งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

งานนำเสนอกำลังจะดาวน์โหลด โปรดรอ

เซลล์และองค์ประกอบสำคัญของเซลล์

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


งานนำเสนอเรื่อง: "เซลล์และองค์ประกอบสำคัญของเซลล์"— ใบสำเนางานนำเสนอ:

1 เซลล์และองค์ประกอบสำคัญของเซลล์

2 โครงสร้างและออร์แกน เซลล์พืช เซลล์สัตว์ ผนังเซลล์ 2. เยื่อหุ้มเซลล์ 3. นิวเคลียส 4. ไรโบโซม 5. เอนโดพลาสมิกเรติคิวลัม 6. กอลจิบอดี 7. ไมโทคอนเดรีย 8. แวคิวโอล 9. เซนทริโอล 10. คลอโรพลาสต์ 11. ไซโทพลาสซึม 12. ไลโซโซม

3 ใบงานที่ 2 กิจกรรมที่ 2.1 บทที่ 2 ดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
1.ให้นักเรียนบอกข้อแตกต่างของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ โครงสร้าง หน้าที่ ว่าแตกต่างกันอย่างไร 2.ให้นักเรียนบอกข้อแตกต่างของ Prokaryotic Cell และ Eukaryotic Cell

4

5 Nucleolus

6 Nucleus

7 Risosomes

8 Vesicles

9 rough endoplasmic reticulum : RER

10 Golgi apparatus

11 cytoskeleton

12 smooth endoplasmic reticulum : SER

13 mitochondria

14 vacuole

15 Cytoplasm

16 lysosome

17 centriole

18

19 เซลล์พืชและเซลล์สัตว์
เรื่อง เซลล์พืชและเซลล์สัตว์

20

21 โครงสร้างและออร์แกน เซลล์พืช เซลล์สัตว์ ผนังเซลล์ มี ไม่มี 2. เยื่อหุ้มเซลล์ 3. นิวเคลียส 4. ไรโบโซม 5. เอนโดพลาสมิกเรติคิวลัม 6. กอลจิบอดี 7. ไมโทคอนเดรีย 8. แวคิวโอล 9. เซนทริโอล 10. คลอโรพลาสต์ 11. ไซโทพลาสซึม 12. ไลโซโซม

22 เซลล์และทฤษฎีเซลล์ ● เซลล์เป็นหน่วยโครงสร้างที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต - เซลล์รวมกันเป็นเนื้อเยื่อ - เนื้อเยื่อรวมกันเป็นอวัยวะ ● สิ่งมีชีวิตบางชนิดมีเพียงเซลล์เดียว บางชนิดมีหลายเซลล์ ● เซลล์ของสิ่งมีชีวิต มีรูปร่าง ขนาด และ โครงสร้างแตกต่างกัน

23 เซลล์และทฤษฎีเซลล์

24 เซลล์และทฤษฎีเซลล์ ● ค.ศ Robert Hook นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ชนิดเลนส์ประกอบ (compound microscope) นำมาศึกษา ไม้คอร์ก พบว่า ประกอบด้วยช่องว่างเล็ก ๆ จำนวนมากเรียงต่อกัน จึงเรียกช่องนี้ว่า “เซลล์” (cell) พบครั้งแรกเป็นเซลล์ตายแล้ว ยังคงรูปได้เนื่องจากมี ผนังเซลล์ (cell wall)

25 เซลล์และทฤษฎีเซลล์ ● พ.ศ มัทติอัส ยอคอบ ชไลเดน นักพฤกษศาสตร์ เยอรมัน ค้นพบว่า - พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีหลายเซลล์ ● พ.ศ เทโอดอร์ ชวันน์ นักสัตววิทยา เยอรมัน ค้นพบว่า สัตว์ทั้งหลายมีเซลล์เป็นองค์ประกอบ ทั้ง 2 คนจงก่อตั้ง ทฤษฎีเซลล์ (Cell Theory) สิ่งมีชีวิตประกอบด้วยเซลล์ และเซลล์เป็นหน่วยพื้นฐาน ของสิ่งมีชีวิต

26 โครงสร้างเซลล์ (รูปร่างและขนาด)
Unit abbreviation value 1 centimeter cm meter 1 millimeter mm meter 1 micrometer µm meter 1 nanometer nm meter 1 angstrom A meter

27 โครงสร้างเซลล์ (จำแนกเซลล์)
เซลล์โพรแคริโอต (prokaryotic cell) เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็ก มีขนาดประมาณ 0.1 – 10 ไมครอน ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส (nuclear membrane) เช่น แบคทีเรีย ไมโคพลาสมา สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน

28 โครงสร้างเซลล์ (จำแนกเซลล์)
เซลล์ยูแคริโอต (eukaryotic cell) เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความหลากหลาย ทั้งขนาด รูปร่างลักษณะ จัดระบบอวัยวะ และการดำรงชีวิต ได้แก่ อาณาจักรพืช , อาณาจักรสัตว์ อาณาจักรฟังไจ อาณาจักรโพรทิสตา

