลอดไปจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช และบางส่วนของคาบสมุทรมลายู เมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถมสิ้นพระชนม์ลง ขอมฉวยโอกาสเข้ายึดเมืองสุโขทัยไว้ แต่ถูกพ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง (น่าจะเป็น อ.นครไทย จ.พิษณุโลก) และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด (บริเวณ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์) ซึ่งเป็นลูกของพ่อขุนศรีนาวนำถม ยกทัพชิงเมืองคืนมาได้ พ่อขุนผาเมืองยกสุโขทัยให้พ่อขุนบางกลางหาวที่ยกทัพตามมาช่วยตีขอมเป็นผู้ครองเมืองแทน พ่อขุนบางกลางหาวสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยและปราบดาภิเษกพระองค์เป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” นับเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง กรุงสุโขทัยจึงตั้งขึ้นเป็นอาณาจักรอิสระไม่ขึ้นกับขอมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
3
ลำดับการปกครองอาณาจักรสุโขทัย ราชวงศ์พ่อขุนศรีนาวนำถม ครองศรีสัชนาลัยสุโขทัย (ประมาณ พุทธศักราช 1762 –1791) ราชวงศ์พระร่วง ปกครองสุโขทัย ระหว่าง ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๒๐ ลำดับ พระนาม ปีครองราชย์ ปีสิ้นสุดรัชกาล 1 2 3 4 5 6 7 8 9 พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนบาลเมือง พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระยาเลอไทย พระยางั่วนำถุม พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) พระมหาธรรมราชาที่ 2 (พระยาลือไท) พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไท) พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) รวม พ.ศ.1791 พ.ศ. 1802 พ.ศ. 1822 พ.ศ.1842 ไม่สามารถระบุได้ พ.ศ. 1890 พ.ศ. 1911 พ.ศ. 1943 พ.ศ. 1962 พ.ศ. 1802 พ.ศ. 1841 ไม่สามารถระบุได้ พ.ศ. 1942 พ.ศ. 1981* * สิ้นสุดราชวงศ์พระร่วงและสุโขทัยอยู่ภายใต้อิทธิพลการปกครองของอยุธยา ตั้งแต่ พ.ศ พ.ศ. 2006
4
อาณาจักรสุโขทัยมีอายุยืนยาวอยู่ได้ถึง 190 ปี (พ. ศ
อาณาจักรสุโขทัยมีอายุยืนยาวอยู่ได้ถึง 190 ปี (พ.ศ ) มีกษัตริย์ปกครอง 10 พระองค์ ตกอยู่ใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ เป็นต้นมา มีอาณาเขตปกคลุมไปทั่วทิศตะวันออกถึงเมืองสระหลวง (พิจิตร) สองแคว (พิษณุโลก) ลุมบาจาย (หล่มเก่า เพชรบูรณ์) เมืองเวียนจันทน์และเวียงคำ ทิศใต้ถึงคณฑี (กำแพงเพชร) พระบาง (นครสวรรค์) แพรก (ชัยนาท) สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี นครศรีธรรมราช ถึงฝั่งทะเลสุดแหลมมลายู ทิศตะวันตกถึงเมืองฉอด (แม่สอด) ทวาย ตะนาวศรี หงสาวดีและฝั่งมหาสมุทร ทิศเหนือถึงเมืองแพร่ น่าน ปัว หลวงพระบาง
5
กรุงสุโขทัยมีการติดต่อค้าขายกับหลายประเทศ เช่น ลังกา มอญ จีน มลายู และอิหร่าน จึงมีการแลกเปลี่ยนและรับวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาผสมผสาน โดยการดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมไทยของตนเอง สุโขทัยเจริญรุ่งเรืองมากในช่วงที่พ่อขุนรามคำแหงเป็นกษัตริย์ปกครอง เมื่อ พ.ศ พระองค์ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น โดยดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัดและอักษรมอญโบราณ ทำให้มีการจารึกเหตุการณ์ลงในแท่งศิลา กลายเป็นหลักฐานที่สำคัญทางการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีมาจนทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าศิลาจารึกหลักที่หนึ่ง(จารึกพ่อขุนรามคำแหง) จะไม่มีการกล่าวถึงดนตรีไทยในกรุงสุโขทัยมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าประสงค์จะบันทึกเฉพาะข้อความที่จำเป็น ใช้ภาษาง่าย ๆ กะทัดรัด
8
ชาวเมืองนับถือพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ที่นำขึ้นมาจากนครศรีธรรมราช และมีลัทธิพราหมณ์ที่รับมาจากเขมรปะปนอยู่ด้วย สังเกตได้จากการที่พ่อขุนรามคำแหงทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ไว้กลางดงตาล เพื่อใช้ว่าราชการและใช้เป็นอาสน์สงฆ์เพื่อเทศนาสั่งสอนประชาชน ดังจารึกหลักที่ 1 ด้านที่ 3 จารึกไว้ว่า “ผิใช่วันสวดธรรม พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย ขึ้นนั่งเหนือขะดารหินให้ฝูงท่วยลูกเข้าลูกขุนฝูงท่วยถือบ้านถือเมืองกัน” พ่อขุนรามคำแหงนอกจากจะเป็นมิตรสนิทกับพ่อขุนเม็งราย ผู้ครองอาณาจักรล้านนาและพ่อขุนงำเมือง ผู้ครองอาณาจักรพะเยาแล้ว ยังทรงเป็นมิตรกับจีน โดยมีหลักฐานจากบันทึกของจีนในสมัยจักรพรรดิหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้ (กุบไลข่าน) ระบุว่า สมัยพ่อขุนรามคำแหงได้ส่งทูตไปติดต่อกับจีนรวม 4 ครั้ง ส่วนจีนส่งมา 3 ครั้ง ใน พ.ศ. 1836, 1837 และ 1838
9
รัชกาลที่มีความสำคัญสมควรกล่าวถึงอีกรัชกาลหนึ่งก็คือ สมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) ที่ทรงให้ความสำคัญแก่การพระพุทธศาสนาเป็นอันดับแรก เนื่องจากทรงใช้เป็นนโยบายในการรักษาเสถียรภาพของบ้านเมือง และหล่อหลอมจิตใจของประชาชนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไตรภูมิพระร่วง (เตภูมิกถา) ซึ่งมีข้อความเกี่ยวกับดนตรีอยู่หลายแห่ง พระพุทธชินราชประจำวัดพระมหาธาตุเมืองสองแคว(พิษณุโลก) ที่ถือกันว่าเป็นประติมากรรมแบบฉบับชิ้นเอกของไทยก็ได้หล่อขึ้นในรัชสมัยนี้ ความเป็นพุทธศาสนิกชนของชาวสุโขทัยเห็นได้ชัดเจนจากข้อความหลาย ๆ ตอนในศิลาจารึกหลักที่ 1 (จารึกพ่อขุนรามคำแหง)
11