29 โครงสร้างของเซลล์ 1. นิวเคลียส (nucleus) 2. ไซโทพลาสซึม
เซลล์โดยทั่วไปไม่ว่าจะมีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่จะมีลักษณะโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน เซลล์ของสิ่งมีชีวิต มีส่วนประกอบที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานอยู่ 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ 1. นิวเคลียส (nucleus) 2. ไซโทพลาสซึม 3. ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ ได้แก่ เยื้อหุ้มเซลล์ (cell membrane) และ ผนังเซลล์ (cell wall)

30 1.นิวเคลียส (Nucleus) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของเซลล์เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เพราะเป็นที่บรรจุสารพันธุกรรม และควบคุมการทำงานของเซลล์ พบในเซลล์โดยทั่วไปเซลล์จะมี 1 นิวเคลียส ยกเว้น พารามีเซียม มี 2 นิวเคลียส เซลล์พวกยูแคริโอตจะมีเยื่อหุ้มนิวเคลียสล้อมรอบ มีลักษณะเหมือนเยื่อหุ้มเซลล์ บนเยื่อมีรูเล็ก ๆมากมาย เรียกว่า นิวเคลียร์พอร์ ( nuclear pore )

31 นิวเคลียส (Nucleus)

32 โครงสร้างของนิวเคลียส แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ

33 1. เยื่อหุ้มนิวเคลียส (Nuclear Membrane)
2 ชั้นอยู่รอบนิวเคลียส มีสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่านเช่นเดียวกับ เยื่อหุ้มเซลล์ - มีรูเล็ก ๆ (nuclear pore) กระจายอยู่ทั่วไปเพื่อเป็นช่องทาง แลกเปลี่ยนของสารระหว่างนิวเคลียสกับไซโทพลาซึม โดย - บริเวณเยื่อชั้นนอกจะมีไรโบโซมเกาะติดอยู่ทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีน

34 เยื่อหุ้มนิวเคลียส (Nuclear Membrane)

35 2. สารในนิวเคลียส (nucleoplasm)
1. นิวคลีโอลัส (Nucleolus) - เป็นโครงสร้างที่ปรากฏเป็นก้อนเล็ก ๆ อยู่ในนิวเคลียส เห็นได้ชัดในช่วง ไม่มีการแบ่งเซลล์ - เซลล์โดยทั่วไปมีนิวคลีโอลัส 1-2 อัน หรือมากกว่าขึ้นกับกิจกรรม เช่น ในเซลล์ตับจะมีนิวคลีโอลัส 2 อัน - ประกอบด้วย กรดนิวคลีอิก RNA และ โปรตีนชนิด ฟอสโฟโปรตีน - เป็นบริเวณที่สังเคราะห์ ไรโบนิวคลีอิก (Ribonucleic acid หรือ RNA) และสารอื่นที่เป็นองค์ประกอบของไรโบโซม โดยสารเหล่านี้จะถูกส่งผ่านรูของเยื่อหุ้มนิวเคลียสออกไปยังไซโทพลาซึมเพื่อเป็นส่วนประกอบสำคัญของไรโบโซม

36 นิวคลีโอลัส (Nucleolus)

37 นิวคลีโอลัส และโครมาทิน

38 2. โครมาทิน (Chromatin) - มีลักษณะเป็นเส้นใยขดไปมาเป็นร่างแห โดยในระยะแบ่งเซลล์จะขดแน่นขึ้นจนเห็นลักษณะเป็นแท่ง เรียกว่า โครโมโซม (Chromosome) - เป็นโครงสร้างของกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (Deoxyribonucleic acid หรือ DNA) - เมื่อแบ่งเซลล์จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า - โครมาทิน หรือ โครโมโซม เป็นส่วนของสารพันธุกรรมที่ควบคุมลักษณะพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต สามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกได้

39 3. สารประกอบทางเคมีของนิวเคลียส ประกอบด้วย
3. สารประกอบทางเคมีของนิวเคลียส ประกอบด้วย        1. ดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (deoxyribonucleic acid) หรือ DNA เป็นส่วนประกอบของโครโมโซมนิวเคลียส 2. ไรโบนิวคลีอิก แอซิด (ribonucleic acid) หรือ RNA เป็นส่วนที่พบในนิวเคลียสโดยเป็นส่วนประกอบของ นิวคลีโอลัส

40 - ไซโทพลาซึมเป็น ของเหลวที่อยู่รอบนอกนิวเคลียส
2. ไซโทพลาสซึม - ไซโทพลาซึมเป็น ของเหลวที่อยู่รอบนอกนิวเคลียส - ขณะเมื่อเซลล์ยังมีชีวิตอยู่ไซโทพลาซึมจะไหลวนอยู่ภายใน เซลล์ และมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีตลอดเวลา - ไซโทพลาซึมประกอบด้วยสาร ได้แก่ น้ำ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์จากเซลล์ อินคลูชัน(inclusion) ประกอบด้วยออร์แกเนลล์ ที่เทียบได้กับอวัยวะของเซลล์ที่ทำ หน้าที่ต่าง ๆ ให้แก่เซลล์

41 ออร์แกเนลล์ ออร์แกเนลล์ เป็นโครงสร้างย่อยอยู่ภายในไซโตพลาสซึม
-ออร์แกเนลล์ส่วนใหญ่มีเยื่อหุ้ม ทำให้องค์ประกอบภายในออร์แกเนลล์แยกออกจากองค์ประกอบอื่นๆ ใน ไซโตพลาสซึม

42 ออร์แกเนลล์ -ปฏิกิริยาทางชีวเคมีในแต่ลออแกเนลล์เกิดขึ้นได้
อย่างอิสระ -ภายในเซลล์มีออร์แกเนลล์หลายชนิด แต่ละชนิด จะมี โครงสร้างและหน้าที่แตกต่างกัน

43 1. ออร์แกเนลล์ที่ไม่มีเยื่อหุ้ม
1. ไรโบโซม (Ribosome) ลักษณะของไรโบโซม - เป็นออร์แกเนลล์ที่ไม่มีเยื่อหุ้ม - เป็นออร์แกเนลล์ที่มีขนาดเล็กมาก พบในเซลล์ยูแคริโอต และโพรแคริโอต แต่ ไม่พบในไวรัส สเปิร์มที่แก่เต็มที่ และเม็ดเลือดแดง

44 ออร์แกเนลล์ที่ไม่มีเยื่อหุ้ม
- ประกอบด้วย โปรตีนและกรดไรโบนิวคลีอิก (rRNA) ทำหน้าที่ สังเคราะห์โปรตีน เพื่อใช้ภายในหรือนอกเซลล์ - ประกอบด้วยหน่วยย่อย 2 หน่วย คือ หน่วยย่อยขนาดเล็กและหน่วย ย่อยขนาดใหญ่ จะอยู่แยกกันและจะประกบติดกัน ขณะสังเคราะห์โปรตีน - ไรโบโซมอิสระ อยู่ในไซโทพลาซึม จะสร้างโปรตีนใช้ในเซลล์ พบที่ เม็ดเลือดแดงที่อายุน้อย ทำหน้าที่ สร้างฮีโมโกลบิน

45 ไรโบโซม - ไรโบโซม เกาะรวมกับ ร่างแหเอนโดพลาสมิค เรติคิวลัม ทำหน้าที่ สังเคราะห์โปรตีนเพื่อการส่งออกนอกเซลล์ - ไรโบโซมที่เยื่อหุ้มนิวเคลียส สังเคราะห์โปรตีนใช้ใน นิวเคลียส

46 2. เซนทริโอล (centriole)
ลักษณะ - เป็นออร์แกเนลล์ที่ไม่มีเยื่อหุ้ม พบในเซลล์สัตว์และ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ไม่พบในเซลล์พืชและพวกเห็ด รา - มีลักษณะเป็นทรงกระบอกสองอันวางตัวในแนวตั้งฉากกัน อยู่ใกล้ ๆ กับเยื่อหุ้มนิวเคลียส - แต่ละอันประกอบด้วยหลอดเล็กๆ เรียกว่า ไมโครทิวบูล (microtubule) เรียงตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 3 หลอด มีทั้งหมด 9 กลุ่ม (9+0=27)

47 โครงสร้างเซนทริโอล (centriole)

48 หน้าที่ของเซนทริโอล - เซนทริโอลแต่ละคู่ เรียกว่า เซนโทรโซม (centrosome) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเส้นใยไมโทติกสปินเดิล - เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของโครโมโซมและแยกโครมาติดแต่ละคู่ออกจากกันขณะเกิดการแบ่งเซลล์ของเซลล์สัตว์ มี โพลาร์ แคป ( polar cap) ทำหน้าที่คล้าย เซนทริโอล - เป็นเบซัลบอดี (Basal body) คือ โครงสร้างที่ยึดติดกับเซลล์ของร่างกาย โดยสร้างและควบคุมการเคลื่อนไหวของซีเลียและแฟลเจลลัม - ซีเลีย และแฟลเจลลัม ประกอบด้วย ไมโครทิวบูลเรียงตัวเป็น วง 9 กลุ่มๆละ 2 อัน และตรงกลางอีก 2 อัน = 20 ตามสูตร 9+ 0 = 20