เครื่องดนตรี เนื่องจากสุโขทัยมีอาณาเขตกว้างมาก ตลอดภาคเหนือคือล้านนาไปจนตลอดภาคใต้สุดแหลมมลายู วัฒนธรรมของสุโขทัยจึงมีการผสมผสานกันทั้งแบบของไทยแท้เอง กับแบบที่ได้รับและดัดแปลงมาจากล้านนา ล้านช้าง วัฒนธรรมอินเดียที่ถ่ายทอดมาทางขอม วัฒนธรรมมอญ มลายู และยังมีส่วนที่ได้รับมาจากจีนอีกด้วย วัฒนธรรมที่รับอิทธิพลจากอินเดียที่สำคัญคือ กฎหมายและระบบการปกครอง ศาสนาทั้งพุทธและพราหมณ์ และภาษา(บาลี,สันสกฤต) ซึ่งติดมากับศาสนา ส่วนดนตรีนั้นมีเพียงการรับเอารูปแบบและการใช้งานของเครื่องดนตรีบางชนิดที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนามาใช้เท่านั้น คุณลักษณะทางดนตรีของอินเดียแทบไม่มีปรากฏในวัฒนธรรมดนตรีไทยเลย แม้ว่าจะมีลักษณะบางประการคล้ายคลึงกันแต่ก็อาจเป็นโดยบังเอิญ วัฒนธรรมทางดนตรีของสุโขทัยจึงหลากหลายขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของสถานที่ บุคคล และชุมชนนั้น ๆ เป็นเกณฑ์
12
หลักฐานที่แสดงเรื่องราวของดนตรีสมัยสุโขทัยได้ชัดเจน ได้แก่ ศิลาจารึกสมัยสุโขทัย และเรื่องไตรภูมิพระร่วง ศิลาจารึกสมัยสุโขทัยมีหลายหลัก หลักที่สำคัญ ๆ คือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (จารึกหลักที่หนึ่ง) จารึกสมโภชรอยพระพุทธบาท และจารึกวัดพระยืนเมืองลำพูน ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง จารึกเรื่องราวของชาวสุโขทัยไว้ว่ามีความเคร่งครัดในพระพุทธศาสนามาก ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกันเป็นส่วนใหญ่ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
13
“คนในเมืองสุโขทัยนี้มักทานมักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้าท่วยปั่ว ท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งสิ้น ทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้หญิง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อออกพรรษากรานกฐินเดือนหนึ่งจึงแล้ว เมื่อกรานกฐินมีพนมเบี้ยพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนอิง บริหารกฐินโอยทานแล่มีแล้ญิบล้าน ไปสวดญัติกฐินถึงอรัญญิกพู้น เมื่อจักเข้ามาเวียงเรียงกันแต่อรัญญิกพู้น เท่าหัวล้านดังบงดังกลอยด้วย เสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื่อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื่อน เลื่อน เมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากประตูหลวง เทียรย่อมคนเสียดกันเข้ามา ท่านเผาเทียน ท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้มีดังจักแตก” (ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 1, หน้า 55) เหตุการณ์ตอนนี้แสดงถึงการฉลองบุญที่ทำเนื่องในเทศกาลออกพรรษา ชื่อเครื่องดนตรีที่ปรากฏ คือ
14
พาทย์ สันนิษฐานว่าเป็นเครื่องตี แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าอะไร อาจจะเป็นระนาดหรือฆ้องชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น ฆ้องเดี่ยวขนาดต่าง ๆ กัน หรือเครื่องตีอย่างอื่นก็ได้ พิณ คือ เครื่องดีดซึ่งมีความเป็นไปได้หลายอย่างเช่น พิณน้ำเต้า พิณเพี้ย ซึง หรือ กัจฉปิ(พิณกระดองเต่า) นอกจากนี้ยังแสดงถึงการขับ การร้อง และการละเล่นต่าง ๆ ที่ไม่ปรากฏชื่ออีกด้วย เกี่ยวกับพิณ มีภาพศิลาจำหลักพิณรูปรี ๆ คล้ายกระดองเต่าพบที่นครธม เข้าใจว่าน่าจะเป็นต้นแบบของกระจับปี่เขมร พิณหลายสายที่มีใช้ในกรุงสุโขทัยจะมีที่มาจากขอมหรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจ หรืออาจจะได้แนวคิดมาจากซึงล้านนา หรือจากพิณหลายสายของมอญแบบที่พบในภาพปูนปั้นที่คูบัว หรือมีใช้มาแต่เดิมก็ได้ เพราะวิวัฒนาการของพิณมาจาก ดุริยธน (Musical Bow)
15
ศิลาจารึกการสมโภชรอยพระพุทธบาทได้บันทึกชื่อเครื่องดนตรีและการละเล่นไว้ให้ทราบดังข้อความว่า
“ปลายหนทางย่อมเรียงขันหมากขันพลู บูชาพิลม ระบำเต้นเล่นทุกฉัน ด้วยเสียงสาธุการบูชา อีกด้วยดุรยพาทยพิณฆ้องกลอง เสียงดัง สีพดังดินจักหล่มอันไส้” (ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 1, หน้า 117) ข้อความตอนนี้กล่าวถึงทั้งการดนตรีและเครื่องดนตรี ได้แก่ ดุรย หมายถึง ดนตรี พาทย์ หมายถึง เครื่องตี พิณ หมายถึง เครื่องดีด เครื่องดนตรีที่กล่าวเพิ่มขึ้นมาคือ ฆ้อง ซึ่งไม่ได้บอกว่าฆ้องอะไร อาจจะเป็นฆ้องเดี่ยวลูกใหญ่หรือขนาดย่อมหลายลูกแขวนบนคานหาม หรือฆ้องรางรูปโค้งมี 7 ลูก อย่างที่พบในภาพศิลาจำหลักที่นครวัด กลอง ก็ไม่แจ้งว่าเป็นกลองอะไร หน้าเดียวหรือสองหน้าสั้นหรือยาว เครื่องดนตรีดังกล่าวบ้างก็บรรเลงด้วยการดีด บ้างก็บรรเลงด้วยการสี นอกจากนั้นยังได้กล่าวถึงการละเล่น คือ ระบำ และเต้น ซึ่งไม่ได้บอกรายละเอียดไว้ด้วย
16
ศิลาจารึกที่ให้รายละเอียดมากกว่าหลักอื่น ๆ คือ ศิลาจารึกที่สร้างขึ้นเพื่อบันทึกเรื่องราวการสร้างพระยืน (พระอัฏฐารส) ในเมืองลำพูน ในการนี้ได้นิมนต์พระมหาสุมนเถระจากกรุงสุโขทัยมาร่วมทำพิธีทางศาสนาด้วย และได้มีการสมโภชกันอย่างเอิกเกริก ข้อความสำคัญที่ควรนำมาพิจารณาคือ “ท่านท้าวสองแสนนาธรรมิกราช ผู้เป็นลูกรักพญาผายู เป็นหลานแก่พญาคำฟู เป็นเหลนแก่พญาเม็งราย โปรดให้อำมาตย์ไปอาราธนา นิมนต์พระมหาเถรเป็นเจ้าผู้หนึ่งชื่อ พระมหาสุมนเถร อันอยู่ในกรุงสุโขทัย... (เมื่อพระมหาสุมนเถระมาถึงเมืองลำพูนนั้นตรงกับ... ปีระกาเดือนเจียง วันศุกร์ วันท่านเป็นเจ้าจักเถิงวันนั้น ตนท่านพญาธรรมิกราช บริพารด้วยฝูงโยธามหาชนพลลูกเจ้าลูกขุนมนตรีทั้งหลาย ยายกันถือกระทงข้าวตอกดอกไม้ไต้เทียนตีพาทย์ดังพิณ ฆ้องกลองปี่สรไน พิสเนญชัย ทะเทียด กาหล แตรสังข์ มานกังสดาล มรทงค์ ดังเดือด เสียงเลิศเสียงก้อง อีกทั้งคนโห่อือดาสะท้านทั้งนครหริภุญชัย” (ประชุมศิลาจารึกภาคที่ , หน้า 137)
17
ศิลาจารึกวัดพระยืนหลักนี้สร้างที่เมืองหริภุญชัย (ลำพูน) ซึ่งเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมมอญเป็นหลัก ถ้อยคำบางคำที่ใช้เรียกชื่อเครื่องดนตรีแม้ว่าเป็นคำเดียวกับที่ใช้ในจารึกพ่อขุนรามคำแหง เมื่อประมาณ 87 ปีก่อนหน้านี้ ก็อาจจะมีความหมายคนละอย่างก็ได้ เพราะพื้นฐานทางสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นคนละแบบกัน การตีความอาจจะต้องใช้พื้นฐานความคิดต่างออกไปก็ได้ โดยเฉพาะคำว่า พาทย์ นอกจากจะหมายถึงเครื่องตี ยังอาจจะตีความหมายถึงเครื่องดนตรีเฉพาะอย่าง เช่น ระนาด เหตุที่สันนิษฐานว่าระนาดเพราะวัฒนธรรมมอญนั้นเขามีระนาดเล่นอยู่นานแล้ว “วงเต่งถิ้ง” ที่ใช้กลอง “เต่งถิ้ง” หรือ “ปุ่มผิ้ง” เป็นเครื่องจังหวะหลัก (และเรียกชื่อวงดนตรีตามเสียงกลอง) ซึ่งเป็นวงดนตรีของล้านนาไทย พบได้ตามวัดทั่วทั้งภาคเหนือนั้นก็คือวงปี่พาทย์ ที่พัฒนามาจากปี่พาทย์มอญโบราณนั่นเอง ศาสตราจารย์มณี พยอมยงค์ ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาและวัฒนธรรมล้านนายืนยันหนักแน่นว่า “วงปี่เต่งถิ้ง” ของล้านนาถือกำเนิดที่ลำพูนก่อน แล้วจึงแผ่ขยายออกไปทั่วภาคเหนือ มิใช่วงปี่พาทย์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากกรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยการน้ำขึ้นมาของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ตามความเข้าใจของนักวิชาการบางท่านแต่อย่างใด
18
อาจารย์มนตรี ตราโมท นักวิชาการดนตรีที่มีชื่อเสียงของไทย ให้ความเห็นว่าระนาดเป็นเครื่องดนตรีของมอญมาก่อน ดังข้อความที่ปรากฏในหนังสือพื้นฐานวัฒนธรรมไทยตอนดนตรีและนาฏศิลป์ตอนหนึ่งว่า “เมืองอยุธยานี้ ตามประวัติศาสตร์โดยมากเชื่อถือกันว่า สืบเนื่องมาจากอู่ทอง และสืบเนื่องมาจากทวารวดีด้วย ทวารวดีนั้นนักประวัติศาสตร์ก็กล่าวว่า ชาวเมืองพูดภาษามอญ มีวัฒนธรรมอย่างมอญโดยมาก มอญนั้นเครื่องดนตรีเขามีระนาดอยู่ ไทยเราอาจจะได้ระนาดมาตั้งแต่สมัยอู่ทอง และมาอยู่ในอยุธยา ตั้งแต่ยังไม่ได้รวมกับสุโขทัยก็ได้” (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2515, หน้า 165) ความเห็นนี้สอดคล้องกับความเห็นของศาสตราจารย์มณี พยอมยงค์ ที่ว่า วงเต่งถิ้งของล้านนาพัฒนาจากวงปี่พาทย์ของมอญที่มีมาตั้งแต่ครั้งหริภุญชัยแล้ว
19
เครื่องดนตรีอื่น ๆ ที่ปรากฏในศิลาจารึกวัดพระยืน มีดังนี้
ปี่สรไน หมายถึง ปี่ไฉน เป็นปี่ลิ้นคู่ขนาดเล็กคล้ายปี่ชวา ได้รับอิทธิพลมาจากดนตรีอินเดียฝ่ายเหนือ ซึ่งเรียกปี่แบบนี้ว่า ซาหฺไน (Shanai) อินเดียได้รับอิทธิพลปี่นี้มาจากเปอร์เซียอีกต่อหนึ่ง (Stanley Sadie, vol 9, p.115) เปอร์เซียเรียกปี่นี้ว่า สุรเนย์ (Surnay) บางแห่งเรียกปี่อินเดียแบบที่กล่าวนี้ว่า เชหฺไน (Shehnai) ทำหน้าที่เดียวกับปี่นาคะสวรัม (Nagasavaram) ของอินเดียฝ่ายใต้ คือ ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา และพระราชพิธี (Netti 1992, p. 35) ปี่ชาหฺไน มีหลายขนาดบางชนิดยาวกว่าปี่ไฉนของไทยประมาณเท่าปี่ “กาหลอ” พื้นบ้านปักษ์ใต้ และมีรูปร่างลักษณะอย่างเดียวกัน
20
ปี่ชาห์ไน(Shahnai)
21
ปี่กาหลอ
22
พิสเนญชัย หมายถึง แตรงอนมีรูปร่างคล้ายเขาควาย คำว่า “พิสเนญ” น่าจะแผลงมาจากคำว่า “เสนง” ที่แปลว่าเขาอย่างแตรเขาควายที่ใช้กันอยู่แถบ จ.สุรินทร์ ศรีสะเกษ เรียกว่า “เสนงเกล” มีภาพแตรแบบนี้จำนวนมากในศิลาจำหลักที่นครวัด ไทยคงได้แบบอย่างการใช้งานแตรแบบนี้มาจากขอมนี่เอง ทะเทียด หรือ สรเทียด แขกเรียกว่า ทินทิม แปลว่ากลองสองหน้า ได้แก่ กลองมลายูที่ไทยเรารับเอามาจากมลายูโดยตรง อาจจะเป็นได้ว่าตั้งแต่สมัยศรีวิชัยแล้ว กลองมลายูเป็นกลองสองหน้าคล้ายกับกลองแขกแต่อ้วนและสั้นกว่า หน้าใหญ่ใช้ตีด้วยไม้ อีกหน้าหนึ่งใช้ตีด้วยมือ ปัจจุบันใช้ในวงบัวลอยและวงปี่พาทย์นางหงส์ที่บรรเลงเฉพาะงานศพ ดนตรีของอินเดียฝ่ายใต้มีกลองแบบนี้ใช้เหมือนกัน เรียกว่า ดฺหล หรือ ดโฮละ (Dhol) เนปาล เรียกว่า ดหะคี (Dhalki) ในการบรรเลงจะยืนหรือนั่งก็ได้ ถ้ายืนใช้คล้องไว้กับไหล่ของผู้บรรเลง ตีด้วยมือข้างหนึ่ง ไม้ข้างหนึ่ง
23
กลองมลายู&กลองแขก
24
Dhol
25
กลองมลายูแต่เดิมใช้บรรเลงในกระบวนแห่พยุหยาตราคราวละหลาย ๆ ลูก โดยมีการเกณฑ์ชาวมลายูเข้ากระบวน ต่อมาไทยเราน้ำเอากลองมลายูมาใช้ในกระบวนแห่เอง เช่น ในการแห่ “คเชนทรัศสวสนาน” แห่พระบรมศพและพระศพเจ้านาย ภายหลังใช้ชุดละ 4 ลูก บรรเลงประโคมศพ และในที่สุดลดเหลือ 2 ลูก ใช้บรรเลงอย่างกลองแขก เสียงสูงเรียกตัวผู้ เสียงต่ำเรียกตัวเมีย (ธนิต อยู่โพธิ์ 2510)
26
วิธีการบรรเลงกลองแขก
27
กาหล คือ แตรงอน เป็นแตรแบบทรัมเป็ต ทำด้วยโลหะเป็นรูปโค้ง เข้าใจว่าจะพัฒนามาจากพิสเนญชัย ธนิต อยู่โพธิ์ กล่าวว่าเป็นของมาจากอินเดียฝ่ายเหนือซึ่งเรียกว่า “ศฤงคะ” และฝ่ายใต้เรียกว่า “กัมพุ” พบแตรงอนขนาดยาวมากในดนตรีของเนปาล เรียกว่า “นรสิงห์” ใช้บรรเลงในวงเครื่องตีเป่าร่วมกับปี่ “สรไน” และกลอง
28
มรทงค์ เขียนเป็นรูปแบบไทยจากคำเดิมว่า “มฤทงค์” ในภาษาสันสกฤต บาลีเขียนว่า “มุทิงค์” หมายถึง “ตะโพน” กลองสองหน้าแบบนี้มีลักษณะคล้ายกับกลองมริดังกัม (Mridangam อาจเขียนเป็นภาษาไทยว่า มฤทังคะ) ของอินเดีย กลองมฤทังคะของอินเดียใช้สะพายไหล่หรือวางบนตักตีก็ได้ ถ้าไทยได้แบบอย่างมาก็ได้พัฒนารูปแบบขึ้นโดยการทำขาตั้งทำให้ตีได้สะดวกขึ้น มาเลเซียและอินโดนีเซียมีกลองสองหน้าวางบนขาตั้งแบบของไทยเรียกว่า เกนดัง (Kendang) ใช้ตีในวงกาเมลัน อาจจะดังแปลงมา มฤทังคะ แล้วไทยดัดแปลงเอามาใช้ต่อหรือไทยรับเอากลองนี้มาจากขอมโดยตรงก็ได้ เพราะในภาพศิลาจำหลักที่นครวัดมีภาพกลองสองหน้าที่มีขาตั้งแบบตะโพนนี้แล้ว