49 3. ไซโทสเกเลตอน (cytoskeleton) : โครงร่างที่ค้ำจุนเซลล์ เป็นเส้นใยโปรตีนที่เชื่อมโยงกันเป็นร่างแหเพื่อค้ำจุนรูปร่าง ของเซลล์และเป็นที่ยึดเกาะของออร์แกเนลล์ เช่น ไมโทคอนเดรีย ให้อยู่ตามตำแหน่งต่าง ๆ จึงเปรียบคล้ายกับโครงกระดูกของ เซลล์ พบทั้งเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ - ทำหน้าที่ลำเลียงออร์แกเนลล์ ให้เคลื่อนที่ภายในเซลล์ รวมทั้งการเคลื่อนที่ ของเซลล์บางชนิด

50 1. ไมโครฟิลาเมนท์ ( microfilament )
3. ไซโทสเกเลตอน (cytoskeleton) : โครงร่างที่ค้ำจุนเซลล์ แบ่งเป็น 3 ชนิด ตามองค์ประกอบของหน่วยย่อย 1. ไมโครฟิลาเมนท์ ( microfilament ) 2. ไมโครทิวบูล (microtublue) อินเตอร์มีเดียทฟิลาเมนท์ (intermediate filaments)

51 1.ไมโครฟิลาเมนท์ (microfilament) หรือแอกทินฟิลาเมนท์ (actin filaments)
ประกอบด้วย เส้นใยโปรตีนแอกทินที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7 นาโนเมตร รูปร่างกลมต่อกันเป็นสาย 2 สายพันกันเป็นเกลียวคล้ายสายสร้อยไข่มุก หน้าที่ของไมโครฟิลาเมนท์ 1.ทำให้เกิดการหดตัวและคลายตัวของเซลล์กล้ามเนื้อของสัตว์เกิดจากการเลื่อนตัวเข้าหากันของโปรตีนแอกทิน (Actin)

52 1.ไมโครฟิลาเมนท์ (microfilament) หรือแอกทินฟิลาเมนท์ (actin filaments)
2. ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของเซลล์ เช่น เซลล์อะมีบา เซลล์เม็ดเลือดขาวการเลื่อนตัวของแอกทินจะทำให้เกิด เท้าเทียม (Pseudopodium) เรียกการเคลื่อนไหวแบบอะมีบอย (Amoeboid movement ) 3.โปรตีนแอกทินจะรัดให้ไซโทพลาซึมแยกออกจากกันเกิดเป็น 2 เซลล์ 4.ทำให้เกิดการหด และยืดตัวของไมโครวิลลัส และเซลล์ท่อหน่วยไต

53 ภาพการยึดเกาะกับไซโทสเกเลตอน ของออร์แกเนลล์

54

55 2.ไมโครทิวบูล (microtubule) เป็นหลอดกลวงมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 นาโนเมตร เกิดจาก โปรตีนที่เรียกว่า ทูบูลิน(tubulin) เรียงต่อกันเป็นสาย หน้าที่ของไมโครทิวบูล 1. ควบคุมการไหลของไซโทพลาซึมที่เรียกว่า ไซโคลซิส มีบทบาท ในการเคลื่อนที่เกือบทุกอย่างในเซลล์ 2. การทำงานของซีเลียและแฟกเจลลัม การแยกโครโมโซมออกจาก กันรวมทั้งช่วยควบคุมรูปร่างของเซลล์ จึงเป็นเสมือนโครงกระดูกของ เซลล์

56 ภาพโครงสร้างโปรตีนทูบูลินเรียงต่อกันเป็นสาย
ภาพโครงสร้างโปรตีนทูบูลินควบคุมรูปร่างของเซลล์

57 3.อินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนท์ (intermediate filaments) ลักษณะเป็นเส้นใยที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8-10 นาโนเมตร ประกอบด้วยเส้นใยโปรตีนซึ่งเรียงตัวเป็นสายยาวๆ 4 สาย 8 ชุดพันบิดกัน เป็นเกลียว อินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนท์มี 8 ชุด จัดเรียงตัวเป็นร่างแหตาม ลักษณะรูปร่างของเซลล์ - หน้าที่ ทำให้เซลล์คงรูปร่าง - ผิวหนัง จะสร้างอินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนท์จากโปรตีนพวกเคอราทิน เมื่อเซลล์ผิวหนังตาย อินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนท์ยังคงอยู่ ผม และเล็บของ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมก็สร้างด้วยวิธีเดียวกัน

58 ภาพโครงสร้างอินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนท์ เรียงตัวเป็นสายยาวๆ พันบิดกันเป็นเกลียว
ภาพโครงสร้างอินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนท์ ควบคุมรูปร่างของเซลล์

59 ออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม 1 ชั้น
1.เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม (Endoplasmic reticulum:ER) = โรงงานผลิตและลำเลียงสารในเซลล์ มีลักษณะเป็นท่อแบนใหญ่ บางบริเวณโป่งออกเป็นถุง เรียงขนานและซ้อนกันเป็นชั้น ๆ - ภายในมีของเหลวบรรจุอยู่และมีท่อเชื่อมถึงกันเป็นร่างแห - อยู่ล้อมรอบนิวเคลียสและเชื่อมกับเยื่อหุ้มนิวเคลียส