29
มรทงค์ ตะโพนไทย
30
มฤทังคะ (Mridangam) ของอินเดีย
31
Kendang
32
ดังเดือด ภาษาโบราณเขียนแบบตัวสะกดซ้อนว่า “ดงงเดอด” บางครั้งจึงคัดลอกเพี้ยนเป็น “ดงเดือด” มีคำว่าดังเดือดบอกให้รู้ว่าเสียงคงจะดังมากทีเดียว และถ้าดังจนถึงกับเดือด(โบราณแปลว่าปั่นป่วน) คาดว่าน่าจะเป็นกลองทัดหรือกลองเพล หรือไม่ก็กลองปูจาของล้านนาไทย
33
หลักฐานชิ้นสำคัญที่กล่าวถึงเรื่องดนตรีและเครื่องดนตรีไว้ค่อนข้างมากก็คือ “ไตรภูมิพระร่วง” ซึ่งพระมหาธรรมราชาธิราชที่ 1 (พญาลิไท พ.ศ ) ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นจาก “เตภูมิกถา” คัมภีร์ภาษาบาลีเมื่อ พ.ศ ก่อนการขึ้นครองราชย์สมบัติ (บังอร ปิยะพันธุ์ 2538, หน้า 86) เป็นเรื่องกล่าวถึงจักรวาล มีสวรรค์ มนุษย์ นรก และทวีปต่าง ๆ ในโลกมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องสอนให้คนกลัวบาปรักบุญ ถึงแม้ว่าเนื้อหาสาระของเรื่องจะมีที่มาจากบาลี แต่รายละเอียดต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมและการมหรสพที่กล่าวถึงในหนังสือนี้ก็หนีความเป็นไทยไปไม่พ้น รวมทั้งเครื่องดนตรีที่ปรากฏอยู่ด้วย เว้นแต่บางตอนที่เป็นของแขกอินเดียโดยตรง ข้อความที่เกี่ยวกับดนตรีปรากฏอยู่ในหน้า 87, 99, 105, 211, และ ข้อความที่กล่าวถึงการละเล่นดนตรีและเครื่องดนตรีในไตรภูมิพระร่วง แยกเป็นประเภทดังนี้ 1. ประเภทที่เกี่ยวกับนาฏศิลป์และการละเล่น ได้แก่ คำว่า บ้างเต้น บ้างรำ บ้างฟ้อน ระบำ กันฉิ่งริงรำจับระบำรำเต้น 2. ประเภทที่เกี่ยวกับการบรรเลงดนตรีและการขับร้อง ได้แก่คำว่า บันลือเพลง ร้อง ขับ ดีด สี ตี เป่า และคำว่า ดุริยดนตรี 3. ประเภทที่เกี่ยวกับเครื่องดนตรี ได้แก่คำว่า ฆ้อง กลอง กลองใหญ่ กลองราม กลองเล็ก แตรสังข์ ระฆัง กังสดาล มโหระทึก พาทย์ พิณ ฉิ่ง แฉ่ง บัณเฑาว์ ตีกลอง ตีพาทย์ ตีฆ้อง ตีกรับ ดีดพิณ สีซอพุงตอ เป่าปี่แก้ว ปี่ไฉน บัญจางคิกดุริย พิณพาทย์ และคำว่า นาดรำ
34
ข้อความแต่ละตอนที่ปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกับดนตรีมาพิจารณาแต่ละตอนดังนี้ ข้อความหน้า 87 กล่าวถึงสภาพแวดล้อมในอุตรกุรุทวีปไว้ดังนี้ อันฝูงผู้ชายอันอยู่ในแผ่นดินอุตรกุรุนั้นโสด รูปโฉมโนมพรรณเขานั้นงามดั่งบ่าวหนุ่มน้อยได้ 20 ปี มิรู้แก่มิรู้เฒ่าหนุ่มอยู่ดังนั้นชั่วตนทุก ๆ คน แลเขานั้นไส้เทียรย่อมกินข้าวแลน้ำสรรพาหารอันมีโอชารสนั้น และแต่งแต่เขาทากระแจะ แลจวงจันทร์น้ำมันอันดี แลมีดอกไม้หอมต่าง ๆ กันเอามาทัดทรงเล่นแล้วก็เที่ยวไปแล่นตามสบาย บ้างเต้นบ้างรำบ้างฟ้อน ระบำบันลือเพลง ดุริยดนตรี บ้างดีด บ้างสีบ้างตีบ้างเป่าบ้างขับ สรรพสำเนียงเสียงหมู่นักคุณจุนกันไปเดียรดาษ พื้นฆ้องกลองแตรสังข์ระฆังกังสดาลมโหระทึกกึกก้องทำนุกดี (พระยาลิไท 2515, หน้า 87)
35
ถ้อยคำที่กล่าวถึงดนตรีและศิลปะการแสดงมีดังต่อไปนี้
บ้างเต้น บ้างรำ บ้างฟ้อนระบำ บอกให้ทราบว่าการละเล่นในสมัยสุโขทัยนั้นมีทั้งเต้น รำ ระบำและฟ้อน บรรลือเพลงดุริยดนตรี ข้อความนี้มีความหมายว่า ร้องเพลงและ/หรือเล่นดนตรี (คำว่าดุริยะกับคำว่าดนตรีมีความหมายเดียวกัน) บ้างดีดบ้างสีบ้างตีบ้างเป่าบ้างขับ บอกให้ทราบว่ามีการบรรเลงดนตรีครบทุกวิธีคือ ดีด สี ตี เป่าแล้ว และยังมีความหมายโดยนัยยะว่ามีเครื่องดนตรีครบทุกประเภท คือ ดีด-สี (Chordophone) ตี (Idiophone) เครื่องหนัง (Membranophone) เป่า (Aerophone) พื้นฆ้องกลองแตรสังข์ ระฆังกังสดาลมโหระทึก บอกให้ทราบว่าเครื่องดนตรีที่บรรเลงนั้นมี ฆ้อง กลอง แตรสังข์ ระฆัง กังสดาล และมโหระทึกเป็นพื้นซึ่งบรรเลงมีเสียงดังกึกก้องมากทีเดียว
36
ฆ้อง เป็นไปได้ว่าคือ ฆ้องเดี่ยวและใช้หลายขนาด เช่นเดียวกับกลอง โดยเฉพาะกลองของชาวเหนือนั้นมีหลายแบบหลายขนาด พวกฆ้องกลองอาจจะเป็นเครื่องหลักของดนตรีฟ้อนก็ได้ แตรสังข์ เป็นเครื่องเป่าประเภททรัมเป็ต ทำด้วยหอยสังข์ เวลาเป่าต้องใช้ริมฝีปากเม้มเข้าด้วยกันแล้วเป่าลมออกมาโดยแรง เพื่อให้ริมฝีปากกระพือ เปล่งเสียงออกมาเป็นเสียงสูงต่ำได้สองสามเสียงตามแต่ความสามารถของผู้เป่า เป็นวัฒนธรรมอินเดียที่ไทยเรารับเอามาโดยตรง ใช้ในการประโคมและแห่แหนในพระราชพิธี กังสดาล คือ ระฆังแบน ๆ เป็นรูปเกือบจะครึ่งวงกลมคล้ายวงเดือน เรียกว่าระฆังวงเดือนก็มี ปัจจุบันนิยมแขวนไว้ตามช่อฟ้าและระเบียงศาลาตามวัดในภาคเหนือ เพื่อให้ลมตีเป็นเสียงดังวังเวง ชวนให้จิตสงบ มโหระทึก ก็คือกลองสัมฤทธิ์หล่อทั้งใบมีหลายขนาด ใช้ตีบอกอาณัติสัญญาณ หรือเพื่อการประโคมเฉพาะในวัดและในวังตามแต่กรณีและมักจะตีไปพร้อมกันกับแตรสังข์ เช่น ในประโยคที่ว่า “ชาวพนักงานเป่าสังข์กระทั่งมโหระทึก” เป็นต้น ระฆัง หาดูได้ตามวัดทุกวัด
37
กังสดาล
38
เครื่องดนตรีดังกล่าวล้วนเป็นเครื่องประโคมทั้งสิ้น ไม่มีเครื่องดนตรีดำเนินทำนองเลย นอกจากแตรสังข์ที่อาจทำทำนองได้แต่ก็ไม่ดีเพราะเป่าได้แต่สองสามเสียงเท่านั้น ถ้าจะหาเครื่องดนตรีที่ทำทำนองกันจริง ๆ ก็ต้องแยกคำว่า แตรสังข์ ออกเป็นสองคำ คือ แตรกับสังข์ ซึ่งน่าจะหมายถึงแตรงอนหรือแตรที่ทำหรือดัดแปลงมาจากเขาสัตว์ ข้อความในไตรภูมิพระร่วงที่กล่าวข้างต้น แสดงว่ามีดนตรีอยู่หลายแบบหลายประเภท คือ มีการประสมวงดนตรีแบบต่าง ๆ กัน แต่ละแบบทำหน้าที่ต่างกรรมต่างวาระกัน วงดนตรีที่กล่าวถึงในข้อความไม่ได้จำแนกแจกแจงรายละเอียด แต่แฝงรูปแบบของวงดนตรีที่ใช้ไว้ให้เข้าใจกันเอง ถ้าชาวสุโขทัยมาอ่านคงไม่ต้องอธิบาย เพราะจะเข้าใจและรับรู้ความหมายของข้อความโดยนำไปสัมพันธ์กับดนตรีที่มีอยู่ในสังคมได้อย่างชัดเจน เพราะท่านเหล่านั้นเป็นบุคคลใน (Insider) ของสังคมนั้น แต่พวกเราเป็นคนนอก (Outsider) ของสังคมสุโขทัย จึงต้องการการตีความ แปลความ และขยายความจากข้อความในไตรภูมิพระร่วงเพื่อทราบถึงความหมายที่แท้จริงที่ไม่ได้เขียนเอาไว้
39
หน้า 99 กล่าวถึงเสียงดนตรีจากกงจักรแก้ววิเศษว่า “เมื่อนั้นคนทั้งหลายได้ยินเสียงแห่งกงจักรแก้วอันผันแลต้องลม เสียงนั้นดังเพราะนักหนาและเพราะกว่า เสียงพาทย์แลพิณ ฆ้องกลองแตรสังข์กังสดาลดุริยดนตรี ทั้งหลายนั้น” หน้า 105 กล่าวถึง “แลชมชื่นหืนเริงตาเทิงบัน จงมีอนงค์แต่งแง่แผ่ตนชมเล่นชมหัวแล้ว แลร้องก้องขับเสียงพาทย์ เสียงพิณแตรสังข์ ทั้งเสียงกลองใหญ่แลกลองรามกลองเล็ก แลฉิ่งแฉ่ง บัณเฑาะว์ เสนาะวังเวง ลางคนตีกลองตีพาทย์ฆ้องตีกรับสรรพทุกสิ่ง ลางจำพวกดีดพิณแลสีซอพุงตอ แลกันฉิ่งริงรำจับระบำรำเต้น เล่นสารพนักคุนทั้งหลาย สัพพดุริยดนตรีอยู่ครื้นเครงอลวนอลเวงดังแผ่นดินจะถล่ม” หน้า 211 กล่าวถึงสัตตรัตนที่ประดับไพชยนรถของพระอินทร์ว่า “ผิแลว่าลมรำพายพัด แลได้ยินเสียงสรรพดังมี่ก้อง ดุจดังเสียงพิณพาทย์ฆ้องกลองแตรสังข์ อันเทพยดาเป่าแลตีในเมืองฟ้านั้น”
40
หน้า 214 และ 215 กล่าวถึงนางฟ้าที่จับระบำบนกลีบบัวในสระ ที่อยู่บนเศียรของช้างเอรวัณ มีความว่า “เสียงพาทย์พิณ....นางฟ้ายืนรำระบำบรรพต แล 7 คน...เป็นที่อยู่แห่งฝูงนางรำ ระบำ แลบริวาร” หน้า 221 มีข้อความว่า “อีกฝูงคนธัพเป็นพลระบำได้ 240,000,000 ตีกลองแลฉิ่งแฉ่งแต่งขับ กับเสียงพิณพาทย์นาดรำ ระบำเล่นเต็มเขาจักรวาล 4 ทิศทั้งมวล” หน้า 222 กล่าวถึงดนตรีว่า “แลเทพยดาทั้งหลายถือ เครื่องเป่าแลตีดีดสีคีตสัพพดุริยดนตรีทั้งหลายไปบำเรอถวาย บูชาพระเจดีย์เจ้าทุกวารบมิขาด”
41
พญาลิไททรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วง ในระยะเวลาที่ไม่ห่างจากจารึกวัดพระยืนเมืองลำพูนมากนัก ความหมายถ้อยคำที่ใช้อาจมีความหมายคล้ายคลึงกัน ดนตรีปี่พาทย์มอญจากหริภุญชัย (ลำพูน) ที่ยังไม่แพร่หลายในสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงอาจจะเป็นที่รู้จักกันดีสมัยนี้ก็ได้ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว คำว่า พาทย์ ในไตรภูมิพระร่วงจึงอาจจะหมายถึง ระนาด ก็ได้ สาเหตุที่ไม่มีคำว่าระนาดปรากฏอยู่ในศิลาจารึกหรือวรรณคดีในยุคแรก ๆ ของไทยเลย จนทำให้เชื่อว่า “สุโขทัยไม่มีระนาด อยุธยาตอนต้น ๆ ก็ไม่มีระนาด” อาจเป็นเพราะระนาดเป็นเครื่องดนตรีของชาวบ้านที่ไม่มีบทบาทในราชสำนักเหมือนฆ้อง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของคนชั้นสูง จึงไม่มีใครเอ่ยถึงระนาดที่อยู่นอกเหนือสายตาและความคิดเห็นของผู้บันทึกเหล่านั้น
42
เครื่องดนตรีอื่น ๆ ที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงในข้อความที่ยกมานี้ ได้แก่
กลองใหญ่ กลองราม กลองเล็ก เป็นกลอง 3 ขนาด คือ ขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ฉิ่ง แฉ่ง หมายถึง ฉิ่งกับฉาบ วรรณคดีบางเล่มเขียนว่าสิ่งแส่งก็มี ชาวล้านนาเรียกฉิ่งว่า แสว่ และเรียกฉาบว่า สว่า บัณเฑาะว์ รากศัพท์เดิม คือ ปัณฑวะ เป็นเครื่องดนตรีที่ไทยรับมาจากอินเดีย เดิมเรียกว่า “ทมรุ” เป็นลักษณ์ของการสร้างเนรมิต ใช้เฉพาะในพระราชพิธีเกี่ยวกับพิธีทางพราหมณ์ กรับ มีหลายชนิด อย่างกรับคู่ทำด้วยไม้ไผ่ หรือกรับเสภาทำด้วยไม้แข็ง หรือกรับพวง พาทย์ฆ้อง หมายถึง ฆ้องวง ดีดพิณแลสีซอพุงตอ หมายถึง พิณ และซอพุงตอ คำว่าซอพุงตอนี้ สันนิษฐานว่าคือ ซอสามสาย (อุทิศ นาคสวัสดิ์ 2512, หน้า 165) ข้อความนี้ให้ข้อคิดว่าเครื่องดนตรีทั้งสองบรรเลงอยู่วงเดียวกัน พิณ ในที่นี้ก็ควรจะเป็นกระจับปี่และกรับพวง เพราะเครื่องดนตรีทั้ง 3 ชนิดนี้ใช้บรรเลงในวงเดียวกันคือ วงขับไม้
43
บัณเฑาะว์
44
ซอพุงตอ เครื่องดนตรีประเภทซอที่คันทวนช่วงล่างยาวเพื่อใช้วางสีกับพื้น และมีคันชักอิสระไม่ติดกับตัวซอที่พบในแถบแหลมทองก็คือ สะล้อของชาวล้านนา และซอมอญของชาวรามัญ ซอประเภทเดียวกันที่พบในเอเชียได้แก่ ซอคามานเช่ (Kamanchay) ของเปอร์เซียและประเทศใกล้เคียง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสะล้อของล้านนา ซอที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับซอสามสายที่สุด คือ รีบับ (Rebab) ของอินโดนีเซียและมาเลเซีย เรื่องที่มาของซอสามสายมีแนวคิด 2 ทาง ทางหนึ่งคือดัดแปลงมาจากซอสามสายของเขมร ที่เรียกว่า ตรัวขะแมร์ ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ทั่วไปในประเทศกัมพูชา ใช้บรรเลงในวงกา ซึ่งเป็นวงดนตรีสำหรับใช้ในการแต่งงานโดยเฉพาะ อีกทางหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือไทยเราคิดขึ้นเอง โดยพัฒนามาจากสะล้อของชาวล้านนา โดยการประสมประสานทางวัฒนธรรม อย่างน้อยก็ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาแล้ว เหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ เนื่องจากกะโหลกซอทำด้วยกะลามะพร้าวที่เป็นวัสดุพื้นเมืองเหมือนกันหนึ่ง เป็นซอที่ใช้ตั้งสีกับพื้นเหมือนกันหนึ่ง คันชักอยู่แยกจากตัวซอเหมือนกันอีกหนึ่ง และนอกจากนั้นบทเพลงที่ถือเป็นแม่บทของซอสามสาย คือเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ ท่อนที่ 1 แสดงว่าดัดแปลงมาจากเพลงปราสาทไหวหรือแห่ปิ้นของล้านนาดังโน้ตเพลงที่ได้นำมาแสดงเปรียบเทียบไว้
45
โน้ตเปรียบเทียบเพลงขับไม้บัณเฑาะว์กับเพลงปราสาทไหว