60 ออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม 1 ชั้น
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1. เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขรุขระ (Rough Endoplasmic reticulum , r-ER ) 2. เอนโดรพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบ (Smooth Endoplasmic reticulum , s-ER)

61 ภาพโครงสร้างเอนโดพลาสมิกเรติคิวลัมแบบขรุขระ และแบบเรียบ

62 1 . เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขรุขระ (Rough Endoplasmic reticulum r-ER )
ที่ผิวนอกของเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม มีไรโบโซม เกาะอยู่ทำให้มองดูคล้ายผิวขรุขระ - หน้าที่ ผลิตสารพวกไกลโคโปรตีน และขับออกนอกเซลล์ในรูป ซีครีชั่น เช่น เซลล์ตับอ่อนสร้างน้ำย่อย และฮอร์โมน เพื่อขับออกนอกเซลล์ การสังเคราะห์โปรตีน เกิดขึ้นบน ไรโบโซมที่อยู่บนผนัง r-ER แล้วลำเลียงเข้าไปใน r-ER รวมกับเอนไซม์ภายใน r-ER จึงส่งต่อไปกอลจิบอดี

63 2. เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบ (Smooth Endoplasmic reticulum s-ER)
- ลักษณะเป็นร่างแหที่ไม่มีไรโบโซมเกาะอยู่บนผิวเมมเบรน หน้าที่ของ s-ER 1. ในเซลล์ต่อมไร้ท่อ เช่น เซลล์ชั้นนอกของต่อมหมวกไต อัณฑะ รังไข่ จะสังเคราะห์สาร สเตียรอยด์ เช่น ฮอร์โมนเพศ ไตรกรีเซอไรด์ และสารประกอบของคอเลสเทอรอล 2. ในเซลล์ตับทำลายสารพิษที่อยู่ในเซลล์ ในเซลล์ตับจึงมี s-ER มาก

64 2. เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบ (Smooth Endoplasmic reticulum s-ER)
3. ในเซลล์กล้ามเนื้อยึดกระดูกและและกล้ามเนื้อหัวใจ จะควบคุมการผ่านเข้าออกของแคลเซียมไอออน ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ 4. ในเซลล์เยื่อบุผิวลำไส้เล็ก ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารประเภทไขมัน เซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างพวกโปรตีนหรือเอนไซม์จะมี r-ER มาก เช่น เซลล์ตับอ่อน ส่วนเซลล์ที่ขับสารสเตรอยด์ เช่น เซลล์ที่ต่อมหมวกไต อัณฑะ และรังไข่ จะมี s-ER มาก

65 2. กอลจิแอพพาราตัส: ( Golig apparatus) แหล่งรวบรวม บรรจุ และขนส่ง ลักษณะเป็นกลุ่มของถุงกลมแบน ๆ คล้ายจาน เรียกว่า ซิสเทอร์นา (cisterna) เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ประมาณ ชั้น - บริเวณตรงขอบโป่งพองเป็นถุงเล็กๆ เรียก เวสิเคิล (vesicle) มักพบอยู่ใกล้กับ ER ถุงด้านที่รับเวสิเคิลเรียกว่า ซิส (cis) ด้านที่ สร้างเวสิเคิลเรียกว่า ทรานส์ (trans) - มีในเซลล์พืชและสัตว์ชั้นสูงเกือบทุกชนิด ยกเว้นเซลล์เม็ดเลือด แดงที่โตเต็มที่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

66 2. กอลจิแอพพาราตัส: ( Golig apparatus) แหล่งรวบรวม
บรรจุและขนส่ง หน้าที่ของกอลจิคอมเพล็กซ์ - เติมกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ให้กับโปรตีนหรือลิพิดที่ส่งมาจาก r-ER เกิดเป็น ไกลโคโปรตีน และไกลโคลิพิด แล้วสร้างเวสิเคิล บรรจุสารเหล่านี้ไว้ เพื่อส่งออกไปภายนอกเซลล์ - มีส่วนสำคัญในการสร้างผนังเซลล์ และสารเคลือบเยื่อหุ้มเซลล์

67 โครงสร้างของกอลจิแอพพาราตัส

68 3. ไลโซโซม ( Lysosome ): ผู้ขนส่งเอนไซม์ ลักษณะ
- พบเฉพาะใน เซลล์สัตว์ เกือบทุกชนิด และโพรติสต์บางชนิด ไม่พบในเซลล์พืช - ไลโซโซม มีกำเนิดมาจาก เอนโดพลามิก เรติคิวลัม และกอลจิ แอพพาราตัส เป็นถุงเล็กๆบรรจุเอนไซม์ เป็นไลโซโซมลำดับที่หนึ่ง