- - - ม - ร - ม - ซ - ล - - - ล - - - ร - ม – ล - ซ – ม - ซ – ร - ร –ม ( - - - ล - ซ – ล) - ซ – ล - ซ – ด - - - ด - ซ – ม - ม - ล - ซ - ม - ร -ด ( - - - ร - - - ม - - - ร) - ม – ร - ม – ล - - - ล - ด – ล - ด - ซ - ล - ม - ล - ซ - ร - ม - ซ - ล ( - - - ล - - - ซ - - - ล) - ซ – ล - - - ท - ร - ม - - - ม - ซ - ร - ด - ร - ม - ซ
46
ตัวอย่างเปรียบเทียบเพลงขับไม้บัณเฑาะว์กับปราสาทไหว ตัวโน้ตในเครื่องหมายปีกกาได้เพิ่มเข้าไปให้เต็มจังหวะเพื่อให้ยาวเท่ากับเพลงปราสาทไหว ทำนองเพลงที่เต็มจังหวะแบบนี้อาจจะเป็นรูปแบบเก่าของเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ก็ได้ หรืออาจเป็นเพราะผู้แต่งตัดเอาบางส่วนของเพลงปราสาทไหวมาใช้เป็นแนวทาง แล้วแต่งเติมท่อน 2 และ 3 ขึ้น หรือเพราะระยะเวลาอันยาวนานทำให้เพลงขับไม้บัณเฑาะว์เปลี่ยนแปลงไปและสั้นลงกว่าเดิมก็ได้ อย่างไรก็ตามเพลงนี้ได้บรรจุเอาส่วนหนึ่งของเพลงปราสาทไหวอย่างชัดเจน
47
Kamanchay
48
Rebab
49
การประสมวงดนตรี การประสมวงดนตรี คือ การนำเอาเครื่องดนตรีตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมาบรรเลงร่วมกัน โดยคำนึงถึงความเหมาะสมในการประสมประสานเสียงของเครื่องดนตรีนั้น ๆ และบทบาทหน้าที่ของดนตรีที่ใช้ในสังคมเป็นหลัก ดนตรีในสมัยสุโขทัยอาจจำแนกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ดนตรีในราชสำนัก และดนตรีของชาวบ้าน ซึ่งอาจมีความแตกต่างหรือคล้ายคลึงกัน และอาจจะผสมผสานกลมกลืนกันได้ด้วยในบางกรณี
50
เมื่อสันนิษฐานถึงเครื่องดนตรีสมัยสุโขทัยว่ามีอะไรบ้างดังกล่าวมาแล้ว ในการกล่าวถึงวงดนตรีอาจกล่าวได้ว่าวงดนตรีที่สำคัญ ๆ และน่าจะมีในสมัยนี้ ได้แก่ การบรรเลงพิณ วงขับไม้ วงปี่พาทย์ และวงเครื่องประโคม 1. การบรรเลงพิณ เป็นการดีดพิณคนเดียวประกอบการขับลำไปด้วย พิณที่ดีดนั้นก็เป็นพิณน้ำเต้าหรือพิณเพี๊ยะ บางทีก็อาจจะมีกระจับปี่แต่ไม่นิยม การบรรเลงพิณประกอบการขับลำนี้ใช้เนื้อเรื่องที่มีทำนองไปในเชิงสังวาส คือ การแสดงความรักใคร่จึงบรรเลงเพื่อเกี้ยวสาว
51
2.วงขับไม้ น่าจะเป็นวงที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบในประวัติการดนตรีไทย ประกอบด้วยคนร้องหรือคนขับลำนำ คนสีซอสามสายคลอเสียงร้อง และคนไกวบัณเฑาะว์ให้จังหวะในการบรรเลง วงขับไม้เป็นวงดนตรีสำหรับขับกล่อม เช่น ในการบรรเลงเพลงช้าลูกหลวง(กล่อมพระบรรทมพระราชกุมาร,พระราชกุมารี) เป็นต้น คำว่า “ช้า” น่าจะกร่อนมาจากคำ “เห่ช้า” ปัจจุบันวงนี้เกือบสูญไปแล้ว คงมีแต่เฉพาะในพระราชพิธีกล่อมช้างสำคัญเท่านั้น พระยาภูมีเสวินได้กล่าวถึงวงขับไม้ว่าประกอบด้วย
52
“ราชบัณฑิตหรือพราหมณ์ในพิธีเป็นผู้ขับ คนสีซอสามสายประสานเสียงเข้ากับลำนำ คนไกวบัณเฑาะว์ประกอบจังหวะ การขับไม้ตามที่กล่าวนี้เป็นของสูง ใช้แต่ในการพระราชพิธีของหลวง เช่น กล่อมพระเศวตฉัตร กล่อมพระยาช้างเผือก และใช้บรรเลงในเวลาทรงเครื่องใหญ่ ลงพระอู่ กล่อมพระบรรทม และปลุกพระบรรทม”(ภูมีเสวิน 2516, หน้า 141)
53
3. วงปี่พาทย์ มีความเห็นแตกแยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายที่เห็นว่าน่าจะมีวงปี่พาทย์เครื่องห้าในสมัยสุโขทัย และฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและเชื่อว่าไม่มีวงปี่พาทย์ในกรุงสุโขทัย ฝ่ายที่เห็นว่ามีวงปี่พาทย์เครื่องห้าแล้ว คือ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า ปี่พาทย์เครื่องห้าที่ไทยเราใช้กันมาแต่โบราณ มาแต่เบญจดุริยางค์ที่กล่าวมา แต่มีต่างกันเป็น 2 ชนิด เครื่องอย่างเบา ใช้เล่นละครกันในพื้นเมือง เช่น ละครชาตรีทางหัวเมืองปักษ์ใต้ยังใช้กันอยู่จนทุกวันนี้ เครื่องอย่างหนัก สำหรับเล่นโขนชนิด 1 ทั้ง 2 ชนิดที่กล่าวมานี้ คนทำวงละ 5 คนเหมือนกัน แต่ใช้เครื่องผิดกัน วงปี่พาทย์เครื่องเบาประกอบด้วย ปี่ 1 เล่า ทับ 2 ลูก กลอง 1 ใบ และฆ้องคู่ วงปี่พาทย์เครื่องหนัก ประกอบด้วย ปี่ 1 เลา ระนาด 1 ราง ฆ้องวง 1 วง กลอง 1 ลูก โทน(ตะโพน) 1 ลูก ในกรณีที่ไม่ใช้โทนจะใช้ฉิ่งแทน อาจารย์มนตรี ตราโมท เขียนไว้ชัดว่า “เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าสัมมนาเรื่องดนตรีไทยสมัยสุโขทัยนั้น ก็เคยค้นคว้าอยู่ได้ความว่ามีวงปี่พาทย์ครบเป็นเครื่องห้า”
54
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชดำริว่า สุโขทัยไม่มีระนาด แต่ไม่ได้ทรงระบุว่าสุโขทัยไม่มีปี่พาทย์เครื่องห้าชนิดเบาอย่างที่อาจารย์มนตรีกล่าวไว้ อีกท่านหนึ่งคืออาจารย์สงัด ภูเขาทอง กล่าวว่า “ไม่มีวงปี่พาทย์เครื่องห้าในสมัยสุโขทัย” พร้อมทั้งชี้แจงเหตุว่า ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะสนับสนุนหรือชี้ให้เห็นว่าสมัยสุโขทัยมีวงปี่พาทย์เครื่องห้า และแม้แต่ระนาดก็ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีใช้ในสมัยนี้
55
4. วงเครื่องประโคม คำว่าประโคมไม่ใช่ชื่อวงดนตรี แต่เป็นคำบ่งชี้หน้าที่ของดนตรี คือ น่าจะใช้เพื่อการประโคมประกอบเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ การประสมวงแบบนี้ไม่ตายตัว และไม่ทราบแน่ชัดว่าใช้เครื่องดนตรีชนิดใดประสมกันบ้าง และใช้อย่างละกี่ชิ้น เครื่องดนตรีที่ใช้ในการประโคมที่ปรากฏในศิลาจารึกและไตรภูมิพระร่วงที่น่าจะจัดไว้ด้วยกัน ได้แก่ ฆ้อง กลอง แตรงอน จำพวกหนึ่ง แตรสังข์ กับมโหระทึก จำพวกหนึ่ง ส่วนจำพวกหนึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ตีประโคมและเป็นอาณัติสัญญาณ ได้แก่ ระฆัง กังสดาลและดังเดือด(กลองเพล) เป็นต้น กลองสองหน้า เช่น ทะเทียด และจำพวกฉิ่งฉาบ ไม่น่าจะนำมาใช้ประโคมอาจจะเป็นเครื่องประกอบในวงดนตรีอื่น ๆ เช่น วงปี่พาทย์แบบมอญโบราณก็ได้ อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเพียงแนวคิดตามเหตุผล และความน่าจะเป็นเท่าที่จะพึงสันนิษฐานได้จากข้อความตามหลักฐานเท่าที่มีอยู่เท่านั้น
56
ลักษณะสำคัญทางดนตรี บทเพลง และหน้าที่ของดนตรีในสังคม
ลักษณะที่สำคัญที่สุดทางดนตรีไม่ใช่เครื่องดนตรีหรือวิธีการทำเสียงดนตรี แต่ลักษณะที่สำคัญที่สุดก็คือระบบเสียง ซึ่งเป็นตัวกำหนดระดับเสียงแต่ละเสียงในหนึ่งช่วงทบว่าจะมีกี่เสียง แต่ละเสียงจะห่างกันเท่าไหร่ เป็นสำคัญ ระบบเสียงดนตรีของไทยไม่ได้กำหนดจากการคำนวณ ตามหลักทฤษฎีความสัมพันธ์ของขั้นคู่เสียงที่ค้นพบโดย Pythagoras แต่กำหนดจากการฟังเสียงที่เกิดจากเครื่องดนตรี โดยใช้หูของผู้ฟังเป็นเกณฑ์ ระบบเสียงธรรมชาติของไทยเราเหมือนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั่วไปที่แบ่งหนึ่งช่วงทบ (Octave) ออกเป็นเจ็ดเสียง และในการจัดระบบเสียงดนตรีเจ็ดเสียงแบบนี้ ยังแบ่งต่าง ๆ กันตามรสนิยมในการฟัง และวัฒนธรรมของแต่ละชาติ แต่ละภาษา เช่น ไทยนิยมแบ่งเสียงออกเป็น 7 เสียงเท่า ๆ กัน พม่า มอญ และญวนก็แบ่งต่างกันออกไป เป็นต้น
57
ดนตรีระบบ 7 เสียงเป็นธรรมชาติของคนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีมาหลายพันปีแล้ว และได้สืบทอดกันต่อ ๆ มา หลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่ยืนยันว่าผู้คนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีระบบเสียงแบบนี้โดยธรรมชาติ คือ ระนาดหิน (Lithophone) แบบวัฒนธรรมดองซอน ที่ทำขึ้นตั้งแต่ยุคหินใหม่มีอายุระหว่าง 1,700 – 1,500 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 3,700 ปีมาแล้ว และมีการขุดพบระนาดหินแบบนี้ที่ภาคใต้ของไทยด้วย ชาวไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอารายธรรมนี้ ได้ใช้ระบบ 7 เสียงเป็นพื้นฐานในการพัฒนาระบบเสียงแบบ 7 เสียงเท่า ๆ กันของตนเองขึ้น แต่ก็มีบทเพลงจำนวนมากที่แต่งขึ้นโดยใช้เสียงเพียง 5 เสียง และมีบทเพลงที่บรรเลงแบบ 5 เสียงแล้วมีการเปลี่ยนระดับเสียงให้สูงขึ้นหรือต่ำลง (Modulation) เนื่องจากความเอื้ออำนวยของระบบเสียง คาดว่าสมัยสุโขทัยก็ใช้ระบบเสียงแบบที่กล่าวมานี้ เช่นเดียวกับชาวไทยอู่ทอง สุพรรณบุรี และอโยธยาที่อยู่ทางใต้ของสุโขทัย ซึ่งได้รวมกันเป็นอาณาจักรสยามในตอนปลายของกรุงสุโขทัย
58
บทเพลง บทเพลงสมัยสุโขทัยอาจจำแนกได้ 3 ประเภท คือ บทเพลงสำหรับประกอบการแสดง บทเพลงสำหรับขับกล่อม และบทเพลงพิธีการ 1. บทเพลงสำหรับประกอบการแสดง ซึ่งได้แก่ การฟ้อน รำ ระบำ และเต้น ดังปรากฏข้อความในไตรภูมิพระร่วงว่า บ้างฟ้อนระบำ, แลกันฉิ่งริงรำจับระบำรำเต้น, จึงขับเสพย์แลฟ้อนรำระบำด้วยคนธัพ เป็นต้น “ฟ้อน” เป็นภาษาถิ่นล้านนา ตรงกับคำว่า รำ ภาคกลาง แต่ลีลาท่าทางผิดกัน ดนตรีที่ใช้ในการฟ้อน คือ วงเครื่องประโคมประกอบด้วย กลองตึ่งโนง(กลองแอว) กลองตะหลดปด แสว่(ฉาบกลาง) ฆ้องโหย้ง(ฆ้องโหม่ง) และฆ้องอุ้ย (ฆ้องหุ่ย) ฟ้อนเป็นการแสดงเป็นหมู่มากกว่าเดี่ยว เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน เป็นต้น รำ เป็นการแสดงเดี่ยว ระบำ คือ รำเป็นหมู่ เต้น ถือเอาลีลาของเท้าเป็นสำคัญ นี่เป็นการอธิบายโดยใช้ความรู้ปัจจุบัน ถ้าวลี ฟ้อนระบำ มีความหมายเพียงการฟ้อนรำ ก็ไม่ต้องอธิบายอะไรอีก ส่วนคำว่า เต้น ที่น่าจะเป็นที่มาของโขน
59
ฟ้อนวี
60
รำ
61
ระบำ การร่ายรำแบบนี้ จะใช้ดนตรีชนิดใดมาประกอบก็น่าจะมีข้อกำหนดนัดหมายที่แน่นอนระหว่างดนตรีกับท่ารำ ถ้าไม่คำนึงถึงเครื่องดนตรีดำเนินทำนองอย่างน้อยก็ต้องมีฉิ่งมีกลองที่กำหนดจังหวะหรือหน้าทับที่แน่นอน มิฉะนั้นคนรำคงจะลำบาก เพราะจะเต้นแบบด้นไปคงไม่ได้ ดนตรีเองก็น่าจะเป็นท่วงทำนองที่มีความแน่นอน ไม่ใช้ด้นไปตามใจเช่นเดียวกัน
62
2. บทเพลงสำหรับขับกล่อม ได้แก่ การขับ การร้อง ดังข้อความที่ว่า บ้างดีด บ้างสี บ้างตี บ้างเป่า บ้างขับ, ลางจำพวก ดีดพิณแลสีซอพุงตอ เมื่อพิจารณาดู พิณกับซอพุงตอน่าจะบรรเลงด้วยกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าวงดนตรีประเภทเครื่องสายสมัยนี้ ไม่ได้มีแต่วงขับไม้อย่างเดียวเท่านั้น เพราะวงขับไม้ใช้ซอพุงตอเพียงอย่างเดียวเป็นเครื่องดำเนินทำนอง ถ้าหากมีพิณร่วมด้วยก็กลายเป็นต้นแบบของวงมโหรีโบราณที่มีใช้ในต้นสมัยกรุงศรีอยุธยา บทเพลงสำหรับวงขับไม้ และ/ หรือมโหรีโบราณที่น่าจะมีมาในสมัยนี้คือเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าดัดแปลงมาจากเพลงปราสาทไหว และเพลงเทพทอง
63
เพลงปราสาทไหวเป็นเพลงเก่าดั้งเดิมของล้านนา ไม่ทราบนามผู้แต่ง ทำนองเพลงใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์ เมื่อมีงานศพหรือเคลื่อนศพ เพลงปราสาทไหวมีการเปลี่ยนเสียง 5 ระดับเสียง ซึ่งมีชื่อเรียกต่างกันไปตามระดับเสียงต่าง ๆ เช่น แหย่หลวง ปราสาทไหว แหย่งน้อย เป็นต้น ในวงปี่พาทย์โดยทั่วไปจะบรรเลงจนครบ 5 ระดับเสียง แต่ในวงสะล้อ-ซึง นิยมบรรเลงเพียง 2 เสียง โดยทั้ง 2 ระดับเสียงบางที่เรียกว่า “แห่ปิ้น” โครงสร้างเพลงขับไม้เป็นเพลงท่อนเดียวที่เล่น 3 เที่ยว โดยการดัดแปลงทำนองและเปลี่ยนเสียงในท่อนที่ 2 และ 3 ท่อน 2 เปลี่ยนเสียงต่ำลงจากเสียงเดิม 3 เสียง และท่อน 3 เปลี่ยนกลับไปใช้เสียงเดิมจนดูเหมือนว่ามี 3 ท่อน ในการบรรเลงปัจจุบันจบลงด้วยท่อน 2 เพลงปราสาทไหวหรือแห่ปิ้นของล้านนาก็เป็นเพลงท่อนเดียวที่นิยมบรรเลงโดยการเปลี่ยนเสียง ระบบเสียงของเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ เป็นระบบ 5 เสียง คือ เสียงที บนพื้นฐานของระบบ 7 เสียงแบบไทย จำนวนจังหวะของแต่ละท่อนไม่เท่ากัน ถ้าพิจารณาในแง่ของโน้ตไทยท่อน 1 มี 12 ห้อง ท่อน 2 มี 16 ห้อง และท่อน 3 มี 8 ห้อง พิจารณาตามโครงสร้างของบทเพลงทั้ง 3 ท่อนนี้ ส่อเค้าว่ามีการดัดแปลงมาจากทำนองเดียวกัน แต่เปลี่ยนระดับเสียง บทเพลงดั้งเดิมอาจจะยาวกว่านี้ก็ได้