69 หน้าที่ - เก็บสะสมเอนไซม์ ที่ใช้ย่อยสลายสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน และกรดนิวคลีอิก - ย่อยออร์แกเนลล์ ที่หมดอายุ ของเซลล์ตัวเอง (autolysis) หรือสิ่ง แปลกปลอม เช่น แบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย หางลูกอ๊อดที่หดสั้นลง ในขณะ เมแทบอลิซึม - ถุงเอนไซม์เมื่อรวมกันกับ Food vacuole มีการย่อยเกิดเป็น ไลโซโซมลำดับที่สอง - ในคน ไลโซโซมพบมากในเม็ดเลือดขาวชนิดฟาโกไซต์ที่กินเชื้อโรค

70 ภาพแสดงการเกิดและโครงสร้างไลโซโซม

71 4. แวคิวโอล (Vacuole) ถุงบรรจุสาร
ลักษณะ - เป็นถุงที่มีเยื่อหุ้มชั้นเดียว สำหรับเวสิเคิลที่มีขนาดใหญ่อาจเรียกว่า แวคิวโอล มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกัน แวคิวโอลมีหลายชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันไป คือ คอนแทร็กไทล์แวคิวโอล (contractile vacuole) ทำหน้าที่ขับ น้ำที่มากและของเสียออกจากเซลล์ พบในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น อะมีบา พารามีเซียม

72 4. แวคิวโอล (Vacuole) ถุงบรรจุสาร
2. ฟูดแวคิวโอล (food vacuole) เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาว สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวไฮดรา นำอาหารจากภายนอกเข้าสู่เซลล์เพื่อย่อย สลายด้วยเอนไซม์จากไลโซโซมต่อไป 3. แซบแวคิวโอล (sap vacuole) เป็นแวคิวโอลที่พบในเซลล์พืช ขณะที่เซลล์พืชอายุน้อยมีแวคิวโอลขนาดเล็กจำนวนมาก แต่เมื่อเซลล์ มีอายุมากขึ้นแวคิวโอลเหล่านี้จะรวมเป็นถุงเดียวกันทำให้มีขนาด ใหญ่ขึ้น ทำหน้าที่ สะสมสารบางชนิด เช่น น้ำ แก๊ส เกลือ รงควัตถุ ไอออน น้ำตาล กรดอะมิโน ผลึกและสารพิษต่างๆ

73 สีของกลีบดอกไม้สีแดง ม่วง น้ำเงิน มีสารสีแอนไธไซยานิน (Anthocyanin) ละลายอยู่ในแซบแวคิวโอล
โครงสร้างแวคิวโอลของเซลล์พืช

74 5. เพอรอกซิโซม (Peroxisome)
ลักษณะ - เป็นถุงกลมมีกำเนิดมาจากกอลจิ บอดี ภายในบรรจุ เอนไซม์ เพอรอกซิเดส หรือ คาทาเลส หน้าที่ -เอนไซม์คาทาเลส ใช้สลายสารพิษไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ไปเป็นน้ำ และออกซิเจน โครงสร้างเพอรอกซิโซมในเซลล์สัตว์และพืช

75 ออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น
1.ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) ลักษณะ - มีรูปร่างค่อนข้างยาว เยื่อหุ้มไมโทคอนเดรียมี 2 ชั้น เยื่อชั้นนอกมี ลักษณะเรียบ ชั้นในจะพับทบแล้วยื่นเข้าไปด้านใน ส่วนที่ยื่นเข้าไปนี้ เรียกว่า คริสตี (cristae) เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิว

76 ออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น
1.ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) - ภายในไมโทคอนเดรียมีของเหลวบรรจุอยู่เรียกว่า เมทริกซ์ (matrix) มีสาร พันธุกรรมเป็น DNA จะควบคุมการสร้าง โพลีเพปไทด์ ที่เป็นองค์ประกอบ ของเอนไซม์ในกระบวนการ ออกซิเดทีฟ ฟอสฟอรีเรชัน (OXIDATIVE PHOSPHORYLATION) ที่เกี่ยวกับกระบวนการหายใจระดับเซลล์ สร้าง พลังงาน ATP และ การจำลองตัวของไมโทคอนเดรีย -เซลล์ที่ทำกิจกรรมมากจะมีไมโทคอนเดรียมาก เช่น เซลล์ตับสร้างน้ำดี

77 หน้าที่ของไมโทคอนเดรีย
- ผลิตพลังงานเพื่อใช้ภายในเซลล์และการทำกิจกรรมของร่างกายในรูปสารอินทรีย์ ATP - การสร้างพลังงานเกิดขึ้นที่ผนังชั้นในที่มีเอนไซม์จำนวนมาก โครงสร้างของไมโทคอนเดรีย