64
อ.มนตรี ตราโมท สันนิษฐานว่าเพลงเทพทองนี้ น่าจะมีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ดังคำอธิบายที่เขียนไว้ในหนังสืออ่านประกอบคำบรรยายวิชาพื้นฐานอารายธรรมไทยดังนี้ “มีอยู่เพลงหนึ่งที่สงสัยกันว่าเป็นเพลงสมัยสุโขทัย เพลงนั้นเป็นเพลงพื้นเมืองที่เราเรียกว่า เทพทอง เทพทองเป็นการแสดงพื้นเมืองเช่นเดียวกับเพลงฉ่อย แต่ว่าถ้อยคำที่เขาเล่นพื้นเมืองนี้หยาบโลนกว่าการแสดงใด ๆ ทั้งนั้น การเล่นที่ผู้เขียนได้เคยเห็นมา ไม่มีการเล่นใดจะหยาบโลนเท่าการเล่นเทพทองนี้เลย เพลงเทพทองนี้เมื่อได้เปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการมาป็นเพลงละครมีปี่พาทย์รับขึ้นได้เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าเพลงสุโขทัย บางท่านเรียกเทพทอง บางท่านก็เรียกเพลงสุโขทัย เพราะฉะนั้นจึงสงสัยว่าการเล่นพื้นเมืองเทพทองนี้ อาจจะมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว แต่ทว่าเวลานั้นคงเล่นกันเป็นพื้นเมืองเท่านั้น” (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2515, หน้า 165) การละเล่นแบบนี้มีความเชื่อที่ติดมาสมัยนับถือผีว่า ผีรักคนที่สุภาพเรียบร้อย แล้วจะนำตัวไปเร็ว คือ ตายเร็ว แต่ถ้าใครไม่เรียบร้อย ผีไม่ชอบ ก็จะนำตัวไปช้า จะได้มีอายุยืน จึงต้องแกล้งทำเป็นไม่เรียบร้อยเสียบ้าง
65
3. บทเพลงพิธีการ ได้แก่ บทเพลงที่ใช้เพื่อการประโคมและการแห่แหนดังเช่นที่พบในไตรภูมิพระร่วง ข้อความว่า พื้นฆ้องกลองแตรสังข์ระฆังกังสดาลมโหระทึกกึกก้อง เป็นต้น คนไทยสมัยสุโขทัยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ผู้มีอันจะกินนิยมกัลปนา (ถวาย) ที่ดิน บ่าวไพร่ ลูกชายลูกสาวให้เป็นข้ารับใช้พระอาราม นอกจากนั้นยังนิยมถวายเครื่องดนตรีด้วย ดังข้อความในจารึกว่า มีการถวายพาทย์คู่หนึ่ง ให้ข้าสองเรือนตีบำเรอแก่พระเจ้า...ฆ้องสองอัน กลองสามอัน แตรสังข์ เขาควายแต่งไว้ให้ถวายแก่พระเจ้า(ประชุมศิลาจารึกภาคที่ , หน้า 128) จารึกสมัยหลัง ๆ ช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 กล่าวถึงเจ้านายฝ่ายในได้สร้างวัดชื่อ อโศการาม ได้กัลปนาผู้ดูแล 50 ครอบครัว ทั้งยังถวายเครื่องดนตรีต่าง ๆ ได้แก่ พาทย์ถ้วนสำรับกับแตรสังข์ พร้อมทั้งพนักงานประโคม (ประชุมศิลาจารึกภาคที่ , หน้า 55)
66
บทบาทหน้าที่ของดนตรีพิธีการในสังคมสมัยนั้น ไม่เพียงแต่เพื่อการประโคมหรือแห่แหน แต่ยังมีบทบาทหน้าที่โดยตรงต่อศาสนาพุทธอีกด้วย ดนตรีที่ใช้ในวัดนั้น เมื่อพิจารณาก็พบว่ามีระฆัง กังสดาล มโหระทึก 3 สิ่งนี้ใช้สำหรับวัดแน่นอน ส่วนคำว่าฆ้อง น่าจะหมายถึงฆ้องเดี่ยว เช่น ฆ้องหุ่ยหรือฆ้องชัย สร้างเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา กลองสองอันนั้นน่าจะเป็นกลองเพล เพราะฆ้องกับกลองมักจะใช้คู่กัน กลองตีเป็นเสียงตุ้ม ฆ้องเป็นเสียงโมง ใช้บอกเวลากลางวันกลางคืน แตรสังข์ เขาควาย เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้เป่าเป็นสัญญาณเวลาพระจะลงอุโบสถ เวลาโยมมาทำบุญตักบาตรตอนเช้าในวันธรรมสวนะ หรือตามสมควร พาทย์คู่หนึ่ง และพาทย์ถ้วนสำรับ แสดงว่าข้าเรือนหนึ่งสำหรับตีพาทย์ชุดหนึ่ง พาทย์สองชุดก็ต้องใช้ข้าสองเรือน ข้อความตอนนี้แสดงให้เห็นว่า พาทย์ ที่ว่านี้จะต้องมีเครื่องดนตรีจำนวนมาก เมื่อพิจารณาดูว่าที่วัดมีกิจกรรมอะไรบ้างที่ใช้ดนตรีเป็นองค์ประกอบ ก็คงจะหนีไม่พ้นการทำบุญ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ตรุษสงกรานต์ การเทศน์มหาชาติ การบวชนาค และการทำศพ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมสำคัญของชาวพุทธมาแต่โบราณ งานเหล่านี้คงใช้กลองเล็ก-กลาง-ใหญ่ โหม่งหรือฉาบและปี่ ซึ่งน่าจะเป็นวงเครื่องห้า แต่ไม่น่าจะใช่วงเครื่องห้าที่สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงกล่าวถึง คงจะต้องมีวงดนตรีอะไรสักวงหนึ่งที่เสียงดนตรีและบทเพลงมีอำนาจ มีอิทธิพลต่อจิตใจชวนให้สงบมีสมาธิ
67
สรุปท้ายบท เครื่องดนตรีไทยในสมัยสุโขทัย จำแนกตามประเภทมีดังนี้ คือ
เครื่องเป่า (Aerophone ) ได้แก่ ปี่สรไน(ปี่ไฉน) พิสเนญชัย(แตรเขาควาย) สังข์ กาหล(แตรงอน) เครื่องสาย (Chordophone) ได้แก่ พิณเพี้ยะ พิณน้ำเต้า ซึง กระจับปี่ ซอพุงตอ(ซอสามสาย) เครื่องตี เครื่องกระทบ (Idiophone) ได้แก่ พาทย์(ระนาด) ฆ้อง กังสดาล ฉิ่ง แฉ่ง(ฉาบ) กรับ เครื่องหนัง (Membranophone) ได้แก่ มฤทงค์(ตะโพน) ดังเดือด(กลองเพลหรือกลองทัด) ทะเทียด(กลองมลายู) กลองใหญ่ กลองราม กลองเล็ก บัณเฑาะว์
68
การประสมวงดนตรีในสมัยสุโขทัย อาจจำแนกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ดนตรีในราชสำนัก และดนตรีของชาวบ้าน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 วง ได้แก่ การบรรเลงพิณ วงขับไม้ ใช้สำหรับพระราชพิธีต่าง ๆ วงปี่พาทย์ ใช้สำหรับละครพื้นเมือง และการแสดงโขน วงเครื่องประโคม ใช้สำหรับประกอบเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ และงานศาสนาพิธี ระบบเสียงธรรมชาติของไทยเราเหมือนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั่วไปที่แบ่งหนึ่งช่วงทบ (Octave) ออกเป็น 7 เสียง และมีบทเพลงที่บรรเลงแบบ 5 เสียงแล้วมีการเปลี่ยนระดับเสียงให้สูงขึ้นหรือต่ำลง (Modulation) บทเพลงสมัยสุโขทัยอาจจำแนกได้ 3 ประเภท คือ บทเพลงสำหรับประกอบการแสดง บทเพลงสำหรับขับกล่อม และบทเพลงพิธีการ
งานนำเสนอที่คล้ายกัน
© 2025 SlidePlayer.in.th Inc.
All rights reserved.