78 2.พลาสติด (plastid) ลักษณะ เป็นออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้นพบในเซลล์พืชทั่วไปและสาหร่าย ยกเว้นสาหร่าย สีเขียวแกมน้ำเงิน พลาสติดมีสีแตกต่างกันจำแนกได้ 3 ชนิด คือ คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) ลักษณะคลอโรพลาสต์ - เป็นพลาสติดที่มีสีเขียวเนื่องจากมีสารคลอโรฟิลล์ เป็นองค์ประกอบเป็น ส่วนใหญ่ และแคโรทีนอย เป็นแหล่งสร้างอาหารของเซลล์พืชและโพรทิสต์บางชนิด - เยื่อหุ้มชั้นในเป็นเยื่อบางๆ แผ่เข้าไปเรียก ลาเมลลา มีลักษณะพับไปมาคล้ายถุง แบนๆที่มีเยื่อหุ้มเรียกว่า ไทลาคอยด์ (thylakoid) และไทลาคอยด์เรียงซ้อนกัน เรียกว่า กรานุม(granum) แต่ละกรานุมมีโครงสร้างเชื่อมต่อถึงกัน

79 - บนไทลาคอยด์มีสารสีที่ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เช่น คลอโรฟิลล์ แคโรทีนอยด์ (carotenoid) และมีของเหลวที่เรียกว่า สโตรมา (stroma) อยู่ โดยรอบไทลาคอยด์ ในของเหลวนี้มีเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ สังเคราะห์ด้วยแสง หน้าที่ของคลอโรพลาสต์ - สังเคราะห์ด้วยแสง โดยคลอโรฟิลล์บนไทลาคอยด์จะรับพลังงานแสงเข้าสู่เซลล์ - สังเคราะห์โปรตีน เนื่องจากคลอโรพลาสต์ มี DNA และไรโบโซม - แบ่งตัวเองได้เนื่องจาก มีสารพันธุกรรม (DNA)

80

81 2. ลิวโคพลาสต์ (leucoplast) ลักษณะ
- เป็นพลาสติดที่ไม่มีรงควัตถุ (Pigment) จึงมีสีขาว - พบตามเซลล์ของเนื้อเยื่อสะสมอาหารของราก ผล หรือลำต้น ใต้ดิน หน้าที่ - สะสมเม็ดแป้งที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสง พบในเซลล์ของ รากและเซลล์ที่ สะสมอาหาร เช่นเซลล์ของหัวมันเทศ มันแกว เผือก ผลไม้ กล้วยและใบพืชบริเวณ ที่ไม่มีสี

82 3. โครโมพาสต์ (chromoplast)
ลักษณะ - เป็นพลาสติดที่มีสารที่ทำให้เกิดสีต่างๆ ยกเว้นสีเขียว ทำให้ ดอกไม้ ผลไม้และใบไม้ มีสีสันสวยงาม เช่น ผลสีแดงของพริก รากของแครอท และใบไม้แก่ๆ เนื่องจากมี สารพวกแคโรทีนอยด์ จึงทำให้เกิดสีแดง สีส้ม และสีเหลือง

83 3. ไซโทซอล (Cytosol) - เป็นส่วนของไซโทพลาซึมที่ไม่รวมออร์แกเนลอื่นๆ มี ลักษณะเป็นสารกึ่งแข็งกึ่งเหลว มีอยู่ประมาณร้อยละ ของปริมาตรเซลล์ทั้งหมด - เซลล์ส่วนใหญ่มักมีปริมาตรของไซโทซอล ประมาณ 3 เท่า ของปริมาตรนิวเคลียส

84 ไซโทซอล (Cytosol) เซลล์บางเซลล์มีการไหลของไซโทพลาซึมไปรอบๆเซลล์เรียก การไหลนี้ว่า ไซโคลซิส (cyclosis ) เป็นผลจากการหดและ คลายของไมโครฟิลาเมนท์ - บริเวณเอนโดพลาซึมมีลักษณะค่อนข้างเหลวเป็นที่อยู่ของ ออร์แกเนลล์ต่างๆ นอกจากนี้ในไซโทซอลยังอาจพบโครงสร้าง อื่นๆ เช่น ก้อนไขมัน เม็ดสีต่าง ๆ เป็นต้น

85 3. ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ ส่วนของเซลล์ที่ทำหน้าที่ห่อหุ้มองค์ประกอบภายใน
เซลล์ให้คงรูปอยู่ได้ ประกอบด้วย 1. เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) 2. ผนังเซลล์ (Cell wall)

86 1. เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane)
ลักษณะ - เป็นเยื่อที่บางมากประมาณ 10 นาโนเมตร ประกอบด้วยโปรตีนประมาณ 60% ลิพิดประมาณ 40% - ประกอบด้วยฟอสโฟลิปิดจัดเรียงตัวกันเป็น 2 ชั้น (lipid bilayer) หันปลายข้างที่มีขั้ว (polar head) มีสมบัติชอบน้ำออกด้านนอกและปลายที่ไม่มีขั้ว (non polar tail)

87 1. เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane)
มีสมบัติไม่ชอบน้ำเข้าด้านใน โดยมีโปรตีนแทรกอยู่เป็นระยะ นอกจากนี้ยังมีคอเลสเทอรอล ไกลโคลิปิด และไกลโคโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย เรียกลักษณะการเรียงตัวแบบนี้ว่า ฟลูอิดโมเซอิกโมเดล (fluid mosaic model) - มีรูเล็ก ๆ ช่วยให้จำกัดขนาดของโมเลกุลของสารที่จะผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณและชนิดของสารที่ผ่านเข้าออกจากเซลล์ด้วย

88 โครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์

89

90 หน้าที่ของเยื่อหุ้มเซลล์
1. ห่อหุ้มส่วนของโพรโทพลาซึมที่อยู่ข้างในทำให้เซลล์แต่ละ เซลล์แยกออกจากกัน 2. ช่วยควบคุมการเข้าออกของสารต่างๆ ระหว่างภายในเซลล์และ สิ่งแวดล้อม มีคุณสมบัติเป็นเซมิเพอร์มีเอเบิล เมมเบรน (semipermeable membrane) จะยอมให้สารบางชนิดเท่านั้นที่ ผ่านเข้าออกได้ ซึ่งการผ่านเข้าออกจะมีอัตราเร็วที่แตกต่างกัน  

91 หน้าที่ของเยื่อหุ้มเซลล์
 3. ทำให้เกิดความต่างศักย์ทางไฟฟ้า (electrical potential) ของภายใน และภายนอกเซลล์เนื่องมาจากการกระจายของไอออนและโปรตีนไม่ เท่ากัน มีความสำคัญในการนำสารพวกไอออนเข้าหรือออกจากเซลล์ ซึ่งมีความจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ประสาทและเซลล์ กล้ามเนื้อมาก  4. เยื่อหุ้มเซลล์ทำหน้าที่รับสัมผัสสารสร้างเป็นเวสิเคิลเข้าในเซลล์ 5. เยื่อหุ้มเซลล์บางชนิดยื่นออกเป็นท่อเล็กๆ เรียก ไมโครวิลไล ที่ ลำไส้เล็ก เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการดูดสาร

92 2. ผนังเซลล์ (Cell Wall) ลักษณะโครงสร้างและคุณสมบัติของผนังเซลล์
- พบได้ในเซลล์พืชทุกชนิด และในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ราและแบคทีเรียบางชนิด - เป็นผนังแข็งไม่มีชีวิต ห่อหุ้มเยื่อหุ้มเซลล์ไว้อีกชั้นหนึ่ง - ประกอบด้วยเซลลูโลสเป็นส่วนใหญ่ และสารพวกลิกนิน คิวติน เพคติน ซูเบอรรินแทรกปะปนกับเซลลูโลส

93 2. ผนังเซลล์ (Cell Wall)

94 2.ผนังเซลล์ (Cell Wall) - ผนังเซลล์ของโพรคาริโอต มักประกอบด้วยสารเพพทิโดไกลแคน - ผนังเซลล์ของสาหร่ายสีน้ำตาลแกมเหลือง เช่น ไดอะตอมมี เซลลูโลส และซิลิกา - ผนังเซลล์ของเห็ดราจะเป็นสารประกอบไคทิน - ถึงแม้ผนังเซลล์จะหนา แต่มักจะยอมให้สารเกือบทุกชนิดผ่าน เข้าออกอย่างสะดวก (permable membane) ผนังเซลล์บาง แห่งจะมีช่องเล็กๆ (plasmodesma pore)

95 - plasmodesma pore เป็นทางสำหรับให้กิ่ง (สายใย) ของไซโทพลาซึมจากเซลล์หนึ่งติดต่อกับกิ่ง (สายใย) ของไซโทพลาซึมของเซลล์ข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการลำเลียงสาร ระหว่างเซลล์ ซึ่งจะเห็นเป็นแถบเล็ก ๆ ผ่านช่องเล็ก ๆ ของ ผนังเซลล์ เรียก ไซโทพลาซึมบริเวณนี้ว่าพลาสโมเดสมาตา (plasmodesmata)

96

97

98 หน้าที่ของผนังเซลล์ - เป็นผนังแข็งห่อหุ้มเซลล์ เพิ่มความแข็งแรง และป้องกันอันตรายให้แก่เซลล์ป้องกันการระเหยของน้ำ โครงสร้างของผนังเซลล์และเซลลูโลส     

99 โครงสร้างของเซลล์สัตว์

100 โครงสร้างของเซลล์พืช

101 สวัสดี


ดาวน์โหลด ppt เซลล์และองค์ประกอบสำคัญของเซลล์

งานนำเสนอที่คล้ายกัน


Ads by Google